M’Cheyne Bible Reading Plan
ยาโคบกลับไปยังเบธเอล
35 พระเจ้าพูดกับยาโคบว่า “จงลุกขึ้น ไปยังเบธเอลและอาศัยอยู่ที่นั่น และสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า ผู้ได้ปรากฏแก่เจ้าครั้งที่เจ้าหนีเอซาวพี่ชายของเจ้าไป” 2 ยาโคบจึงพูดกับครอบครัวของท่านและกับทุกคนที่อยู่กับท่านว่า “จงกำจัดเทวรูปต่างชาติที่เจ้าเก็บไว้ ชำระตัวให้สะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้าของเจ้า 3 ไปจากที่นี่กัน ไปยังเบธเอล ฉันจะได้สร้างแท่นบูชาที่นั่นเพื่อถวายแด่พระเจ้าผู้ตอบฉันในวันที่ฉันมีความทุกข์ และอยู่กับฉันเสมอมาไม่ว่าฉันจะไปไหน” 4 ดังนั้นพวกเขาจึงมอบบรรดาเทวรูปต่างชาติที่ตนมี และตุ้มหูที่สวมอยู่แก่ยาโคบ และยาโคบก็ซ่อนมันไว้ใต้ต้นโอ๊กที่อยู่ใกล้เชเคม
5 ขณะที่พวกเขาเดินทางไป เมืองที่อยู่โดยรอบเกิดความหวาดกลัวพระเจ้า จึงไม่กล้าตามไปกำจัดบุตรชายของยาโคบ 6 ฝ่ายยาโคบกับคนทั้งหลายที่อยู่กับท่านก็มาถึงลูส (เป็นชื่อเดิมของเบธเอล) ซึ่งอยู่ในดินแดนคานาอัน 7 ท่านสร้างแท่นบูชาที่นั่น และเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า เอลเบธเอล[a] เพราะพระเจ้าได้ปรากฏพระองค์แก่ท่านตอนที่ท่านหนีพี่ชายมา 8 เดโบราห์พี่เลี้ยงของเรเบคาห์สิ้นชีวิตและร่างได้ถูกฝังไว้ที่ใต้ต้นโอ๊กทางทิศใต้ของเบธเอล จึงได้ชื่อว่า อัลโลน-บาคูท[b]
9 เมื่อยาโคบกลับมาจากปัดดานอารัม พระเจ้าก็ปรากฏแก่ท่านอีกและให้พรแก่ท่าน 10 และพระเจ้ากล่าวกับท่านว่า “ยาโคบเป็นชื่อของเจ้า จากนี้ไปชื่อของเจ้าไม่ใช่ยาโคบอีกต่อไปแล้ว แต่อิสราเอลจะเป็นชื่อของเจ้า” ดังนั้นพระองค์เรียกชื่อท่านว่า อิสราเอล 11 และพระเจ้ากล่าวกับท่านว่า “เราเป็นพระเจ้าผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ จงเกิดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ทวีคนขึ้น ประชาชาติหนึ่งและประชาชาติกลุ่มใหญ่จะสืบเชื้อสายมาจากเจ้า และบรรดากษัตริย์จะมาจากเชื้อสายของเจ้า 12 ดินแดนที่เราให้แก่อับราฮัมและอิสอัคนั้น เราจะให้แก่เจ้า และเราจะให้ดินแดนแก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้าที่มาภายหลังเจ้า” 13 แล้วพระเจ้าก็จากยาโคบไป 14 ยาโคบจึงตั้งเสาหลักไว้ที่ที่พระองค์ได้กล่าวกับท่าน เป็นเสาหลักหิน ท่านเทเครื่องดื่มบูชาและน้ำมันบนเสาหลักนั้น 15 ยาโคบจึงเรียกชื่อสถานที่ที่พระเจ้าได้กล่าวกับท่านว่า เบธเอล
ราเชลและอิสอัคสิ้นชีวิต
16 แล้วพวกเขาก็เดินทางจากเบธเอลไปเอฟราธาห์ แต่ยังไม่ทันถึง ราเชลก็ถึงเวลาจวนคลอดและเจ็บครรภ์มาก 17 เมื่อนางเจ็บครรภ์มาก หมอตำแยพูดกับนางว่า “อย่ากลัวเลย เพราะท่านได้ลูกชายอีก” 18 ขณะที่วิญญาณกำลังจากร่างนางไป เพราะนางกำลังจะสิ้นลม นางเรียกชื่อเขาว่า เบนโอนี[c] แต่บิดาของเขาตั้งชื่อเขาว่า เบนยามิน[d] 19 ราเชลสิ้นชีวิต และร่างได้ถูกฝังไว้ใกล้ถนนที่จะไปเอฟราธาห์ คือเบธเลเฮม 20 ยาโคบตั้งแผ่นหินบนที่ฝังศพ เป็นแผ่นหินปักไว้บนที่ฝังศพของราเชลมาจนถึงทุกวันนี้ 21 อิสราเอลเดินทางต่อไป และตั้งกระโจมอยู่ที่อีกฝั่งของหอคอยเอเดอร์
22 ขณะที่อิสราเอลอาศัยอยู่ในดินแดนนั้น รูเบนไปนอนกับบิลฮาห์ภรรยาน้อยของบิดาของตน และอิสราเอลก็ทราบเรื่อง
ยาโคบมีบุตรชาย 12 คน 23 บุตรที่เกิดจากนางเลอาห์ชื่อ รูเบนบุตรหัวปีของยาโคบ สิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน 24 บุตรที่เกิดจากนางราเชลชื่อ โยเซฟ และเบนยามิน 25 บุตรที่เกิดจากบิลฮาห์หญิงรับใช้ของราเชลชื่อ ดาน และนัฟทาลี 26 บุตรที่เกิดจากศิลปาห์หญิงรับใช้ของเลอาห์ชื่อ กาด และอาเชอร์ คนเหล่านี้เป็นบุตรชายของยาโคบที่กำเนิดแก่ท่านที่ปัดดานอารัม
27 ยาโคบไปหาอิสอัคบิดาของตนที่มัมเร ในคีริยาทอาร์บา (มีอีกชื่อว่า เฮโบรน) เป็นที่ที่อับราฮัมและอิสอัคเคยอพยพไปอยู่ 28 อิสอัคมีอายุยืนถึง 180 ปี 29 และเมื่ออิสอัคหมดลมหายใจ ท่านสิ้นชีวิตและก็ถูกบรรจุศพรวมไว้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ท่านชราและมีอายุยืนนาน เอซาวและยาโคบบุตรทั้งสองก็บรรจุศพท่าน
บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเอซาว
36 ต่อไปนี้เป็นลำดับเชื้อสายของเอซาว (มีอีกชื่อว่า เอโดม) 2 เอซาวได้บรรดาบุตรหญิงชาวคานาอันเป็นภรรยาคือ อาดาห์บุตรหญิงของเอโลนชาวฮิต โอโฮลีบามาห์บุตรหญิงของอานาห์ผู้เป็นบุตรของศิเบโอนชาวฮีว 3 และบาเสมัทบุตรหญิงของอิชมาเอล และเป็นน้องสาวเนบาโยท 4 บุตรชายที่อาดาห์ให้กำเนิดแก่เอซาวคือ เอลีฟัส บาเสมัทให้กำเนิดเรอูเอล 5 โอโฮลีบามาห์ให้กำเนิดเยอูช ยาลาม และโคราห์ ชายที่กล่าวข้างต้นคือบุตรของเอซาวที่กำเนิดแก่เขาในดินแดนคานาอัน
6 เอซาวพาเหล่าภรรยา บุตรชาย บุตรหญิง และสมาชิกในครัวเรือนทั้งหมดรวมทั้งปศุสัตว์ที่มีทั้งสิ้น และทรัพย์สมบัติที่หามาได้ในดินแดนคานาอัน ไปยังดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากยาโคบน้องชายของเขา 7 เพราะทรัพย์สิ่งของของทั้งสองฝ่ายมีมากเกินกว่าจะอยู่ร่วมกัน แผ่นดินที่เขาอพยพมาอยู่ด้วยกันไม่กว้างพอเลี้ยงปศุสัตว์ของทุกคน 8 ฉะนั้นเอซาวอาศัยอยู่ในแถบเทือกเขาเสอีร์ เอซาวก็คือเอโดม
9 ต่อไปนี้เป็นลำดับเชื้อสายของเอซาวบิดาของชาวเอโดมในแถบเทือกเขาเสอีร์ 10 เอซาวมีบุตรชายชื่อเอลีฟัสบุตรของอาดาห์ภรรยาเอซาว และเรอูเอลบุตรของบาเสมัทภรรยาเอซาว 11 เอลีฟัสมีบุตรชื่อ เทมาน โอมาร์ เศโฟ กาทาม และเคนัส 12 เอลีฟัสบุตรเอซาวมีภรรยาน้อยชื่อทิมนา นางให้กำเนิดอามาเลขแก่เอลีฟัส ชายที่กล่าวข้างต้นคือหลานของอาดาห์ภรรยาเอซาว 13 เรอูเอลมีบุตรชื่อ นาหัท เศรัค ชัมมาห์ และมิสซาห์ ชายเหล่านี้คือหลานของบาเสมัทภรรยาเอซาว 14 โอโฮลีบามาห์ภรรยาเอซาว เป็นบุตรหญิงของอานาห์ผู้เป็นบุตรชายของศิเบโอน นางให้กำเนิดบุตรชาย 3 คนชื่อ เยอูช ยาลาม และโคราห์
15 ต่อไปนี้เป็นบรรดาต้นตระกูลที่สืบเชื้อสายจากเอซาว เอลีฟัสบุตรคนแรกของเอซาว เป็นบรรพบุรุษของตระกูลต่อไปนี้คือ เทมาน โอมาร์ เศโฟ เคนัส 16 โคราห์ กาทาม และอามาเลข ชายที่กล่าวข้างต้นเป็นต้นตระกูลที่สืบเชื้อสายจากเอลีฟัสในดินแดนของเอโดม และเป็นหลานชายของอาดาห์ 17 เรอูเอลบุตรเอซาวเป็นบรรพบุรุษของตระกูลต่อไปนี้คือ นาหัท เศรัค ชัมมาห์ และมิสซาห์ ชายที่กล่าวข้างต้นเป็นต้นตระกูลที่สืบเชื้อสายจากเรอูเอลในดินแดนของเอโดม และเป็นหลานชายของบาเสมัทภรรยาเอซาว 18 โอโฮลีบามาห์ภรรยาเอซาวมีบุตรที่เป็นต้นตระกูลดังต่อไปนี้ เยอูช ยาลาม และโคราห์ ชายเหล่านี้เป็นต้นตระกูลที่เกิดจากโอโฮลีบามาห์บุตรหญิงของอานาห์ และเป็นภรรยาเอซาว 19 ชายที่กล่าวข้างต้นเป็นบุตรของเอซาว (คือเอโดม) และเป็นต้นตระกูลของพวกเขา
20 บรรดาบุตรของเสอีร์ชาวโฮรี ซึ่งอยู่อาศัยในดินแดนคือ โลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์ 21 ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน ชายเหล่านี้เป็นต้นตระกูลชาวโฮรี บุตรทั้งหลายของเสอีร์ในดินแดนของเอโดม 22 โลทานมีบุตรชื่อ โฮรี และเฮมาม น้องสาวของโลทานชื่อทิมนา 23 โชบาลมีบุตรชื่อ อัลวาน มานาฮาท เอบาล เชโฟ และโอนัม 24 ศิเบโอนมีบุตรชื่อ อัยยาห์ และอานาห์ อานาห์เป็นคนที่พบบ่อน้ำพุร้อนในถิ่นทุรกันดาร ขณะที่เขาต้อนลาของศิเบโอนบิดาของเขาไปกินหญ้า 25 อานาห์มีบุตรชื่อดีโชน และบุตรหญิงชื่อโอโฮลีบามาห์ 26 ดีโชนมีบุตรชื่อ เฮมดาน เอชบาน อิธราน และเคราน 27 เอเซอร์มีบุตรชื่อ บิลฮาน ศาวาน และอาขาน 28 ดีชานมีบุตรชื่อ อูส และอารัน 29 บรรดาต้นตระกูลชาวโฮรีคือ โลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์ 30 ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน ชายเหล่านี้เป็นต้นตระกูลชาวโฮรี ตามลำดับตระกูลในดินแดนเสอีร์
กษัตริย์ของเอโดม
31 ก่อนที่จะมีกษัตริย์มาปกครองชาวอิสราเอล ก็มีบรรดากษัตริย์ที่ปกครองในดินแดนเอโดม ซึ่งมีชื่อดังต่อไปนี้ 32 เบ-ลาบุตรของเบโอร์ ครองราชย์ที่เอโดม เมืองของท่านชื่อ ดินฮาบาห์ 33 เมื่อเบ-ลาสิ้นชีวิต โยบับบุตรเศรัคแห่งโบสราห์ครองราชย์แทนท่าน 34 เมื่อโยบับสิ้นชีวิต หุชามแห่งดินแดนของชาวเทมานครองราชย์แทนท่าน 35 เมื่อหุชามสิ้นชีวิต ฮาดัดบุตรเบดัดซึ่งรบชนะมีเดียนในดินแดนโมอับครองราชย์แทนท่าน เมืองของท่านชื่อ อาวีท 36 เมื่อฮาดัดสิ้นชีวิต สัมลาห์แห่งมัสเรคาห์ครองราชย์แทนท่าน 37 เมื่อสัมลาห์สิ้นชีวิต ชาอูลแห่งเรโหโบทบนฝั่งแม่น้ำยูเฟรติสครองราชย์แทนท่าน 38 เมื่อชาอูลสิ้นชีวิต บาอัลฮานานบุตรของอัคโบร์ครองราชย์แทนท่าน 39 เมื่อบาอัลฮานานบุตรอัคโบร์สิ้นชีวิต และฮาดาร์ครองราชย์แทนท่าน เมืองของท่านชื่อ ปาอู ภรรยาชื่อเมเหทาเบลบุตรหญิงของมัทเรดผู้เป็นบุตรหญิงของเมซาหับ
40 มีบรรดาต้นตระกูลที่สืบเชื้อสายจากเอซาว ตามชื่อเผ่าและอาณาเขตของพวกเขาดังต่อไปนี้ ทิมนา อัลวาห์ เยเธท 41 โอโฮลีบามาห์ เอลาห์ ปิโนน 42 เคนัส เทมาน มิบซาร์ 43 มักดีเอล และอิราม รายชื่อดังกล่าวเป็นบรรดาต้นตระกูลเอโดม (คือเอซาวบิดาของชาวเอโดม) ตามที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ตนเป็นเจ้าของ
พระเยซูไม่เป็นที่ยอมรับ
6 พระเยซูได้ออกไปจากที่นั่น และมายังเมืองที่พระองค์เติบโตมา เหล่าสาวกก็ติดตามไปด้วย 2 เมื่อถึงวันสะบาโตพระองค์เริ่มสั่งสอนในศาลาที่ประชุม และมีคนฟังจำนวนมากที่อัศจรรย์ใจและพูดกันว่า “ชายผู้นี้ได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน ช่างมีสติปัญญาอะไรเช่นนี้ และแสดงสิ่งอัศจรรย์ด้วยตัวเขาเองได้อย่างไรกัน 3 ชายผู้นี้เป็นช่างไม้บุตรของมารีย์ พี่ชายของยากอบ โยเสส ยูดาสและซีโมนมิใช่หรือ พวกน้องสาวของเขาก็อยู่ที่นี่กับเรามิใช่หรือ” และพวกเขาก็เหยียดหยามพระองค์ 4 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเป็นที่ยอมรับนับถือทั่วทุกแห่งหน เว้นแต่ในเมืองที่ตนเติบโตมาและในหมู่ญาติพี่น้องและครอบครัวของตน” 5 พระองค์ไม่สามารถแสดงสิ่งอัศจรรย์ที่นั่น เว้นแต่ว่าพระองค์วางมือทั้งสองบนพวกคนป่วยไม่กี่คน และรักษาพวกเขาให้หายจากโรค 6 พระองค์แปลกใจในความไม่เชื่อของพวกเขา
พระเยซูให้โอวาทแก่สาวกทั้งสิบสองก่อนออกไปประกาศ
ครั้นแล้วพระเยซูเที่ยวสั่งสอนไปตามหมู่บ้านต่างๆ โดยรอบ 7 พระองค์เรียกสาวกทั้งสิบสองมา แล้วใช้ให้เขาออกไปกันเป็นคู่ อีกทั้งได้ให้พวกเขามีสิทธิอำนาจเหนือวิญญาณร้าย 8 พระองค์สั่งพวกเขาว่า “ไม่ต้องนำของติดตัวในการเดินทางเลย นอกจากไม้เท้าเท่านั้น ไม่เอาอาหารหรือย่าม ไม่เอาเงินทองติดกระเป๋าไปด้วย 9 เพียงแต่สวมรองเท้า และอย่านำเสื้อสำรองตัวในไปด้วย” 10 พระองค์บอกพวกเขาว่า “เมื่อเจ้าเข้าไปในบ้านใครก็ตาม จงอยู่ที่นั่นจนกว่าจะออกไปจากเมืองนั้น 11 สถานที่ใดที่ไม่ยอมต้อนรับหรือฟังเจ้า เวลาเจ้าออกไปจากที่นั่นก็จงสลัดฝุ่นออกจากเท้าเพื่อแสดงถึงความผิดของเขา” 12 ดังนั้นพวกเขาจึงออกไปประกาศว่า ผู้คนควรจะกลับใจ 13 พวกเขาขับไล่มารจำนวนมากออกจากผู้คน และใช้น้ำมันเจิมบรรดาคนป่วยและรักษาพวกเขาให้หายขาด
ยอห์นถูกตัดศีรษะ
14 กษัตริย์เฮโรดได้ยินเรื่องดังกล่าวก็เพราะพระนามของพระองค์เป็นที่รู้จัก บางคนพูดกันว่า “ยอห์นผู้ให้บัพติศมาฟื้นคืนชีวิตจากความตายจึงเป็นเหตุให้ท่านสำแดงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ได้” 15 แต่คนอื่นๆ พูดกันว่า “ท่านเป็นเอลียาห์”[a] บ้างพูดว่า “เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เช่นเดียวกับบรรดาผู้เผยคำกล่าวคนอื่นๆ ในอดีต”
16 แต่เมื่อเฮโรดได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า “เขาคือยอห์นที่เราสั่งตัดหัว เขาได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย” 17 เฮโรดเองเป็นผู้ที่ใช้ให้คนจับกุมยอห์นและมัดไว้ในคุกเพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสผู้เป็นภรรยาของฟีลิปน้องชายของตน เนื่องจากเฮโรดได้สมรสกับนาง 18 เป็นเพราะยอห์นได้บอกเฮโรดว่า “เป็นการผิดกฎที่ท่านจะเอาภรรยาของน้องมาเป็นภรรยาของตน” 19 นางเฮโรเดียสจึงผูกใจเจ็บต่อยอห์น และต้องการชีวิตของท่าน แต่ก็ทำไม่ได้ 20 เนื่องจากเฮโรดกลัวยอห์นเพราะรู้ว่า ท่านเป็นคนมีความชอบธรรมและเป็นคนบริสุทธิ์ จึงได้ป้องกันตัวท่านไว้ ฉะนั้นเมื่อเฮโรดได้ยินยอห์นสั่งสอน ท่านก็รู้สึกสับสนงุนงงยิ่งนัก แต่ก็พอใจที่จะฟัง
21 แล้วโอกาสก็มาถึง คือเฮโรดจัดงานเลี้ยงวันเกิดของตนโดยเชิญพวกข้าราชสำนัก นายทหารชั้นเอก และผู้นำทั้งปวงในแคว้นกาลิลี 22 เมื่อบุตรสาวของนางเฮโรเดียสเองมาเต้นระบำ ก็ทำให้เฮโรดและแขกในงานพอใจ กษัตริย์จึงกล่าวกับหญิงสาวนั้นว่า “จะขอสิ่งใดจากเราก็ได้ แล้วเราจะให้” 23 กษัตริย์ได้สัญญาเธอว่า “อะไรก็ตามที่เจ้าขอจากเรา เราจะให้แก่เจ้า แม้จะถึงครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรของเรา” 24 ดังนั้นเธอจึงออกไปถามมารดาของเธอว่า “จะขอสิ่งใดดี” มารดาตอบว่า “ศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมา” 25 เธอรีบเข้ามาเฝ้ากษัตริย์และขอว่า “ดิฉันอยากได้ศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาบนถาดเดี๋ยวนี้” 26 ถึงแม้ว่ากษัตริย์เสียใจมาก แต่เป็นเพราะคำมั่นสัญญาของท่านและแขกในงาน ท่านจึงปฏิเสธเธอไม่ได้ 27 กษัตริย์จึงสั่งเพชฌฆาตให้ไปเอาศีรษะของยอห์นมาทันที โดยเขาก็ไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก 28 และนำศีรษะของท่านวางบนถาดมาให้หญิงสาว และเธอก็ให้มารดาไป 29 เมื่อเหล่าสาวกของยอห์นได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาจึงมารับเอาร่างของท่านไปวางไว้ในถ้ำเก็บศพ
มหาชนกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว
30 บรรดาอัครทูตชุมนุมร่วมกับพระเยซู และรายงานพระองค์ถึงสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาได้แสดงและสั่งสอน 31 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “ไปหาที่ร้างเพื่อพักตามลำพังเถอะ เราจะได้พักผ่อนกันหน่อย” ด้วยเหตุว่ามีผู้คนไปมามาก จนพวกเขาไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะรับประทานอาหารกัน 32 พวกเขาจึงออกเรือกันไปยังที่ร้างกันตามลำพัง 33 คนจำนวนมากได้เห็นพระเยซูและอัครทูตออกเรือกันไปก็จำได้ จึงพากันวิ่งออกจากเมืองต่างๆ และไปถึงที่หมายก่อน 34 เมื่อพระองค์ขึ้นฝั่งก็เห็นมหาชน และเกิดความสงสารเพราะว่าพวกเขาเป็นเสมือนฝูงแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยงดู ครั้นแล้วพระองค์ก็เริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายสิ่งหลายอย่าง 35 ขณะนั้นเป็นเวลาบ่าย เหล่าสาวกจึงมาบอกพระองค์ว่า “ที่นี่เป็นที่กันดารและก็เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว 36 ปล่อยให้พวกเขาไปเถิด จะได้เข้าไปกันตามชนบทและหมู่บ้านใกล้เคียงหาซื้ออาหารรับประทาน” 37 แต่พระองค์กล่าวตอบพวกเขาว่า “พวกเจ้าเอาอาหารมาให้เขาเถิด” พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า “ให้พวกเราใช้ 200 เหรียญเดนาริอัน[b]ไปซื้ออาหารให้เขารับประทานกันหรือ” 38 พระองค์กล่าวว่า “ดูสิว่าเจ้ามีขนมปังอยู่กี่ก้อน” เมื่อพวกเขาทราบแล้วก็พูดว่า “5 ก้อนกับปลา 2 ตัว”
39 พระองค์สั่งทุกคนให้นั่งรวมกันเป็นกลุ่มบนพื้นหญ้าอันเขียวชอุ่ม 40 พวกเขาจึงนั่งรวมกันเป็นกลุ่มๆ ละ 100 คนบ้าง 50 บ้าง 41 พระองค์หยิบขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว แล้วแหงนหน้าขึ้นสู่สวรรค์ กล่าวขอบคุณพระเจ้าและบิขนมปังยื่นให้แก่เหล่าสาวกเพื่อแจกแก่ผู้คน และพระองค์แบ่งปลา 2 ตัวให้ได้ทั่วกันทุกคน 42 พวกเขาทุกคนได้รับประทานกันจนอิ่มหนำ 43 มีคนเก็บขนมปังและปลาที่เหลือได้ 12 ตะกร้าเต็มๆ 44 จำนวนผู้ชายที่รับประทานขนมปังมี 5,000 คน
พระเยซูเดินบนผิวน้ำในทะเลสาบ
45 ในทันใดนั้น พระองค์ก็สั่งเหล่าสาวกให้ลงเรือออกไปก่อน ข้ามฟากไปยังเมืองเบธไซดา ขณะที่พระองค์บอกฝูงชนให้กลับไป 46 หลังจากที่ได้ร่ำลากับพวกเขาแล้ว พระองค์จึงขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน 47 ครั้นเย็นลง เรือยังล่องอยู่ในทะเลสาบ และพระองค์อยู่บนฝั่งแต่ผู้เดียว 48 พระองค์เห็นพวกเขาตีกรรเชียงกันอย่างขะมักเขม้นเพราะทวนลมอยู่ ระหว่างตีสามถึงหกโมงเช้า พระองค์เดินบนผิวน้ำในทะเลสาบไปหาพวกเขา และพระองค์ตั้งใจที่จะเดินผ่านพวกเขาไป 49 แต่เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์เดินบนผิวน้ำก็สำคัญว่าเป็นผี จึงส่งเสียงร้อง 50 เพราะทุกคนเห็นพระองค์และตกใจ แต่พระองค์กล่าวกับพวกเขาทันทีว่า “ทำใจให้ดีไว้ นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 51 แล้วพระองค์ก็ลงเรือไปกับพวกเขา ลมหยุดพัดและพวกเขาก็อัศจรรย์ใจยิ่งนัก 52 เพราะว่าเขาเหล่านั้นยังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง และใจของพวกเขายังคงแข็งกระด้าง
53 ครั้นข้ามฟากไปแล้วก็ขึ้นฝั่งที่แขวงเยนเนซาเรทแล้วผูกเรือไว้ 54 เมื่อขึ้นจากเรือแล้วผู้คนก็จำพระองค์ได้ 55 พวกเขาวิ่งกันไปทั่วแว่นแคว้น และเมื่อทราบว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็พากันหามพวกคนป่วยบนเปลหามไปหาพระองค์ 56 พระองค์เดินไปตามหมู่บ้าน ในเมือง หรือตามชานเมืองที่ใดก็ตาม พวกเขาจะวางคนป่วยไว้ที่ย่านตลาด และขอให้พวกเขาเพียงแต่แตะชายเสื้อตัวนอกของพระองค์ ทุกคนที่กระทำอย่างนั้นแล้วก็หายขาดจากโรค
ซาตานทำลายสุขภาพของโยบ
2 อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อบรรดาบุตรของพระเจ้า[a]มาเข้าเฝ้า ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และซาตานก็มาด้วย เพื่อมาเข้าเฝ้า ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 2 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาตานว่า “เจ้าไปทำอะไรที่ไหนมา” ซาตานตอบพระผู้เป็นเจ้าว่า “ไปๆ มาๆ และเดินขึ้นเดินลงบนโลก” 3 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาตานว่า “เจ้าสังเกตโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ไม่มีใครในโลกที่เหมือนกับเขา เป็นคนที่มีความชอบธรรมและไร้ข้อตำหนิ เขาเกรงกลัวพระเจ้า และหลีกเลี่ยงการทำความชั่ว เขายังซื่อตรงไม่โลเล แม้ว่าเจ้าจะยุให้เราต่อต้านเขา เพื่อทำลายเขาอย่างไร้สาเหตุ” 4 ซาตานตอบพระผู้เป็นเจ้าว่า “ผิวหนังแลกกับผิวหนัง ทุกสิ่งที่ชายคนหนึ่งมี เขาก็จะยกให้ได้เพื่อแลกกับชีวิตตนเอง 5 แต่ถ้าพระองค์ยื่นมือของพระองค์ออก และแตะต้องกระดูกของเขาและเนื้อหนังของเขา เขาก็จะแช่งพระองค์ซึ่งๆ หน้า” 6 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาตานว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในกำมือของเจ้า แต่จงไว้ชีวิตของเขา”
7 ดังนั้น ซาตานจึงไปจากพระผู้เป็นเจ้า และทำให้โยบรับทุกข์ทรมานจากฝีร้ายแรงตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อม 8 โยบใช้เศษดินเผาขูดผิวตัวเองขณะที่นั่งในกองขี้เถ้า
9 ภรรยาของเขาพูดกับเขาว่า “ท่านยังจะมั่นคงในความเชื่ออยู่อีกหรือ แช่งพระเจ้าและไปตายเสีย” 10 แต่เขาตอบนางว่า “เธอพูดแบบผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่ง เราจะรับสิ่งดีๆ จากพระเจ้า และจะไม่ยอมรับสิ่งร้ายๆ หรือ” จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โยบไม่ได้พูดสิ่งใดที่เป็นบาปเลย
เพื่อนสามคนของโยบ
11 ครั้นเพื่อนสามคนของโยบทราบเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับโยบ พวกเขาต่างก็มาจากบ้านของตน เอลีฟัสชาวเทมาน บิลดัดชาวชูอัค และโศฟาร์ชาวนาอามาธ พวกเขานัดกันมา เพื่อแสดงความเห็นใจและให้กำลังใจเขา 12 เมื่อพวกเขาเห็นโยบแต่ไกลก็จำเขาไม่ได้ พวกเขาจึงส่งเสียงร้องไห้ ฉีกเสื้อคลุมของตนและซัดฝุ่นผงลงบนหัวตลบขึ้นสู่ท้องฟ้า 13 พวกเขานั่งบนพื้นดินอยู่กับโยบนานถึง 7 วัน 7 คืน ไม่มีใครพูดอะไรกับเขาสักคำเดียว เพราะพวกเขาเห็นว่าเขากำลังทุกข์ทรมานมากเหลือเกิน
ตายต่อบาป และมีชีวิตด้วยพระคริสต์
6 แล้วเราจะว่าอย่างไร เราควรทำบาปต่อไปเพื่อว่าพระคุณจะได้เพิ่มขึ้นอย่างนั้นหรือ 2 ไม่มีทางจะเป็นเช่นนั้น ในเมื่อเราตายต่อบาปแล้ว เราจะมีชีวิตในบาปต่อไปอีกได้อย่างไร 3 ท่านไม่ทราบหรือว่าพวกเราทุกคนที่ได้รับบัพติศมา[a]ในพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับได้รับบัพติศมาสู่ความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้นเราถูกฝังไว้กับพระองค์โดยผ่านบัพติศมาสู่ความตาย เพื่อว่าพระคริสต์ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายโดยพระบารมีของพระบิดาเช่นใด เราจะได้ดำเนินชีวิตใหม่ด้วยเช่นนั้น
5 ถ้าเราผูกพันกับพระองค์ในการตายอย่างพระองค์ เราจะผูกพันกับพระองค์ในการฟื้นคืนชีวิตอย่างพระองค์อย่างแน่นอน 6 เราทราบว่าชีวิตเก่าถูกตรึงกับพระองค์ เพื่อว่าอำนาจบาปในร่างกายเราจะได้สูญสิ้น เพื่อว่าเราจะไม่ตกเป็นทาสบาปอีกต่อไป 7 เพราะใครก็ตามที่ตายแล้ว ก็พ้นจากอำนาจบาป 8 ถ้าเราได้ตายไปกับพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย 9 เราทราบว่าพระคริสต์ผู้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายจะไม่มีวันตายอีก ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป 10 ด้วยว่าความตายที่พระองค์เผชิญนั้น พระองค์ตายเพื่อบาป[b]ครั้งเดียวเป็นพอ ส่วนชีวิตที่พระองค์ดำเนินอยู่ พระองค์มีชีวิตเพื่อพระเจ้า 11 ในวิธีเดียวกันคือ จงนับว่าตัวท่านตายต่อบาป และมีชีวิตเพื่อพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์
12 ฉะนั้น อย่าปล่อยให้บาปครอบงำสังขารอันไม่ยั่งยืน ซึ่งทำให้ท่านกระทำตามกิเลส 13 อย่ามอบอวัยวะของท่านแก่อำนาจบาปเพื่อให้เป็นเครื่องมือของความชั่ว แต่ควรมอบตัวท่านให้แก่พระเจ้า เหมือนบรรดาผู้ที่ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย และมอบอวัยวะของท่านให้แก่พระองค์ ดั่งเครื่องมือแห่งความชอบธรรม 14 ด้วยว่าบาปจะไม่มีอำนาจเหนือท่าน เพราะท่านไม่ได้อยู่ภายใต้กฎบัญญัติ แต่อยู่ภายใต้พระคุณ
ทาสแห่งความชอบธรรม
15 ถ้าเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร เราควรทำบาป เพราะเราไม่อยู่ภายใต้กฎบัญญัติ แต่อยู่ภายใต้พระคุณหรือ ไม่มีทางจะเป็นเช่นนั้น 16 ท่านไม่ทราบหรือว่า เมื่อท่านยอมเป็นเสมือนทาสที่ยอมเชื่อฟังใครแล้ว ท่านก็เป็นทาสของคนที่ท่านเชื่อฟัง ไม่ว่าท่านเป็นทาสบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรม 17 แต่ขอบคุณพระเจ้าที่แม้ว่าท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านกลับมาเชื่อฟังการสอนที่ท่านได้รับอย่างสุดจิตสุดใจ 18 ในเมื่อท่านพ้นจากอำนาจบาปแล้ว ท่านก็กลายเป็นทาสแห่งความชอบธรรม 19 ข้าพเจ้าพูดอย่างมนุษย์เพราะท่านอ่อนแอฝ่ายเนื้อหนัง ตามที่ท่านเคยมอบอวัยวะส่วนต่างๆ ให้เป็นทาสความไม่บริสุทธิ์และความชั่วช้าเลวทรามที่ทวียิ่งขึ้น บัดนี้ท่านจงมอบอวัยวะส่วนต่างๆ ให้เป็นทาสในความชอบธรรมซึ่งนำไปสู่ความบริสุทธิ์
20 ยามที่ท่านเป็นทาสบาป ท่านไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของความชอบธรรม 21 ในเวลานั้นท่านได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อะไรบ้างจากสิ่งต่างๆ ซึ่งท่านกลับละอายในเวลานี้ ผลที่ได้จากสิ่งเหล่านั้นคือความตาย 22 แต่ขณะนี้ ท่านได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากอำนาจบาป และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ผลที่ท่านเก็บเกี่ยวนำไปสู่ความบริสุทธิ์ และผลสุดท้ายที่ได้รับคือชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 23 ด้วยว่าค่าตอบแทนของบาปคือความตาย แต่สิ่งที่พระเจ้ามอบให้คือชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation