M’Cheyne Bible Reading Plan
22 ใช้ก้านหุสบจุ่มเลือดที่อยู่ในอ่าง และทาเลือดไว้ที่รอบวงกบประตู และอย่าให้ใครก้าวพ้นประตูบ้านไปจนกว่าจะรุ่งเช้า 23 เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะผ่านเข้ามาเพื่อสังหารชาวอียิปต์ เมื่อพระองค์เห็นเลือดที่รอบวงกบประตู พระผู้เป็นเจ้าจะผ่านเลยประตูนั้นไป และจะไม่ปล่อยให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านเพื่อสังหารท่าน 24 จงฉลองพิธีที่ระบุไว้และถือเป็นกฎเกณฑ์ของท่านและลูกหลานตลอดไป 25 เมื่อท่านก้าวเข้าไปถึงดินแดนที่พระผู้เป็นเจ้าจะมอบให้ท่านดังที่พระองค์ได้สัญญาไว้ ท่านจะต้องรักษาพิธีนี้ไว้ 26 และยามที่ลูกหลานของท่านถามว่า ‘พิธีนี้มีความหมายอย่างไรสำหรับท่าน’ 27 จงบอกไปว่า ‘เป็นการถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้าเนื่องในวันปัสกา เพราะที่อียิปต์พระองค์ได้ผ่านเลยบ้านของชาวอิสราเอลไป ขณะที่พระองค์สังหารชาวอียิปต์ แต่ไว้ชีวิตครอบครัวของพวกเรา’” แล้วชาวอิสราเอลก็ก้มศีรษะลงกราบนมัสการ
28 ชาวอิสราเอลก็ไปปฏิบัติตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าที่ให้ไว้กับโมเสสและอาโรน
ภัยพิบัติที่สิบ: บุตรหัวปีตาย
29 ในเวลาเที่ยงคืน พระผู้เป็นเจ้าพรากชีวิตบุตรหัวปีของชาวอียิปต์ทุกคนทั่วทั้งแผ่นดิน นับจากบุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้นั่งบนบัลลังก์จนถึงบุตรหัวปีของเชลยที่อยู่ในคุกใต้ดินรวมถึงลูกสัตว์เลี้ยงตัวแรกทุกตัวด้วย 30 ในคืนนั้นฟาโรห์ ข้าราชบริพารทั้งหลายของท่าน และชาวอียิปต์ทุกคนตื่นขึ้น มีเสียงร้องระงมสนั่นทั่วแผ่นดินอียิปต์ เพราะไม่มีบ้านใดที่ปราศจากคนตาย 31 ท่านจึงเรียกตัวโมเสสและอาโรนมาพบในคืนนั้นและกล่าวว่า “ไปได้แล้ว จงไปให้พ้นจากประชาชนของเรา ทั้งพวกเจ้าและชาวอิสราเอล ไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้าตามที่เจ้าพูดไว้ 32 แล้วก็พาฝูงแพะแกะ และโคของเจ้าไปตามที่เคยพูดไว้ ไปให้พ้นๆ แล้วพวกเจ้าก็จงให้พรเราด้วย”
การอพยพ
33 ชาวอียิปต์สนับสนุนให้ผู้คนเร่งออกไปจากแผ่นดินโดยเร็ว พวกเขาพูดกันว่า “ถ้าหากท่านไม่ไป พวกเราก็จะต้องตายกันหมด” 34 ดังนั้นพวกเขาจึงเอาแป้งนวดแล้วใส่ไว้ในภาชนะโดยไม่ได้ผสมเชื้อยีสต์ให้แป้งฟู แล้วห่อด้วยเสื้อคลุมแบกไว้บนบ่า 35 ชาวอิสราเอลก็ได้ทำตามที่โมเสสสั่งพวกเขาไว้ คือพวกเขาได้ขอสิ่งที่ทำด้วยเงินและทองคำ และเสื้อผ้าจากชาวอียิปต์ 36 และพระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้ผู้คนของพระองค์เป็นที่พอใจของชาวอียิปต์ และพวกเขาก็ได้ให้สิ่งที่ชาวอิสราเอลขอ นี่เป็นวิธีที่ชาวอิสราเอลริบเอาความมั่งคั่งของชาวอียิปต์ไป
37 ชาวอิสราเอลเดินทางจากเมืองราเมเสสไปถึงเมืองสุคคท นอกจากผู้หญิงและเด็กแล้ว ก็มีชายฉกรรจ์ประมาณ 600,000 คน 38 มีคนชาติอื่นจำนวนมากที่เดินทางขึ้นไปกับพวกเขา และมีฝูงปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ฝูงแพะแกะ และโคอีกมากมาย 39 เขาเหล่านั้นใช้แป้งที่นำออกมาจากอียิปต์มาอบเป็นขนมปังไร้เชื้อ เพราะถูกขับไล่ออกจากอียิปต์ทันควัน พวกเขาไม่มีเวลาเตรียมอาหารให้พร้อม
40 ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ในอียิปต์อย่างคนต่างด้าวเป็นเวลา 430 ปี 41 ในวันสุดท้ายของปีที่สี่ร้อยสามสิบ เผ่าพันธุ์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ไปพ้นจากแผ่นดินอียิปต์ 42 คืนนั้นเป็นคืนที่พระผู้เป็นเจ้าคอยปกป้องดูแล เพื่อพาพวกเขาออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ ดังนั้นเวลาค่ำวันนี้ของทุกปีชาวอิสราเอลจึงถือรักษาไว้ไปจนถึงทุกชั่วอายุคนเพื่อเป็นเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า
ข้อจำกัดของเทศกาลปัสกา
43 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “กฎเทศกาลปัสกาเป็นดังนี้คือ อย่าให้ชนชาติอื่นร่วมรับประทานในพิธีปัสกา 44 แต่ทาสทุกคนที่เจ้าซื้อมาได้ด้วยเงินสามารถรับประทานได้ต่อเมื่อเขาได้เข้าสุหนัตแล้ว 45 ผู้มาเยือนชั่วคราวหรือคนรับจ้างก็อย่าให้รับประทานด้วย 46 จะต้องรับประทานในบ้าน อย่านำเอาเนื้อออกไปนอกบ้าน อย่าหักกระดูกสักชิ้นเดียว[a] 47 ชาวอิสราเอลทั้งมวลจะถือรักษากฎนี้ไว้ 48 เวลาชาวต่างด้าวมาอาศัยอยู่กับเจ้าและอยากจะฉลองปัสกาให้เกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้ชายทุกคนของพวกเขาเข้าสุหนัตก่อน แล้วจึงจะเข้าใกล้และร่วมพิธีด้วยได้ และเขาจะเป็นเหมือนกับทุกคนที่เป็นชาวอิสราเอลแต่กำเนิด ส่วนคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตก็อย่าให้รับประทาน 49 กฎเกณฑ์เดียวกันนี้ใช้สำหรับคนที่เป็นชาวอิสราเอลโดยกำเนิดและชาวต่างด้าวที่อพยพมาอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า”
50 ชาวอิสราเอลทุกคนจึงทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้กับโมเสสและอาโรน 51 และในวันเดียวกันนั้นเอง พระผู้เป็นเจ้านำชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์โดยแยกกองเหมือนกองทัพตามเผ่าพันธุ์
อุปมาเรื่องแกะที่หลงหาย
15 ครั้งหนึ่งพวกคนเก็บภาษีและพวกคนบาปต่างอยู่รายล้อมเพื่อฟังพระองค์ 2 พวกฟาริสีและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบ่นว่า “ชายผู้นี้ยินดีรับพวกคนบาปและรับประทานร่วมกับเขา”
3 พระเยซูจึงกล่าวเป็นอุปมาแก่คนเหล่านั้นว่า 4 “สมมุติว่าท่านมีแกะ 100 ตัวและตัวหนึ่งหลงหายไป ท่านจะไม่ปล่อย 99 ตัวไว้กลางทุ่ง แล้วตามหาตัวที่หายจนพบหรือ 5 เมื่อพบแล้วก็จะเอามันพาดบ่าด้วยความชื่นชมยินดี 6 กลับบ้านไป แล้วเรียกสหายและเพื่อนบ้านมา พลางพูดว่า ‘มาชื่นชมยินดีกับเราเถิด เราพบแกะของเราที่หายไปแล้ว’ 7 เราขอบอกท่านว่า เช่นเดียวกันกับเวลาที่คนบาปคนหนึ่งกลับใจ ในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดีเพราะเขา มากกว่าอีก 99 คนที่มีความชอบธรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องกลับใจ
อุปมาเรื่องเหรียญเงินที่หาย
8 หรือสมมุติว่า หญิงคนหนึ่งมีเหรียญเงินอยู่ 10 เหรียญ แล้วเหรียญหนึ่งหายไป เธอจะจุดตะเกียง กวาดบ้านและค้นหาอย่างละเอียดจนกว่าเธอจะพบมิใช่หรือ 9 เมื่อพบก็เรียกสหายและเพื่อนบ้านของเธอมาและพูดว่า ‘มาชื่นชมยินดีกับเราเถิด เราพบเหรียญของเราที่หายไปแล้ว’ 10 เช่นเดียวกับเวลาที่คนบาปคนหนึ่งกลับใจ ก็ย่อมมีความชื่นชมยินดีในหมู่ทูตสวรรค์ของพระเจ้า”
อุปมาเรื่องบุตรชายที่หลงหาย
11 พระองค์กล่าวต่อไปอีกว่า “ชายผู้หนึ่งมีลูกชาย 2 คน 12 คนเล็กพูดกับพ่อว่า ‘พ่อช่วยแบ่งทรัพย์สมบัติในส่วนที่เป็นของลูกเถิด’ พ่อจึงแบ่งสมบัติให้ลูกทั้งสอง 13 ไม่นานนัก ลูกคนเล็กก็รวบรวมทรัพย์สมบัติของเขา แล้วออกเดินทางไปต่างแดน ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาและสุรุ่ยสุร่าย 14 หลังจากที่เขาใช้ทรัพย์หมดแล้วทั้งยังเกิดข้าวยากหมากแพงทั่วท้องถิ่นนั้น เขาจึงขัดสนยิ่ง 15 จึงได้ไปรับจ้างเลี้ยงหมูในทุ่งให้คนหนึ่งที่เป็นชาวเมืองนั้น 16 ชายคนนี้หิวโหยมากจนแทบจะกลืนกินฝักถั่วที่ใช้เลี้ยงหมู แต่ก็ไม่มีใครสักคนหยิบยื่นอาหารให้แก่เขา
17 เขาจึงได้รู้สำนึกตัวและกล่าวว่า ‘ผู้รับจ้างของพ่อเรามีจำนวนมากเพียงไรที่มีอาหารเหลือกิน เราเองกำลังอดตายอยู่ที่นี่ 18 เราจะเดินทางกลับไปหาพ่อ แล้วสารภาพผิดกับพ่อว่า ข้าพเจ้าได้กระทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่าน 19 ข้าพเจ้าไม่สมควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป ช่วยให้ข้าพเจ้าได้เป็นผู้รับจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด’ 20 เขาจึงรีบรุดเดินทางกลับไปหาพ่อในบัดนั้น เมื่อพ่อเห็นเขาเดินมาแต่ไกล เกิดความสงสารยิ่งจึงวิ่งไปโอบคอและจูบแก้มลูก 21 ลูกชายพูดกับพ่อว่า ‘พ่อท่าน ข้าพเจ้าได้กระทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่าน และไม่สมควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป’ 22 แต่พ่อพูดกับพวกคนรับใช้ว่า ‘เร็วๆ เอาเสื้อคลุมที่ดีที่สุด ทั้งแหวนและรองเท้ามาสวมให้เขาเสียด้วย 23 ฆ่าลูกโคอ้วนๆ เอามาเลี้ยงฉลองกันให้สนุกเถิด 24 เพราะว่าลูกชายของเราคนนี้ตายไปแล้ว กลับมีชีวิตขึ้นมาอีก เขาหายไปและเราก็พบแล้ว’ ดังนั้นงานฉลองจึงได้เริ่มขึ้น
25 ขณะนั้นลูกชายคนโตยังอยู่ในทุ่ง เมื่อเขาเข้ามาใกล้บ้านก็ได้ยินเสียงดนตรีและเต้นรำในงาน 26 จึงได้ถามเอาความจากคนรับใช้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น 27 เขาตอบว่า ‘น้องชายได้กลับมาแล้ว พ่อของท่านได้ฆ่าลูกโคอ้วน เพราะว่าท่านได้ตัวเขากลับมาอย่างปลอดภัย’ 28 พี่ชายคนโตโมโหจึงไม่ยอมเข้าบ้าน พ่อจำต้องไปอ้อนวอนให้เข้ามา 29 แต่เขากลับตอบว่า ‘ดูเถิด หลายปีที่ผ่านมาลูกได้รับใช้พ่ออย่างขยันขันแข็งและไม่เคยขัดคำสั่งท่านเลย แต่ท่านไม่เคยให้แม้แต่แพะหนุ่มสักตัวเพื่อฉลองกับสหายของลูก 30 เมื่อลูกชายของพ่อคนนี้เป็นคนที่ผลาญเงินทองไปกับหญิงแพศยาได้กลับมา ท่านก็ฆ่าลูกโคอ้วนเพื่อเขา’ 31 พ่อจึงตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับพ่อเสมอ ทุกสิ่งที่เป็นของพ่อก็เสมือนเป็นของเจ้า 32 แต่เราต้องฉลองและยินดีกัน เพราะว่าน้องชายของเจ้าคนนี้ได้ตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก เขาหายไปและเราก็พบแล้ว’”
30 แต่มาบัดนี้พวกเขาหัวเราะเยาะฉัน
เขามีอายุน้อยกว่าฉัน
และเขามีพ่อซึ่งฉันไม่ต้องการแม้จะให้อยู่กับ
พวกสุนัขเฝ้าฝูงแกะของฉัน
2 พวกเขาจะช่วยอะไรฉันได้
คนที่อ่อนกำลังอย่างนั้น
3 ทั้งลำเค็ญและหิวโหย
ในยามค่ำคืนพวกเขาแทะกินดินแห้งในที่ร้างอันแร้นแค้น
4 พวกเขาเก็บพันธุ์ไม้และใบจากพุ่มไม้ในทะเลทราย
และรากไม้ซากเป็นอาหาร
5 พวกเขาถูกขับไล่ออกจากหมู่คน
ชุมชนตะโกนไล่พวกเขาไปเหมือนไล่ขโมย
6 พวกเขาต้องอาศัยอยู่ตามหน้าผาที่เชิงเขา
ในรูใต้ดินและถ้ำหิน
7 พวกเขาส่งเสียงร้องเหมือนลาในพุ่มไม้
และเบียดเสียดกันอยู่ใต้พุ่มไม้หนาม
8 คนโง่เขลาและไร้ชื่อเสียงเรียงนาม
พวกเขาถูกขับไล่ออกจากแผ่นดิน
9 และมาบัดนี้ฉันกลายเป็นเพลงที่พวกเขาแต่งขึ้น
ฉันเป็นที่หัวเราะเยาะของพวกเขา
10 พวกเขาชิงชังฉัน และออกห่างจากฉัน
พวกเขาไม่ลังเลใจที่จะถ่มน้ำลายรดหน้าฉัน
11 เพราะพระเจ้าทำให้ฉันหมดกำลังและต่อสู้ไม่ไหว
พวกเขาไม่ยับยั้งเมื่อเห็นฉัน
12 หมู่คนร้ายโจมตีฉันทางด้านขวา
พวกเขาดันเท้าฉัน
และก่อเชิงเทินประชิดตัวฉันเพื่อทำให้วอดวาย
13 พวกเขากีดกั้นฉันทุกหนทาง
และพยายามทำให้ฉันวิบัติโดย
ไม่ต้องให้ใครมาช่วย
14 พวกเขาทะลวงกำแพงเข้ามา
และถาโถมตัวเข้าหาฉัน
15 ฉันตกใจกลัว ศักดิ์ศรีของฉันหายไปกับสายลม
และความมั่งมีของฉันสูญไปอย่างเมฆ
16 และบัดนี้หัวใจฉันแตกสลาย
ความทรมานครอบงำฉันเป็นเวลานาน
17 ฉันปวดกระดูกในยามค่ำคืน
ความปวดไม่ทุเลาลง ทำให้ฉันทรมานมาก
18 เสื้อผ้าฉันถูกกระชาก
มันรัดตัวฉันเหมือนปกเสื้อ
19 พระองค์เหวี่ยงฉันลงในตม
ฉันเป็นเหมือนฝุ่นและเถ้าถ่าน
20 ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระองค์ ขอความช่วยเหลือ และพระองค์ไม่ตอบข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าอธิษฐาน และพระองค์ก็เพียงแต่มองข้าพเจ้า
21 พระองค์โหดร้ายต่อข้าพเจ้า
พระองค์ใช้อานุภาพของพระองค์ทำร้ายข้าพเจ้า
22 พระองค์ให้ลมหอบข้าพเจ้าขึ้นไป ข้าพเจ้าถูกพัดไปกับสายลม
และพระองค์ให้พายุฉุดกระชากตัวข้าพเจ้าขึ้นๆ ลงๆ
23 เพราะข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์จะพาข้าพเจ้าไปถึงซึ่งความตาย
และไปยังที่ซึ่งกำหนดไว้สำหรับทุกชีวิต
24 แน่นอน ไม่มีใครทำร้ายคนที่สูญสิ้นทุกสิ่ง
เขาร้องขอความช่วยเหลือเมื่อประสบความทุกข์
25 ข้าพเจ้าร้องไห้เมื่อคนประสบความลำบาก
และจิตวิญญาณของข้าพเจ้าเศร้าโศกกับคนยากไร้มิใช่หรือ
26 แต่เมื่อข้าพเจ้าหวังในสิ่งดี ความชั่วก็มาถึง
และเมื่อข้าพเจ้ารอคอยความสว่าง ความมืดก็ประชิดตัว
27 ส่วนลึกในใจข้าพเจ้าปั่นป่วนและไม่เคยสงบ
ความทุกข์ทรมานปะทะข้าพเจ้า
28 ข้าพเจ้าดำเนินไปในความมืด ปราศจากแสงอาทิตย์
ข้าพเจ้ายืนในที่ชุมนุมและร้องขอความช่วยเหลือ
29 ข้าพเจ้าเป็นพี่น้องกับพวกหมาใน
และเป็นเพื่อนกับนกกระจอกเทศ
30 ผิวหนังข้าพเจ้าดำคล้ำและลอกหลุดออก
กระดูกข้าพเจ้าร้อนผ่าว
31 เสียงจากพิณเล็กของข้าพเจ้ากลายเป็นเสียงคร่ำครวญ
และเสียงปี่กลายเป็นเสียงของบรรดาผู้ร้องรำพัน
การเรี่ยไรให้คริสตจักร
16 ส่วนเรื่องการเก็บเรี่ยไรเพื่อบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้านั้น จงกระทำตามที่ข้าพเจ้าได้บอกแก่คริสตจักรที่แคว้นกาลาเทียเถิด 2 ทุกวันแรกของแต่ละสัปดาห์ ทุกท่านควรแบ่งเงินเก็บไว้จำนวนหนึ่งตามแต่รายได้ที่มี จะได้ไม่ต้องเก็บเรี่ยไรเมื่อข้าพเจ้ามา 3 และเวลาที่ข้าพเจ้ามาถึง ข้าพเจ้าจะให้บรรดาผู้ที่ท่านเห็นชอบ นำจดหมายและเงินที่ท่านกรุณาเรี่ยไรได้ไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 4 และถ้าสมควรที่ข้าพเจ้าจะไปด้วยแล้ว เขาเหล่านั้นก็จะไปพร้อมกับข้าพเจ้า
5 ข้าพเจ้าจะมาหาท่านหลังจากที่ได้เข้าไปในแคว้นมาซิโดเนียแล้ว เพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะผ่านไปทางมาซิโดเนีย 6 ข้าพเจ้าคงจะพักอยู่กับท่าน และอาจจะอยู่จนตลอดช่วงฤดูหนาวด้วย เพื่อให้ท่านช่วยจัดการส่งข้าพเจ้าเดินทางต่อไปอีก ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม 7 ข้าพเจ้ายังไม่อยากมาหาท่านเพียงเพราะเป็นระยะทางผ่านเท่านั้น ข้าพเจ้าหวังว่าจะพักอยู่กับท่านสักช่วงระยะหนึ่ง ถ้าพระผู้เป็นเจ้าอนุญาต 8 แต่ข้าพเจ้าจะอยู่ที่เมืองเอเฟซัสจนกระทั่งเทศกาลเพ็นเทคศเต 9 เพราะมีโอกาสที่เปิดกว้างไว้ให้ข้าพเจ้าเพื่องานรับใช้ที่จะบังเกิดผล แม้จะมีคนจำนวนมากที่ขัดขวางข้าพเจ้าอยู่ก็ตาม
10 ถ้าทิโมธีมาหาท่าน ก็ช่วยแสดงความยินดีต้อนรับเขาในหมู่ท่าน เพราะว่าเขาปฏิบัติงานของพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับข้าพเจ้า 11 ฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดดูถูกเขา แต่จงจัดการส่งเขาเดินทางไปอย่างสันติสุข เขาจะได้กลับมาหาข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ากำลังคอยเขากับพวกพี่น้องอยู่
คำลงท้าย
12 ส่วนเรื่องอปอลโลซึ่งเป็นพี่น้องของเรานั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้เขาไปหาท่านพร้อมกับพวกพี่น้องอื่นๆ เขาไม่ประสงค์ที่จะไปเวลานี้ แต่เขาจะไปเมื่อมีโอกาส
13 ท่านจงระวังให้ดี ขอให้ยืนหยัดอยู่ในความเชื่อ จงกล้าหาญและเข้มแข็ง 14 ท่านจงกระทำทุกสิ่งด้วยความรัก
15 พี่น้องทั้งหลาย ท่านทราบว่าในแคว้นอาคายา ครอบครัวของสเทฟานัสเป็นกลุ่มแรกที่เชื่อพระเจ้า และพวกเขาได้อุทิศตนเพื่อรับใช้งานให้กับผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า 16 ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านยอมเชื่อฟังคนเช่นนั้น และทุกคนที่ช่วยในการงานด้วย 17 ข้าพเจ้ายินดีเมื่อสเทฟานัส ฟอร์ทูนาทัส และอาคายคัสมาถึง เพราะเขาเหล่านั้นได้ทดแทนตัวท่านที่ไม่ได้มา 18 เขาทำให้วิญญาณของข้าพเจ้าและของท่านรู้สึกชุ่มชื่น ฉะนั้นท่านควรยกย่องคนเช่นนั้น
19 บรรดาคริสตจักรในแคว้นเอเชียส่งความคิดถึงมายังท่าน อาควิลลากับปริสคาและคริสตจักรที่ประชุมร่วมกันที่บ้านของเขาทั้งสอง ส่งความคิดถึงมายังท่านด้วยใจจริงในพระผู้เป็นเจ้า 20 พี่น้องทุกคนที่นี่ส่งความคิดถึงมายังท่าน จงทักทายกันด้วยการจูบแก้มอันบริสุทธิ์[a]
21 ข้าพเจ้าเปาโลเขียนส่งความคิดถึงนี้มาด้วยลายมือของข้าพเจ้าเอง 22 หากว่าผู้ใดไม่มีความรักต่อพระผู้เป็นเจ้า ก็ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง ขอเชิญพระผู้เป็นเจ้าของเรากลับมาเถิด 23 ขอพระคุณของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าจงอยู่กับท่านทั้งหลายด้วย 24 ความรักของข้าพเจ้าอยู่กับท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์ อาเมน
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation