M’Cheyne Bible Reading Plan
ครอบครัวโยเซฟไปประเทศอียิปต์ครั้งแรก
42 ครั้นยาโคบทราบว่ามีธัญพืชที่ประเทศอียิปต์ ท่านจึงพูดกับลูกๆ ของตนว่า “ทำไมเจ้ามัวแต่จ้องหน้ากันอยู่ได้” 2 ท่านพูดต่ออีกว่า “ดูสิ พ่อได้ยินว่ามีธัญพืชที่อียิปต์ เจ้าจงลงไปที่นั่น แล้วก็ซื้อกลับมา พวกเราจะได้รอดตายกัน” 3 ดังนั้น พี่ชายทั้งสิบของโยเซฟจึงพากันลงไปซื้อธัญพืชที่อียิปต์ 4 แต่ยาโคบไม่ให้เบนยามินน้องชายของโยเซฟไปด้วย เพราะกลัวว่าอาจจะเป็นอันตรายกับเขา 5 ดังนั้นบรรดาบุตรชายของอิสราเอลจึงไปซื้อธัญพืชเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ไปกัน เพราะเกิดทุพภิกขภัยขึ้นในดินแดนคานาอันเช่นกัน
6 ขณะนั้นโยเซฟเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เขาเป็นผู้ที่ขายข้าวให้แก่พวกราษฎรทั่วไปในแผ่นดิน เมื่อพี่ๆ ของโยเซฟมาถึงก็ก้มหน้าจรดดิน กราบอยู่ ณ เบื้องหน้าโยเซฟ 7 โยเซฟเห็นพวกพี่ๆ ก็จำได้ แต่เขาทำเป็นไม่รู้จักและพูดจาแข็งกร้าวต่อเขาว่า “พวกเจ้ามาจากไหน” พวกเขาตอบว่า “มาจากดินแดนคานาอัน เพื่อซื้ออาหาร” 8 แม้ว่าโยเซฟจำพวกพี่ๆ ของเขาได้ แต่พวกเขาจำโยเซฟไม่ได้ 9 เนื่องจากโยเซฟจำเรื่องที่เขาเคยฝันเกี่ยวกับพวกเขาได้ เขาจึงพูดกับพี่ๆ ว่า “พวกเจ้าเป็นไส้ศึก เจ้าเข้ามาเพื่อสำรวจดูจุดอ่อนของแผ่นดินนี้” 10 พวกเขาตอบว่า “ไม่ใช่ นายท่าน ผู้รับใช้ของท่านมาเพียงเพื่อซื้ออาหาร 11 พวกข้าพเจ้าเป็นลูกร่วมบิดาเดียวกัน เราเป็นคนสุจริต ผู้รับใช้ของท่านไม่ได้เป็นไส้ศึก”
12 โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า “ไม่ใช่เช่นนั้นแน่ แต่เจ้ามาสำรวจหาจุดอ่อนของประเทศนี้ต่างหาก” 13 พวกเขาตอบว่า “พวกเราคือผู้รับใช้ของท่าน เป็นพี่น้อง 12 คน ลูกร่วมบิดาเดียวกันในดินแดนคานาอัน เวลานี้น้องคนสุดท้องอยู่กับบิดาของเรา ส่วนอีกคนไม่อยู่กับเราแล้ว” 14 แต่โยเซฟพูดกับเขาว่า “เป็นจริงอย่างที่เราพูดคือ พวกเจ้าเป็นไส้ศึก 15 พวกเจ้าจะถูกตรวจสอบอย่างนี้คือ เรารับรองในนามแห่งฟาโรห์ว่า พวกเจ้าจะไม่ได้ไปจากที่นี่จนกว่าน้องคนสุดท้องของเจ้าจะมาถึง 16 จงส่งคนใดคนหนึ่งในพวกเจ้ากลับไป เพื่อพาน้องชายของเจ้ามา ขณะที่พวกเจ้าถูกจองจำ เพื่อทดสอบคำพูดของเจ้าว่าเป็นจริงหรือไม่ มิฉะนั้นเรารับรองในนามของฟาโรห์ว่า พวกเจ้าเป็นไส้ศึกแน่นอน” 17 แล้วโยเซฟก็กักเขาทุกคนไว้ด้วยกันในคุกเป็นเวลา 3 วัน
18 ในวันที่สาม โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า “จงทำตามนี้ แล้วเจ้าจะมีชีวิตอยู่ เพราะเราเกรงกลัวพระเจ้า 19 ถ้าพวกเจ้าเป็นคนสุจริต ให้คนใดคนหนึ่งในพวกเจ้าถูกจองจำต่อไป ส่วนคนอื่นก็ไปขนธัญพืชสำหรับครอบครัวของเจ้าที่อดอยาก 20 แล้วพาน้องชายคนสุดท้องมาหาเรา เพื่อตรวจสอบคำพูดของเจ้า แล้วเจ้าจะไม่ตาย” พวกเขาจึงปฏิบัติตามนั้น 21 ครั้นแล้วพวกเขาพูดต่อกันและกันว่า “ความจริงแล้ว เราผิดในเรื่องน้องชายของเรา เพราะเราเห็นแล้วว่าเขาน่าสังเวช เวลาเขาขอร้อง เราก็ไม่ฟัง ฉะนั้นความทุกข์นี้จึงตกถึงพวกเรา” 22 รูเบนจึงตอบพวกเขาว่า “ฉันบอกพวกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า อย่าทำผิดต่อเจ้าเด็กหนุ่ม แต่เจ้าไม่ยอมฟัง มาบัดนี้พวกเราก็กำลังรับโทษที่ทำให้เขาตาย” 23 เขาทั้งหลายไม่ทราบว่า โยเซฟเข้าใจเรื่องราว เพราะว่าก่อนหน้านี้เขาพูดโต้ตอบกันโดยผ่านล่าม 24 โยเซฟผละตัวออกไปและร้องไห้ แล้วกลับมาพูดกับพวกเขา โดยจับสิเมโอนไว้และมัดตัวต่อหน้าต่อตาพวกพี่ๆ 25 แล้วโยเซฟสั่งให้คนบรรจุข้าวใส่ถุงของพี่ๆ ให้เต็ม และคืนเงินลงในถุงของทุกคน อีกทั้งให้อาหารไปกินระหว่างเดินทาง คนรับใช้ก็ทำตามทุกอย่าง
26 พวกพี่ๆ บรรทุกธัญพืชไว้บนลาของตนและออกเดินทางไป 27 เมื่อมาถึงที่ๆ จะค้างแรม คนหนึ่งเปิดถุงเอาอาหารให้ลา จึงพบว่าเงินของตนอยู่ที่ปากถุง 28 เขาพูดกับพี่น้องว่า “มีคนคืนเงินให้ฉัน นี่ไง อยู่ที่ปากถุงของฉัน” พวกเขาตกใจจนตัวสั่น ต่างก็มองหน้ากันและพูดว่า “พระเจ้าทำอะไรกับพวกเรา”
29 เมื่อเขากลับไปถึงบ้านยาโคบบิดาของเขาที่ดินแดนคานาอัน พวกเขาก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า 30 “ชายที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินพูดจาแข็งกร้าวกับเรา และกล่าวหาว่าเราเป็นไส้ศึกของแผ่นดิน 31 แต่เราแจ้งท่านไปว่า ‘เราเป็นคนสุจริต เราไม่ใช่ไส้ศึก 32 เราเป็นพี่น้อง 12 คน ลูกร่วมบิดาเดียวกัน คนหนึ่งไม่อยู่กับเราแล้ว และเวลานี้น้องคนสุดท้องอยู่กับบิดาของเราในดินแดนคานาอัน’ 33 แล้วชายคนที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินพูดกับเราว่า ‘เราจะรู้ว่าพวกเจ้าสุจริตโดยวิธีนี้ จงให้คนใดคนหนึ่งอยู่กับเรา ขณะที่คนอื่นๆ เอาธัญพืชไปให้ครอบครัวของเจ้าที่อดอยาก จงไปตามทางของเจ้า 34 พาน้องชายคนสุดท้องของเจ้ามาหาเรา เราจะได้รู้ว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นไส้ศึก แต่เป็นคนสุจริต แล้วเราจะคืนน้องชายของเจ้ากลับไป และเจ้าก็จะค้าขายได้ในประเทศนี้’”
35 ขณะที่พวกเขาขนของออกจากถุง พบเงินเป็นมัดของทุกคนอยู่ในถุงของตน เมื่อพ่อและลูกๆ เห็นเงินเป็นมัดเช่นนั้นแล้วก็กลัว 36 ยาโคบบิดาของเขาจึงพูดว่า “พวกเจ้าพรากลูกๆ ไปจากพ่อ โยเซฟไม่อยู่แล้ว และสิเมโอนก็ไม่อยู่แล้ว มาบัดนี้เจ้าจะเอาตัวเบนยามินไปอีก พ่อเองที่เป็นทุกข์” 37 ครั้นแล้วรูเบนจึงพูดกับบิดาของตนว่า “ถ้าลูกไม่พาเบนยามินกลับมาให้พ่อ พ่อก็ฆ่าลูกชาย 2 คนของลูกได้เลย ลูกจะรับผิดชอบเบนยามินเอง แล้วลูกจะพาเขากลับมาให้พ่อ” 38 แต่ยาโคบพูดว่า “ลูกชายของพ่อจะไม่ลงไปกับเจ้า เพราะพี่ชายของเขาตายแล้ว เขาเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ ถ้าเกิดมีอันตรายกับเขาระหว่างการเดินทางที่เจ้าจะไป ความโศกเศร้าที่เจ้าก่อขึ้นจะทำให้คนแก่อย่างพ่อสิ้นใจตาย”
อุปมาเรื่องผู้เช่าสวนองุ่น
12 พระองค์กล่าวกับพวกเขาเป็นอุปมาว่า “ชายคนหนึ่งปลูกสวนองุ่นไว้ ซึ่งมีกำแพงที่สร้างล้อมไว้โดยรอบ แล้วก็ขุดบ่อสำหรับเครื่องสกัดเหล้าองุ่น เขาสร้างหอคอยไว้และให้พวกชาวสวนเช่า แล้วก็เดินทางไปต่างประเทศ 2 เมื่อถึงเวลาเก็บผล เขาใช้คนรับใช้คนหนึ่งไปหาพวกคนเช่าสวน เพื่อรับส่วนปันผลจากคนเช่าสวนบ้าง 3 พวกคนเช่าสวนจับตัวเขาไว้ ทุบตี แล้วก็ไล่เขากลับไปมือเปล่า 4 ชายเจ้าของสวนจึงส่งคนรับใช้อีกคนไป พวกเขาก็ทำร้ายที่ศีรษะและลบหลู่เขา 5 เขาใช้อีกคนไปซึ่งพวกเขาก็ฆ่าเสีย คนอื่นๆ อีกจำนวนมากก็เช่นกัน บ้างก็ถูกเฆี่ยน บ้างก็ถูกฆ่า
6 ชายเจ้าของสวนมีเหลืออีกคนที่จะส่งไปคือลูกชายที่รัก เขาส่งไปหาเป็นคนสุดท้ายโดยคิดว่า ‘พวกเขาจะนับถือลูกของเราคนนั้น’ 7 แต่พวกคนเช่าสวนพูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท มาช่วยกันฆ่าเขาเถิด แล้วมรดกจะได้ตกเป็นของพวกเรา’ 8 เขาทั้งหลายจึงจับตัวลูกคนนั้นฆ่าเสีย แล้วโยนตัวออกไปจากสวนองุ่น 9 เจ้าของสวนองุ่นจะทำอย่างไร เขาจะมาฆ่าพวกคนเช่าสวน และยกสวนองุ่นให้แก่คนอื่นๆ ไป 10 พวกท่านไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้หรือว่า
‘ศิลาที่พวกช่างก่อสร้างทิ้ง
ได้กลายเป็นศิลามุมเอก
11 พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำการนี้
และเป็นสิ่งวิเศษยิ่งในสายตาของเรา’”[a]
12 แล้วพวกเขาก็พยายามที่จะจับกุมพระเยซู แต่ยังกลัวฝูงชนเพราะเขาทราบว่า พระองค์กล่าวเป็นอุปมาเพื่อกระทบพวกเขาเอง เขาจึงเดินจากพระองค์ไป
คำถามเรื่องการเสียภาษี
13 ครั้นแล้วพวกเขาจึงให้บรรดาฟาริสีและบางคนในพรรคของเฮโรดไปหาพระเยซู เพื่อจะจับผิดในสิ่งที่พระองค์กล่าว 14 พวกเขาจึงมาพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ พวกเราทราบว่า ท่านพูดความจริงและไม่เขวไปตามมนุษย์ เพราะท่านไม่เอาใจผู้ใด แต่สั่งสอนในวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง ถูกต้องตามกฎหรือไม่ในการเสียภาษีให้แก่ซีซาร์ 15 พวกเราควรจ่ายหรือไม่” แต่พระเยซูทราบว่าพวกเขาเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก พระองค์กล่าวว่า “ทำไมจึงทดสอบเรา เอาเงินเหรียญเดนาริอันมาให้เราดูสิ” 16 แล้วพวกเขาก็เอามาให้ พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” เขาทั้งหลายตอบว่า “ของซีซาร์” 17 พระเยซูกล่าวว่า “สิ่งที่เป็นของซีซาร์ก็จงให้แก่ซีซาร์ และสิ่งที่เป็นของพระเจ้าก็จงให้แด่พระเจ้า” แล้วพวกเขาก็อัศจรรย์ใจในพระองค์
ความสงสัยเรื่องวันที่ฟื้นคืนชีวิต
18 พวกสะดูสี[b] (ซึ่งเชื่อว่าไม่มีการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย) ได้มาหาพระองค์และถามว่า 19 “อาจารย์ ตามที่โมเสสได้เขียนไว้ให้พวกเราว่า ถ้าชายใดตายไป แต่ภรรยายังอยู่โดยที่ไม่มีบุตรด้วยกัน น้องชายของคนตายควรรับหญิงม่ายไว้ เพื่อมีบุตรสืบตระกูลให้พี่ชายของเขา 20 มีพี่น้องที่เป็นชายอยู่ 7 คน คนแรกมีภรรยาและตายโดยไม่มีบุตร 21 คนที่สองสมรสกับนางแล้วก็ตายโดยไม่มีบุตรด้วย คนที่สามก็เช่นกัน 22 ดังนั้นทั้ง 7 คนก็ไม่ได้มีบุตรสืบตระกูลเลย ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายไปด้วย 23 ในวันที่ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย เมื่อเขาเหล่านั้นฟื้นคืนชีวิต แล้วนางจะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้ง 7 คนได้นางเป็นภรรยา”
24 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “เหตุที่พวกท่านผิด ก็เป็นเพราะว่าท่านไม่รู้พระคัมภีร์และอานุภาพของพระเจ้าใช่ไหม 25 ด้วยว่าเมื่อผู้คนฟื้นคืนชีวิตจากความตาย พวกเขาจะไม่มีการสมรสหรือการยกให้เป็นสามีภรรยากัน แต่จะเป็นเหมือนกับพวกทูตสวรรค์ในฟ้าสวรรค์ 26 แต่เรื่องจริงที่ว่า คนตายฟื้นคืนชีวิตอีก ท่านไม่เคยอ่านในฉบับของโมเสสหรือ ในตอนที่เกี่ยวกับพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ พระเจ้ากล่าวกับเขาว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม[c] พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[d] 27 พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น พวกท่านเข้าใจผิดเป็นอย่างมากทีเดียว”
พระบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่ที่สุด
28 คนหนึ่งในพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติมาและได้ยินการโต้เถียงกัน และทราบว่าพระเยซูได้ตอบพวกเขาได้ดีจึงถามพระองค์ว่า “พระบัญญัติข้อใดสำคัญที่สุด”
29 พระเยซูกล่าวว่า “ข้อที่สำคัญที่สุดคือ ‘จงฟังเถิด อิสราเอลเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราเป็นพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว 30 และจงรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดดวงใจ สุดดวงจิต สุดความคิด และสุดกำลังของท่าน’[e] 31 ข้อที่สองคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าให้เหมือนรักตนเอง’[f] ไม่มีพระบัญญัติข้ออื่นใดที่ยิ่งใหญ่กว่า 2 ข้อนี้”
32 อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติพูดกับพระองค์ว่า “ถูกต้องแล้ว อาจารย์ ท่านได้กล่าวโดยแท้จริงว่ามีเพียงพระเจ้าผู้เดียว และนอกจากพระองค์แล้วไม่มีผู้ใดอีก 33 และการที่รักพระองค์อย่างสุดดวงใจ สุดความคิด และสุดกำลัง และจงรักเพื่อนบ้านของท่านให้เหมือนรักตนเอง สำคัญยิ่งกว่าสัตว์ที่เผาเป็นของถวายและเครื่องสักการะทั้งปวง” 34 เมื่อพระเยซูเห็นว่าเขาได้ตอบด้วยการไตร่ตรองจากสติปัญญา พระองค์จึงกล่าวกับเขาว่า “ท่านอยู่ใกล้อาณาจักรของพระเจ้าแล้ว” หลังจากนั้นไม่มีใครกล้าซักถามสิ่งใดกับพระองค์อีก
คำถามเรื่องบุตรของดาวิด
35 ขณะที่พระเยซูสั่งสอนในบริเวณพระวิหาร พระองค์กล่าวว่า “พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติพูดได้อย่างไรว่า พระคริสต์เป็นบุตรของดาวิด 36 พระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจให้ดาวิดเองพูดว่า
‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
“จงนั่งทางด้านขวาของเรา
จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้า
อยู่ใต้เท้าของเจ้า”’[g]
37 ดาวิดเองเรียกพระองค์ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า’ ฉะนั้นพระองค์เป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร” แล้วมหาชนก็ฟังพระองค์ด้วยความยินดี
38 พระองค์สั่งสอนว่า “จงระวังพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติที่ชอบสวมเสื้อคลุมเดินไปมา ชอบให้คนแสดงความเคารพในย่านตลาด 39 มักเลือกที่นั่งสำหรับคนสำคัญที่สุดในศาลาที่ประชุม และที่นั่งอันมีเกียรติในงานเลี้ยง 40 พวกเขาริบบ้านเรือนของพวกหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาวเพื่อให้คนเห็น คนพวกนี้จะถูกกล่าวโทษอย่างหนัก”
หญิงม่ายผู้ยากไร้ถวายเงิน
41 ครั้นแล้วพระเยซูก็นั่งลงตรงข้ามกับตู้ถวายเงิน พระองค์สังเกตดูว่าผู้คนถวายเงินในตู้อย่างไร คนมั่งมีหลายคนถวายเงินจำนวนมหาศาล 42 หญิงม่ายผู้ยากไร้คนหนึ่งมาถวายเหรียญทองแดง 2 เหรียญซึ่งมีค่าประมาณ 1 สลึง 43 พระองค์เรียกเหล่าสาวกของพระองค์มาและกล่าวกับเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า หญิงม่ายผู้ยากไร้คนนี้ถวายเงินมากกว่าคนเหล่านั้นที่มอบให้ในตู้ถวายเงินเสียอีก 44 เพราะเขาทุกคนได้ให้จากเงินเหลือใช้ของเขา แต่ถึงแม้ว่านางจะขัดสน นางก็ยังถวายทุกสตางค์ที่เก็บไว้สำหรับเลี้ยงตนเอง”
บิลดัดพูด: โยบควรสารภาพ
8 แล้วบิลดัดชาวชูอัคตอบว่า
2 “ท่านจะพูดเรื่องเหล่านี้นานแค่ไหน
คำพูดจากปากท่านเป็นแค่ลมๆ แล้งๆ
3 พระเจ้าบิดเบือนความยุติธรรมหรือ
องค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพบิดเบือนความถูกต้องหรือ
4 ถ้าลูกหลานของท่านกระทำบาปต่อพระองค์แล้ว
พระองค์ก็ได้ให้พวกเขารับโทษตามที่เขาได้รับไปแล้ว
5 ถ้าท่านจะแสวงหาพระเจ้า
และวิงวอนขอความเมตตาจากองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ
6 ถ้าท่านบริสุทธิ์และมีความชอบธรรม
พระองค์จะเฝ้าดูแลท่าน
และให้ครอบครัวของท่านคืนสู่สภาพเดิม
7 แม้ว่าชีวิตเบื้องต้นของท่านจะมีอย่างน้อยนิด
แต่เบื้องปลายท่านจะมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่มาก
8 ถามพวกอาวุโสเถิด
และเสาะดูว่าบรรพบุรุษเรียนรู้อะไรบ้าง
9 เพราะชีวิตพวกเราเพิ่งเริ่มเมื่อวานและไม่รู้อะไร
วันเวลาของเราทั้งหลายเป็นเหมือนเงา
10 พวกเขาจะไม่สอนท่านและบอกท่าน
และพูดสิ่งที่เขาเข้าใจหรือ
11 ต้นกกจะเติบโตในที่ไม่มีหนองน้ำได้หรือ
ต้นอ้อจะงอกขยายในที่ไม่มีน้ำได้หรือ
12 ขณะผลิดอกที่ยังอ่อนอยู่และยังไม่ถูกตัด
ดอกก็เหี่ยวไปก่อนพืชชนิดอื่น
13 ทางของทุกคนที่ลืมพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้น
ความหวังของคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็จะดับสูญไป
14 ความหวังที่เขามีนั้นเปราะบาง
และความไว้วางใจก็เป็นอย่างใยแมงมุม
15 เขาพิงบ้าน แต่มันทานไม่ไหว
เขาจับคว้ามันไว้ แต่มันก็คุ้มหัวเขาไม่ได้
16 เขาเป็นดั่งพืชเขียวชอุ่มที่แสงตะวันสาดส่อง
และรากก็แผ่ขยายไปทั่วสวน
17 รากชอนไชและพันรอบหิน
เขาหาที่เกาะกับหินให้แน่น
18 ถ้าเขาถูกกำจัดไปจากที่ของเขา
ที่นั้นจะปฏิเสธว่า ไม่มีใครเคยรู้จักเขา
19 ดูเถิด นั่นคือทางสู่ความสำราญของเขา
และผู้อื่นจะงอกโผล่ขึ้นจากดินเพื่อแทนที่เขา
20 ดูเถิด พระเจ้าจะไม่ปฏิเสธคนที่ไร้ข้อตำหนิ
และไม่ช่วยเหลือคนทำความชั่ว
21 พระองค์จะโปรดให้ปากของท่านได้หัวเราะ
และริมฝีปากของท่านได้ตะโกนร้อง
22 บรรดาผู้ที่เกลียดชังท่านจะได้รับความอับอาย
และกระโจมของผู้ชั่วร้ายจะไม่มีอีกต่อไป”
เครื่องสักการะที่มีชีวิต
12 ฉะนั้น เป็นเพราะความเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอร้องให้ท่านผู้เป็นพี่น้อง มอบกายของท่านดั่งเครื่องสักการะที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และน่าพอใจแด่พระเจ้า นี่คือการนมัสการฝ่ายวิญญาณของท่าน 2 อย่าทำตัวตามอย่างโลกนี้ แต่จงยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนความคิดของท่านใหม่ แล้วท่านจะได้เห็นว่าความประสงค์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร คืออะไรดี น่าพอใจ และเพียบพร้อมทุกประการ
3 เพราะพระคุณที่ได้ให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวกับท่านทุกคนว่า อย่าคิดว่าตนเองสูงส่งมากไปกว่าที่ตนควรจะคิด แต่จงคิดให้สมเหตุสมผล ตามแต่ระดับความเชื่อมากน้อยที่พระเจ้าได้ให้แก่ท่าน 4 เหมือนกับการที่เราเป็นร่างกายเดียวกันที่มีอวัยวะหลายส่วน และทุกส่วนไม่ได้มีหน้าที่อย่างเดียวกัน 5 ดังนั้นเราซึ่งเป็นหลายส่วน เป็นกายเดียวในพระคริสต์ และแต่ละส่วนก็เป็นของส่วนอื่นๆ ด้วย 6 เรามีของประทานที่ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้ให้แก่เรา ถ้าคนใดได้ของประทานเป็นการเผยคำกล่าวของพระเจ้า ก็จงให้เขาเผยตามระดับความเชื่อของเขา 7 ถ้าเป็นการรับใช้ก็จงให้เขารับใช้ ถ้าเป็นการสอน ก็จงให้เขาสอน 8 ถ้าเป็นการให้กำลังใจ ก็จงให้เขาให้กำลังใจ ถ้าเป็นการบริจาค ก็จงให้ด้วยใจเอื้อเฟื้อ ถ้าเป็นผู้นำ ก็จงให้เขานำด้วยความขยันขันแข็ง ถ้าเป็นการแสดงความเมตตา ก็จงให้เขาปฏิบัติด้วยความยินดี
9 จงรักอย่างจริงใจ จงชังความชั่ว และยึดมั่นในสิ่งที่ดี 10 จงรักกันและกันด้วยความรักฉันพี่น้อง อย่าลังเลที่จะให้เกียรติกันและกัน 11 อย่าเกียจคร้าน แต่จงรับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วยจิตวิญญาณที่กระตือรือร้น 12 จงยินดีที่มีความหวัง จงอดทนต่อความยากลำบาก จงอุทิศตนในการอธิษฐาน 13 จงเผื่อแผ่แก่ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ขัดสน และมีอัธยาศัยดีในการต้อนรับ
14 จงอวยพรบรรดาผู้ที่ข่มเหงท่าน จงอวยพรและอย่าสาปแช่งพวกเขา 15 จงชื่นชมยินดีกับคนที่ชื่นชมยินดี และร้องไห้กับคนที่ร้องไห้ 16 จงมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน อย่ามีใจหยิ่งยโส แต่จงคบหาสมาคมกับคนที่มีสถานภาพด้อยกว่า อย่าคิดว่าตนฉลาดนัก 17 อย่าตอบความชั่วต่อผู้ใดด้วยความชั่ว แต่จงหมั่นทำสิ่งที่ดีอันน่าเชื่อถือในสายตาของทุกคน 18 หากเป็นไปได้และถ้าเป็นการที่ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน 19 ท่านที่รัก อย่าแก้แค้นด้วยตนเอง จงปล่อยให้การลงโทษเป็นเรื่องของพระเจ้าเถิด เพราะมีบันทึกไว้ว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “การแก้แค้นเป็นของเรา เราจะสนองตอบ”[a] 20 แต่ “ถ้าศัตรูของเจ้าหิว ก็จงให้อาหารแก่เขา ถ้าเขากระหาย จงให้เขาดื่ม เพราะการกระทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการสุมถ่านที่ลุกโพลงทั้งกองบนศีรษะของเขา”[b] 21 อย่าให้ความชั่วชนะท่านได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation