M’Cheyne Bible Reading Plan
28 อิสอัคจึงเรียกยาโคบมาและให้พรแก่เขา พร้อมกับสั่งว่า “เจ้าจะต้องไม่แต่งงานกับหญิงชาวคานาอัน 2 ไปเถิด ไปยังปัดดานอารัม ไปยังบ้านของเบธูเอลบิดาของแม่เจ้า และหาภรรยาจากที่นั่น จากลูกสาวคนใดคนหนึ่งของลาบันพี่ชายของแม่เจ้า 3 ขอพระเจ้าผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพอวยพรเจ้า ให้เจ้าเกิดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง และทวีคนของเจ้าขึ้น เจ้าจะได้เป็นชนชาติกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง 4 ขอพระองค์ให้พรแก่เจ้าและแก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า ตามที่ได้สัญญาอับราฮัมไว้ คือเจ้าจะได้ครอบครองแผ่นดินที่เจ้ากำลังอพยพไปอยู่ อันเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ให้แก่อับราฮัม” 5 ดังนั้นอิสอัคส่งยาโคบออกเดินทางไป เขาจึงไปปัดดานอารัม ไปหาลาบันบุตรของเบธูเอลชาวอารัม พี่ชายของเรเบคาห์มารดาของยาโคบและเอซาว
เอซาวแต่งงานกับชาวอิชมาเอล
6 ฝ่ายเอซาวเห็นว่าอิสอัคได้อวยพรยาโคบ และส่งเขาไปยังปัดดานอารัมเพื่อหาภรรยาจากที่นั่น และขณะที่อวยพรเขา ท่านก็สั่งด้วยว่า “เจ้าจะต้องไม่แต่งงานกับหญิงคานาอัน” 7 ยาโคบก็เชื่อฟังบิดามารดาของเขา และไปยังปัดดานอารัม 8 ฉะนั้นเมื่อเอซาวเห็นว่าหญิงชาวคานาอันไม่เป็นที่พอใจอิสอัคบิดาของตน 9 เอซาวจึงไปหาอิชมาเอลบุตรของอับราฮัม ทั้งๆ ที่เอซาวมีภรรยาอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังไปแต่งงานกับมาหะลัทบุตรหญิงของอิชมาเอล ซึ่งเป็นน้องสาวของเนบาโยท
ยาโคบฝันที่เบธเอล
10 ยาโคบออกจากเมืองเบเออร์เช-บา และไปยังเมืองฮาราน 11 เมื่อมาถึงที่แห่งหนึ่งจึงพักแรมที่นั่น เพราะดวงอาทิตย์ตกแล้ว เขาหยิบหินก้อนหนึ่งมาหนุนศีรษะ เอนกายลงนอนอยู่ที่นั่น 12 แล้วเขาก็ฝันว่ามีบันไดอันหนึ่งตั้งไว้บนพื้นดิน หัวบันไดพาดไว้ที่ฟ้าสวรรค์ มีบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้ากำลังขึ้นและลงบันไดอยู่[a] 13 และพระผู้เป็นเจ้ายืนอยู่เหนือบันได พลางกล่าวว่า “เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมบิดาของเจ้า และพระเจ้าของอิสอัค เราจะให้ดินแดนที่เจ้านอนอยู่นี้แก่เจ้าและแก่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า 14 และบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้าจะมีจำนวนมากเท่าฝุ่นผงในโลก และเจ้าจะขยายหมู่ชนกว้างออกไปจนจรดทิศตะวันตกและทิศตะวันออก ทิศเหนือและทิศใต้ และบรรดาชุมชนในโลกจะได้รับพรโดยผ่านเจ้าและบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า[b] 15 ดูเถิด เราอยู่กับเจ้า และจะคุ้มครองเจ้าไม่ว่าเจ้าจะไปไหน และจะนำเจ้ากลับมายังดินแดนนี้ เพราะเราจะไม่จากเจ้าไปจนกว่าเราจะกระทำสิ่งที่เราได้สัญญาไว้เสียก่อน” 16 ครั้นแล้ว ยาโคบก็ตื่นขึ้นและพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน แต่ฉันเองกลับไม่รู้” 17 เขารู้สึกกลัวและพูดว่า “สถานที่นี้ช่างน่าเกรงขามอะไรเช่นนี้ ไม่อาจเป็นที่อื่นใดไปได้ นอกจากจะเป็นพระตำหนักของพระเจ้า และนี่ก็เป็นประตูทางเข้าสวรรค์”
18 ดังนั้น ยาโคบลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และเขาตั้งก้อนหินที่ใช้หนุนศีรษะขึ้น และเทน้ำมันลงบนหินนั้น 19 เขาเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า เบธเอล[c] แต่เดิมทีเดียวเมืองนั้นชื่อลูส 20 แล้วยาโคบก็สาบานว่า “ถ้าพระเจ้าจะอยู่กับข้าพเจ้า และจะคุ้มครองข้าพเจ้าเวลาข้าพเจ้าเดินทางไป และจะให้อาหารข้าพเจ้ารับประทาน ให้เสื้อผ้าข้าพเจ้านุ่งห่ม 21 เพื่อให้ข้าพเจ้ากลับมายังบ้านบิดาของข้าพเจ้าอย่างปลอดภัย แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็จะเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า 22 และก้อนหินที่ข้าพเจ้าตั้งไว้เป็นเสาหลักจะเป็นที่พำนักของพระเจ้า และหนึ่งในสิบของทุกสิ่งที่พระองค์ให้แก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าก็จะมอบแด่พระองค์”
ยูดาสผูกคอตาย
27 เมื่อถึงเวลาฟ้าสางพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของประชาชนได้ร่วมคบคิดกันเพื่อจะทำให้พระเยซูได้รับโทษถึงตาย 2 พวกเขามัดตัวพระองค์และพาไปส่งมอบให้แก่ปีลาตผู้ว่าราชการ
3 เมื่อยูดาสผู้ทรยศเห็นพระองค์ถูกกล่าวโทษ จึงเสียใจและคืนเหรียญเงิน 30 เหรียญแก่พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ 4 เขาพูดว่า “เราได้กระทำบาปด้วยการทรยศคนที่ไร้ความผิด” แต่พวกเขาพูดว่า “แล้วเรื่องอะไรของเราเล่า มันเป็นธุระของท่าน” 5 ยูดาสก็โยนเหรียญเงินนั้นไว้ในพระวิหารแล้วจากไป และเขาก็ไปผูกคอตาย 6 พวกมหาปุโรหิตเอาเงินเหรียญไปพลางกล่าวว่า “ไม่ถูกกฎบัญญัติที่จะเก็บเหรียญไว้ในคลังพระวิหาร ในเมื่อเป็นเงินเปื้อนเลือด” 7 พวกเขาปรึกษากันแล้วก็ซื้อที่นาของช่างปั้นหม้อไว้สำหรับฝังชาวต่างแดน 8 ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเรียกทุ่งนานั้นว่า ทุ่งโลหิต มาจนถึงทุกวันนี้ 9 สิ่งเหล่านี้จึงเป็นไปตามที่พระเจ้ากล่าวผ่านเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าไว้ว่า “และพวกเขาได้เอาเงิน 30 เหรียญซึ่งเป็นราคาที่ตั้งให้ผู้นั้นโดยพวกชนชาติอิสราเอล 10 และเขาเหล่านั้นได้ให้เงินเป็นค่าทุ่งนาของช่างปั้นหม้อ ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งข้าพเจ้าไว้”[a]
ปีลาตสอบสวนพระเยซู
11 ขณะนั้นพระเยซูยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าราชการซึ่งถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” พระเยซูกล่าวว่า “เป็นตามที่ท่านพูด” 12 เมื่อพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่กล่าวหาพระองค์ พระองค์ไม่ได้ตอบกลับ 13 แล้วปีลาตพูดกับพระองค์ว่า “ท่านไม่ได้ยินหรือว่าพวกเขาอ้างคำยืนยันที่ต่อต้านท่านมากมาย” 14 และพระองค์ไม่ได้แก้ข้อกล่าวหาแม้แต่ข้อเดียว ฉะนั้นผู้ว่าราชการจึงประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
15 ในงานเทศกาล ผู้ว่าราชการมักจะปลดปล่อยนักโทษ 1 คนตามที่ฝูงชนต้องการ 16 ในเวลานั้นพวกเขากำลังกักตัวนักโทษร้ายกาจคนหนึ่ง ชื่อบารับบัส 17 ฉะนั้นเมื่อพวกเขาประชุมกัน ปีลาตพูดว่า “พวกท่านจะให้เราปลดปล่อยใคร บารับบัสหรือเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์” 18 เขารู้อยู่ว่า ชาวยิวได้มอบพระเยซูให้แก่เขาเนื่องจากความอิจฉา 19 ขณะที่ปีลาตนั่งตัดสินความอยู่นั้น ภรรยาของเขาส่งคนมาเรียนว่า “อย่าไปทำอะไรกับคนที่ไม่มีความผิดคนนั้นเลย เพราะว่าเมื่อคืนดิฉันฝันถึงเขา และก็ทำให้ดิฉันทรมานมาก” 20 แต่พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ชักจูงฝูงชนให้ขอปลดปล่อยบารับบัส และฆ่าพระเยซูเสีย 21 ผู้ว่าราชการพูดว่า “พวกท่านอยากให้เราปลดปล่อยคนใดใน 2 คนนี้” และพวกเขาตอบว่า “บารับบัส” 22 ปีลาตพูดว่า “แล้วเราควรจะทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์” พวกเขาต่างตอบว่า “ให้ตรึงเขาบนไม้กางเขน” 23 ปีลาตถามว่า “ทำไมเล่า เขาทำอะไรชั่วร้ายหรือ” แต่พวกเขาตะโกนมากยิ่งขึ้นว่า “ให้ตรึงเขาไว้บนไม้กางเขน”
24 เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใด และการจลาจลกำลังก่อตัว เขาจึงเอาน้ำล้างมือต่อหน้าฝูงชนพลางพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบกับความตายของชายผู้นี้ นี่เป็นเรื่องของพวกท่านเอง” 25 แล้วทุกคนตอบว่า “พวกเราและลูกหลานของเรารับผิดชอบการตายของเขาเอง” 26 ครั้นแล้วปีลาตจึงปลดปล่อยบารับบัสให้แก่พวกเขาไป หลังจากที่สั่งให้เฆี่ยนพระเยซูแล้ว ก็ให้นำพระองค์ไปตรึงไว้บนไม้กางเขน
ทหารล้อเลียนพระเยซู
27 ดังนั้นพวกทหารของผู้ว่าราชการจึงนำพระเยซูเข้าไปในวังซึ่งเรียกว่าปรีโทเรียม และรวบรวมทหารในกองทั้งหมดมายืนห้อมล้อมพระองค์ 28 พวกเขากระชากเสื้อของพระองค์ออก และคลุมด้วยเสื้อคลุมสีแดงสด 29 แล้วสวมมงกุฎหนามสานไว้บนศีรษะของพระเยซู ให้ถือไม้อ้อไว้ในมือขวา และพวกเขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระองค์และล้อเลียนว่า “ไชโย ขอต้อนรับกษัตริย์ของชาวยิว” 30 พวกเขาถ่มน้ำลายใส่ และเอาไม้อ้อนั้นตบตีศีรษะของพระองค์ 31 หลังจากที่พวกเขาได้ล้อเลียนพระเยซูแล้วก็ถอดเสื้อคลุมออก สวมเสื้อตัวนอกของพระองค์คืนให้ แล้วนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงบนไม้กางเขน
ไม้กางเขน
32 ขณะที่กำลังเดินกันออกไปก็พบกับชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน พวกเขาจึงใช้ให้แบกไม้กางเขนของพระองค์ 33 เมื่อพวกเขามายังสถานที่ซึ่งเรียกว่ากลโกธาซึ่งมีความหมายว่า ที่ของกะโหลกศีรษะ 34 พวกเขาให้พระเยซูดื่มเหล้าองุ่นผสมกับของขม แต่เมื่อพระองค์ชิมแล้ว ก็ไม่ดื่ม 35 เมื่อพวกเขาได้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนแล้วก็แบ่งปันเสื้อตัวนอกของพระองค์ด้วยการจับฉลากในหมู่พวกเขาเอง 36 หลังจากนั้นก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น 37 พวกเขาติดข้อกล่าวหาพระองค์ไว้เหนือศีรษะของพระองค์ มีความว่า
“นี่คือพระเยซู กษัตริย์ของชาวยิว”
38 ในเวลานั้นมีโจร 2 คนถูกตรึงบนไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ คนหนึ่งทางด้านขวาและคนหนึ่งทางด้านซ้าย 39 พวกผู้คนที่เดินผ่านไป ต่างก็เยาะเย้ยพระองค์พลางส่ายหัวกันไปมา 40 และพูดว่า “ในเมื่อท่านเป็นผู้ที่จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นใหม่ได้ใน 3 วัน ก็ช่วยตัวเองให้รอดสิ ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็ลงมาจากไม้กางเขนเสียเถอะ” 41 พวกมหาปุโรหิตกับอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและพวกผู้ใหญ่ล้อเลียนพระองค์ในทำนองเดียวกันและพูดว่า 42 “เขาช่วยคนอื่นให้รอดชีวิตได้ แต่กลับช่วยตนเองให้รอดไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล เวลานี้ก็ให้ลงมาจากไม้กางเขนสิ แล้วพวกเราจะได้เชื่อเขา 43 เขาไว้ใจพระเจ้า ถ้าพระเจ้าต้องการ ก็ให้พระองค์ช่วยเหลือเขาเดี๋ยวนี้ เพราะเขากล่าวไว้ว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’” 44 โจรทั้งสองที่ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูก็เช่นกัน พวกเขาสบประมาทพระองค์ในทำนองเดียวกัน
พระเยซูสิ้นชีวิต
45 ความมืดปกคลุมไปทั่วแผ่นดินตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่าย 3 โมง 46 ประมาณเวลาบ่าย 3 โมง พระเยซูร้องขึ้นเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” คือ “พระเจ้าของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ทำไมพระองค์จึงทอดทิ้งข้าพเจ้า”[b] 47 บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า “คนนี้กำลังเรียกเอลียาห์” 48 ในทันใดนั้น คนหนึ่งวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวติดไว้ที่ปลายไม้อ้อยื่นให้พระองค์จิบ 49 คนอื่นพูดว่า “รอดูกันเถิดว่าเอลียาห์จะมาช่วยเหลือเขาหรือไม่” 50 พระเยซูร้องเสียงดังขึ้นอีกครั้ง และสิ้นชีวิต
51 ดูเถิด ผ้าม่านในพระวิหารขาดออกเป็น 2 ท่อนจากส่วนบนถึงส่วนล่าง เกิดแผ่นดินไหว และหินแตกออกจากกัน 52 ถ้ำเก็บศพเปิดออก ร่างของบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ตายไปแล้วกลับฟื้นคืนชีวิต 53 เขาเหล่านั้นได้ออกมาจากถ้ำเก็บศพ และหลังจากพระองค์ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว พวกเขาก็เข้าไปในเมืองบริสุทธิ์ และปรากฏตัวแก่คนจำนวนมาก 54 เมื่อนายร้อยและพวกคนที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกันเห็นแผ่นดินไหวและสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ตกใจกลัวมาก พูดว่า “จริงทีเดียว ผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า”
55 มีผู้หญิงจำนวนมากซึ่งอยู่ที่นั่นมองดูอยู่แต่ไกล พวกนางได้ติดตามพระเยซูจากแคว้นกาลิลีมาเพื่อปรนนิบัติพระองค์ 56 ในบรรดาหญิงเหล่านั้นมี มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรชายทั้งสองของเศเบดี
ถ้ำเก็บศพที่เป็นของโยเซฟ
57 ครั้นถึงเวลาเย็น มีชายมั่งมีคนหนึ่งจากเมืองอาริมาเธียชื่อโยเซฟ ซึ่งก็ได้มาเป็นสาวกของพระเยซูเช่นกัน 58 ชายคนนี้ไปหาปีลาตเพื่อขอร่างของพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้เขาเอาร่างไปได้ 59 โยเซฟเอาร่างนั้นไปและพันหุ้มไว้ในผ้าป่านสะอาด 60 เขาวางร่างพระองค์ไว้ในถ้ำเก็บศพของเขาเองซึ่งเจาะเข้าไปในหิน กลิ้งหินก้อนใหญ่พิงปิดทางเข้าถ้ำเก็บศพไว้แล้วจากไป 61 มารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์อีกคนก็อยู่ที่นั่นด้วย นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถ้ำเก็บศพ
ทหารยามเฝ้าถ้ำเก็บศพ
62 ในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันหลังวันจัดเตรียม[c] พวกมหาปุโรหิตและฟาริสีพากันไปหาปีลาต 63 และพูดว่า “นายท่าน พวกเราจำได้ว่าเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ คนหลอกลวงคนนั้นได้กล่าวไว้ว่า ‘หลังจาก 3 วันเราจะมีชีวิตขึ้นอีก’ 64 ฉะนั้นโปรดสั่งให้คนทำถ้ำเก็บศพให้แน่นหนาจนถึงวันที่สาม มิฉะนั้นพวกสาวกจะมาขโมยร่างไปเสีย และจะพูดกับผู้คนได้ว่า เขาได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว การโกหกครั้งนี้จะส่งผลร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก” 65 ปีลาตพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “พวกท่านเอาทหารยามไปเถิด จงไปอารักขาให้แน่นหนาเท่าที่ท่านจะทำได้” 66 ครั้นแล้วพวกเขาก็ไปทำถ้ำเก็บศพให้แน่นหนา ปิดผนึกหินและมีทหารยามเฝ้าไว้
เอสเธอร์เห็นชอบที่จะช่วยชาวยิว
4 เมื่อโมร์เดคัยทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจึงฉีกเสื้อของตน และสวมผ้ากระสอบและเทขี้เถ้าลงบนศีรษะของตน เขาเดินเข้าไปในเมือง และร้องเสียงดังอย่างขมขื่น 2 เขาขึ้นไปยืนที่ทางเข้าประตูราชวัง ไม่มีผู้ใดที่สวมผ้ากระสอบได้รับอนุญาตเข้าทางประตูราชวัง 3 เมื่อชาวยิวในทุกแคว้นได้รับคำบัญชาและกฤษฎีกาของกษัตริย์ พวกเขาก็เศร้าโศกยิ่งนัก จึงมีการอดอาหาร ร้องไห้และร้องคร่ำครวญ หลายคนสวมผ้ากระสอบนอนบนขี้เถ้า
4 เมื่อบรรดาหญิงสาวและขันทีของเอสเธอร์มาแจ้งข่าวให้เธอทราบ ราชินีก็เป็นทุกข์ยิ่งนัก เธอให้นำเสื้อผ้าไปให้โมร์เดคัย เพื่อให้เขาสวมแทนผ้ากระสอบ แต่เขาปฏิเสธ 5 เอสเธอร์จึงเรียกตัวฮาธาคขันทีคนหนึ่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ให้รับใช้เธอ เอสเธอร์สั่งเขาให้ไปหาโมร์เดคัย เพื่อดูว่าเกิดเรื่องอะไรและสาเหตุของเรื่องนั้นคืออะไร 6 ฮาธาคไปหาโมร์เดคัยที่ลานเมืองตรงหน้าประตูราชวัง 7 และโมร์เดคัยบอกฮาธาคทุกอย่างว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับเขา รวมทั้งเรื่องเงินที่ฮามานสัญญาว่าจะจ่ายให้คลังของกษัตริย์เพื่อใช้ในการกำจัดชาวยิว 8 โมร์เดคัยได้ให้สำเนากฤษฎีกาที่ประกาศในสุสาที่จะกวาดล้างพวกเขา เขาจะได้ให้เอสเธอร์ดู และรายงานให้เธอทราบ และสั่งเขาให้ขอเธอเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่ออ้อนวอนขอความกรุณาจากท่าน ในนามของประชาชนของเธอ 9 แล้วฮาธาคก็ไปเล่าให้เอสเธอร์ฟังว่า โมร์เดคัยได้พูดสิ่งใดบ้าง 10 เอสเธอร์กล่าวกับฮาธาค และสั่งเขาให้ไปหาโมร์เดคัย เพื่อบอกเขาดังนี้ว่า 11 “เป็นที่รู้กันในบรรดาเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์และประชาชนในแคว้นต่างๆ ของกษัตริย์ว่า หากชายหรือหญิงคนใดเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ที่ตำหนักชั้นใน โดยไม่มีรับสั่งมาก่อน จะต้องถูกประหารตามกฎนี้เท่านั้น ยกเว้นว่ากษัตริย์ยื่นคทาทองไปทางคนนั้น เขาก็จะรอดชีวิต ส่วนตัวฉันเอง 30 วันที่ผ่านมาก็ยังไม่มีรับสั่งให้ไปเข้าเฝ้าเลย”
12 เมื่อโมร์เดคัยรับทราบสิ่งที่เอสเธอร์แจ้งแล้ว 13 เขาตอบเอสเธอร์ว่า “อย่าคิดในใจว่า การที่เธออาศัยอยู่ในราชวัง เธอจะหนีความตายได้มากกว่าชาวยิวคนอื่นๆ 14 เพราะหากเวลานี้เธอเงียบเฉย การบรรเทาทุกข์และความอยู่รอดของชาวยิวจะมาจากที่อื่น แต่เธอและตระกูลของเธอจะพินาศไป เธอได้มารับตำแหน่งราชินีเพื่อวิกฤตกาลเช่นนี้ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้” 15 เอสเธอร์ให้นำคำตอบกลับไปบอกโมร์เดคัยว่า 16 “ไปเถิด ขอให้รวบรวมชาวยิวทั้งหมดที่อยู่ในสุสา ให้อดอาหารเพื่อฉัน อย่ารับประทานหรือดื่มอะไร 3 วัน ทั้งกลางวันและกลางคืน บรรดาหญิงสาวและตัวฉันก็จะอดอาหารอย่างท่านด้วย แล้วฉันจะไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ แม้ว่าจะผิดกฎ ถึงฉันจะตาย ฉันก็ยอม” 17 โมร์เดคัยจึงไปทำทุกสิ่งตามที่เอสเธอร์สั่งให้เขาทำ
เปาโลแล่นเรือไปยังเมืองโรม
27 เมื่อตัดสินใจกันได้ว่า จะให้พวกเราแล่นเรือไปยังประเทศอิตาลี เปาโลและนักโทษอื่นบางคนก็ถูกส่งตัวให้นายร้อยชื่อยูเลียสซึ่งเป็นนายทหารในกองของจักรพรรดิ 2 และยังมีชาวมาซิโดเนียซึ่งมาจากเธสะโลนิกาคนหนึ่งชื่ออาริสทาร์คัสไปกับเราด้วย โดยลงเรือที่มาจากเมืองอัดรามิททิยุมซึ่งพร้อมที่จะแล่นไปยังท่าต่างๆ ตามชายฝั่งทะเลในแคว้นเอเชีย แล้วพวกเราก็ออกเรือกันไป 3 วันรุ่งขึ้นพวกเราขึ้นฝั่งที่เมืองไซดอน ฝ่ายยูเลียสผู้มีใจกรุณาต่อเปาโลก็ยอมให้ท่านไปหาพวกเพื่อนๆ ได้ เผื่อจะได้รับความช่วยเหลือ 4 ครั้นเราออกเรือไปจากที่นั่นแล้ว จึงแล่นไปทางด้านอับลมของเกาะไซปรัสเพราะทวนลม 5 เมื่อเราได้ล่องเรือเลียบฝั่งทะเลของแคว้นซีลีเซียกับแคว้นปัมฟีเลีย เราก็ได้ขึ้นฝั่งที่เมืองมิราในแคว้นลีเซีย 6 ที่เมืองนั้นนายร้อยได้พบเรือลำหนึ่งมาจากอเล็กซานเดรีย ซึ่งกำลังจะแล่นไปยังประเทศอิตาลี จึงให้พวกเราลงเรือกัน 7 เราแล่นไปช้าๆ หลายวันและมาถึงใกล้เมืองคนีดัสด้วยความยากลำบาก เมื่อลมพัดทวนมาก เราก็แล่นไปทางด้านอับลมของเกาะครีตเลียบเคียงใต้แหลมสัลโมเน 8 เราแล่นไปตามชายฝั่งด้วยความยากลำบาก จนมาถึงที่แห่งหนึ่งเรียกว่าท่าพักพิง ซึ่งอยู่ใกล้เมืองลาเซีย
9 การเดินเรือช่วงนี้อันตรายยิ่งและเสียเวลาไปมากแล้ว เพราะได้ล่วงเลยช่วงเวลาเทศกาลอดอาหารไปแล้ว เปาโลจึงเตือนเขาทั้งหลายว่า 10 “ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเห็นว่าการเดินทางของพวกเราจะเกิดการเสียหาย และจะมีการสูญเสียใหญ่ยิ่ง คือไม่เกิดกับเรือและของบรรทุกเท่านั้น แต่ชีวิตของพวกเราเองด้วย” 11 แต่แทนที่นายร้อยจะฟังเปาโลพูด กลับทำตามที่กัปตันและเจ้าของเรือแนะนำ 12 ในเมื่อท่าเรือนั้นไม่เหมาะพอที่จะจอดพักในฤดูหนาว คนส่วนใหญ่จึงตัดสินใจให้แล่นต่อไป โดยหวังที่จะไปถึงเมืองฟีนิกส์และพักตลอดช่วงฤดูหนาวที่นั่น ฟีนิกส์เป็นเมืองท่าเรือของเกาะครีต ซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้
พายุ
13 เมื่อลมทิศใต้พัดมาเบาๆ เขาเหล่านั้นก็คิดว่าได้การสมความปรารถนาแล้ว จึงถอนสมอแล่นไปตามชายฝั่งของเกาะครีต 14 ไม่นานต่อมาลมพายุกล้าชื่อ ตะวันออกเฉียงเหนือ พัดลงมาจากเกาะนั้น 15 เรือจึงถูกพายุอย่างจัง สุดกำลังจะต้านลม จึงปล่อยไปตามกระแสลมพัด 16 เมื่อเราแล่นผ่านไปจนถึงที่อับลมของเกาะคาวดาซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ เราแทบจะคุมเรือเล็กไม่ไหว 17 และเมื่อยกขึ้นเรือใหญ่ได้แล้ว ก็เอาเชือกโอบใต้เรือใหญ่ไว้ให้แน่นกันเรือแตก ด้วยเกรงว่าจะเกยสันดอนทรายในอ่าวเสอร์ทิส จึงทอดสมอลงแล้วก็ปล่อยเรือไปตามกระแสลม 18 เมื่อต้องต้านพายุมากจนวันรุ่งขึ้น คนเหล่านั้นจึงเริ่มโยนของที่บรรทุกมาทิ้งทะเลเสียบ้าง 19 พอวันที่สามพวกเขาโยนเครื่องที่โยงระยางกับใบลงทะเลด้วยมือของเขาเอง 20 เมื่อไม่เห็นทั้งดวงอาทิตย์และดวงดาวหลายวัน และพายุยังคงพัดกระหน่ำต่อไป เราก็ไม่มีแม้แต่ความหวังว่าจะรอดชีวิตไปได้
21 เมื่อพวกเขาไม่ได้รับประทานอาหารมาเป็นเวลานาน เปาโลยืนขึ้นกล่าวว่า “ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อฟังข้าพเจ้าโดยไม่แล่นออกจากเกาะครีตแล้ว ท่านก็จะไม่ต้องเผชิญกับความเสียหายและสูญเสียสิ่งของเช่นนี้ 22 แต่มาบัดนี้ข้าพเจ้าขอแนะว่าจงทำใจให้กล้าหาญต่อไปเถิด เพราะว่าไม่มีผู้ใดในพวกท่านที่จะเสียชีวิต จะเสียก็แต่เรือเท่านั้น 23 เมื่อคืนนี้ทูตสวรรค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าชีวิตของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้ารับใช้มายืนอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้า 24 และกล่าวว่า ‘เปาโลเอ๋ย อย่ากลัวเลย ท่านต้องไปให้ซีซาร์พิจารณาคดี และด้วยพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อท่าน พระองค์ได้ไว้ชีวิตทุกคนที่ลงเรือมากับท่าน’ 25 ดังนั้นท่านทั้งหลายจงทำใจให้เข้มแข็งเถิด เพราะข้าพเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้าว่า ทุกสิ่งจะเกิดขึ้นตามที่ข้าพเจ้าได้ยิน 26 แต่ว่าพวกเราต้องเกยตื้นที่เกาะแห่งหนึ่ง”
เรือแตก
27 คืนที่สิบสี่ เรายังถูกพายุพัดข้ามทะเลอาเดรียติกอยู่ พอราวเที่ยงคืนพวกกะลาสีมีความรู้สึกว่าเข้าใกล้แผ่นดินแล้ว 28 เมื่อหยั่งความลึกก็วัดได้ว่าน้ำลึก 40 เมตร และเพียงชั่วครู่ต่อมาก็หยั่งดูอีกและวัดได้ว่าลึก 30 เมตร 29 ด้วยกลัวว่าเรือจะกระแทกหิน พวกเขาจึงทอดสมอ 4 ตัวลงที่ท้ายเรือและอธิษฐานว่าไม่ช้าฟ้าก็จะสาง 30 เมื่อพวกกะลาสีหาช่องทางหนีจากเรือใหญ่ได้ เขาก็หย่อนเรือเล็กลงทะเล ทำทีว่าจะหย่อนสมอลงจากหัวเรือ 31 แล้วเปาโลพูดกับนายร้อยและพวกทหารว่า “ถ้าคนพวกนั้นไม่อยู่ในเรือใหญ่ พวกท่านจะไม่รอดตาย” 32 ดังนั้นทหารเหล่านั้นจึงตัดเชือกที่ผูกเรือเล็กไว้ให้ตกลงน้ำไป
33 พอจวนรุ่งเช้าเปาโลชักชวนให้ทุกคนรับประทาน โดยกล่าวว่า “14 วันมาแล้วที่พวกท่านรอคอยอยู่ตลอดเวลาและไม่ได้รับประทานอะไรเลย 34 ฉะนั้นข้าพเจ้าชวนให้ท่านรับประทานบ้าง มันจำเป็นเพื่อประทังชีวิต แม้แต่ผมเส้นเดียวก็จะไม่หลุดจากศีรษะของท่านหรอก” 35 เมื่อท่านกล่าวดังนั้นแล้วก็หยิบขนมปังมาขอบคุณพระเจ้าต่อหน้าพวกเขา แล้วท่านก็บิรับประทาน 36 ทุกคนก็มีกำลังใจดีขึ้นและเริ่มรับประทานกัน 37 รวมพวกเราทั้งหมดที่อยู่ในเรือได้ 276 คน 38 เมื่อเขาเหล่านั้นได้รับประทานอิ่มแล้ว จึงโยนข้าวสาลีทิ้งลงทะเลเพื่อให้เรือเบาขึ้น
39 พอฟ้าสางพวกเขาก็เห็นพื้นดินแต่ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด เพราะเป็นอ่าวที่มีชายหาดซึ่งเขาตัดสินใจกันว่า จะให้เรือเกยตื้นที่นั่นถ้าเป็นไปได้ 40 แล้วเขาจึงตัดสายสมอทิ้งลงทะเลเสีย และในขณะเดียวกันก็ได้แก้เชือกที่มัดหางเสือออก แล้วก็ชักใบหัวเรือขึ้นให้กินลมแล่นตรงเข้าชายฝั่ง 41 แต่เรือติดสันดอนทรายเกยค้างอยู่ และหัวเรือติดแน่นขยับไม่ได้ ท้ายเรือก็หักออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะคลื่นกระทบอย่างแรง 42 พวกทหารวางแผนที่จะฆ่านักโทษทั้งหมดเพื่อกันไม่ให้ว่ายน้ำหนีไป 43 แต่นายร้อยอยากไว้ชีวิตเปาโล จึงห้ามไม่ให้เขาทำตามแผนนั้น เขาสั่งให้พวกที่ว่ายน้ำเป็น กระโดดน้ำว่ายเข้าฝั่งไปก่อน 44 คนที่เหลือบ้างก็เกาะกระดาน บ้างก็เกาะท่อนไม้ที่หักออกจากเรือ ทุกคนจึงได้ถึงฝั่งและมีชีวิตรอดทั้งหมด
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation