M’Cheyne Bible Reading Plan
อับรามช่วยโลท
14 ในสมัยอัมราเฟลกษัตริย์แห่งชินาร์ อารีโอคกษัตริย์แห่งเอลลาสาร์ เคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์แห่งเอลาม และทิดาลกษัตริย์แห่งโกยิม 2 กษัตริย์เหล่านี้ทำสงครามสู้รบกับเบ-รากษัตริย์เมืองโสโดม บิร์ชากษัตริย์เมืองโกโมราห์ ชินาบกษัตริย์เมืองอัดมาห์ เชเมเบอร์กษัตริย์เมืองเศโบยิม และกษัตริย์เมืองเบ-ลา (คือโศอาร์) 3 กษัตริย์ทั้งห้านี้ได้รวมทัพกัน ณ หุบเขาสิดดิม (คือทะเลเกลือ) 4 พวกเขารับใช้อยู่ภายใต้การควบคุมของเคโดร์ลาโอเมอร์เป็นเวลา 12 ปี และกลับขัดขืนในปีที่สิบสาม 5 ในปีที่สิบสี่ เคโดร์ลาโอเมอร์มากับบรรดากษัตริย์พันธมิตรรบชนะพวกเรฟา[a]ที่อัชทาโรทคาร์นาอิม ศูซที่ฮาม พวกเอมที่ชาเวห์-คีริยาทาอิม 6 และพวกโฮรีในเทือกเขาเสอีร์ ไปจนถึงเอลปารานบริเวณเขตแดนถิ่นทุรกันดาร 7 ครั้นแล้วพวกเขาก็หวนกลับมายังเอนมิชปัท (คือคาเดช) และมีชัยชนะเหนือดินแดนทั้งหมดของชาวอามาเลข และชาวอาโมร์ที่มีรกรากอยู่ที่ฮาซาโซนทามาร์
8 แล้วกษัตริย์เมืองโสโดม กษัตริย์เมืองโกโมราห์ กษัตริย์เมืองอัดมาห์ กษัตริย์เมืองเศโบยิม และกษัตริย์เมืองเบ-ลา (คือโศอาร์) พากันออกไปต่อสู้ ณ ที่หุบเขาสิดดิม 9 กับเคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์แห่งเอลาม ทิดาลกษัตริย์แห่งโกยิม อัมราเฟลกษัตริย์แห่งชินาร์ และอารีโอคกษัตริย์แห่งเอลลาสาร์ กษัตริย์ทั้งสี่เข้าประจันกับกษัตริย์ทั้งห้า 10 ด้วยว่าหุบเขาสิดดิมประกอบด้วยบ่อยางมะตอยกระจายอยู่รายรอบ เมื่อบรรดากษัตริย์เมืองโสโดมและโกโมราห์หนีเตลิดไป จึงทำให้ตกลงในบ่อ และบ้างก็หนีเตลิดไปยังภูเขา 11 ดังนั้นฝ่ายศัตรูจึงริบทรัพย์สิ่งของทั้งหมดรวมทั้งเสบียงของชาวโสโดมและโกโมราห์ ก่อนจะเคลื่อนขบวนไป 12 โลทบุตรของน้องชายอับรามที่ตั้งรกรากอยู่ที่เมืองโสโดมก็ถูกจับตัวไปพร้อมด้วยทรัพย์สินของเขา
13 แต่กลับมีคนๆ หนึ่งหนีรอดมาได้ เขาจึงนำเรื่องไปบอกกับอับรามชาวฮีบรูผู้อาศัยอยู่ข้างสวนโอ๊กที่เป็นของมัมเรชาวอาโมร์ มัมเรกับญาติพี่น้องของเขาคือเอชโคล์และอาเนอร์เป็นพันธมิตรของอับราม 14 เมื่ออับรามได้ยินว่าญาติของตนถูกจับตัวไปเป็นเชลย จึงเลือกกองกำลังจากผู้ภักดีที่เกิดในบ้านของอับรามเองจำนวน 318 คน ติดตามไล่ล่าไปจนถึงเมืองดาน 15 ท่านแยกกองกำลังออกเป็นกลุ่มๆ โจมตีศัตรูในเวลากลางคืนจนพ่ายแพ้ไป และไล่ตามพวกเขาไปจนถึงโฮบาห์เหนือเมืองดามัสกัส 16 แล้วท่านก็ได้ขนทรัพย์สิ่งของทั้งหมดกลับคืนมาได้ พร้อมด้วยโลทญาติของตนรวมทั้งทรัพย์สินต่างๆ ของเขาด้วย รวมทั้งผู้หญิงและคนอื่นๆ
17 หลังจากกลับมาจากการรบชนะเคโดร์ลาโอเมอร์และบรรดากษัตริย์อื่นๆ แล้ว กษัตริย์เมืองโสโดมออกไปพบกับท่าน ณ หุบเขาชาเวห์ (คือหุบเขาของกษัตริย์)
18 เมลคีเซเดคกษัตริย์เมืองซาเล็ม[b]เป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ได้นำขนมปังและเหล้าองุ่นมาให้ 19 และอวยพรอับรามโดยกล่าวว่า
“ขอให้อับรามได้รับพรจากพระเจ้าผู้สูงสุด
องค์ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
20 และสรรเสริญพระเจ้าผู้สูงสุด
ผู้ได้ทำให้พวกศัตรูตกอยู่ในเงื้อมมือของท่าน”
ครั้นแล้วอับรามก็ถวายหนึ่งในสิบส่วนของจำนวนที่ได้มาจากการสู้รบให้แก่ท่าน[c]
21 แล้วกษัตริย์เมืองโสโดมได้พูดกับอับรามว่า “ท่านคืนคนให้กับเรา แต่ท่านจงเก็บข้าวของเอาไว้เถิด” 22 แต่อับรามพูดกับกษัตริย์เมืองโสโดมว่า “ข้าพเจ้าได้สาบานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้สูงสุดผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกแล้วว่า 23 ข้าพเจ้าจะไม่รับสิ่งใดๆ แม้แต่ของเล็กน้อยดังเช่นเส้นด้ายหรือเชือกผูกรองเท้า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ท่านเป็นเจ้าของ เพราะท่านอาจจะพูดได้ว่า ‘เราทำให้อับรามมั่งมี’ 24 ข้าพเจ้าจะไม่รับอะไร นอกเสียจากสิ่งที่พวกชายหนุ่มดื่มกินไปแล้ว และส่วนแบ่งที่ฝ่ายพันธมิตรของข้าพเจ้าคืออาเนอร์ เอชโคล์ และมัมเรควรได้รับ”
อุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ด
13 ในวันนั้น พระเยซูออกจากบ้านไปนั่งอยู่ที่ริมฝั่งทะเลสาบ 2 ฝูงชนจำนวนมากมาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์จึงลงไปนั่งในเรือโดยที่ฝูงชนทั้งหมดยังยืนอยู่ที่ชายทะเล 3 พระองค์กล่าวเป็นอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังหลายต่อหลายเรื่องว่า “ชาวไร่คนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่เขากำลังหว่านเมล็ด บางเมล็ดตกลงตามทาง พวกนกพากันจิกกินเสียหมด 5 บางเมล็ดตกลงบนหินซึ่งมีผิวดินเพียงเล็กน้อย ไม่ช้าเมล็ดก็งอกขึ้นเพราะดินไม่ลึก 6 แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแดดส่อง เมล็ดเหล่านั้นก็ถูกแผดเผาเสีย และเป็นเพราะไม่มีรากจึงเหี่ยวแห้งไป 7 บางเมล็ดตกลงท่ามกลางไม้หนามที่เติบโตขึ้นและแย่งอาหารไปเสีย 8 บางเมล็ดที่ตกบนดินดี ก็ให้ผลเป็น 100 เท่า บ้างเป็น 60 บ้างเป็น 30 เท่าของที่ได้หว่านไว้ 9 ผู้ใดมีหู จงฟังเถิด”
10 เหล่าสาวกมาพูดกับพระองค์ว่า “ทำไมพระองค์จึงกล่าวเป็นอุปมาแก่พวกเขา” 11 พระองค์กล่าวตอบว่า “เราทำให้เจ้าเข้าใจถึงความลับของอาณาจักรแห่งสวรรค์แล้ว แต่ยังไม่ได้ให้กับพวกเขาเหล่านั้น 12 ผู้ใดก็ตามที่มีอยู่แล้วก็จะได้รับมากขึ้น และจะมีอย่างอุดมสมบูรณ์ แต่ผู้ใดที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขามีอยู่ ก็จะถูกยึดไปจากเขาเสีย 13 ฉะนั้นเราจึงพูดเป็นอุปมาแก่เขา ‘เพราะขณะที่กำลังมองดู พวกเขาก็มองไม่เห็น และขณะที่กำลังได้ยิน พวกเขาก็ไม่ได้ยิน หรือไม่เข้าใจ’ 14 พวกเขาเป็นไปตามคำกล่าวของพระเจ้าที่อิสยาห์เผยไว้ว่า
‘เจ้าจะได้ยินเรื่อยไป แต่ไม่มีวันที่จะเข้าใจ
และเจ้าจะมองดูเรื่อยไป แต่ไม่มีวันที่จะเห็น
15 เพราะว่าใจของคนเหล่านี้แข็งกระด้าง
และหูของเขาก็แทบจะไม่ได้ยิน
เขาปิดตาของตนเอง มิฉะนั้นตาของเขาจะมองเห็น
หูจะได้ยิน และจิตใจของเขาจะเข้าใจ และหันกลับมา
แล้วเราจะรักษาเขาให้หายขาด’[a]
16 แต่นัยน์ตาของเจ้าเป็นสุขเพราะได้เห็น และหูของเจ้าเป็นสุขเพราะได้ยิน 17 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าและผู้มีความชอบธรรมหลายท่านใคร่จะเห็นเช่นเจ้าเห็น แต่ไม่อาจเห็น และใคร่ได้ยินเช่นเจ้าได้ยิน แต่ไม่ได้ยิน
18 จงฟังเรื่องอุปมาของชาวไร่คนนั้น 19 เมื่อผู้ใดได้ยินเรื่องของอาณาจักร แล้วไม่เข้าใจก็เหมือนเมล็ดพืชที่หว่านไว้ตามทาง มารร้ายมาปล้นสิ่งที่ได้หว่านไว้ในจิตใจของเขา 20 เมล็ดพืชที่ตกลงบนหินซึ่งมีผิวดินเพียงเล็กน้อยเปรียบเสมือนคนที่ได้ยินคำกล่าวและรับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21 แต่เขาไม่มีรากฐานอันมั่นคงในตัว จึงคงอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเกิดความลำบากหรือการข่มเหงอันเนื่องมาจากคำกล่าว เขาก็ล้มเลิกความเชื่อเสียทันที 22 ส่วนเมล็ดพืชที่หว่านไว้ท่ามกลางไม้หนามเปรียบเสมือนคนที่ได้ยินคำกล่าว แล้วความกังวลต่างๆ ในโลก และแรงดึงดูดของความร่ำรวยเข้าแทรกซ้อนคำกล่าว จึงทำให้ไม่บังเกิดผล 23 เมล็ดพืชที่ตกบนดินดีเปรียบเสมือนคนที่ได้ยินคำกล่าว และเข้าใจ จึงเกิดผลแท้จริงเป็น 100 เท่า 60 และ 30 เท่า”
อุปมาเรื่องเมล็ดพืชชั้นดีและวัชพืช
24 พระองค์เล่าเรื่องเป็นอุปมาให้พวกเขาฟังอีกว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนกับชาวไร่คนหนึ่งที่ได้ใช้เมล็ดพืชดีหว่านในนาของเขา 25 ขณะที่คนนอนหลับกัน ศัตรูของเขามาหว่านเมล็ดวัชพืชปนกับเมล็ดข้าว แล้วหนีไป 26 เมื่อข้าวงอกขึ้นจนออกรวง วัชพืชก็งอกขึ้นเช่นกัน
27 บรรดาทาสรับใช้ของเจ้าของที่ดินมาถามเขาว่า ‘เจ้านาย ท่านได้หว่านเมล็ดดีในนาของท่านมิใช่หรือ แล้วมีวัชพืชด้วยได้อย่างไร’ 28 เขาตอบทาสรับใช้ว่า ‘ศัตรูเป็นคนกระทำ’ ทาสรับใช้พูดว่า ‘ถ้าเช่นนั้นแล้ว ท่านจะให้เราไปถอนมันทิ้งไหม’ 29 แต่นายตอบว่า ‘อย่าเลย เพราะหากว่าเจ้าถอนวัชพืชออก เจ้าอาจจะพลอยถอนข้าวดีไปด้วย 30 ปล่อยทั้งสองชนิดให้โตไปด้วยกันจนถึงเวลาเก็บเกี่ยว เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เราจะสั่งคนเกี่ยวว่า “มัดรวบรวมวัชพืชแล้วเผาไฟเสียก่อน แล้วจึงค่อยเก็บข้าวไว้ในยุ้งของเรา”’”
อุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์จิ๋ว
31 พระองค์เล่าเรื่องอุปมาให้พวกเขาฟังอีกว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์จิ๋วที่ชายคนหนึ่งเอาไปปลูกในนาของเขา 32 เมล็ดนี้เล็กที่สุดในบรรดาเมล็ดพืชอื่นๆ แต่เมื่อเติบโตเต็มที่แล้ว มันมีขนาดใหญ่กว่าบรรดาพืชสวนชนิดอื่น จนกลายเป็นต้นไม้ที่ฝูงนกเข้าพักพิงอาศัยได้ตามกิ่งของมัน”
อุปมาเรื่องเชื้อยีสต์
33 พระองค์กล่าวเป็นอุปมาอีกว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนเชื้อยีสต์[b]ที่หญิงคนหนึ่งเอาไปผสมในแป้ง 3 ถังจนแป้งขึ้นฟูทั้งหมด”
34 พระเยซูเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ฝูงชนฟังเป็นอุปมา พระองค์ไม่ได้กล่าวสิ่งใดโดยไม่ใช้คำอุปมาให้พวกเขาฟัง 35 เพื่อเป็นไปตามที่ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ากล่าวไว้คือ
“เราจะเปิดปากของเรากล่าวคำอุปมา
เราจะเล่าเรื่องที่ซ่อนเร้นตั้งแต่แรกสร้างโลก”[c]
พระเยซูอธิบายคำอุปมาเรื่องวัชพืช
36 ครั้นแล้วพระเยซูก็จากฝูงชนเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง สาวกของพระองค์ได้กล่าวกับพระองค์ว่า “โปรดอธิบายคำอุปมาเรื่องวัชพืชในนาให้พวกเราฟังด้วยเถิด” 37 พระองค์กล่าวตอบว่า “ผู้ที่หว่านเมล็ดพืชชนิดดี คือบุตรมนุษย์ 38 นาก็คือโลก เมล็ดพืชชนิดดีคือบรรดาบุตรของอาณาจักร และเมล็ดวัชพืชคือบรรดาบุตรของมารร้าย 39 ศัตรูที่หว่านคือพญามาร และฤดูเก็บเกี่ยวแสดงถึงการสิ้นยุคนี้ บรรดาผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์ 40 ฉะนั้นเมล็ดวัชพืชถูกรวบรวมและถูกไฟเผาอย่างไร การสิ้นยุคนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น 41 บุตรมนุษย์จะส่งเหล่าทูตสวรรค์ของท่านให้มารวบรวมทุกสิ่งที่เป็นเหตุให้คนทำบาป และพวกที่ประพฤติชั่วร้ายไปเสียจากอาณาจักรของท่าน 42 แล้วโยนพวกเขาลงในเตาไฟ ณ ที่นั่นจะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 43 แล้วรัศมีของบรรดาผู้มีความชอบธรรมจะสาดส่องดุจดวงอาทิตย์ในอาณาจักรของพระบิดาของเขา ผู้ใดมีหู จงฟังเถิด
อุปมาเรื่องสมบัติที่ซ่อนไว้
44 อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนสมบัติที่ซ่อนไว้ในทุ่งนาซึ่งชายคนหนึ่งมาพบแล้วนำไปซ่อนอีก ชายคนดังกล่าวยินดียิ่งจึงได้ขายทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ เพื่อซื้อที่นานั้น
อุปมาเรื่องไข่มุก
45 อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบได้อีกเสมือนพ่อค้าคนหนึ่งที่เสาะหาไข่มุกชนิดดี 46 เมื่อพบไข่มุกเม็ดหนึ่งซึ่งมีค่ามหาศาล เขาก็ไปขายทุกสิ่งที่มีอยู่ แล้วมาซื้อไข่มุกนั้น
อุปมาเรื่องอวน
47 อีกประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนอวนที่ทอดอยู่ในทะเล มีปลาทุกชนิดติดอยู่ 48 เมื่ออวนเต็ม เขาก็ลากขึ้นชายฝั่งและนั่งแยกปลาชนิดดีใส่ถัง ส่วนตัวที่ไม่ดีก็โยนทิ้งไป 49 เมื่อถึงการสิ้นยุคนี้ก็เช่นกัน เหล่าทูตสวรรค์จะมาเอาตัวพวกคนชั่วร้ายแยกไปจากบรรดาผู้มีความชอบธรรม 50 แล้วโยนพวกเขาลงในเตาไฟ ณ ที่นั่นจะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
51 พระเยซูถามพวกเขาว่า “เจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วยัง”
พวกเขาตอบว่า “เข้าใจ”
52 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “ฉะนั้นอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติทุกคนที่เรียนรู้ถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์ เปรียบเสมือนเจ้าบ้านที่เอาสมบัติทั้งใหม่และเก่าของตนออกมาให้ดู”
พระเยซูไม่เป็นที่ยอมรับ
53 ครั้นพระเยซูเล่าเรื่องอุปมาเหล่านี้จบแล้ว พระองค์ก็จากที่นั้นไป 54 และเมื่อมาถึงเมืองที่พระองค์เติบโตมา พระองค์ก็เริ่มสั่งสอนผู้คนในศาลาที่ประชุม จนพวกเขาอัศจรรย์ใจกันและพูดว่า “ชายผู้นี้ได้สติปัญญาและอานุภาพอันอัศจรรย์นี้มาจากไหน 55 ผู้นี้เป็นบุตรช่างไม้มิใช่หรือ แม่ชื่อมารีย์มิใช่หรือ พวกน้องชายคือยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาส 56 และน้องสาวทั้งปวงอยู่กับเรามิใช่หรือ แล้วชายผู้นี้เอาสิ่งเหล่านี้มาจากไหน” 57 และพวกเขาก็เหยียดหยามพระองค์ แต่พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเป็นที่ยอมรับนับถือทั่วทุกแห่งหน เว้นแต่ในเมืองที่ตนเติบโตมาและในครอบครัวของตนเอง” 58 พระองค์จึงไม่ได้กระทำสิ่งอัศจรรย์ที่นั่นมากเท่าใด ก็เนื่องมาจากความไม่เชื่อของพวกเขา
สร้างกำแพงขึ้นใหม่
3 ครั้นแล้ว เอลียาชีบมหาปุโรหิตและพี่น้องของเขาที่เป็นปุโรหิตจึงสร้างประตูแกะ พวกเขาทำประตูให้บริสุทธิ์ และติดตั้งบานประตู พวกเขาก่อกำแพงไกลจนถึงหอคอยหนึ่งร้อยและหอคอยฮานันเอล และทำให้สิ่งที่สร้างขึ้นใหม่บริสุทธิ์ 2 ชายชาวเยรีโคสร้างถัดจากเขาไป และศัคเคอร์บุตรอิมรีสร้างถัดจากพวกเขาไป
3 บรรดาบุตรของหัสเส-นาอาห์สร้างประตูปลา พวกเขาวางคาน และตั้งบานประตู สลักกลอนและดาลประตู 4 เมเรโมทบุตรอุรียาห์ผู้เป็นบุตรฮักโขส ซ่อมแซมถัดจากพวกเขาไป เมชุลลามบุตรเบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรเมเชซาเบล ซ่อมแซมถัดจากพวกเขาไป ศาโดกบุตรบาอานาซ่อมแซมถัดจากพวกเขาไป 5 ชาวเทโคอาซ่อมแซมถัดจากพวกเขาไป แต่เหล่าเจ้านายของพวกเขาไม่ยอมลดตัวลงรับใช้นายงานของเขา
6 โยยาดาบุตรปาเสอัค และเมชุลลามบุตรเบโสไดอาห์ ซ่อมแซมประตูเยชานา พวกเขาวางคาน และตั้งบานประตู สลักกลอนและดาลประตู 7 และเมลาติยาห์ชาวกิเบโอน และยาโดนชาวเมโรโนทซ่อมแซมถัดจากพวกเขาไป โดยชายชาวกิเบโอนและมิสปาห์อยู่ใต้การควบคุมของข้าราชการแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส 8 อุสซีเอลบุตรฮาร์ฮายาห์ช่างทองซ่อมแซมถัดจากพวกเขาไป ฮานันยาห์หนึ่งในบรรดาผู้ปรุงน้ำมันหอมซ่อมแซมส่วนที่ถัดไป พวกเขาฟื้นฟูเยรูซาเล็มไกลไปจนถึงกำแพงกว้าง 9 เรไฟยาห์บุตรฮูร์ ผู้ปกครองครึ่งอาณาเขตเยรูซาเล็มซ่อมแซมถัดจากพวกเขาไป 10 เยดายาห์บุตรฮารุมัฟซ่อมแซมถัดจากพวกเขาไป ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านของเขาเอง ฮัทธัชบุตรฮาชับเนยาห์ซ่อมแซมส่วนที่ถัดไป 11 มัลคิยาห์บุตรฮาริม และหัสชูบบุตรปาหัทโมอับ ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่งและหอคอยเตาอบ 12 ชัลลูมบุตรฮัลโลเหช ซึ่งเป็นผู้ปกครองครึ่งอาณาเขตเยรูซาเล็ม กับบรรดาบุตรหญิงของเขาซ่อมแซมส่วนที่ถัดไป
13 ฮานูนและผู้อาศัยอยู่ในเมืองศาโนอาห์ซ่อมแซมประตูหุบเขา คือพวกเขาสร้างประตูขึ้นใหม่ และตั้งบานประตู สลักกลอนและดาลประตู และซ่อมกำแพง 1,000 ศอกไกลไปจนถึงประตูมูลสัตว์
14 มัลคิยาห์บุตรเรคาบ ซึ่งเป็นผู้ปกครองอาณาเขตเบธฮัคเคเรมซ่อมแซมประตูมูลสัตว์ เขาสร้างประตูขึ้นใหม่ และตั้งบานประตู สลักกลอนและดาลประตู
15 ชัลลูมบุตรคลโฮเซห์ ซึ่งเป็นผู้ปกครองอาณาเขตมิสปาห์ซ่อมแซมประตูน้ำพุ เขาสร้างขึ้นใหม่ และตั้งบานประตู สลักกลอนและดาลประตู และเขาสร้างกำแพงสระน้ำเชลาห์ที่สวนของกษัตริย์ ไกลไปจนถึงบันไดที่ลงไปจากเมืองของดาวิด 16 คนต่อมาคือเนหะมีย์บุตรอัสบูก ซึ่งเป็นผู้ปกครองครึ่งอาณาเขตเบธซูร์ ซ่อมแซมไปจนถึงจุดที่อยู่ตรงข้ามที่เก็บศพของดาวิด ไกลไปจนถึงสระขุดและที่พักอาศัยของทหารกล้า 17 คนต่อมาคือชาวเลวี ซึ่งเป็นผู้ซ่อมแซมภายใต้การควบคุมของเรฮูมบุตรของบานี ฮาชาบิยาห์เป็นผู้ปกครองครึ่งอาณาเขตเคอีลาห์ ซึ่งเป็นผู้ซ่อมแซมให้อาณาเขตของเขาเอง 18 คนต่อมาคือบาวัยบุตรเฮนาดัดพี่น้องของเขา ซึ่งเป็นผู้ปกครองครึ่งอาณาเขตเคอีลาห์ ซ่อมแซมส่วนที่ถัดไป 19 คนถัดไปคือเอเซอร์บุตรเยชูอา ซึ่งเป็นผู้ปกครองอาณาเขตมิสปาห์ ซ่อมแซมส่วนหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามทางขึ้นคลังอาวุธที่ฐานหินยันกำแพง 20 คนต่อมาคือบารุคบุตรศับบัย ซ่อมแซมส่วนหนึ่งจากฐานหินยันกำแพง ไปจนถึงประตูบ้านของเอลียาชีบมหาปุโรหิต 21 คนต่อมาคือเมเรโมทบุตรอุรียาห์ ผู้เป็นบุตรฮักโขส ซ่อมแซมส่วนหนึ่งจากประตูบ้านของเอลียาชีบ ไปจนถึงท้ายบ้านของเอลียาชีบ 22 คนต่อมาที่ซ่อมแซมคือบรรดาปุโรหิตที่มาจากรอบๆ บริเวณนั้น 23 คนต่อจากพวกเขาคือเบนยามินและหัสชูบซ่อมแซมตรงข้ามบ้านของพวกเขา คนต่อจากพวกเขาคืออาซาริยาห์บุตรมาอาเสยาห์ ผู้เป็นบุตรอานานิยาห์ ซ่อมแซมข้างบ้านของตน 24 คนต่อจากเขาคือบินนุยบุตรเฮนาดัด ซ่อมแซมส่วนหนึ่ง ตั้งแต่บ้านของอาซาริยาห์จนถึงฐานหินยันกำแพง และจนถึงหัวมุมกำแพง 25 ปาลาลบุตรอุซัย ซ่อมแซมที่ตรงข้ามกับฐานหินยันกำแพงและหอคอยที่ยื่นจากวังชั้นบนของกษัตริย์ ใกล้ลานทหารยาม คนต่อจากเขาคือเปดายาห์บุตรปาโรช 26 และบรรดาผู้รับใช้พระวิหารที่อาศัยอยู่บนเนินเขาโอเฟล ซ่อมแซมไปจนถึงจุดตรงข้ามประตูน้ำทางทิศตะวันออกและยื่นจากหอคอย 27 คนต่อจากเขาคือชาวเทโคอา ซ่อมแซมส่วนหนึ่งตรงข้ามหอคอยใหญ่ที่ยื่นออกไปไกลจนถึงกำแพงของโอเฟล
28 บรรดาปุโรหิตซ่อมแซมเหนือประตูม้า แต่ละคนซ่อมส่วนที่อยู่หน้าบ้านของตน 29 คนต่อจากเขาคือศาโดกบุตรอิมเมอร์ ซ่อมส่วนที่อยู่หน้าบ้านของตน คนต่อจากเขาคือเชไมยาห์บุตรเชคานิยาห์ คนเฝ้าประตูตะวันออก ซ่อมแซมส่วนที่ถัดไป 30 คนต่อจากเขาคือฮานันยาห์บุตรเชเลมิยาห์ ฮานูนบุตรคนที่หกของศาลาฟ ซ่อมแซมส่วนหนึ่ง คนต่อจากเขาคือเมชุลลามบุตรเบเรคิยาห์ ซ่อมแซมส่วนตรงข้ามกับห้องของเขา 31 คนต่อจากเขาคือมัลคิยาห์ช่างทองคนหนึ่ง ซ่อมแซมไปไกลจนถึงบ้านของบรรดาผู้รับใช้พระวิหารและของพ่อค้า ตรงข้ามกับประตูตรวจพินิจ เขาซ่อมไปไกลจนถึงห้องชั้นบนที่มุมกำแพง 32 บรรดาช่างทองและพ่อค้าซ่อมแซมกำแพงระหว่างห้องชั้นบนที่มุมกำแพงกับประตูแกะ
พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แต่งตั้งบาร์นาบัสและเซาโลเพื่อปฏิบัติงาน
13 ในคริสตจักรเมืองอันทิโอก มีกลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าและพวกอาจารย์ คือบาร์นาบัส สิเมโอนที่มีอีกชื่อหนึ่งว่านิเกอร์ ลูสิอัสชาวเมืองไซรีน มานาเอน (ซึ่งเติบโตคู่มากับเฮโรดผู้ปกครองแคว้น) และเซาโล 2 ขณะที่คนเหล่านี้กำลังนมัสการพระผู้เป็นเจ้าและอดอาหารอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์กล่าวว่า “จงแต่งตั้งบาร์นาบัสและเซาโลเพื่อปฏิบัติงานที่เราได้เรียกตัวไว้ใช้” 3 หลังจากที่ทั้งกลุ่มอดอาหารและอธิษฐานเสร็จสิ้นแล้ว ก็วางมือบนตัวบาร์นาบัสและเซาโล แล้วจึงให้ทั้งสองออกเดินทางไป
ที่เกาะไซปรัส
4 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ดลใจให้ท่านทั้งสองลงไปยังเมืองเซลูเคีย และแล่นเรือจากที่นั่นไปยังเกาะไซปรัส 5 เมื่อมาถึงเมืองซาลามิส ก็ได้ประกาศคำกล่าวของพระเจ้าตามศาลาที่ประชุมของชาวยิว โดยมียอห์นเป็นผู้ช่วย 6 ทั้ง 3 คนเดินทางไปทั่วเกาะจนถึงเมืองปาโฟส และได้พบกับบาร์เยซูชาวยิวผู้ใช้เวทมนตร์คาถา และยังเป็นผู้เผยคำกล่าวเท็จด้วย 7 เขาอยู่กับเสอร์จีอัสเปาโลซึ่งเป็นผู้ว่าราชการแคว้นที่ฉลาดรอบรู้ ผู้ว่าราชการจึงให้คนไปตามบาร์นาบัสและเซาโลมาพบ เพราะต้องการจะฟังคำกล่าวของพระเจ้า 8 แต่เอลีมาส (ชื่อของบาร์เยซูในภาษากรีก) ผู้ใช้เวทมนตร์คาถาได้คัดค้านบาร์นาบัสและเซาโล โดยพยายามจะหันเหความเชื่อของผู้ว่าราชการแคว้น 9 แล้วเซาโลหรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า เปาโล ซึ่งเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จ้องมาที่เอลีมาสและพูดว่า 10 “เจ้าเต็มด้วยความหลอกลวงจอมปลอม บุตรของพญามาร เจ้าเป็นศัตรูของความดี เจ้ายังจะไม่หยุดบิดเบือนหนทางของพระผู้เป็นเจ้าอีกหรือ 11 บัดนี้พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะลงโทษเจ้า เจ้าจะตาบอดและมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ไปชั่วระยะหนึ่ง” ในทันใดนั้นดวงตาของเอลีมาสก็มืดมัวไป จนต้องคลำหาให้คนจูงมือไป 12 เมื่อผู้ว่าราชการแคว้นผู้นั้นเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็เชื่อ เพราะอัศจรรย์ใจกับการสอนเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า
ที่เมืองอันทิโอกในแคว้นปิสิเดีย
13 เปาโลและเพื่อนร่วมทางแล่นเรือจากเมืองปาโฟสไปยังเมืองเปอร์กา ในแคว้นปัมฟีเลีย ซึ่งเป็นเมืองที่ยอห์นได้แยกจากท่านทั้งสอง เพื่อกลับไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 14 แล้วเปาโลกับบาร์นาบัสก็เดินทางจากเมืองเปอร์กา ถึงเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสิเดีย ในวันสะบาโตก็เข้าไปนั่งในศาลาที่ประชุม 15 หลังจากที่ได้อ่านจากหมวดกฎบัญญัติและหมวดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแล้ว บรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมได้ใช้ให้คนมาบอกว่า “พี่น้องเอ๋ย ถ้าท่านมีเรื่องชื่นชูจิตใจผู้คนก็กรุณาพูดเถิด”
16 เปาโลยืนขึ้นโบกมือและพูดว่า “ชาวอิสราเอลและบรรดาคนนอกผู้นมัสการพระเจ้า จงฟังข้าพเจ้าเถิด 17 พระเจ้าของชนชาติอิสราเอลได้เลือกบรรพบุรุษของเรา พระองค์ทำให้พวกเขาเจริญยิ่งขึ้นขณะที่อยู่ในประเทศอียิปต์ และด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ พระองค์นำพวกเขาออกไปจากประเทศนั้น 18 พระองค์อดกลั้นต่อความประพฤติของพวกเขาในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาประมาณ 40 ปี 19 เมื่อพระองค์ได้ทำลาย 7 ชาติในดินแดนคานาอันแล้ว จึงมอบดินแดนนั้นให้เป็นมรดกแก่ชนชาติของพระองค์ 20 สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ใช้เวลาประมาณ 450 ปี หลังจากนั้นพระเจ้าได้มอบบรรดาผู้วินิจฉัยแก่พวกเขา จนกระทั่งถึงซามูเอลผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 21 ครั้นแล้วประชาชนได้เรียกร้องให้มีการแต่งตั้งกษัตริย์ พระองค์จึงมอบกษัตริย์ซาอูลบุตรคีชจากเผ่าเบนยามิน ให้ปกครองคนเหล่านั้น 40 ปี 22 หลังจากที่ได้ปลดกษัตริย์ซาอูลแล้ว พระเจ้าเลือกดาวิดให้เป็นกษัตริย์ของพวกเขา พระองค์อ้างถึงดาวิดว่า ‘เราพบว่าดาวิดบุตรของเจสซีเป็นคนที่เราโปรดปรานยิ่งนัก เขาจะทำทุกสิ่งที่เราบัญชาให้เขาทำ’ 23 จากเชื้อสายของชายผู้นี้ พระเจ้าได้มอบพระเยซูผู้ช่วยให้รอดพ้นแก่ประเทศอิสราเอล ดังที่ได้สัญญาไว้ 24 ก่อนที่พระเยซูจะมา ยอห์นได้ประกาศเรื่องการกลับใจและบัพติศมาให้แก่มวลชนของอิสราเอล 25 ขณะที่ยอห์นกำลังดำเนินงานของท่านให้เสร็จครบถ้วน ยอห์นก็พูดว่า ‘ท่านคิดว่าข้าพเจ้าคือใคร ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้นั้น แต่ว่าพระองค์กำลังจะมาภายหลังข้าพเจ้า แม้แต่เชือกผูกรองเท้าของพระองค์ ข้าพเจ้าก็มิบังควรที่จะแก้ออก’
26 พี่น้องเอ๋ย ลูกๆ ของอับราฮัม และบรรดาคนนอกที่เกรงกลัวพระเจ้า คำกล่าวเรื่องการมีชีวิตรอดพ้นนี้ ส่งมาเพื่อพวกเรา 27 ทั้งๆ ที่ผู้คนในเมืองเยรูซาเล็มและพวกที่อยู่ในระดับปกครองของเขาไม่ยอมรับพระเยซู พวกเขาจึงกล่าวโทษพระองค์ ทำให้เหตุการณ์กลับเป็นไปตามคำป่าวประกาศของบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าซึ่งเราได้ยินทุกครั้งในวันสะบาโต 28 แม้ว่าพวกนั้นไม่มีข้อกล่าวหาใดที่จะให้พระองค์ถึงแก่ความตายได้ ก็ยังขอให้ปีลาตสั่งประหารพระองค์เสีย 29 เมื่อคนเหล่านั้นได้กระทำทุกอย่างต่อพระองค์ ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์แล้ว พวกเขาจึงนำร่างของพระองค์ลงจากไม้กางเขน และวางไว้ในถ้ำเก็บศพ 30 แต่พระเจ้าให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 31 กลุ่มชนที่เดินทางไปกับพระองค์จากแคว้นกาลิลีถึงเมืองเยรูซาเล็ม ได้เห็นพระองค์เป็นเวลาหลายวัน และขณะนี้ต่างก็เป็นบรรดาพยานของพระองค์แก่ชนชาติของเรา 32 พวกเราประกาศข่าวประเสริฐนี้เพื่อให้ท่านทราบว่า สิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของเรานั้น 33 พระองค์ได้กระทำตามพระสัญญาเพื่อพวกเราซึ่งเป็นลูกหลานของเขาเหล่านั้น โดยให้พระเยซูฟื้นคืนชีวิต ตามที่มีบันทึกในฉบับสดุดีบทที่สอง ว่า
‘เจ้าเป็นบุตรของเรา
วันนี้เราประกาศว่าเราเป็นบิดาของเจ้า’[a]
34 ความจริงที่ว่า พระเจ้าได้ให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตายโดยไม่เปื่อยเน่านั้น พระองค์กล่าวคำเหล่านี้ว่า
‘เราจะให้พรที่บริสุทธิ์อย่างแน่นอนแก่เจ้า ตามที่ได้สัญญาไว้กับดาวิด’[b]
35 และตามที่ได้กล่าวไว้อีกครั้งในฉบับสดุดีว่า
‘พระองค์จะไม่ปล่อยให้องค์ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์เปื่อยเน่าไป’[c]
36 ด้วยว่าดาวิดได้รับใช้ตามความประสงค์ของพระเจ้าในสมัยของท่านแล้ว และได้ล่วงลับไป ร่างที่เปื่อยเน่าถูกฝังเคียงข้างบรรพบุรุษของท่าน 37 แต่ผู้ที่พระเจ้าได้ให้ฟื้นคืนชีวิตแล้วนั้นไม่ได้เปื่อยเน่าไป 38 ฉะนั้นพี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทราบว่า เป็นเพราะพระเยซู จึงมีการประกาศการยกโทษบาปให้แก่พวกท่าน 39 และโดยพระองค์ ผู้ที่เชื่อทุกคนก็จะพ้นผิดจากทุกสิ่งที่ไม่สามารถพ้นผิดได้ด้วยหมวดกฎบัญญัติของโมเสส 40 จงระวังไว้ เพื่อว่าสิ่งที่บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้กล่าวไว้ จะได้ไม่เกิดขึ้นกับท่าน
41 ‘ดูก่อน พวกเจ้าผู้ดูหมิ่น
เจ้าจะประหลาดใจ และพินาศ
ด้วยว่า เรากำลังจะทำบางสิ่งในสมัยของเจ้า
ซึ่งแม้มีคนบอกเจ้า เจ้าก็จะไม่มีวันเชื่อ’”[d]
42 ขณะที่เปาโลและบาร์นาบัสกำลังจะไปจากศาลาที่ประชุม ผู้คนก็เชิญให้ท่านทั้งสองพูดถึงสิ่งเหล่านี้ต่ออีกในวันสะบาโตหน้า 43 เมื่อการประชุมเลิกแล้ว มีคนจำนวนมากทั้งชาวยิวและคนที่เคยปฏิบัติตามศาสนาของชาวยิวและเกรงกลัวพระเจ้าก็ติดตามเปาโลและบาร์นาบัสไป ท่านทั้งสองได้ชักชวนพวกเขาให้พึ่งในพระคุณของพระเจ้าต่อไป
44 ครั้นถึงวันสะบาโตหน้า ผู้คนเกือบทั้งเมืองก็มาร่วมกันฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 45 เมื่อชาวยิวเห็นว่ามีผู้คนจำนวนมากก็เกิดความริษยาขึ้น จึงพูดจาดูแคลนและคัดค้านคำพูดของเปาโล 46 เปาโลและบาร์นาบัสก็ตอบคนเหล่านั้นด้วยใจกล้าหาญว่า “จำเป็นที่เราจะพูดถึงคำกล่าวของพระเจ้ากับพวกท่านก่อน เมื่อท่านไม่รับและไม่คิดว่าพวกท่านเองสมควรที่จะได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ เราจึงได้เบนเข็มมายังบรรดาคนนอก 47 ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าได้สั่งพวกเราไว้ว่า
‘เราได้ทำให้เจ้าเป็นแสงสว่างแก่บรรดาคนนอก
เพื่อเจ้าจะได้นำความรอดพ้นไปยังทุกมุมโลก’”[e]
48 เมื่อบรรดาคนนอกได้ยินดังนั้นก็ชื่นชมยินดี พวกเขาพากันสรรเสริญคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า และทุกคนที่ได้รับเลือกในชีวิตอันเป็นนิรันดร์ก็มีความเชื่อ 49 คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าได้แผ่ขยายไปทั่วเขตแดนนั้น 50 แต่ชาวยิวพากันยุยงพวกสตรีสูงศักดิ์ที่เกรงกลัวพระเจ้า รวมทั้งผู้นำชายในเมืองนั้น ให้ข่มเหงและขับไล่เปาโลกับบาร์นาบัสออกไปให้พ้นจากเขตแดนของพวกเขา 51 ดังนั้นท่านทั้งสองจึงสลัดฝุ่นออกจากเท้าเพื่อแสดงความผิดของพวกเขา แล้วก็ไปยังเมืองอิโคนียูม 52 เหล่าสาวกก็เปี่ยมล้นด้วยความชื่นชมยินดีและด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation