Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ปฐมกาล 37

โยเซฟฝัน

37 ฝ่ายยาโคบก็ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนที่บิดาของตนได้อพยพไปอยู่ที่ดินแดนคานาอัน

ต่อไปนี้เป็นลำดับเชื้อสายของยาโคบ

โยเซฟชายหนุ่มอายุ 17 ปี กำลังเลี้ยงฝูงแพะแกะกับพวกพี่ชายที่เป็นบุตรของบิลฮาห์และศิลปาห์ภรรยาบิดาของเขา โยเซฟบอกบิดาเรื่องความประพฤติไม่ดีของพวกพี่ๆ อิสราเอลรักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่นๆ เพราะโยเซฟเกิดในเวลาที่ท่านมีอายุมากแล้ว และท่านทำเสื้อคลุมยาวมีแขนให้แก่โยเซฟ เมื่อพวกพี่ๆ เห็นว่าบิดารักเขามากกว่าพวกตน จึงทำให้พวกเขาเกลียดและพูดจาไม่เป็นมิตรกับโยเซฟ

ครั้งหนึ่งโยเซฟฝัน พอเล่าเรื่องที่ตนฝันให้พวกพี่ๆ ฟัง พวกเขาก็กลับเกลียดโยเซฟมากยิ่งขึ้น โยเซฟพูดว่า “ฉันจะเล่าเรื่องที่ฉันฝันให้ฟัง พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในนา ทันใดนั้น ฟ่อนข้าวของฉันก็ตั้งตรงขึ้น และฟ่อนของพวกพี่ๆ มาห้อมล้อมฟ่อนของฉัน แล้วก้มเคารพด้วย” พี่ๆ ของโยเซฟตอบกลับมาว่า “เจ้าจะปกครองพวกเราอย่างนั้นเชียวหรือ หรือว่าเจ้าจะมีอำนาจเหนือพวกเราจริง” พวกเขาเกลียดชังโยเซฟมากยิ่งขึ้น เพราะเรื่องที่เขาฝันและเพราะสิ่งที่โยเซฟพูดเกี่ยวกับตัวเขา

เมื่อโยเซฟฝันอีกเรื่อง แล้วได้เล่าให้พวกพี่ๆ ฟังว่า “ดูสิ ฉันฝันอีกเรื่องหนึ่ง คือว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว 11 ดวงก้มคำนับฉัน” 10 เมื่อโยเซฟเล่าเรื่องให้บิดาและพี่ๆ ฟัง บิดาก็ดุโยเซฟ และพูดกับเขาว่า “เจ้าฝันอะไรของเจ้า จะให้ฉันกับแม่และพวกพี่ๆ มาก้มตัวลงราบกับพื้นเคารพที่เบื้องหน้าเจ้าหรือ” 11 พวกพี่ชายอิจฉาโยเซฟ แต่บิดาเก็บเรื่องไว้อยู่ในใจ

โยเซฟถูกขายเข้าประเทศอียิปต์

12 วันหนึ่งพวกพี่ๆ พาแพะแกะของบิดาของตนออกไปกินหญ้าใกล้เมืองเชเคม 13 อิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า “พี่ชายของเจ้าพาแพะแกะไปกินหญ้าที่เชเคมมิใช่หรือ มานี่ ฉันจะให้เจ้าไปหาพวกเขา” โยเซฟพูดว่า “ได้สิพ่อ” 14 ท่านพูดกับโยเซฟว่า “ไปเดี๋ยวนี้ ดูซิว่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีกับพี่ของเจ้าและฝูงสัตว์หรือไม่ และกลับมาบอกพ่อ” ท่านจึงให้โยเซฟไปจากหุบเขาเฮโบรน เมื่อเขาไปถึงเชเคม 15 ชายคนหนึ่งพบว่าเขากำลังเดินไปทั่วทุ่งนา จึงถามว่า “กำลังหาอะไรอยู่หรือ” 16 เขาตอบว่า “ฉันกำลังตามหาพี่ชายของฉัน ช่วยบอกฉันหน่อยว่า พวกเขาพาฝูงสัตว์ไปกินหญ้าที่ไหน” 17 ชายคนนั้นตอบว่า “เขาไปกันแล้ว ฉันได้ยินพวกเขาพูดว่า ‘เราไปโดธานกันเถิด’” โยเซฟจึงไปตามหาพี่ชายของเขา และพบพวกเขาที่โดธาน

18 เมื่อพวกเขาเห็นโยเซฟมาแต่ไกล ก็เริ่มวางแผนจะฆ่าโยเซฟก่อนจะเข้ามาใกล้ 19 พวกเขาพูดต่อกันและกันว่า “นั่นคนช่างฝันมาแล้ว 20 มาเถิด ฆ่าแล้วก็โยนตัวเขาลงในบ่อสักบ่อหนึ่ง แล้วไปเล่าว่าเขาถูกสัตว์ป่าขม้ำกิน คราวนี้พวกเราก็จะเห็นว่าความฝันของเขาเป็นอย่างไร” 21 แต่เมื่อรูเบนได้ยินเรื่อง เขาจึงช่วยโยเซฟให้รอดจากเงื้อมมือของพวกเขา พลางพูดว่า “เราอย่าฆ่าเขาเลย” 22 รูเบนพูดต่ออีกว่า “อย่าถึงต้องเสียเลือดเนื้อกันเลย โยนตัวเขาลงในบ่อนี้ ให้อยู่ในถิ่นทุรกันดาร แต่อย่าทำให้เขาเจ็บตัว” ทั้งนี้ก็เพื่อเขาจะได้ช่วยโยเซฟให้รอดจากเงื้อมมือของพวกเขา เพื่อส่งตัวคืนให้บิดาไป 23 เมื่อโยเซฟมาถึง พวกพี่ชายก็ถอดเสื้อคลุมของโยเซฟออก เป็นเสื้อคลุมแขนยาวที่เขาสวมอยู่ 24 เขาจับตัวโยเซฟและโยนลงในบ่อ ซึ่งเป็นบ่อแห้งไม่มีน้ำ

25 แล้วพวกเขาก็นั่งลงกินอาหาร พอเงยหน้าขึ้นเห็นกองคาราวานชาวอิชมาเอลกำลังมาจากกิเลอาด มีอูฐบรรทุกยางไม้หลากชนิด รวมทั้งมดยอบที่กำลังขนลงไปอียิปต์ 26 แล้วยูดาห์พูดกับพี่น้องของตนว่า “จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราฆ่าน้องเราให้ตาย และปิดบังเลือดไม่ให้เห็น 27 มาเถิด เราขายตัวเขาให้พวกอิชมาเอล อย่าฆ่าเขาด้วยมือของเราเอง เพราะเขาเป็นน้องของเรา เป็นเลือดเนื้อของเรา” แล้วพี่น้องของเขาก็เห็นด้วย 28 เมื่อพวกพ่อค้าชาวมีเดียนผ่านมา พวกพี่ๆ จึงดึงตัวโยเซฟขึ้นจากบ่อ และขายเขาให้กับพวกอิชมาเอลเป็นเงินหนัก 20 เชเขล เขาเหล่านั้นก็พาโยเซฟไปยังอียิปต์

29 เมื่อรูเบนกลับไปที่บ่อ และเห็นว่าโยเซฟไม่อยู่ในบ่อ เขาจึงฉีกเสื้อผ้าของตนเอง 30 และกลับไปหาพวกน้องชายพลางพูดว่า “เจ้าเด็กหายไปแล้ว ฉันจะทำอย่างไรเล่า” 31 พวกเขาจึงฆ่าแพะตัวหนึ่งและเอาเสื้อคลุมของโยเซฟจุ่มเลือด 32 แล้วส่งเสื้อคลุมแขนยาวตัวนั้นไปให้บิดาของเขาพร้อมกับพูดว่า “พวกเราพบเสื้อตัวนี้ ดูสิว่าเป็นเสื้อของลูกชายของท่านหรือเปล่า” 33 ท่านจำเสื้อได้จึงพูดว่า “เป็นเสื้อของลูกฉัน สัตว์ป่าขม้ำกินเขาเสียแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโยเซฟถูกกัดจนไม่เหลือเลย” 34 ยาโคบจึงฉีกเสื้อผ้าของตนขาด คาดเอวด้วยผ้ากระสอบ และร้องคร่ำครวญถึงลูกอยู่หลายวัน 35 บุตรชายบุตรหญิงทุกคนต่างก็พากันปลอบประโลมท่าน แต่ท่านไม่ยอมให้ปลอบ แต่กลับพูดว่า “ไม่ต้องปลอบฉัน ฉันจะร้องคร่ำครวญถึงลูกฉัน จนถึงวันที่ฉันไปยังแดนคนตาย” บิดาของเขาจึงร่ำไห้ถึงเขาต่อไป 36 ในขณะเดียวกัน พวกมีเดียนก็ได้ขายโยเซฟต่อให้กับเจ้าหน้าที่ผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์ของฟาโรห์ชื่อโปทิฟาร์ที่อียิปต์

มาระโก 7

กฎบัญญัติและประเพณีนิยม

พวกฟาริสีและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนได้มาจากเมืองเยรูซาเล็มพากันมาห้อมล้อมพระเยซู พวกเขาเห็นว่าสาวกบางคนของพระองค์ใช้มือที่เป็นมลทินรับประทานอาหาร คือไม่ได้ล้างมือก่อน ด้วยเหตุว่าพวกฟาริสีและชาวยิวทั้งหลายไม่รับประทานอาหาร นอกจากว่าจะล้างมืออย่างระมัดระวังเสียก่อน ทั้งนี้เป็นการทำตามประเพณีนิยมของบรรพบุรุษ พวกเขาจะไม่รับประทานสิ่งที่มาจากย่านตลาด นอกจากว่าเขาจะล้างให้สะอาดก่อน และมีอีกหลายสิ่งที่พวกเขาถือปฏิบัติกันมา เช่น การล้างถ้วย โถน้ำ และหม้อทองแดง พวกฟาริสีและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติถามพระองค์ว่า “ทำไมเหล่าสาวกของท่านไม่กระทำตามประเพณีนิยมของบรรพบุรุษ แต่รับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทิน” พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “อิสยาห์ได้เผยคำกล่าวของพระเจ้าถึงพวกท่านว่า ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ก็ถูกต้องแล้วตามที่มีบันทึกไว้ว่า

‘คนเหล่านี้ให้เกียรติเราเพียงแค่ปาก
    แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา
พวกเขากราบนมัสการเราโดยไร้ประโยชน์
    เขาสอนกฎเกณฑ์ของมนุษย์
    เสมือนว่าเป็นคำสั่งสอนของพระเจ้า’[a]

พวกท่านละเลยพระบัญญัติของพระเจ้า และถือตามประเพณีนิยมของมนุษย์”

พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นด้วยว่า “พวกท่านละเลยพระบัญญัติของพระเจ้าได้ด้วยความชำนาญ เพื่อรักษาประเพณีนิยมของพวกท่านเอง 10 โมเสสได้กล่าวไว้ว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’[b] และ ‘คนที่พูดว่าร้ายบิดาหรือมารดา ก็ให้เขาได้รับโทษถึงตาย’[c] 11 แต่พวกท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดพูดกับบิดาหรือมารดาของเขาว่า “สิ่งใดที่เป็นของเราที่จะช่วยเหลือท่านได้นั้น เป็นโกระบาน”’ (ซึ่งหมายถึงของที่ได้มอบให้แด่พระเจ้าแล้ว) 12 พวกท่านก็ไม่อนุญาตให้ผู้นั้นช่วยบิดามารดาเลย 13 จึงเป็นการยกเลิกคำกล่าวของพระเจ้า ด้วยประเพณีนิยมของพวกท่านซึ่งถ่ายทอดต่อกันไป และก็กระทำหลายสิ่งในทำนองนั้นด้วย”

14 หลังจากที่พระเยซูได้เรียกฝูงชนมาหาพระองค์อีก พระองค์ก็เริ่มกล่าวกับพวกเขาว่า “ทุกคนในพวกท่านจงฟังเรา และจงเข้าใจว่า 15 ไม่มีสิ่งใดที่อยู่นอกกายจะเข้าไปภายในกาย แล้วก็ทำให้เขามีมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากคนนั่นแหละเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นมลทิน [16 ถ้าผู้ใดมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด]”[d]

17 เมื่อพระองค์จากฝูงชนไปแล้วจึงเข้าไปในบ้าน พวกสาวกของพระองค์จึงถามเรื่องคำอุปมานั้น 18 พระองค์กล่าวว่า “พวกเจ้าไม่เข้าใจด้วยหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่า สิ่งใดๆ ที่มาจากภายนอกกายเข้าไปอยู่ในตัวคน ไม่สามารถทำให้เขาเป็นมลทิน 19 เพราะว่ามันไม่สามารถเข้าไปภายในจิตใจของเขาได้ แต่ผ่านเข้าไปในท้อง แล้วก็ออกนอกกายไป” (ฉะนั้นพระองค์ประกาศว่าอาหารทุกอย่างไม่มีมลทิน) 20 และพระองค์กล่าวว่า “สิ่งที่ออกจากคนจึงทำให้คนเป็นมลทิน 21 เพราะว่าออกจากภายในก็คือออกจากใจคน มีความคิดชั่วร้าย การประพฤติผิดทางเพศ การลักขโมย การฆ่าคน การผิดประเวณี 22 การแสดงออกถึงความโลภและการปองร้าย รวมทั้งการหลอกลวง ความมักมากในกาม การอิจฉา การใส่ร้าย ความหยิ่งยโส และความเขลา 23 สิ่งชั่วร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นจากภายในและทำให้คนเป็นมลทิน”

ความเชื่อของหญิงชาวซีเรียฟีนิเซีย

24 พระองค์ลุกขึ้นจากที่นั่นแล้วก็ไปยังแขวงเมืองไทระ เมื่อได้เข้าไปในบ้านแห่งหนึ่ง พระองค์ไม่ต้องการให้ใครทราบ แต่ก็ไม่อาจพ้นสายตาของผู้คน 25 หญิงคนหนึ่งมีบุตรสาวที่วิญญาณร้ายสิงอยู่ ทันทีที่นางได้ยินข่าวถึงเรื่องของพระองค์ นางก็มาก้มลงที่แทบเท้าของพระองค์ 26 หญิงคนนี้เป็นชาวกรีก มีเชื้อชาติซีเรียฟีนิเซีย นางอ้อนวอนให้พระองค์ขับไล่มารออกจากบุตรสาวของนาง 27 พระองค์กล่าวกับนางว่า “ให้พวกเด็กได้รับจนพอใจก่อน เพราะการเอาอาหารของเด็กๆ โยนให้พวกสุนัขนั้นไม่ถูกต้อง” 28 แต่นางตอบพระองค์ว่า “ใช่แล้ว พระองค์ท่าน แม้แต่พวกสุนัขใต้โต๊ะก็ยังกินเศษอาหารของเด็กๆ” 29 แล้วพระองค์กล่าวกับนางว่า “เป็นเพราะคำตอบเช่นนี้ เจ้าจงไปเถิด มารได้ออกไปจากตัวบุตรสาวของเจ้าแล้ว” 30 นางกลับบ้านไปก็พบว่าเด็กนั้นนอนอยู่ที่เตียง มารก็ออกจากตัวไปแล้ว

พระเยซูรักษาชายหูหนวก

31 พระเยซูเดินทางออกจากแขวงเมืองไทระ ผ่านเมืองไซดอนไปยังทะเลสาบกาลิลี ในละแวกแคว้นทศบุรี 32 มีคนพาชายคนหนึ่งซึ่งหูหนวกและพูดตะกุกตะกักมาหาพระองค์ พวกเขาขอร้องให้พระองค์วางมือบนตัวชายคนนั้น

33 พระเยซูพาเขาออกมาจากฝูงชนตามลำพังและแยงนิ้วของพระองค์เข้าไปในหูทั้งสองของเขา บ้วนน้ำลายออก แล้วใช้น้ำลายแตะลิ้นของเขา 34 พระองค์แหงนหน้าขึ้นสู่สวรรค์พลางถอนใจยาว และกล่าวกับเขาว่า “เอฟฟาธา” คือ “จงเปิดออก” 35 หูของเขาก็หายหนวกและลิ้นที่เคยพูดตะกุกตะกักก็หายเป็นปกติ เขาเริ่มพูดได้ชัดเจน 36 พระองค์สั่งเขาเหล่านั้นไม่ให้บอกแก่ผู้ใด แต่ยิ่งพระองค์ห้ามมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งป่าวประกาศต่อไปมากขึ้นเท่านั้น 37 ฝูงชนประหลาดใจยิ่งนักจึงพูดว่า “ทุกสิ่งที่พระองค์กระทำล้วนเป็นสิ่งดี แม้แต่คนหูหนวกก็ได้ยินและคนใบ้ก็พูดได้”

โยบ 3

โยบร้องคร่ำครวญ

ต่อมาโยบก็เริ่มพูดและแช่งวันที่เขาเกิดมา โยบกล่าวว่า

“ให้วันที่ฉันเกิดมาจงพินาศดับไป
    และคืนที่พูดว่า ‘ตั้งครรภ์เป็นเด็กผู้ชาย’
ขอให้วันนั้นเป็นความมืด
    ขอพระเจ้าเบื้องบนไม่นึกถึงวันนั้น
    และไม่มีแสงส่องในวันนั้น
ขอให้ความมืดและเงาแห่งความตายอ้างสิทธิยึดวันนั้น
    ขอให้ก้อนเมฆปกคลุม
    ขอให้ความมืดของวันนั้นทำให้น่ากลัวมาก
ในคืนนั้น ขอให้ความมืดมิดยึดเอาวันนั้นไป
    อย่าให้คืนนั้นรวมเข้ากับวันอื่นๆ ของปี
    หรือรวมอยู่ในเดือนใดๆ
ดูเถิด ขอให้คืนนั้นอย่ามีใครตั้งครรภ์เลย
    อย่าให้มีเสียงยินดีเปล่งขึ้นในคืนนั้น
ให้พวกที่สาปแช่งวันเวลา สาปแช่งวันนั้น
    ซึ่งพร้อมจะปลุกตัวเหรา[a]ขึ้นมา
ขอให้ดวงดาวยามย่ำรุ่งมืดไปเสีย
    ให้มันหวังในแสงสว่าง แต่ก็ไม่ได้รับ
    และไม่เห็นแสงอรุณรุ่ง
10 เพราะคืนนั้นไม่ได้ปิดประตูครรภ์มารดาของฉัน
    และไม่ได้ซ่อนความยากลำบากจากดวงตาของฉัน

11 ทำไมฉันจึงไม่ตายตอนเกิดออกจากครรภ์
    แล้วก็ล่วงลับไป
12 ทำไมรับฉันขึ้นไว้บนเข่า
    หรือว่า ทำไมอกแม่จึงได้เลี้ยงนมฉัน
13 ฉันควรจะได้นอนแน่นิ่ง
    ฉันควรจะนอนหลับ แล้วฉันก็คงจะได้หยุดพัก
14 ร่วมกับบรรดากษัตริย์หรือที่ปรึกษาของแผ่นดินในโลก
    ผู้ได้สร้างที่อยู่สำหรับตัวเอง และบัดนี้ ก็กลายเป็นสถานที่ร้าง
15 หรือกับบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่เคยมีทองคำ
    และสะสมเงินไว้เต็มบ้านของตน
16 หรือทำไมฉันจึงไม่เป็นเด็กที่เกิดไม่ตรงตามกำหนดซึ่งถูกนำไปฝังไว้
    อย่างเช่นเด็กอ่อนที่ไม่เคยเห็นแสงสว่าง
17 อันเป็นที่ซึ่งคนชั่วหยุดก่อความวุ่นวาย
    เป็นที่ซึ่งคนเหนื่อยอ่อนได้พักผ่อน
18 อันเป็นที่ซึ่งบรรดานักโทษอยู่ด้วยกันอย่างสบายใจ
    พวกเขาไม่ได้ยินเสียงตะคอกของผู้คุมทาส
19 ผู้น้อยและผู้ใหญ่ก็อยู่ที่นั่น
    และบรรดาทาสเป็นอิสระจากเจ้านายของเขา

20 ทำไมจึงให้คนที่อยู่ในความทุกข์มีชีวิตอยู่ต่อไป
    และทำไมชีวิตจึงยังอยู่กับคนที่มีจิตวิญญาณอันขมขื่น
21 กับคนที่แสวงหาความตายแต่ก็ไม่พบ
    และขุดหามันยิ่งกว่าหาสมบัติที่ซ่อนไว้
22 พวกเขายินดียิ่งนัก
    และดีใจเมื่อพบหลุมฝังศพ
23 ทำไมจึงให้ความสว่างแก่วิถีทาง
    ซึ่งถูกซ่อนเร้นไปจากเขาแล้ว
    พระเจ้าได้ปิดกั้นเขาไว้
24 ด้วยว่าฉันถอนใจเมื่อถึงเวลาอาหาร
    และการคร่ำครวญก็เทออกดั่งน้ำ
25 ด้วยว่าสิ่งที่ฉันหวั่นกลัวก็เกิดขึ้นกับฉัน
    และสิ่งที่ฉันหวั่นหวาดก็ตกอยู่กับฉัน
26 ฉันไม่สบายใจและไม่อาจอยู่นิ่ง
    ฉันพักผ่อนไม่ได้ ความยากลำบากถาโถมเข้ามาถึงตัวฉัน”

โรม 7

ตายจากกฎบัญญัติ

พี่น้องเอ๋ย ท่านไม่ทราบหรือว่า กฎบัญญัติมีอำนาจเหนือมนุษย์ตราบเท่าที่เขามีชีวิตอยู่เท่านั้น (ทั้งนี้ข้าพเจ้าพูดกับบรรดาคนที่รู้กฎบัญญัติ) ตัวอย่างเช่น ตามกฎ หญิงที่แต่งงานแล้วจะมีข้อผูกมัดอยู่กับสามีของนางตราบเท่าที่สามียังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสามีตาย นางก็พ้นจากกฎนั้น ดังนั้นถ้าสามีของนางยังมีชีวิตอยู่ แล้วนางไปร่วมชีวิตกับชายอื่น นางก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ผิดประเวณี แต่ถ้าสามีของนางตาย นางก็พ้นจากกฎนั้น นางก็จะไม่เป็นผู้ผิดประเวณี แม้ว่าจะร่วมชีวิตกับชายอื่น

เช่นเดียวกัน พี่น้องเอ๋ย ท่านได้ตายจากกฎบัญญัติแล้ว โดยการตายของพระคริสต์ ท่านจะได้เป็นคนขององค์ผู้ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย เพื่อเราจะได้เกิดผลเพื่อพระเจ้า ด้วยว่าแต่ก่อนเราดำเนินชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนัง[a] กฎบัญญัติปลุกตัณหาชั่วที่อยู่ในตัวของเราให้ตื่นขึ้น เราจึงเกิดผลซึ่งนำไปสู่ความตาย แต่บัดนี้เราพ้นจากกฎบัญญัติ เราได้ตายจากกฎบัญญัติที่เคยพันธนาการเราไว้ เพื่อเราจะได้รับใช้ในวิถีทางใหม่แห่งพระวิญญาณ ไม่ใช่ทางเก่าแห่งกฎบัญญัติที่เขียนบันทึกไว้

กฎบัญญัติและบาป

แล้วเราจะว่าอย่างไร กฎบัญญัติเป็นบาปหรือ ไม่มีทางจะเป็นเช่นนั้น แต่ตรงกันข้าม ถ้าปราศจากกฎบัญญัติแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่มีวันรู้จักบาป ด้วยว่าถ้ากฎบัญญัติไม่ได้เขียนไว้ว่า “อย่าโลภ”[b] ข้าพเจ้าก็จะไม่รู้ว่าความโลภคืออะไร แต่บาปหาโอกาสใช้พระบัญญัติเป็นเครื่องกระตุ้นความโลภสารพัดในตัวข้าพเจ้า ด้วยว่าถ้าไม่มีกฎบัญญัติ บาปก็คงสภาพราวกับไม่มีชีวิต เมื่อก่อน ข้าพเจ้าเคยดำรงชีวิตอยู่ขณะที่ไม่มีกฎบัญญัติ แต่เมื่อมีพระบัญญัติขึ้น บาปก็กลับมีชีวิตขึ้น และข้าพเจ้าก็ตาย 10 ข้าพเจ้าพบว่าพระบัญญัตินั้นควรจะนำชีวิตมาให้ แต่กลับนำความตายมาสู่ข้าพเจ้า 11 ด้วยว่าบาปหาโอกาสหลอกลวงข้าพเจ้าโดยใช้พระบัญญัติ และบาปใช้พระบัญญัตินั้นเพื่อจะฆ่าข้าพเจ้า 12 ฉะนั้นกฎบัญญัตินั้นบริสุทธิ์ และพระบัญญัติก็บริสุทธิ์ ชอบธรรม และดีงาม

13 แล้วสิ่งที่ดีงามนั้นนำความตายมาสู่ข้าพเจ้าหรือ ไม่มีทางจะเป็นเช่นนั้น แต่เป็นเพราะบาป ซึ่งก่อให้เกิดความตายในตัวข้าพเจ้าด้วยการใช้สิ่งที่ดีงาม เพื่อทำให้เห็นว่าบาปนั้นเป็นบาปจริงอย่างไร และด้วยพระบัญญัติซึ่งทำให้เห็นว่าบาปชั่วร้ายยิ่งนัก 14 เราทราบว่ากฎบัญญัติเป็นฝ่ายวิญญาณ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นฝ่ายวิญญาณ ข้าพเจ้าถูกขายให้ตกเป็นทาสของบาป 15 ข้าพเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพเจ้าทำอยู่ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการทำนั้น ข้าพเจ้าไม่ทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียด 16 และถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ไม่ต้องการทำ เท่ากับข้าพเจ้าเห็นด้วยว่ากฎบัญญัตินั้นดีงาม 17 เท่าที่เป็นอยู่นี้ ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่ทำ แต่เป็นบาปที่อยู่ในตัวข้าพเจ้าเองเป็นผู้ทำ 18 ข้าพเจ้าทราบว่าฝ่ายเนื้อหนังในตัวข้าพเจ้าไม่มีอะไรดีเลย ด้วยว่าข้าพเจ้าต้องการทำความดี แต่ไม่สามารถทำได้ 19 ด้วยว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าทำไม่ใช่สิ่งดีอันเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการทำ แต่กลับทำสิ่งชั่วร้ายที่ไม่ต้องการทำเรื่อยไป 20 แต่ถ้าข้าพเจ้ากระทำสิ่งที่ไม่ต้องการทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าอีกแล้วที่กระทำ แต่เป็นบาปที่อยู่ในตัวข้าพเจ้าเป็นผู้ทำ

21 ดังนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเป็นหลักคือ เมื่อต้องการกระทำความดี ความชั่วก็อยู่ด้วยกับข้าพเจ้า 22 ด้วยว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ายินดีในกฎบัญญัติของพระเจ้า 23 แต่ข้าพเจ้าเห็นกฎอื่นในตัวข้าพเจ้า ซึ่งเป็นกฎที่ต่อต้านกับกฎบัญญัติที่ความคิดของข้าพเจ้าเห็นดีด้วย และทำให้ข้าพเจ้ามาเป็นเชลยของกฎแห่งบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้า 24 ข้าพเจ้าเป็นคนมีทุกข์อะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยชีวิตข้าพเจ้าจากร่างกายแห่งความตายนี้ 25 ขอบคุณพระเจ้าโดยผ่านพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ฉะนั้นตามความคิดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสต่อกฎบัญญัติของพระเจ้า ส่วนฝ่ายเนื้อหนังนั้น ข้าพเจ้าเป็นทาสต่อกฎแห่งบาป

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation