M’Cheyne Bible Reading Plan
อิสอัคกับเรเบคาห์
24 บัดนี้อับราฮัมชราลง ท่านมีอายุมากแล้ว และพระผู้เป็นเจ้าได้ให้พรอับราฮัมในทุกด้าน 2 อับราฮัมพูดกับผู้รับใช้ที่มีอายุมากที่สุดในบ้าน และเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของท่านว่า “จงวางมือของเจ้าไว้ที่ใต้ขาอ่อนของเรา 3 และเราจะให้เจ้าสาบานในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกว่า เจ้าจะไม่หาลูกสาวจากชาวคานาอันมาเป็นภรรยาลูกชายของเรา เราเองก็อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา 4 แต่เจ้าจะกลับไปที่ประเทศและหมู่ญาติพี่น้องของเรา และหาภรรยาให้อิสอัคลูกชายของเรา” 5 ผู้รับใช้ตอบท่านว่า “ถ้าทางฝ่ายหญิงไม่ยอมติดตามข้าพเจ้ามายังดินแดนนี้ ข้าพเจ้าจะพาลูกชายของท่านกลับไปยังดินแดนที่ท่านจากมาหรือไม่” 6 อับราฮัมพูดกับเขาว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เจ้าอย่าพาลูกชายของเรากลับไปที่นั่น 7 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ผู้นำเรามาจากบ้านของบิดาของเรา และจากดินแดนที่เรากำเนิด และเป็นองค์ผู้กล่าวกับเราและปฏิญาณดังนี้ว่า ‘เราจะให้ดินแดนนี้แก่ผู้สืบเชื้อสายของเจ้า’[a] พระองค์จะให้ทูตสวรรค์ของพระองค์ล่วงหน้าไปก่อนเจ้า และเจ้าจะหาภรรยาจากที่นั่นให้ลูกชายของเราได้ 8 แต่ถ้าผู้หญิงไม่ยอมติดตามเจ้า เจ้าก็จะพ้นจากคำสาบานของเรา ขอเพียงแต่เจ้าอย่าพาลูกชายของเรากลับไปที่นั่น” 9 ดังนั้นผู้รับใช้จึงวางมือของเขาไว้ที่ใต้ขาอ่อนของอับราฮัมนายของเขา และสาบานต่อท่านในเรื่องนี้
10 ผู้รับใช้นำอูฐ 10 ตัวของนายมา แล้วออกเดินทางไป เขานำของมีค่าสารพัดชนิดของนายติดมือไปด้วย เขาไปยังอารัมนาหะราอิม[b] ยังเมืองของนาโฮร์ 11 เขาให้อูฐคุกเข่าลงที่นอกเมืองใกล้บ่อน้ำในเวลาเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่พวกผู้หญิงพากันไปตักน้ำ 12 แล้วเขาพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมนายของข้าพเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้าได้พบความสำเร็จในวันนี้เถิด ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระองค์ ขอพระองค์แสดงความรักอันมั่นคงต่ออับราฮัมนายข้าพเจ้าเถิด 13 ดูเถิด ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ที่ข้างบ่อน้ำพุ และบรรดาลูกสาวของคนในเมืองนี้ออกมาตักน้ำ 14 ขอให้หญิงสาวคนที่ข้าพเจ้าจะพูดกับเธอว่า ‘โปรดวางโถของเธอลงให้ฉันดื่ม’ เป็นคนที่จะพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘ดื่มเถิด และฉันจะให้อูฐของท่านกินน้ำด้วย’ โปรดให้เธอเป็นคนที่พระองค์มั่นหมายไว้สำหรับอิสอัคผู้รับใช้ของพระองค์ ถ้าเกิดขึ้นตามนี้ ข้าพเจ้าจะได้ทราบว่าพระองค์ได้แสดงความรักอันมั่นคงของพระองค์แก่นายของข้าพเจ้า”
15 เขายังพูดไม่ทันจบ ดูเถิด เรเบคาห์บุตรหญิงของเบธูเอลบุตรของมิลคาห์ภรรยาของนาโฮร์น้องชายของอับราฮัม ก็แบกโถน้ำบนบ่าของเธอเดินออกมา 16 หญิงสาวผู้นั้นโฉมงามนักและเธอเป็นพรหมจาริณี ซึ่งยังไม่มีชายใดแตะต้องมาก่อน เธอลงไปที่น้ำพุ ตักน้ำใส่โถของนางจนเต็ม และกลับขึ้นมา 17 ครั้นแล้วผู้รับใช้คนนั้นก็วิ่งไปพบเธอ พลางพูดว่า “โปรดให้ฉันดื่มน้ำจากโถของเธอสักนิด” 18 เธอพูดว่า “เชิญดื่มเถิด นาย” แล้วเธอก็ลดโถน้ำที่ประคองในมือของเธอลงโดยเร็ว และให้เขาดื่ม 19 เมื่อเธอให้เขาดื่มเสร็จแล้ว เธอพูดว่า “ฉันจะตักน้ำให้อูฐของท่านด้วย จนกว่าจะกินกันอิ่ม” 20 เธอจึงรีบเทน้ำจากโถของเธอลงในรางน้ำ แล้ววิ่งไปตักน้ำจากบ่ออีก เธอตักน้ำให้อูฐของเขาทุกตัว 21 ชายผู้นั้นจ้องดูเธอโดยไม่ปริปาก เพื่อดูว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ให้การเดินทางของเขาสำเร็จผลหรือไม่
22 เมื่ออูฐกินน้ำเสร็จแล้ว ชายผู้นั้นก็หยิบแหวนทองคำหนักครึ่งเชเขล กับกำไลมือทองคำ 2 วงหนัก 10 เชเขล 23 และพูดว่า “บอกฉันเถิดว่าเธอเป็นลูกสาวของใคร บ้านบิดาของเธอมีห้องพักให้พวกเราค้างแรมหรือเปล่า” 24 เธอพูดตอบเขาว่า “ฉันเป็นลูกสาวของเบธูเอลผู้เป็นลูกชายของนาโฮร์กับมิลคาห์” 25 เธอพูดต่ออีกว่า “เรามีทั้งฟางและอาหารพอ รวมทั้งห้องสำหรับค้างแรมด้วย” 26 ชายผู้นั้นก้มศีรษะและกราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า 27 พลางพูดว่า “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมนายข้าพเจ้า พระองค์ไม่ลืมความรักอันมั่นคงของพระองค์ และความสัตย์จริงที่มีต่อนายของข้าพเจ้า พระผู้เป็นเจ้าได้นำทางข้าพเจ้าให้มาถึงบ้านของญาติพี่น้องของนายข้าพเจ้า” 28 แล้วหญิงสาวผู้นั้นวิ่งไปบอกคนในครัวเรือนของมารดาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
29 ลาบันพี่ชายเรเบคาห์วิ่งไปหาชายผู้นั้นที่น้ำพุ 30 เมื่อเขาเห็นแหวนกับกำไลที่ข้อมือน้องสาว และเมื่อเขาได้ยินเรเบคาห์น้องสาวพูดว่า “ชายคนนั้นพูดกับฉันอย่างนี้” เขาก็ไปหาชายคนนั้น และเห็นว่าเขากำลังยืนอยู่ข้างอูฐที่น้ำพุ 31 เขาจึงพูดว่า “เชิญเข้ามาข้างใน ท่านผู้ได้รับพระพรของพระผู้เป็นเจ้า ทำไมท่านจึงยืนอยู่ข้างนอก ข้าพเจ้าได้เตรียมบ้านให้เรียบร้อยแล้ว และมีที่สำหรับพวกอูฐด้วย” 32 ชายคนนั้นจึงเข้าไปในบ้าน ลาบันยกของลงจากอูฐ ให้ฟางและอาหารแก่อูฐ มีน้ำล้างเท้าให้เขาและพวกผู้ชายที่มากับเขาด้วย 33 จากนั้นก็มีอาหารตั้งไว้ที่ตรงหน้าเขาเพื่อรับประทาน แต่เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่รับประทานจนกว่าจะได้พูดเรื่องธุระก่อน” ลาบันพูดว่า “เชิญท่านพูดเถิด”
34 เขาจึงพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของอับราฮัม 35 พระผู้เป็นเจ้าได้อวยพรนายของข้าพเจ้าจนท่านมั่งมี พระองค์ได้ให้แพะแกะและโคเป็นฝูงๆ แก่ท่าน ทั้งเงินและทอง ผู้รับใช้ชายและหญิง อูฐ และลา 36 ส่วนซาราห์ภรรยาของนายข้าพเจ้าได้กำเนิดลูกชายคนหนึ่งให้แก่ท่านในวัยชรา นายข้าพเจ้าได้ให้ทุกสิ่งที่ท่านมีแก่ลูกของท่าน 37 นายข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าสาบานว่า ‘เจ้าจะไม่หาลูกสาวจากชาวคานาอันมาเป็นภรรยาลูกชายของเรา เราเองก็อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา 38 แต่เจ้าจะไปยังบ้านบิดาของเราและตระกูลของเรา และหาภรรยาให้อิสอัคลูกชายของเรา’ 39 ข้าพเจ้าพูดกับนายข้าพเจ้าว่า ‘ทางฝ่ายหญิงอาจจะไม่ยอมติดตามข้าพเจ้ามา’ 40 แต่ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าเชื่อฟังจะให้ทูตสวรรค์ของพระองค์ไปกับเจ้า และจะมอบความสำเร็จให้แก่เจ้า เจ้าจะหาภรรยาจากตระกูลของเราและจากบ้านบิดาของเราให้แก่ลูกชายของเรา 41 เจ้าก็จะพ้นจากคำสาบานของเรา เวลาเจ้าไปหาคนในตระกูลของเรา แล้วถ้าพวกเขาไม่ยอมให้เธอไปกับเจ้า เจ้าก็จะพ้นจากคำสาบานของเรา’
42 วันนี้ข้าพเจ้าไปที่น้ำพุ ข้าพเจ้าพูดว่า ‘โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมนายข้าพเจ้า โปรดให้การเดินทางของข้าพเจ้าสำเร็จผล 43 ดูเถิด ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ที่ข้างบ่อน้ำพุ ขอให้หญิงสาวคนที่มาตักน้ำ เป็นคนที่ข้าพเจ้าจะพูดด้วยว่า “โปรดให้ฉันดื่มน้ำจากโถของเธอสักนิด” 44 และเป็นคนที่จะพูดกับข้าพเจ้าว่า “ดื่มเถิด และฉันจะตักให้อูฐของท่านด้วย” ขอให้เธอเป็นหญิงที่พระผู้เป็นเจ้าได้มั่นหมายไว้สำหรับลูกชายของนายข้าพเจ้าเถิด’
45 ข้าพเจ้าอธิษฐานยังไม่ทันจบ ดูเถิด เรเบคาห์แบกโถน้ำบนบ่าของเธอเดินออกมา และเธอลงไปที่น้ำพุเพื่อตักน้ำ ข้าพเจ้าพูดกับเธอว่า ‘โปรดให้ฉันดื่มน้ำเถิด’ 46 เธอประคองโถน้ำของเธอลงจากบ่าโดยเร็ว และพูดว่า ‘เชิญดื่มเถิด และฉันจะให้อูฐของท่านกินด้วย’ ข้าพเจ้าจึงดื่ม และเธอก็ให้อูฐกินด้วย 47 แล้วข้าพเจ้าถามเธอว่า ‘เธอเป็นลูกสาวของใคร’ เธอพูดว่า ‘ลูกสาวของเบธูเอลผู้เป็นลูกชายของนาโฮร์กับมิลคาห์’ ข้าพเจ้าจึงใส่แหวนที่จมูก และกำไลที่ข้อมือให้เธอ 48 แล้วข้าพเจ้าก้มศีรษะและกราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้า และสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมนายข้าพเจ้า องค์ผู้นำทางให้ข้าพเจ้าตรงมายังที่หมาย เพื่อพาลูกสาวของญาติพี่น้องของนายข้าพเจ้า ไปให้ลูกชายของท่าน 49 มาบัดนี้ ถ้าท่านจะแสดงความกรุณาและความภักดีต่อนายข้าพเจ้า ขอให้ท่านบอกข้าพเจ้า และหากว่าไม่ ก็ขอให้บอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
50 ลาบันและเบธูเอลตอบว่า “เรื่องนี้มาจากพระผู้เป็นเจ้า พวกเราจะว่าอะไรได้ 51 ดูเถิด เรเบคาห์ก็อยู่ตรงหน้าท่าน เชิญพาเธอไป ให้เธอไปเป็นภรรยาของลูกชายของนายท่าน ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้”
52 เมื่อผู้รับใช้ของอับราฮัมได้ยินคำพูดของพวกเขาแล้ว เขาก็ก้มลงกราบที่พื้น ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 53 แล้วผู้รับใช้หยิบเครื่องประดับกายเงินและทองคำ และเสื้อผ้าออกมาให้เรเบคาห์ เขาให้ของอันมีค่าแก่พี่ชายและมารดาของเธอด้วย 54 หลังจากนั้น เขาและพวกผู้ชายที่มากับเขาก็รับประทานและดื่มกัน แล้วค้างแรมที่นั่น เมื่อลุกขึ้นในตอนเช้า เขาพูดว่า “ให้ข้าพเจ้ากลับไปยังนายของข้าพเจ้าเถิด” 55 พี่ชายกับมารดาของเธอพูดว่า “ให้เธออยู่กับเราสักพัก อย่างน้อย 10 วัน และหลังจากนั้น เธอจึงไปได้” 56 แต่เขาพูดตอบว่า “อย่ารั้งข้าพเจ้าเลย ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้ให้การเดินทางของข้าพเจ้าสำเร็จผล ปล่อยให้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจะได้ไปหานายของข้าพเจ้า” 57 พวกเขาพูดว่า “เราจะเรียกหญิงสาวมาถามเอง” 58 แล้วพวกเขาจึงเรียกเรเบคาห์มา และถามเธอว่า “เจ้าจะไปกับชายคนนี้หรือไม่” เธอตอบว่า “ฉันจะไป” 59 ดังนั้น พวกเขาจึงส่งตัวเรเบคาห์น้องสาวกับพี่เลี้ยงของเธอ ไปกับผู้รับใช้ของอับราฮัมและคนของท่าน 60 แล้วพวกเขาอวยพรเรเบคาห์ พลางพูดกับเธอว่า
“น้องสาวของเรา ขอให้เจ้าเป็นมารดา
ของคนจำนวนมากมายเกินที่จะนับได้
และขอให้บรรดาผู้สืบเชื้อสาย
ของเจ้ายึดครองเมืองของพวกศัตรูได้”
61 เรเบคาห์กับพวกสาวใช้ก็ลุกขึ้น แล้วขึ้นขี่อูฐตามชายคนนั้นไป ผู้รับใช้คนนั้นก็พาเรเบคาห์ไป
62 ส่วนอิสอัคเพิ่งกลับมาจากเบเออลาไฮรอย และกำลังอาศัยอยู่ที่เนเกบ 63 ครั้นใกล้ยามเย็นอิสอัคออกไปใคร่ครวญอยู่ในทุ่งนา ท่านเงยหน้าขึ้นเห็น ดูเถิด มีอูฐเดินมา 64 เรเบคาห์เงยหน้าขึ้น เมื่อเธอเห็นอิสอัค เธอก็ลงจากอูฐ 65 และถามผู้รับใช้คนนั้นว่า “ชายคนที่กำลังเดินในทุ่งนามาพบกับเรานั่นเป็นใคร” ผู้รับใช้ตอบว่า “เป็นนายของข้าพเจ้า” เธอจึงหยิบผ้าคลุมหน้ามาคลุม 66 แล้วผู้รับใช้ก็บอกอิสอัคถึงทุกสิ่งที่เขาทำ 67 อิสอัคจึงพาเรเบคาห์เข้าไปในกระโจมของซาราห์มารดาของตน อิสอัครับเธอเป็นภรรยา ท่านรักเธอ นับจากวันที่สูญเสียมารดาของท่านไปแล้ว บัดนี้เองที่อิสอัครู้สึกสบายใจขึ้น
ความวิบัติ 7 ประการ
23 ครั้นแล้วพระเยซูกล่าวกับฝูงชนและเหล่าสาวกของพระองค์ว่า 2 “พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสีนั่งในที่นั่งของโมเสส 3 ฉะนั้นจงกระทำตามทุกสิ่งที่พวกเขาบอกให้เจ้าฟัง แต่อย่ากระทำตามการกระทำของเขา เพราะเขาสอนเท่านั้น แต่ไม่ปฏิบัติตาม 4 พวกเขาให้ผู้คนแบกหามภาระหนัก โดยที่พวกเขาไม่ยอมแม้แต่จะยกนิ้วขึ้นช่วยเขาเลย 5 พวกเขาปฏิบัติตนให้คนสังเกตเห็น ติดเครื่องราง[a]ขนาดใหญ่ไว้กับตัว และมีพู่ยาวห้อยจากเสื้อ 6 พวกเขาชอบที่นั่งอันมีเกียรติในงานเลี้ยง และที่นั่งสำหรับคนสำคัญที่สุดในศาลาที่ประชุม 7 ชอบให้คนทักทายแสดงความเคารพในย่านตลาดและให้ผู้คนเรียกพวกเขาว่า ‘รับบี’[b] 8 อย่าให้คนเรียกเจ้าว่า ‘รับบี’ เพราะมีผู้เดียวที่เป็นอาจารย์ และทุกคนในพวกเจ้าเป็นพี่น้องกัน 9 อย่าเรียกใครในโลกนี้ว่าบิดา เพราะเจ้ามีพระบิดาผู้เดียว และพระองค์สถิตบนสวรรค์ 10 อย่าให้คนเรียกเจ้าว่า ‘ผู้สอน’ เพราะเจ้ามีผู้สอนผู้เดียว พระองค์คือพระคริสต์ 11 แต่ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในพวกเจ้าจะเป็นผู้รับใช้ของเจ้า 12 ผู้ใดที่ยกย่องตัวเองก็จะถูกเหยียดลง และผู้ใดที่ถ่อมตัวก็จะได้รับการยกย่อง
13 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะท่านได้ปิดอาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่ให้คนเข้า ท่านเองไม่ได้เข้าไปและยังขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นล่วงเข้าไปเสียด้วย [14 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ท่านริบบ้านเรือนของพวกหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาวเพื่อให้คนเห็น ฉะนั้นท่านจะถูกกล่าวโทษอย่างหนัก][c] 15 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะท่านเดินทางทั้งทางบกและทางน้ำเพื่อจะทำให้คนหนึ่งเชื่อในศาสนายิว เมื่อเขาหันมาเชื่อแล้วท่านก็ทำให้เขาลงนรกยิ่งกว่าท่านเองถึง 2 เท่า
16 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกผู้นำทางที่มีแต่ความมืดบอด ท่านพูดว่า ‘ใครก็ตามที่อ้างถึงพระวิหารเวลาสาบาน เขาก็ไม่ต้องทำตามคำสาบาน แต่ใครก็ตามที่อ้างถึงทองของพระวิหารเวลาสาบาน ผู้นั้นผูกมัดกับคำสาบานแล้ว’ 17 พวกท่านช่างโง่เขลามืดบอด อะไรสำคัญกว่ากัน ทองหรือพระวิหารซึ่งทำให้ทองบริสุทธิ์ 18 และท่านพูดว่า ‘ใครก็ตามที่อ้างถึงแท่นบูชาเวลาสาบาน เขาก็ไม่ต้องทำตามคำสาบาน แต่ใครก็ตามที่อ้างถึงของบูชาบนแท่นนั้น เขาผูกมัดกับคำสาบานแล้ว’ 19 พวกท่านช่างมืดบอดเสียจริง อะไรสำคัญกว่ากัน ของบูชาหรือแท่นซึ่งทำให้ของบูชาบริสุทธิ์ 20 ฉะนั้นคนที่สาบานโดยอ้างถึงแท่นบูชา ก็อ้างถึงแท่นบูชาและทุกสิ่งที่อยู่บนแท่นด้วย 21 และคนที่สาบานโดยอ้างถึงพระวิหาร ก็อ้างถึงพระวิหารและพระองค์ผู้สถิตในนั้นด้วย 22 และคนที่สาบานโดยอ้างถึงสวรรค์ ก็อ้างถึงบัลลังก์ของพระเจ้าและพระองค์ผู้สถิตบนนั้นด้วย
23 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะท่านให้หนึ่งในสิบของสะระแหน่ ผักชี[d] และยี่หร่า แต่กลับเพิกเฉยต่อกฎบัญญัติที่สำคัญกว่าคือ ความเป็นธรรม ความเมตตา และความเชื่อ สิ่งเหล่านี้ท่านควรกระทำอยู่ก่อนแล้วโดยไม่ละเลยจำนวนหนึ่งในสิบด้วย 24 พวกผู้นำทางที่มีแต่ความมืดบอด พวกท่านกรองตัวริ้นออกและกลืนตัวอูฐลงไป
25 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะท่านทำความสะอาดถ้วยชามภายนอก แต่ภายในกลับเต็มด้วยความโลภและกิเลส 26 ท่านฟาริสีก็เต็มด้วยความมืดบอดเสียจริง จงล้างภายในถ้วยชามก่อน เพื่อภายนอกจะได้สะอาดด้วย
27 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะท่านเป็นเหมือนถ้ำเก็บศพฉาบด้วยปูนขาวซึ่งภายนอกดูสวยงาม แต่ภายในเต็มไปด้วยกระดูกของคนตายและสิ่งที่เป็นมลทินทั้งปวง 28 ภายนอกดูเหมือนว่าท่านมีความชอบธรรมในสายตามนุษย์ แต่ภายในท่านเต็มด้วยความหลอกลวงและความชั่วช้า
29 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะท่านสร้างถ้ำเก็บศพให้พวกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และประดับประดาหลุมฝังศพของคนมีความชอบธรรม 30 ท่านพูดว่า ‘ถ้าพวกเราได้มีชีวิตอยู่ในสมัยบรรพบุรุษของเรา เราก็จะไม่มีส่วนร่วมในการนองเลือดของพวกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแล้ว’ 31 ดังนั้น ท่านได้ยืนยันว่าท่านเป็นบรรดาบุตรของพวกที่ฆ่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 32 ฉะนั้นท่านก็กระทำต่อให้ครบขั้นตอนของบรรพบุรุษของท่านเถิด 33 ท่านเป็นพวกงู พวกชาติอสรพิษ ท่านจะพ้นจากโทษแห่งนรกได้อย่างไร 34 ฉะนั้นเรากำลังส่งพวกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า พวกผู้มีปัญญา และเหล่าอาจารย์ มายังท่าน ท่านจะฆ่าและตรึงพวกเขาบางคนบนไม้กางเขน สำหรับบางคน ท่านก็จะเฆี่ยนเขาในศาลาที่ประชุมของท่าน และข่มเหงไปทั่วทุกเมือง 35 ผลที่ตามมาก็คือโลหิตที่หลั่งออกจากบรรดาผู้มีความชอบธรรมลงสู่พื้นนั้นจะตกอยู่กับท่าน นับตั้งแต่โลหิตของอาเบล[e]ผู้มีความชอบธรรม จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์[f]บุตรของเบเรคิยาห์ที่ท่านได้ฆ่าในระหว่างพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้าและแท่นบูชา 36 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับคนในช่วงกาลเวลานี้
37 โอ เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าได้ฆ่าบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และได้เอาหินขว้างผู้ที่พระเจ้าส่งมาให้เจ้า หลายต่อหลายครั้งที่เราอยากจะปกป้องลูกๆ ของเจ้าไว้เหมือนกับแม่ไก่โอบลูกไก่ไว้ใต้ปีก พวกเจ้านั่นแหละที่ไม่ยินยอม 38 ดูเถิด บ้านของเจ้าถูกทิ้งร้างไว้ 39 เราขอบอกว่า เจ้าจะไม่เห็นเราอีกจนกว่าเจ้าจะพูดว่า ‘ขอพระองค์ผู้มาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นสุขเถิด’”[g]
การปรับปรุงขั้นสุดท้าย
13 ในวันนั้น เขาทั้งหลายอ่านจากหนังสือของโมเสสให้ประชาชนฟัง และพบที่เขียนว่า ชาวอัมโมนและชาวโมอับไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปร่วมในการชุมนุมของพระเจ้า 2 เพราะพวกเขาไม่ให้อาหารและน้ำแก่ชาวอิสราเอล แต่กลับจ้างบาลาอัมให้ต่อต้าน และสาปแช่งพวกเขา แต่พระเจ้าของพวกเราเปลี่ยนคำสาปแช่งให้เป็นพระพร[a] 3 ทันทีที่ประชาชนได้ยินกฎบัญญัติ พวกเขาก็แยกชาวต่างชาติออกจากชาวอิสราเอล
4 ก่อนหน้านี้ เอลียาชีบปุโรหิตมีหน้าที่ดูแลห้องที่พระตำหนักของพระเจ้า เขาทำงานใกล้ชิดกับโทบียาห์ 5 จึงได้เตรียมห้องที่กว้างใหญ่ให้แก่โทบียาห์ ห้องนี้เคยเป็นห้องที่ใช้เก็บเครื่องธัญญบูชา กำยาน เครื่องใช้ หนึ่งในสิบของธัญพืชที่รับจากการถวาย เหล้าองุ่น และน้ำมัน ซึ่งมอบให้ตามคำบัญญัติแก่ชาวเลวี บรรดานักร้อง และคนเฝ้าประตู และยังเป็นที่เก็บสิ่งที่มอบให้แก่บรรดาปุโรหิตด้วย 6 ขณะที่เป็นไปดังกล่าว ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในเยรูซาเล็ม เพราะในปีที่สามสิบสองของอาร์ทาเซอร์ซีสกษัตริย์แห่งบาบิโลน ข้าพเจ้าไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ และต่อมาภายหลัง ข้าพเจ้าขออนุญาตลากษัตริย์ 7 เมื่อมาถึงเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าจึงทราบถึงความชั่วร้ายที่เอลียาชีบได้ช่วยโทบียาห์ ด้วยการเตรียมห้องในลานพระตำหนักของพระเจ้าให้แก่เขา 8 ข้าพเจ้าโกรธมาก ข้าพเจ้าจึงโยนเครื่องแต่งบ้านของโทบียาห์ออกไปนอกห้อง 9 แล้วก็ออกคำสั่งให้คนทำความสะอาดห้อง และข้าพเจ้านำเครื่องใช้ของพระตำหนักของพระเจ้ากลับเข้ามาไว้ที่นั่น พร้อมกับเครื่องธัญญบูชาและกำยาน
10 ข้าพเจ้าพบอีกด้วยว่า ส่วนแบ่งที่ชาวเลวีสมควรจะได้รับนั้น ไม่ได้มีการมอบให้แก่พวกเขา ดังนั้นชาวเลวีและพวกนักร้องที่ปฏิบัติงาน ต่างก็กลับไปยังไร่นาของตนเอง 11 ข้าพเจ้าจึงเผชิญหน้ากับพวกเจ้าหน้าที่ โดยกล่าวว่า “ทำไมพระตำหนักของพระเจ้าจึงไม่ได้รับการดูแลเลย” และข้าพเจ้าเรียกชาวเลวีกลับมา และให้ประจำหน้าที่ดังเดิม 12 ครั้นแล้ว ยูดาห์ก็นำหนึ่งในสิบของธัญพืช เหล้าองุ่น และน้ำมัน เข้ามาเก็บในคลังพัสดุ 13 ข้าพเจ้ามอบตำแหน่งผู้ดูแลคลังให้กับเชเลมิยาห์ปุโรหิต ศาโดกผู้คัดลอกข้อความ และเปดายาห์ชาวเลวี และผู้ช่วยของพวกเขาคือฮานานบุตรของศัคเคอร์ ศัคเคอร์เป็นบุตรของมัทธานิยาห์ เพราะชายเหล่านี้ไว้ใจได้ และมีหน้าที่แจกจ่ายแก่พวกพี่น้องของเขา 14 โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอพระองค์ระลึกถึงข้าพเจ้าในเรื่องดังกล่าว และขอพระองค์อย่าลืมความดีที่ข้าพเจ้ากระทำเพื่อพระตำหนักพระเจ้าของข้าพเจ้า และเพื่องานรับใช้ของพระองค์
15 ในครั้งโน้น ข้าพเจ้าเห็นประชาชนในยูดาห์กำลังย่ำองุ่นเพื่อสกัดเหล้าในวันสะบาโต พวกเขาขนเมล็ดข้าวมาหลายกอง แล้วบรรทุกขึ้นบนหลังลา มีทั้งเหล้าองุ่น ผลองุ่น มะเดื่อ และมีของบรรทุกมาสารพัดชนิด ที่พวกเขานำไปยังเยรูซาเล็มในวันสะบาโต และข้าพเจ้าเตือนพวกเขาในวันที่เขาขายอาหาร 16 ชาวไทระที่อาศัยอยู่ในเมืองนำปลาและสินค้าหลากชนิดเข้ามาในเยรูซาเล็ม เพื่อขายให้แก่ประชาชนของยูดาห์ในวันสะบาโต 17 ข้าพเจ้าจึงเผชิญหน้าพูดกับเหล่าขุนนางของยูดาห์ว่า “พวกท่านกำลังกระทำความชั่วร้ายด้วยการดูหมิ่นวันสะบาโตอะไรเช่นนี้ 18 บรรพบุรุษของท่านไม่ได้ปฏิบัติเช่นเดียวกันหรอกหรือ และพระเจ้าของเราก็ได้ทำให้พวกเราและเมืองนี้ประสบสิ่งร้ายๆ มิใช่หรือ บัดนี้พวกท่านกำลังนำความวิบัติมากยิ่งขึ้นมาสู่อิสราเอลด้วยการดูหมิ่นวันสะบาโต”
19 ทันทีที่เวลาค่ำลง ที่ประตูเมืองเยรูซาเล็มก่อนวันสะบาโต ข้าพเจ้าสั่งว่า ประตูควรจะปิดไว้ และออกคำสั่งว่าไม่ควรเปิดประตูจนกระทั่งหลังวันสะบาโต และข้าพเจ้าสั่งบรรดาผู้รับใช้ของข้าพเจ้าให้ประจำหน้าที่ที่ประตูเมือง เพื่อไม่ให้บรรทุกของเข้ามาในวันสะบาโต 20 จากนั้นก็มีพวกพ่อค้าและคนขายสินค้าสารพัดชนิดพักแรมที่นอกเมืองเยรูซาเล็มครั้งหรือสองครั้ง 21 แต่ข้าพเจ้าเตือนพวกเขาว่า “ท่านมาพักที่นอกกำแพงเมืองทำไม ถ้าท่านทำเช่นนี้อีก ข้าพเจ้าจะจับท่าน” หลังจากนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มาในวันสะบาโตอีก 22 ข้าพเจ้าจึงสั่งชาวเลวีว่า พวกเขาควรชำระตัวให้บริสุทธิ์ และมาเฝ้าประตูเพื่อรักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์ โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอพระองค์ระลึกถึงความดีของข้าพเจ้าในเรื่องนี้เถิด และโปรดเมตตาข้าพเจ้าเพราะความรักอันมั่นคงอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
23 ในครั้งโน้น ข้าพเจ้าเห็นชาวยิวที่ได้แต่งงานกับผู้หญิงของอัชโดด อัมโมน และโมอับ 24 ครึ่งหนึ่งของจำนวนบุตรของพวกเขาพูดภาษาของอัชโดด และพูดภาษาของยูดาห์ไม่ได้ พูดได้แต่ภาษาของพวกเขาเท่านั้น 25 ข้าพเจ้าเผชิญหน้าพูดกับพวกเขา ทั้งสาปแช่งและลงมือลงไม้กับพวกเขาบางคน และถึงกับทึ้งผมพวกเขา และให้พวกเขาสาบานตนในพระนามของพระเจ้าโดยบอกว่า “พวกท่านจะไม่ยกลูกสาวของท่านให้แก่ลูกชายของพวกเขา หรือรับลูกสาวของพวกเขามาเป็นสะใภ้ของท่านหรือเป็นภรรยาของพวกท่านเอง 26 ซาโลมอนกษัตริย์ของอิสราเอลก็กระทำบาปเรื่องพวกผู้หญิงเหล่านั้นมิใช่หรือ ไม่มีกษัตริย์อื่นใดในบรรดาประชาชาติมากหลายที่เป็นเหมือนซาโลมอน และท่านเป็นที่รักของพระเจ้าของท่าน พระเจ้าแต่งตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ปกครองทั่วทั้งอิสราเอล ถึงกระนั้น พวกผู้หญิงต่างชาติก็ยังทำให้ท่านกระทำบาป[b] 27 เราควรจะฟังพวกท่าน และทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนั้น แสดงความไม่ภักดีต่อพระเจ้าของเราด้วยการแต่งงานกับหญิงต่างชาติอย่างนั้นหรือ”
28 บุตรคนหนึ่งของโยยาดา ผู้เป็นบุตรของเอลียาชีบหัวหน้ามหาปุโรหิต ซึ่งเป็นบุตรเขยของสันบาลลัทชาวโฮโรน ข้าพเจ้าขับไล่เขาไปจากข้าพเจ้า 29 โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอพระองค์ระลึกถึงพวกเขาที่ได้ทำลายความเป็นปุโรหิต และพันธสัญญาที่พระองค์มีกับปุโรหิตและชาวเลวี
30 ดังนั้น ข้าพเจ้าได้ชำระพวกเขาให้สะอาดจากทุกสิ่งที่เป็นของต่างชาติ และข้าพเจ้ากำหนดหน้าที่ของบรรดาปุโรหิตและชาวเลวีแต่ละคนในการปฏิบัติงานของเขา 31 และข้าพเจ้ายังได้จัดหาฟืนมาถวายตามกำหนดเวลา อีกทั้งผลไม้รุ่นแรกด้วย
โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอพระองค์ระลึกถึงความดีของข้าพเจ้าเถิด
23 เปาโลจ้องเขม็งไปยังศาสนสภาและกล่าวว่า “พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าได้ดำเนินชีวิตด้วยมโนธรรมที่ดีต่อพระเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้” 2 อานาเนียหัวหน้ามหาปุโรหิตจึงสั่งให้พวกที่ยืนอยู่ใกล้เปาโลตบปากท่าน 3 แล้วเปาโลพูดกับเขาว่า “พระเจ้าจะตบท่าน ท่านเป็นเหมือนผนังกำแพงที่ฉาบด้วยปูนขาวเท่านั้น ท่านนั่งกล่าวโทษข้าพเจ้าไปตามกฎบัญญัติ แต่ตัวท่านเองยังฝ่าฝืนกฎบัญญัติโดยที่สั่งให้คนตบข้าพเจ้า”
4 พวกที่ยืนอยู่ใกล้เปาโลพูดว่า “ท่านกล้าสบประมาทหัวหน้ามหาปุโรหิตของพระเจ้าหรือ” 5 เปาโลตอบว่า “พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าไม่ได้ตระหนักว่าเขาเป็นหัวหน้ามหาปุโรหิต ด้วยมีบันทึกไว้ว่า ‘อย่าพูดว่าร้ายต่อบุคคลในระดับปกครองพลเมือง’”[a]
6 ครั้นเปาโลเห็นว่าบางคนในศาสนสภาเป็นสะดูสี และบางคนก็เป็นฟาริสี ท่านจึงร้องขึ้นในศาสนสภาว่า “พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าเป็นฟาริสีและเป็นบุตรของฟาริสี ข้าพเจ้าถูกพิพากษาก็เพราะเรื่องความหวังในการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย” 7 ครั้นเปาโลกล่าวเช่นนั้น พวกฟาริสีและสะดูสีก็เกิดเถียงกัน และที่ประชุมก็แบ่งออกเป็น 2 พวก 8 พวกสะดูสีพูดว่าการฟื้นคืนชีวิตนั้นไม่มีจริง อีกทั้งไม่มีทูตสวรรค์และไม่มีวิญญาณ แต่พวกฟาริสีถือว่ามีทั้งนั้น 9 แล้วก็เกิดโกลาหลขนานใหญ่ขึ้น อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนซึ่งเป็นพวกฟาริสีก็ยืนขึ้นเถียงอย่างรุนแรงว่า “พวกเราเห็นว่าชายคนนี้ไม่มีความผิดเลย วิญญาณหรือทูตสวรรค์อาจจะกล่าวกับเขาก็ได้” 10 เมื่อการโต้เถียงเป็นไปอย่างรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งผู้บังคับกองพันกลัวว่าคนพวกนั้นจะฉีกเปาโลออกเป็นชิ้นๆ เขาจึงสั่งให้ใช้กำลังกองทหารลงไปรับตัวท่านไปยังกรมทหาร
11 คืนต่อมาพระผู้เป็นเจ้ายืนอยู่ใกล้เปาโลกล่าวว่า “จงกล้าหาญเถิด เมื่อเจ้าได้ให้คำยืนยันเกี่ยวกับเราในเมืองเยรูซาเล็มแล้ว เจ้าต้องให้คำยืนยันในเมืองโรมด้วย”
ชาวยิววางแผนฆ่าเปาโล
12 เช้าวันรุ่งขึ้นชาวยิวได้วางแผนการร้าย และสาบานว่าจะไม่กินหรือดื่มจนกว่าจะฆ่าเปาโลก่อน 13 คนที่เกี่ยวข้องกับแผนการนี้มีกว่า 40 คน 14 เขาทั้งหลายไปหาพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ และกล่าวว่า “เราทุกคนได้สาบานตัวกันอย่างจริงจังว่า จะไม่กินอะไรเลยจนกว่าจะฆ่าเปาโลสำเร็จ 15 บัดนี้พวกท่านและศาสนสภาขอร้องให้ผู้บังคับกองพันนำตัวเขามาหาท่าน ราวกับว่าท่านจะพิจารณาคดีเขาโดยการสอบสวนอย่างรอบคอบ และพวกเราพร้อมที่จะฆ่าเขาก่อนที่เขาจะมาถึงที่นี่”
16 แต่เมื่อลูกชายของน้องสาวเปาโลได้ยินแผนการนั้น จึงไปบอกเปาโลที่กรมทหาร 17 เปาโลก็เรียกนายร้อยคนหนึ่งเข้ามาแล้วกล่าวว่า “พาชายหนุ่มคนนี้ไปหาผู้บังคับกองพันเถิด เขามีบางสิ่งที่จะแจ้งให้ทราบ” 18 ดังนั้นเขาจึงพาชายหนุ่มนั้นไปหาผู้บังคับกองพัน นายร้อยพูดว่า “เปาโลที่เป็นนักโทษอยู่ให้ข้าพเจ้าพาชายหนุ่มคนนี้มาหาท่าน เพราะว่าเขามีเรื่องที่จะบอก” 19 ผู้บังคับกองพันจูงมือชายหนุ่มนั้นไปไต่ถามตามลำพังว่า “เจ้ามีอะไรจะบอกเราหรือ” 20 เขาพูดว่า “ชาวยิวได้ตกลงกันที่จะขอให้ท่านนำตัวเปาโลมายังศาสนสภาในวันพรุ่งนี้ ราวกับว่าต้องการจะทราบเรื่องของเปาโลให้ละเอียดมากขึ้น 21 อย่าให้เปาโลไปกับพวกเขา เพราะว่ามีผู้คนกว่า 40 คนกำลังดักซุ่มโจมตีอยู่ เขาเหล่านั้นได้สาบานไว้ว่าจะไม่กินหรือดื่มจนกว่าจะฆ่าเปาโลได้ก่อน บัดนี้เขาพร้อมกันแล้ว และกำลังรอการตัดสินใจของท่านอยู่” 22 ผู้บังคับกองพันให้ชายหนุ่มนั้นไปและกำชับว่า “อย่าบอกผู้ใดว่าเจ้าได้รายงานเรื่องนี้ให้กับเรา”
เปาโลถูกส่งตัวไปยังผู้ว่าราชการเฟลิกส์
23 แล้วเขาเรียกนายร้อย 2 คนมาสั่งว่า “จงเตรียมพลทหาร 200 คนกับทหารม้า 70 คน และทหารหอก 200 คนให้พร้อม เพื่อที่จะไปยังเมืองซีซารียาเวลา 3 ทุ่มคืนวันนี้ 24 จงจัดม้าให้เปาโลขี่ เพื่อจะได้พาตัวเขาไปหาผู้ว่าราชการเฟลิกส์อย่างปลอดภัย” 25 เขาได้เขียนจดหมายได้ความดังนี้
26 “คลาวดิอัสลีเซียสส่งความคิดถึงมายังใต้เท้าผู้ว่าราชการเฟลิกส์ 27 ชาวยิวจับกุมชายผู้นี้ไปและเกือบจะฆ่าเขาแล้ว แต่ข้าพเจ้าเอาพวกทหารไปช่วยเขาไว้ได้ เพราะข้าพเจ้าทราบมาว่าเขาเป็นคนสัญชาติโรมัน 28 ข้าพเจ้าต้องการทราบว่าเหตุใดเขาเหล่านั้นจึงกล่าวหาชายผู้นี้ ข้าพเจ้าจึงได้พาเขาไปยังศาสนสภาของพวกเขาเอง 29 ข้าพเจ้าเห็นว่าการกล่าวหานั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎบัญญัติของพวกเขา แต่ไม่มีข้อหาที่จะปรักปรำให้เขามีโทษถึงตายหรือจำคุก 30 มีคนมาบอกข้าพเจ้าถึงแผนการที่มุ่งร้ายต่อเขา ข้าพเจ้าจึงส่งเขามาหาท่านทันที ข้าพเจ้าได้ออกคำสั่งให้พวกที่กล่าวหาเขาไปฟ้องร้องคดีต่อท่านด้วย”
31 ฉะนั้น พวกทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่งก็พาเปาโลไปในเวลากลางคืน จนถึงเมืองอันทิปาตรีส์ 32 วันรุ่งขึ้นก็ปล่อยให้เหล่าทหารม้าเดินทางต่อไปกับเปาโล ส่วนที่เหลือก็กลับไปยังกรมทหาร 33 เมื่อเหล่าทหารม้ามาถึงเมืองซีซารียาแล้ว ก็ได้ยื่นจดหมายให้ผู้ว่าราชการและมอบเปาโลไว้ให้ท่าน 34 ผู้ว่าราชการอ่านจดหมายและถามว่าเปาโลมาจากแคว้นไหน เมื่อรู้ว่ามาจากแคว้นซีลีเซีย 35 ท่านจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะพิจารณาคดีของท่านเมื่อพวกกล่าวหามาถึงที่นี่” แล้วท่านสั่งให้คุมเปาโลไว้ที่วังของกษัตริย์เฮโรด
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation