Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
อพยพ 8

ภัยพิบัติที่สอง: กบ

แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงเข้าไปหาฟาโรห์และพูดกับเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “ปล่อยชนชาติของเราไปเสีย เพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมให้พวกเขาไป ดูเถิด เราจะให้เกิดภัยพิบัติเป็นฝูงกบทั่วแผ่นดินของเจ้า จะมีกบเต็มแม่น้ำไนล์ แล้วมันจะกระโดดเข้าไปในวัง ในห้องนอน และเตียงนอนของเจ้า มันจะเข้าไปในบ้านของข้าราชบริพารและพลเมือง ในเตาอบและอ่างนวดแป้ง กบจะกระโดดขึ้นตัวเจ้า ขึ้นตัวพลเมือง และข้าราชบริพารของเจ้าทุกคน”’” แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘ยื่นมือที่ถือไม้เท้าออกเหนือแม่น้ำ คลอง และบึง เพื่อทำให้กบขึ้นไปบนแผ่นดินอียิปต์’” อาโรนก็ยื่นมือออกไปเหนือแหล่งน้ำทั้งหลายในอียิปต์ และกบก็ขึ้นมาเกาะอยู่ทั่วแผ่นดินอียิปต์ ครั้นแล้วพวกที่ใช้วิทยาคมก็ใช้อาคมของตนทำขึ้นได้บ้างเหมือนกัน ทำให้มีกบขึ้นมาอยู่บนแผ่นดินอียิปต์

ฟาโรห์จึงเรียกตัวโมเสสและอาโรนมาโดยกล่าวว่า “เจ้าจงอธิษฐานให้พระผู้เป็นเจ้ากำจัดกบไปจากเรา จากพลเมืองของเรา แล้วเราจะปล่อยให้ชนชาติของเจ้าไปถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า โมเสสตอบฟาโรห์ว่า “ขอให้สั่งมาเถิดว่าเวลาใดท่านจะให้ข้าพเจ้าอธิษฐานให้ท่าน ให้ข้าราชบริพารและพลเมืองของท่าน เพื่อกำจัดกบไปเสียจากท่านและจากบ้าน จะมีเหลืออยู่ก็แต่ในแม่น้ำไนล์เท่านั้น” 10 ท่านกล่าวว่า “พรุ่งนี้” โมเสสจึงตอบว่า “จะเป็นไปตามที่ท่านว่า เพื่อท่านจะได้ทราบว่าไม่มีผู้ใดเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา 11 ฝูงกบจะไปจากท่าน จากบ้านของท่าน จากข้าราชบริพารและพลเมืองของท่าน จะมีเหลืออยู่ก็แต่ในแม่น้ำไนล์เท่านั้น” 12 โมเสสกับอาโรนก็จากฟาโรห์ไป โมเสสร้องอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าเรื่องกบ ตามที่ได้ตกลงไว้กับฟาโรห์ 13 พระผู้เป็นเจ้าก็ทำตามคำขอร้องของโมเสส คือกบตายอยู่ในบ้าน ที่ลานบ้าน และในทุ่ง 14 และมีคนเก็บมันไว้เป็นกองๆ แผ่นดินก็เหม็นคลุ้ง 15 แต่ครั้นฟาโรห์เห็นว่าหมดทุกข์แล้ว ท่านก็ทำจิตใจแข็งกระด้าง ไม่ยอมฟังท่านทั้งสอง ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้

ภัยพิบัติที่สาม: ริ้น

16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘ยื่นไม้เท้าของพี่ออกไป ฟาดผงคลีดิน เพื่อให้มีริ้นอยู่ทั่วแผ่นดินอียิปต์’” 17 ทั้งสองก็ทำตาม อาโรนยื่นมือพร้อมไม้เท้าของท่านออกไป และฟาดผงคลีดิน เกิดเป็นริ้นตอมตัวคนและสัตว์เลี้ยง ผงคลีทุกแห่งหนกลายเป็นริ้นทั่วแผ่นดินอียิปต์ 18 พวกที่ใช้วิทยาคมพยายามเสกคาถาขึ้นบ้าง แต่ก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นริ้นเกาะอยู่ตามตัวคนและสัตว์เลี้ยง 19 พวกที่ใช้วิทยาคมบอกฟาโรห์ว่า “นี่เป็นนิ้วมือของพระเจ้า” แต่จิตใจของฟาโรห์ก็ยังแข็งกระด้าง และท่านไม่ยอมฟังท่านทั้งสอง ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้

ภัยพิบัติที่สี่: ตัวเหลือบ

20 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “พรุ่งนี้เจ้าจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ไปยืนต่อหน้าฟาโรห์ในยามที่เขาออกไปที่แม่น้ำ และพูดกับเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “ปล่อยชนชาติของเราไปเสีย เพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา 21 เพราะว่าถ้าเจ้าไม่ปล่อยให้ชนชาติของเราไป เราจะให้ฝูงเหลือบมาตอมตัวเจ้า ตอมข้าราชบริพารและพลเมืองของเจ้า มันจะเข้าไปในบ้านของเจ้า ในบ้านเรือนของชาวอียิปต์จะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบแม้กระทั่งพื้นที่พวกเขายืนอยู่ 22 แต่ในเวลานั้นเราจะไม่กระทำเช่นนั้นต่อดินแดนโกเชนซึ่งเป็นที่ชนชาติของเราอาศัยอยู่ ฉะนั้นจะไม่มีฝูงเหลือบที่นั่น เจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดินแดนนี้ 23 โดยวิธีการนี้ เราจะทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างชนชาติของเราและพลเมืองของเจ้า สิ่งนี้จะเป็นที่พิสูจน์ให้เห็นภายในพรุ่งนี้”’” 24 แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ทำตามนั้น คือมีเหลือบฝูงใหญ่บินเข้าวังของฟาโรห์และบ้านของข้าราชบริพารของท่าน ตัวเหลือบทำความเสียหายแผ่นดินทั่วทั้งอียิปต์

25 ฟาโรห์จึงเรียกตัวโมเสสและอาโรนมากล่าวว่า “จงไปเถิด ไปถวายเครื่องสักการะแด่พระเจ้าของเจ้าภายในอาณาเขตของแผ่นดินนี้” 26 แต่โมเสสตอบว่า “ไม่สมควรที่จะทำอย่างนั้น เพราะว่าเป็นที่น่ารังเกียจต่อชาวอียิปต์ที่เราจะนมัสการโดยมอบของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ถ้าพวกเรานมัสการโดยมอบของถวายอันเป็นสิ่งที่ชาวอียิปต์ถือว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจให้พวกเขาเห็น แล้วเขาจะไม่ขว้างก้อนหินใส่เราหรือ 27 เราต้องเดินทางเป็นเวลา 3 วันเข้าไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ตามที่พระองค์บัญชา” 28 ฟาโรห์กล่าวว่า “เราจะปล่อยให้พวกเจ้าไป เพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าในถิ่นทุรกันดาร ถ้าเจ้าไปไม่ไกลเกินไป ก็ขออธิษฐานให้เราด้วย” 29 โมเสสพูดว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าจะไปจากท่าน และจะอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พวกฝูงเหลือบไปเสียจากฟาโรห์ จากข้าราชบริพาร และจากพลเมืองของท่านในวันพรุ่งนี้ ขอเพียงฟาโรห์อย่าได้ลวงเราอีกด้วยการไม่ยอมปล่อยให้ประชาชนไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า 30 โมเสสจากฟาโรห์ไป และอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า 31 และพระผู้เป็นเจ้าทำตามที่โมเสสอธิษฐานขอ โดยให้พวกฝูงเหลือบไปเสียจากฟาโรห์ จากข้าราชบริพาร และจากพลเมืองของท่าน ไม่มีตัวเหลือบเหลือสักตัวเดียว 32 แต่ครั้งนี้ฟาโรห์ก็ยังมีจิตใจแข็งกระด้างอีก ไม่ยอมปล่อยให้ประชาชนไป

ลูกา 11

การอธิษฐาน

11 พระเยซูกำลังอธิษฐานในที่แห่งหนึ่ง พอจบแล้วสาวกคนหนึ่งได้พูดขึ้นว่า “พระองค์ท่าน ขอได้โปรดสอนพวกข้าพเจ้าอธิษฐานเหมือนกับที่ยอห์นสอนพวกสาวกของเขาเถิด” พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เมื่อเจ้าอธิษฐาน จงว่า

‘ข้าแต่พระบิดา
ขอพระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาสถิตเถิด
ขอพระองค์ให้อาหารประจำวันแก่พวกเราในแต่ละวัน
ขอพระองค์ยกโทษบาปทั้งปวงให้แก่พวกเรา
    ด้วยว่าพวกเรายกโทษให้แก่ทุกคนที่กระทำบาปต่อเรา
และขอพระองค์นำเราไปให้พ้นจากสิ่งยั่วยุ’”

แล้วพระองค์กล่าวต่อไปอีกว่า “หากคนใดในพวกเจ้าไปหาเพื่อนในเวลาเที่ยงคืน แล้วพูดว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราขอยืมขนมปังสัก 3 ก้อนเถิด เพราะว่าเพื่อนคนหนึ่งของเราเดินทางมาหา แล้วเราไม่มีอะไรที่จะต้อนรับเขา’ คนที่อยู่ข้างในตอบว่า ‘อย่ารบกวนเราเลย ประตูก็ลงกลอนแล้ว ทั้งลูกๆ และเราเองก็เข้านอนแล้ว เราลุกขึ้นหยิบอะไรให้ไม่ได้’ เราขอบอกเจ้าว่า แม้ว่าเขาจะไม่ลุกขึ้นหยิบขนมปังให้เพราะความเป็นเพื่อน แต่เป็นเพราะความไม่ย่อท้อ เขาก็จะลุกขึ้นและหยิบให้ตามที่เพื่อนต้องการ ฉะนั้นเราขอบอกพวกเจ้าว่า จงขอและเจ้าก็จะได้รับ จงแสวงหาและเจ้าก็จะพบ จงเคาะประตูและประตูก็จะเปิดให้เจ้า 10 เพราะทุกคนที่ขอก็จะได้รับ คนที่หาก็พบ คนที่เคาะประตู ประตูก็จะเปิด 11 ถ้าลูกของเจ้าขอปลาแล้ว เจ้าผู้เป็นพ่อจะให้งูแทนหรือ 12 ถ้าหากเขาขอไข่แล้วกลับให้แมงป่องแทนหรือ 13 ถ้าเจ้าเองผู้เป็นคนชั่วยังรู้จักให้สิ่งที่ดีแก่ลูกๆ และยิ่งกว่านั้นขนาดไหนที่พระบิดาในสวรรค์จะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอจากพระองค์”

พระเยซูกับเบเอลเซบูล

14 พระเยซูขับไล่มารใบ้ตนหนึ่งออกจากร่างของชายคนหนึ่ง เมื่อมารออกจากร่างแล้ว ชายใบ้จึงพูดได้ และฝูงชนก็ประหลาดใจ 15 บางคนพูดว่า “ชายผู้นี้ขับไล่พวกมารออกได้โดยใช้เบเอลเซบูลหัวหน้าของพวกมารนั่นเอง” 16 คนอื่นๆ ได้ทดสอบพระองค์ โดยขอให้พระองค์ส่งปรากฏการณ์อัศจรรย์จากสวรรค์ 17 พระเยซูทราบความคิดของคนเหล่านั้นจึงกล่าวว่า “อาณาจักรใดก็ตามที่แบ่งแยกกันเองก็จะพินาศ และบ้านใดที่แบ่งแยกกันเองก็จะล้มลง 18 ถ้าซาตานแบ่งแยกตัวมันเอง แล้วอาณาจักรของมันจะยืนหยัดได้อย่างไร เราพูดเช่นนี้เพราะท่านยืนยันว่าเราขับไล่พวกมารโดยใช้เบเอลเซบูล 19 ถ้าเราขับมารโดยใช้เบเอลเซบูล แล้วผู้ติดตามของท่านเองล่ะ ใช้ใครในการขับ ฉะนั้นแล้วเขาเหล่านั้นก็เป็นผู้ตัดสินความของท่าน 20 แต่ถ้าเราขับพวกมารโดยการใช้นิ้วของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว 21 เมื่อคนที่แข็งแกร่งถืออาวุธไว้พร้อมเพื่อเฝ้าบ้านของเขา ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย 22 แต่หากมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเข้าจู่โจมและชนะเขา คนนั้นก็ริบอาวุธยุทธภัณฑ์ที่เขาพึ่งพา แล้วแบ่งปันของที่เขาได้ริบเอาไป 23 ใครที่ไม่เป็นฝ่ายเราก็เป็นฝ่ายค้านเรา และคนที่ไม่เก็บรวบรวมกับเราก็กระจัดกระจายไป

24 เมื่อวิญญาณร้ายออกมาจากคนหนึ่ง มันก็เที่ยวหาที่แล้งเพื่อพำนัก เมื่อไม่พบ มันจึงพูดว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา’ 25 แต่เมื่อมาถึง ก็กลับพบว่าบ้านนั้นถูกปัดกวาดจนสะอาดเรียบร้อย 26 มันจึงไปเอาพวกวิญญาณอีก 7 ตนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าเข้าไปอยู่ในบ้านนั้น ในที่สุดอาการของคนนั้นก็ทรุดหนักลงกว่าเดิม”

27 ขณะที่พระองค์กำลังกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ มีหญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มคนได้ร้องขึ้นว่า “มารดาที่ได้ให้กำเนิดและให้น้ำนมเลี้ยงดูพระองค์ก็เป็นสุข” 28 พระองค์ตอบว่า “ผู้ที่ได้ยินคำกล่าวของพระเจ้าแล้วปฏิบัติตามต่างหากเล่าจึงเป็นสุข”

ปรากฏการณ์อัศจรรย์ของโยนาห์

29 ขณะที่ผู้คนเข้ามาสมทบมากขึ้น พระเยซูกล่าวว่า “คนในช่วงกาลเวลาอันชั่วโฉด เป็นพวกที่แสวงหาปรากฏการณ์อัศจรรย์ แต่จะไม่ได้รับสิ่งใดนอกจากปรากฏการณ์อัศจรรย์ของโยนาห์[a] 30 ด้วยว่าโยนาห์ได้เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์กับชาวนีนะเวห์อย่างไร บุตรมนุษย์ก็จะเป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์กับคนในช่วงกาลเวลานี้อย่างนั้น 31 ราชินีแห่งทิศใต้[b]จะลุกผงาดขึ้นในวันพิพากษา และกล่าวหาคนในช่วงกาลเวลานี้ ด้วยว่าพระนางมาจากปลายฟ้าเพื่อฟังสติปัญญาของกษัตริย์ซาโลมอน และบัดนี้ผู้ที่เหนือกว่ากษัตริย์ซาโลมอนอยู่ที่นี่ 32 ชาวนีนะเวห์จะผงาดขึ้นในวันพิพากษา และกล่าวหาคนในช่วงกาลเวลานี้ ชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเพราะคำประกาศของโยนาห์ และเวลานี้ผู้ที่เหนือกว่าโยนาห์อยู่ที่นี่แล้ว

ดวงตาคือตะเกียงของร่างกาย

33 ไม่มีผู้ใดที่จุดตะเกียงแล้วซ่อนหรือวางไว้ใต้ภาชนะ แต่จะตั้งไว้บนขาตั้งตะเกียงเพื่อผู้ที่เข้ามาจะได้เห็นแสงสว่าง 34 ดวงตาของเจ้าเป็นเสมือนตะเกียงของร่างกาย เมื่อดวงตาของเจ้าดี ร่างกายของเจ้าก็เต็มด้วยความสว่าง ถ้าดวงตาของเจ้าไม่ดี ร่างกายก็มีแต่ความมืด 35 จงดูให้ดีว่าเจ้ามีความสว่างภายใน ไม่ใช่ความมืด 36 ฉะนั้นถ้าทั่วทั้งร่างกายของเจ้าสว่างและไม่มีส่วนใดเลยที่มืด มันก็จะสว่างตลอดเหมือนเวลาที่แสงของตะเกียงส่องมาที่เจ้า”

วิบัติบังเกิดแก่บรรดาผู้นำทางศาสนา

37 เมื่อพระเยซูกล่าวจบแล้ว ฟาริสีผู้หนึ่งก็ได้เชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารกับเขา เมื่อไปถึงก็เอนกายลงรับประทาน 38 ฟาริสีรู้สึกประหลาดใจเมื่อสังเกตเห็นว่าพระเยซูไม่ได้ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร 39 พระเยซูเจ้ากล่าวว่า “เอาล่ะ พวกท่านฟาริสีทำความสะอาดถ้วยชามภายนอก แต่ภายในกลับเต็มด้วยความโลภและความชั่วร้าย 40 เจ้าคนเขลา คนที่สร้างภายนอกไม่ได้สร้างภายในด้วยหรือ 41 จงให้ทานสงเคราะห์ที่เกิดจากใจและทุกสิ่งก็จะสะอาดสำหรับท่าน

42 วิบัติจงเกิดแก่พวกฟาริสี แม้ว่าท่านให้หนึ่งในสิบของสะระแหน่ ขมิ้นและสมุนไพรชนิดอื่นๆ ทุกชนิดแด่พระเจ้า แต่กลับเพิกเฉยต่อความเป็นธรรมและความรักของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ท่านควรกระทำอยู่ก่อนแล้วโดยไม่ละเลยจำนวนหนึ่งในสิบด้วย 43 วิบัติจงเกิดแก่พวกฟาริสี เพราะท่านชอบที่นั่งสำหรับคนสำคัญที่สุดในศาลาที่ประชุม และชอบให้คนทักทายแสดงความเคารพในย่านตลาด 44 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน เพราะท่านเป็นเสมือนหลุมฝังศพที่ไม่มีเครื่องหมายระบุไว้ คนเดินเหยียบไปก็มิอาจทราบได้”

45 คนหนึ่งในจำนวนผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ ท่านพูดเช่นนี้ท่านก็ดูถูกพวกเราด้วย” 46 พระเยซูตอบว่า “และท่านที่เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติ วิบัติก็จงเกิดแก่ท่าน เพราะท่านให้ผู้คนแบกหามภาระหนัก โดยที่พวกท่านไม่ยอมแม้แต่จะยกนิ้วขึ้นช่วยเขาเลย 47 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน เพราะท่านสร้างถ้ำเก็บศพให้พวกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และบรรพบุรุษของท่านนั่นแหละที่ฆ่าพวกเขา 48 ดังนั้นนับได้ว่าท่านเป็นผู้เห็นชอบด้วยกับการกระทำของบรรพบุรุษของท่าน ที่พวกเขาฆ่าบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และท่านเองก็ได้สร้างถ้ำเก็บศพให้ 49 ด้วยเหตุนี้ และด้วยพระปัญญา พระเจ้ากล่าวว่า ‘เราจะส่งพวกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าและพวกอัครทูตให้คนเหล่านั้น บางคนจะต้องถูกฆ่า บ้างก็จะถูกกดขี่ข่มเหง’ 50 ฉะนั้นคนในช่วงกาลเวลานี้จะต้องรับผิดชอบในหยาดโลหิตทุกหยดของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าทุกท่านที่ได้พลีไว้ ตั้งแต่แรกสร้างโลก 51 นับแต่โลหิตของอาเบล[c] จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์[d] ผู้ถูกสังหารในระหว่างแท่นบูชาและพระตำหนักของพระเจ้า ใช่แล้ว เราขอบอกท่านว่า คนในช่วงกาลเวลานี้จะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ 52 วิบัติจงเกิดแก่ท่านผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติ เพราะท่านได้เอากุญแจแห่งความรู้ไปเสีย ท่านเองยังไม่ได้เข้าไปและยังขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นก้าวเข้าไปเสียด้วย”

53 เมื่อพระเยซูเดินออกไป พวกฟาริสีและพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติเริ่มกลุ้มรุมพระองค์ และกระตุ้นให้พระองค์พูดต่อไปอีกหลายเรื่อง 54 เพื่อคอยเฝ้าจับผิดจากคำพูดของพระองค์

โยบ 25-26

บิลดัดพูด: มนุษย์ไม่มีความชอบธรรม

25 ครั้นแล้ว บิลดัดชาวชูอัคตอบว่า

“การปกครองเป็นของพระเจ้า เราควรยำเกรงพระองค์
    พระองค์รักษาสันติภาพในฟ้าสวรรค์เบื้องบน
เราจะนับจำนวนกองทหารของพระองค์ได้หรือ
    แสงสว่างของพระองค์ไม่ส่องบนผู้ใดบ้าง
ฉะนั้น ใครมีความชอบธรรม ณ เบื้องหน้าพระเจ้าได้
    คนที่เกิดจากผู้หญิงจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร
ดูเถิด แม้แต่ดวงจันทร์ก็ไม่สุกใส
    และดวงดาวทั้งปวงก็ไม่บริสุทธิ์ในสายตาของพระองค์
มนุษย์จะด้อยยิ่งกว่าเพียงไร เขาเป็นเพียงตัวดักแด้
    และบุตรมนุษย์ล่ะ เขาเป็นเพียงหนอนตัวหนึ่ง”

โยบตอบ: ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

26 ครั้นแล้ว โยบก็ตอบว่า

“ท่านได้ช่วยเหลือคนที่สิ้นหนทางจริงหนอ
    ท่านได้ช่วยแขนที่อ่อนล้าเสียเหลือเกิน
ท่านได้ให้คำปรึกษาแก่คนที่ไร้สติปัญญา
    และประกาศความเข้าใจลึกซึ้งที่มีเหตุผลดียิ่งนัก
ใครช่วยให้ท่านพูดสิ่งเหล่านี้
    และใครดลใจให้ท่านพูด

คนตายตัวสั่นพรั่นพรึงใต้แหล่งน้ำลึก
    ซึ่งมีบรรดาผู้อาศัยอยู่
พระเจ้าทราบทุกสิ่งในแดนคนตาย
    และอาบัดโดน[a]ก็ไม่มีอะไรปกคลุมไว้
พระองค์แผ่แผ่นฟ้าทางเหนือออกไปยังที่เวิ้งว้าง
    และให้โลกลอยห้อยอยู่ด้วยตัวของมันเอง
พระองค์รวบรวมน้ำไว้ในเมฆหนาทึบของพระองค์
    และเมฆก็ไม่ปริแตกเพราะน้ำหนักที่อุ้มรับไว้
พระองค์คุ้มหน้าดวงจันทร์วันเดือนหงาย
    และแผ่เมฆของพระองค์เพื่อปิดไว้
10 พระองค์ขีดเส้นโค้งเหนือผิวน้ำ
    เป็นขอบเขตระหว่างความสว่างกับความมืด
11 เสาหลักของฟ้าสวรรค์สั่นสะเทือน
    และตกตะลึงเมื่อพระองค์ห้ามปราม
12 ทะเลสงบนิ่งได้ด้วยอานุภาพของพระองค์
    พระองค์ห้ำหั่นราหับด้วยพระปัญญาของพระองค์
13 ฟ้าสวรรค์สว่างได้ด้วยลมหายใจของพระองค์
    มือของพระองค์แทงงูที่กำลังหนีไป
14 ดูเถิด นี่เป็นเพียงการกระทำส่วนน้อยของพระองค์
    และเราทั้งหลายได้ยินเพียงเสียงกระซิบเบาๆ จากพระองค์
    แต่ใครจะทนต่ออานุภาพอันกอปรด้วยพลังมหาศาลของพระองค์ได้”

1 โครินธ์ 12

ของประทานฝ่ายวิญญาณ

12 พี่น้องทั้งหลาย ส่วนเรื่องของประทานจากพระวิญญาณนั้น ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบไว้ ท่านทราบว่าเมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนนอก แต่อย่างไรไม่ทราบ ท่านถูกชักนำให้หลงผิดเข้าหารูปเคารพซึ่งพูดไม่ได้ ฉะนั้นข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า ไม่มีผู้ใดที่พูดโดยพระวิญญาณของพระเจ้าว่า “ขอให้พระเยซูถูกสาปแช่ง” และไม่มีผู้ใดพูดว่า “พระเยซูเป็นพระผู้เป็นเจ้า” ยกเว้นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะดลใจให้ผู้นั้นพูด

แม้ว่าของประทานจากพระวิญญาณมีต่างๆ กัน แต่เป็นพระวิญญาณเดียวกันที่เป็นผู้ให้ การรับใช้มีต่างๆ วิธี แต่ทุกคนรับใช้พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน กิจการงานมีต่างๆ กัน แต่พระเจ้าองค์เดียวกันที่ปฏิบัติการทุกสิ่งในทุกคน การสำแดงของพระวิญญาณมีต่อทุกคน เพื่อคุณประโยชน์ของมวลชน พระวิญญาณโปรดให้คนหนึ่งมีคำประกาศที่เปี่ยมด้วยสติปัญญา และให้อีกคนมีคำประกาศที่เปี่ยมด้วยความรู้โดยพระวิญญาณเดียวกัน พระวิญญาณเดียวกันให้อีกคนมีความเชื่อ และให้อีกคนได้รับของประทานต่างๆ ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยพระวิญญาณเดียวกัน 10 พระวิญญาณให้อีกคนมีอานุภาพอันน่าอัศจรรย์ และให้อีกคนสามารถเผยคำกล่าวของพระเจ้า บางคนสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างของวิญญาณต่างๆ ได้ ขณะที่อีกคนมีความสามารถพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก และให้อีกคนที่สามารถแปลภาษาที่ตนไม่รู้จักนั้น 11 พระวิญญาณเดียวกันนี้เป็นผู้กระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ และพระองค์จะมอบให้แต่ละคนตามความประสงค์ของพระองค์

ร่างกายเดียวประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน

12 ด้วยว่า ร่างกายนั้นเป็นร่างกายเดียวที่ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ถึงจะมีหลายส่วน แต่ก็รวมเป็นร่างกายเดียวกัน เช่นเดียวกับกายของพระคริสต์ 13 เราทุกคนได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณเดียวกันเข้าเป็นกายเดียว ไม่ว่าเป็นชาวยิวหรือกรีก จะเป็นทาสหรืออิสระ และเราทุกคนได้ดื่มจากพระวิญญาณเดียวกัน

14 ร่างกายไม่ใช่อวัยวะส่วนเดียว แต่ประกอบด้วยหลายๆ ส่วน 15 ถ้าเท้าจะพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่มือ” เท้านั้นก็ยังไม่พ้นจากการเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย 16 และถ้าหูจะพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่อวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่ตา” หูนั้นก็ยังไม่พ้นจากการเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย 17 ถ้าอวัยวะทั้งหมดในร่างกายเป็นตา แล้วการได้ยินจะอยู่ที่ไหน ถ้าอวัยวะทุกส่วนของร่างกายเป็นหู แล้วการรับรู้กลิ่นจะอยู่ที่ไหน 18 พระเจ้าจัดอวัยวะส่วนต่างๆ แต่ละส่วนไว้ในร่างกายตามความประสงค์ของพระองค์ 19 ถ้าอวัยวะทั้งหมดเป็นอวัยวะเดียว แล้วร่างกายจะอยู่ที่ไหน 20 ตามที่เป็นอยู่ ก็มีอวัยวะหลายส่วนแต่ร่างกายเดียว

21 ตาไม่สามารถพูดกับมือว่า “ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องมีท่าน” และศีรษะไม่สามารถพูดกับเท้าว่า “ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องมีท่าน” 22 แต่ในทางตรงกันข้าม คืออวัยวะของร่างกายที่ดูคล้ายกับว่าอ่อนแอกว่า ก็เป็นส่วนที่จำเป็น 23 และอวัยวะส่วนที่เราคิดว่ามีเกียรติน้อย เราก็ให้เกียรติเป็นพิเศษ และอวัยวะส่วนที่ไม่ควรแสดงให้เห็น เราก็ปกปิดอย่างสุภาพ 24 อวัยวะส่วนที่เราแสดงให้เห็นได้ ก็ไม่จำเป็นต้องปกปิด พระเจ้าได้จัดส่วนของร่างกาย และให้เกียรติแก่อวัยวะส่วนที่ด้อยกว่าให้มากขึ้น 25 เพื่อว่าจะได้ไม่มีการแบ่งแยกกันในร่างกาย อวัยวะทุกส่วนควรห่วงใยซึ่งกันและกัน 26 ถ้าอวัยวะส่วนหนึ่งรับทุกข์ทรมาน ทุกส่วนก็รับทุกข์ทรมานด้วย ถ้าอวัยวะส่วนหนึ่งได้รับเกียรติ ทุกส่วนก็ชื่นชมยินดีด้วย

27 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นกายของพระคริสต์ คือแต่ละท่านเป็นอวัยวะแต่ละส่วนของกาย 28 ในคริสตจักรนั้น อันดับแรกที่พระเจ้าแต่งตั้งคือเหล่าอัครทูต อันดับสอง คือผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า อันดับสาม คือครูอาจารย์ อันดับต่อมาคือผู้กระทำสิ่งอัศจรรย์ ผู้มีของประทานต่างๆ ในการรักษาโรค การช่วยเหลือทั่วไป การบริหาร และผู้พูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก 29 ทุกคนเป็นอัครทูตหรือ ทุกคนเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าหรือ ทุกคนเป็นครูอาจารย์หรือ ทุกคนกระทำสิ่งอัศจรรย์หรือ 30 ทุกคนมีของประทานต่างๆ ในการรักษาโรคหรือ ทุกคนพูดภาษาที่ตนไม่รู้จักได้หรือ ทุกคนแปลภาษาที่ตนไม่รู้จักได้หรือ 31 แต่ท่านจงมุ่งมั่นในของประทานต่างๆ อันยิ่งใหญ่กว่า

และข้าพเจ้าจะชี้ทางที่วิเศษสุดให้ท่านทั้งหลายเห็น

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation