M’Cheyne Bible Reading Plan
อับราฮัมสิ้นชีวิต
25 อับราฮัมมีภรรยาอีกคนชื่อเคทูราห์ 2 นางให้กำเนิดบุตรชื่อ ศิมราน โยกชาน เมดาน มีเดียน อิชบาก และชูอัค 3 โยกชานมีบุตรชื่อ เช-บา และเดดาน บุตรของเดดานคือชาวอัชชูร์ เลทูช และเลอุม 4 มีเดียนมีบุตรชื่อ เอฟาห์ เอเฟอร์ ฮาโนค อาบีดา และเอลดาอาห์ คนเหล่านี้เป็นผู้สืบเชื้อสายของเคทูราห์ 5 อับราฮัมให้ทุกสิ่งที่ท่านมีแก่อิสอัค 6 แต่อับราฮัมให้ของขวัญแก่บรรดาบุตรของภรรยาน้อยของท่าน และขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านให้พวกเขาไปอยู่ในที่ซึ่งห่างไกลจากอิสอัคบุตรของท่าน ไปทางทิศตะวันออกยังดินแดนของชาติตะวันออก
7 อับราฮัมมีชีวิตอยู่นานถึง 175 ปี 8 อับราฮัมหมดลมหายใจและสิ้นชีวิตเมื่อชราภาพ เป็นคนชราที่มีอายุยืนนาน และถูกบรรจุรวมไว้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว 9 อิสอัคกับอิชมาเอลบุตรทั้งสองก็ได้บรรจุร่างท่านไว้ในถ้ำมัคเป-ลาห์ ในทุ่งนาของเอโฟรนบุตรของโศหาร์ชาวฮิต ซึ่งอยู่ใกล้มัมเร 10 อันเป็นทุ่งนาที่อับราฮัมได้ซื้อจากพวกชาวฮิต อับราฮัมถูกบรรจุไว้ที่นั่นกับซาราห์ภรรยาของท่าน 11 หลังจากที่อับราฮัมเสียชีวิตแล้ว พระเจ้าก็ได้ให้พรแก่อิสอัคบุตรของท่าน และอิสอัคอาศัยอยู่ที่เบเออลาไฮรอย
ลำดับเชื้อสายอิชมาเอล
12 ต่อไปนี้เป็นลำดับเชื้อสายของอิชมาเอล บุตรของอับราฮัมกับนางฮาการ์ชาวอียิปต์ที่เป็นหญิงรับใช้ของซาราห์ 13 อิชมาเอลมีบุตร ชื่อเรียงตามลำดับการเกิดดังนี้ เนบาโยทบุตรหัวปีของอิชมาเอล เคดาร์ อัดบีเอล และมิบสัม 14 มิชมา ดูมาห์ และมัสสา 15 ฮาดัด เท-มา เยทูร์ นาฟิช และเคเดมาห์ 16 คนเหล่านี้เป็นบุตรของอิชมาเอล และมีชื่อดังกล่าวนับตามหมู่บ้านและตามค่ายของพวกเขา ทั้ง 12 คนอยู่ในระดับปกครองชั้นสูงตามเผ่าของเขา 17 (อิชมาเอลมีอายุถึง 137 ปี หมดลมหายใจและสิ้นชีวิต ถูกบรรจุรวมไว้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว) 18 บรรดาบุตรเหล่านี้อาศัยอยู่ในอาณาเขตระหว่างฮาวิลาห์และชูร์ ซึ่งอยู่ใกล้ประเทศอียิปต์ทางไปอัชชูร์ และเขาเหล่านั้นมุ่งร้ายต่อญาติพี่น้องทุกคน
ยาโคบกับเอซาวเผชิญการแก่งแย่งเป็นครั้งแรก
19 ต่อไปนี้เป็นลำดับเชื้อสายของอิสอัคบุตรของอับราฮัม อับราฮัมเป็นบิดาของอิสอัค 20 อิสอัคมีอายุ 40 ปีเมื่อได้เรเบคาห์มาเป็นภรรยา เรเบคาห์เป็นบุตรหญิงของเบธูเอลชาวอารัม[a]แห่งปัดดานอารัม เป็นน้องสาวของลาบันชาวอารัม 21 อิสอัคอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ภรรยาของตน เพราะนางเป็นหมัน และพระผู้เป็นเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานของท่าน เรเบคาห์ภรรยาของท่านจึงตั้งครรภ์ 22 ทารกในครรภ์ผลักกันอยู่ในครรภ์ของนาง และนางพูดว่า “ทำไมฉันต้องเผชิญกับเรื่องอย่างนี้” นางจึงถามพระผู้เป็นเจ้า
23 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวตอบนางว่า
“สองประชาชาติอยู่ในครรภ์ของเจ้า
และสองชนชาติซึ่งเกิดจากเจ้าจะถูกแยกกัน
ชนพวกหนึ่งจะมีกำลังมากกว่าอีกพวกหนึ่ง
คนพี่จะรับใช้คนน้อง”[b]
24 เมื่อนางครบกำหนดคลอด ดูเถิด ลูกแฝดอยู่ในครรภ์ของนาง 25 คนแรกคลอดออกมาผิวแดง มีขนดกตามตัวดั่งเสื้อคลุม เขาจึงมีชื่อว่า เอซาว 26 น้องชายของเขาตามออกมา โดยมือบีบส้นเท้าของเอซาวอยู่ เขาจึงมีชื่อว่า ยาโคบ อิสอัคมีอายุ 60 ปีเมื่อบุตรทั้งสองถือกำเนิดออกมา
27 เมื่อเด็ก 2 คนโตเป็นหนุ่ม เอซาวเป็นนายพรานมือหนึ่ง ชอบใช้ชีวิตในทุ่งกว้าง ฝ่ายยาโคบเป็นคนเงียบๆ ชอบอยู่แต่ในกระโจม 28 อิสอัครักเอซาว เพราะท่านชอบรับประทานเนื้อที่ล่าได้ แต่เรเบคาห์รักยาโคบ
29 มาวันหนึ่งขณะที่ยาโคบกำลังต้มสตูอยู่ เอซาวเข้ามาจากทุ่งอย่างหิวโซ 30 เอซาวจึงพูดกับยาโคบว่า “ขอกินสตูแดงบ้าง เพราะฉันหิวเหลือเกิน” (เขาจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า เอโดม[c]) 31 ยาโคบตอบว่า “ขายสิทธิของลูกหัวปี[d]ของพี่ให้ฉันก่อนสิ” 32 เอซาวพูดว่า “ในเมื่อฉันเกือบจะตายอยู่แล้ว สิทธิของลูกหัวปีจะใช้อะไรได้สำหรับฉัน” 33 ยาโคบตอบว่า “สาบานให้ฉันก่อน” เขาจึงสาบานและขายสิทธิของบุตรหัวปีของตนแก่ยาโคบ 34 ยาโคบจึงให้ขนมปังกับสตูถั่วเลนเทิ้ลแก่เอซาว เขากินและดื่มเสร็จก็ลุกขึ้น แล้วออกไป เอซาวไม่ไยดีกับสิทธิของบุตรหัวปีเลย
พระวิหารถูกทำลาย และการสิ้นยุคนี้
24 แล้วพระเยซูก็ออกไปจากพระวิหาร ขณะที่กำลังเดินไปอยู่นั้น เหล่าสาวกของพระองค์ได้ชี้ตึกในบริเวณพระวิหารให้พระองค์ดู 2 พระองค์กล่าวตอบว่า “เจ้าเห็นสิ่งเหล่านี้ใช่ไหม เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ไม่มีหินก้อนใดซึ่งวางทับซ้อนกันอยู่ที่นี่จะรอดจากการทำลายไปได้”
3 ขณะที่พระองค์นั่งอยู่บนภูเขามะกอก เหล่าสาวกมาพูดกับพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “โปรดบอกพวกเราเถิดว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด และปรากฏการณ์สำคัญอันใดที่จะบ่งบอกให้รู้ว่า พระองค์จะมาและเป็นการสิ้นยุคนี้” 4 พระเยซูกล่าวตอบว่า “จงระวัง อย่าให้ผู้ใดชักจูงเจ้าไปในทางที่ผิด 5 เพราะว่าจะมีคนจำนวนมากที่จะมาและกล่าวอ้างนามของเราโดยว่า ‘เราเป็นพระคริสต์’ และจะชักจูงคนจำนวนมากไปในทางที่ผิด 6 เจ้าจะได้ยินถึงการสงครามต่างๆ และข่าวลือเรื่องสงคราม ก็อย่าตกใจกลัว เพราะสิ่งเหล่านั้นต้องเกิดขึ้นก่อน แต่การสิ้นสุดจะยังไม่เกิดขึ้นในทันที 7 ประเทศชาติต่างๆ จะต่อสู้กัน และอาณาจักรต่างๆ จะต่อสู้กัน จะเกิดความอดอยากและแผ่นดินไหวตามที่ต่างๆ 8 แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการเริ่มต้นความเจ็บปวดเหมือนก่อนคลอดลูก
9 ในเวลานั้นพวกเขาจะมอบตัวเจ้าให้ถูกข่มเหงและฆ่า และชนทุกชาติจะเกลียดชังเจ้าเหตุเพราะชื่อของเรา 10 คราวนั้นคนจำนวนมากจะละจากความเชื่อ เขาจะทรยศกันและเกลียดชังกัน 11 ผู้เผยคำกล่าวจอมปลอมจำนวนมากจะแสดงตนขึ้น และจะนำคนจำนวนมากไปในทางที่ผิด 12 เป็นเพราะความชั่วร้ายที่เพิ่มมากขึ้น ความรักของคนส่วนใหญ่จึงสลายลง 13 แต่คนที่ยืนหยัดจนถึงที่สุดจะได้ชีวิตรอดพ้น 14 และข่าวประเสริฐของอาณาจักรจะถูกประกาศไปทั่วโลกเพื่อเป็นพยานให้แก่ชนทุกชาติ แล้วก็จะถึงวันสิ้นยุคนี้
15 เมื่อเจ้าเห็นสิ่งที่น่าชังซึ่งทำให้เกิดความวิบัติที่ดาเนียลผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้พูดถึง ยืนอยู่ในสถานที่บริสุทธิ์ (ให้ผู้อ่านเข้าใจเถิด)[a] 16 เวลานั้นจงปล่อยให้ผู้คนในแคว้นยูเดียหนีไปยังแถบภูเขา 17 อย่าให้คนที่อยู่บนหลังคาบ้านลงไปขนสิ่งที่อยู่ในบ้านของเขาออกมา 18 อย่าให้คนที่อยู่ในทุ่งนากลับไปหยิบเสื้อตัวนอกของเขา 19 วิบัติจะเกิดแก่หญิงมีครรภ์และมารดาผู้ให้นมลูกในวันนั้น 20 จงอธิษฐานขอว่าเวลาเจ้าหนีไปไม่ใช่ฤดูหนาวหรือวันสะบาโต 21 เพราะในเวลานั้นจะเป็นเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบากอันใหญ่หลวงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่แรกสร้างโลกจนถึงเวลานี้ และจะไม่เป็นเช่นนั้นอีก 22 หากว่าพระเจ้าไม่ลดจำนวนวันอันแสนทุกข์ให้น้อยลง ก็จะไม่มีผู้ใดรอดชีวิตได้เลย แต่เพราะเห็นแก่ผู้ที่พระเจ้าได้เลือกไว้ พระองค์จึงลดจำนวนวันลง 23 ในเวลานั้นถ้าใครพูดกับเจ้าว่า ‘ดูสิ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘พระองค์อยู่ที่นั่น’ ก็อย่าเชื่อเขา 24 เพราะบรรดาพระคริสต์จอมปลอมและผู้เผยคำกล่าวจอมปลอมจะแสดงตน และแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์รวมถึงสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ต่างๆ เพื่อหากว่าเป็นไปได้ ก็จะชักจูงให้แม้ผู้ที่พระเจ้าเลือกไว้ให้หลงไปในทางที่ผิด 25 เราขอบอกพวกเจ้าล่วงหน้าไว้ก่อน 26 ฉะนั้นถ้าพวกเขาพูดกับเจ้าว่า ‘ดูสิ พระองค์อยู่ในถิ่นทุรกันดาร’ ก็จงอย่าตามออกไปที่นั่น หรือว่า ‘ดูสิ พระองค์อยู่ที่ห้องด้านใน’ ก็อย่าเชื่อพวกเขา 27 เพราะว่าฟ้าแลบจากทางทิศตะวันออก และแสงส่องไปยังทิศตะวันตกฉันใด การมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นฉันนั้น 28 ซากศพอยู่ที่ไหน ฝูงอีแร้งก็จะรุมกันอยู่ที่นั่น
29 ทันทีหลังจากระยะเวลาอันทุกข์ยากลำบาก ดวงอาทิตย์จะมืดลง และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง บรรดาดวงดาวจะตกลงจากฟ้า และบรรดาสิ่งที่ทรงพลังในท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน[b] 30 ครั้นแล้วปรากฏการณ์อัศจรรย์ของบุตรมนุษย์จะปรากฏที่ท้องฟ้า และทุกเผ่าพันธุ์ในโลกจะครวญคร่ำร่ำไห้ เขาเหล่านั้นจะเห็นบุตรมนุษย์มาในเมฆด้วยฤทธานุภาพและสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ 31 ท่านจะส่งเหล่าทูตสวรรค์ของท่านไปพร้อมกับเสียงแตรใหญ่ เพื่อรวบรวมบรรดาผู้ที่ท่านเลือกไว้จากลมทั้งสี่ คือนับจากสุดฟากฟ้าด้านหนึ่งจนถึงสุดฟากฟ้าอีกด้านหนึ่ง
32 จงเรียนเรื่องอุปมาจากต้นมะเดื่อ เมื่อกิ่งก้านเขียวสดแตกใบอ่อน เจ้าก็รู้ว่าฤดูฝนใกล้จะถึงแล้ว 33 ในทำนองเดียวกัน เมื่อเจ้าเห็นสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ จงรู้เถิดว่าท่านอยู่ใกล้ประตูมากแล้ว 34 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า คนในช่วงกาลเวลานี้จะไม่อาจล่วงลับไป จนกว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นก่อน 35 สวรรค์และโลกจะดับสูญไป แต่คำของเราจะไม่มีวันสูญหายไป
ใครจะหยั่งรู้อนาคต
36 แต่ไม่มีใครทราบถึงวันและเวลานั้น บรรดาทูตสวรรค์แห่งสวรรค์หรือแม้แต่พระบุตรก็ไม่ทราบเช่นกัน ยกเว้นพระบิดาเพียงพระองค์เดียว 37 การมาของบุตรมนุษย์จะเหมือนกับสมัยของโนอาห์[c] 38 เพราะในสมัยก่อนที่จะถึงวาระน้ำท่วมนั้น ผู้คนกำลังดื่มกิน สมรส และยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์ได้ลงเรือใหญ่ 39 เขาเหล่านั้นไม่ทันรู้ตัวจนกระทั่งน้ำท่วมทำลายพวกเขาหมดสิ้นฉันใด การมาของบุตรมนุษย์ก็เป็นฉันนั้น 40 จะมีชาย 2 คนอยู่ในนา คนหนึ่งจะถูกพาตัวไป อีกคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ 41 หญิง 2 คนจะโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกพาตัวไป อีกคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ 42 ฉะนั้นจงคอยระวังไว้ เพราะเจ้าไม่รู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าจะมาในวันไหน 43 จงเข้าใจด้วยว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้เวลาว่าขโมยจะมากี่ยาม เขาก็จะคอยระวังไว้แล้ว และไม่ยอมให้ขโมยบุกรุกเข้ามาในบ้านได้ 44 ด้วยเหตุนี้เจ้าต้องเตรียมพร้อมเช่นกัน เพราะบุตรมนุษย์จะมาในยามที่เจ้าไม่ได้คาดคิดไว้
45 ใครเล่าที่เป็นผู้รับใช้ที่ทั้งซื่อสัตย์และชาญฉลาด ที่นายมอบหน้าที่ให้แจกอาหารแก่คนรับใช้อื่นๆ ตามเวลา 46 ผู้รับใช้นั้นจะเป็นสุขเมื่อนายกลับมาพบว่าเขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ 47 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า นายจะมอบหน้าที่ให้เขาดูแลทุกสิ่งที่เขามี 48 แต่ถ้าหัวหน้าคนรับใช้ชั่วร้ายพูดกับตนเองว่า ‘กว่านายของเราจะมาก็อีกนาน’ 49 และเขาก็ทุบตีเพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ แล้วดื่มกินจนเมามายกับพวกขี้เมา 50 นายของผู้รับใช้คนนั้นจะมาในวันที่ไม่คาดคิดและในยามที่เขาไม่รู้ 51 นายจะทำโทษอย่างสาหัสสากรรจ์ และให้ไปอยู่กับพวกหน้าไหว้หลังหลอก ณ ที่นั่นจะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
งานเลี้ยงของกษัตริย์
1 ในสมัยของอาหสุเอรัส[a] คืออาหสุเอรัสผู้ที่ปกครอง 127 แคว้น ตั้งแต่อินเดียถึงคูช 2 ในสมัยนั้น เมื่อกษัตริย์อาหสุเอรัสครองราชบัลลังก์ในสุสาเมืองป้อมปราการ 3 ในปีที่สามหลังจากที่ได้ขึ้นครองราชย์ ท่านจัดงานเลี้ยงให้แก่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่และข้าราชการทั้งสิ้นของท่าน กองทัพของเปอร์เซียและมีเดีย บรรดาผู้สูงศักดิ์และผู้ว่าราชการประจำแคว้นต่างก็มาพร้อมหน้ากัน 4 ตลอดเวลา 180 วัน ท่านแสดงความมั่งมีแห่งราชอาณาจักร ความรุ่งเรืองของความยิ่งใหญ่ของท่าน 5 เมื่อเสร็จสิ้น กษัตริย์ก็โปรดให้มีงานเลี้ยงในสุสาเมืองป้อมปราการ แก่ประชาชนทั้งปวงทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย งานนี้ใช้เวลานานถึง 7 วัน ณ ลานสวนแห่งราชวัง 6 ในสวนมีม่านผ้าฝ้ายสีขาวและสีฟ้า ผูกด้วยเชือกป่านเนื้อดีสีม่วงคล้องกับห่วงเงินและเสาหินอ่อน มีเตียงทองคำและเงินตั้งอยู่บนพื้นหินโมเสคสีแดงม่วง หินอ่อน เปลือกมุก และเพชรพลอย 7 เครื่องดื่มรินใส่ถ้วยทองคำ ถ้วยหลากชนิด และมีเหล้าองุ่นของกษัตริย์ให้ดื่มโดยไม่จำกัด เพราะกษัตริย์ใจกว้าง 8 การดื่มเป็นไปตามคำสั่งที่ว่า “ไม่มีการบังคับใดๆ” เพราะกษัตริย์ได้ออกคำสั่งแก่พนักงานทุกคนในวังของท่านว่า แต่ละคนทำตามความพอใจของตน 9 ส่วนราชินีวัชทีก็จัดงานเลี้ยงสำหรับผู้หญิงในวังของกษัตริย์อาหสุเอรัสด้วย
ราชินีวัชทีปฏิเสธคำบัญชา
10 ในวันที่เจ็ด เมื่อใจของกษัตริย์หรรษาด้วยเหล้าองุ่น ท่านสั่งเมหุมาน บิสธา ฮาร์โบนา บิกธา อาบักธา เศธาร์ และคาร์คาส ผู้เป็นขันทีทั้งเจ็ดที่รับใช้กษัตริย์อาหสุเอรัส 11 ให้พาราชินีวัชทีมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ พร้อมกับสวมมงกุฎของเธอด้วย เพื่อให้ประชาชนและบรรดาเจ้าขุนมูลนายได้ชมความงามของเธอ เพราะเธอรูปงามยิ่งนัก 12 แต่ราชินีวัชทีปฏิเสธคำบัญชาของกษัตริย์ที่รับสั่งไปกับขันที กษัตริย์จึงกริ้วยิ่งนักและความโกรธก็เร่าร้อนอยู่ในใจ
13 กษัตริย์จึงกล่าวกับผู้เรืองปัญญาว่าควรจะทำอย่างไร (เพราะเป็นวิธีการของกษัตริย์ที่จะปรึกษาผู้ชำนาญกฎมนเทียรบาลและการตัดสินความ 14 และเป็นคนสนิทของกษัตริย์ด้วยคือ คาร์เช-นา เชธาร์ อัดมาธา ทาร์ชิช เมเรส มาร์เส-นา และเมมูคาน ซึ่งเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่แห่งเปอร์เซียและมีเดีย เข้าถึงตัวกษัตริย์ได้เสมอและมีตำแหน่งสูงในอาณาจักร) 15 กษัตริย์ถามว่า “จะต้องทำอย่างไรต่อราชินีวัชทีตามกฎหมาย ในเมื่อเธอไม่ปฏิบัติตามคำบัญชาของกษัตริย์อาหสุเอรัสที่รับสั่งไปกับขันที” 16 เมมูคานจึงกล่าวต่อหน้ากษัตริย์และบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ว่า “ราชินีวัชทีไม่เพียงกระทำผิดต่อกษัตริย์เท่านั้น แต่ผิดต่อบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และประชาชนทั้งปวงในทุกแคว้นของกษัตริย์อาหสุเอรัสด้วย 17 เพราะการกระทำของราชินีจะเป็นที่ทราบกันในบรรดาผู้หญิงทั้งปวง ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขาดูหมิ่นสามีของตนเอง และจะพูดกันได้ว่า ‘กษัตริย์อาหสุเอรัสบัญชาราชินีวัชทีให้มาเข้าเฝ้า แต่พระนางก็ไม่มา’ 18 ในวันนี้ บรรดาผู้หญิงที่เป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่แห่งเปอร์เซียและมีเดีย ที่ทราบถึงการกระทำของราชินี ก็จะพูดเหมือนกันแก่บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของกษัตริย์ จะเกิดการดูหมิ่นดูแคลนและความโกรธเกรี้ยวมากมาย 19 ถ้าหากว่าจะเป็นที่พอใจของกษัตริย์ ขอให้มีคำสั่งของราชสำนักซึ่งเขียนระบุในกฎของชาวเปอร์เซียและชาวมีเดียว่า นางวัชทีไม่มีสิทธิ์เข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัส และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ และขอให้กษัตริย์มอบราชตำแหน่งแก่ผู้อื่นที่เหมาะสมกว่าเธอ 20 ดังนั้นเมื่อมีการประกาศกฤษฎีกาของกษัตริย์ทั่วอาณาจักรอันกว้างใหญ่ ผู้หญิงทั้งปวงก็จะยกย่องสามีของตน ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย” 21 คำแนะนำนี้เป็นที่พอใจของกษัตริย์และบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ กษัตริย์จึงกระทำตามดังที่เมมูคานเสนอ 22 ท่านส่งสาสน์ไปยังแคว้นต่างๆ ของกษัตริย์ ถึงแต่ละแคว้นเป็นลายลักษณ์อักษรต้นฉบับแก่ชนทุกชาติในภาษาของเขาเอง คือให้ชายทุกคนเป็นเจ้านายในครัวเรือนของตน
เปาโลขึ้นคดีที่เมืองซีซารียา
24 ห้าวันต่อมา อานาเนียหัวหน้ามหาปุโรหิตได้เดินทางลงไปยังเมืองซีซารียา กับพวกผู้ใหญ่บางคนและทนายความคนหนึ่งชื่อเทอร์ทูลลัส เขาเหล่านี้ได้ฟ้องร้องเปาโลต่อหน้าผู้ว่าราชการ 2 เมื่อเปาโลถูกเรียกตัวเข้ามาแล้ว เทอร์ทูลลัสก็ยื่นคำร้องคดีของเขาต่อเฟลิกส์ว่า
“ข้าพเจ้าทั้งหลายได้รับความสงบสุขเป็นเวลานานภายใต้การปกครองของท่าน และเพราะสติปัญญาของท่าน จึงได้มีการปรับปรุงให้แก่ชาตินี้ 3 ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้คุณอย่างซาบซึ้งในทุกด้านและทุกแห่งหนถึงท่านใต้เท้าเฟลิกส์ 4 เพื่อไม่ให้เสียเวลาเนิ่นนานไป ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านกรุณาฟังพวกข้าพเจ้าเพียงสั้นๆ เถิด 5 ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นว่าชายผู้นี้ทำให้คนอื่นยุ่งยากลำบาก โดยได้ยุยงชาวยิวทั่วโลกให้ก่อการจลาจล เขานี่เองที่เป็นตัวการของพรรคชาวเมืองนาซาเร็ธ 6 เขาพยายามทำให้พระวิหารเป็นมลทิน ดังนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้จับกุมเขาไว้ [และต้องการจะพิพากษาโทษเขาตามกฎของเรา 7 แต่นายพันลีเซียสได้ใช้กำลังมหาศาลมาคว้าเขาไปจากมือของเรา 8 และออกคำสั่งให้พวกผู้กล่าวหามาให้ท่านพิจารณา][a] เมื่อท่านซักถามเขาเองเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ท่านเองจะได้ทราบความจริงเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่พวกเรามีต่อเขา”
9 ชาวยิวสนับสนุนคำกล่าวหานั้นโดยยืนยันว่าเป็นความจริง
10 เมื่อผู้ว่าราชการโบกมือส่งสัญญาณให้เปาโลพูด เปาโลจึงตอบว่า
“ข้าพเจ้าทราบว่าท่านเป็นผู้พิพากษาของชาตินี้เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ฉะนั้นข้าพเจ้ายินดีจะแก้คดี 11 ท่านสามารถสืบทราบได้ง่ายๆ ว่าข้าพเจ้าได้ขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็มเพื่อนมัสการไม่เกิน 12 วันมาแล้ว 12 พวกที่กล่าวหาข้าพเจ้าไม่ได้เห็นข้าพเจ้าถกเถียงกับผู้ใดที่พระวิหาร ก่อกวนฝูงชนในศาลาที่ประชุมหรือที่อื่นใดในเมืองเลย 13 พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ตามข้อที่กล่าวหาข้าพเจ้าได้ 14 แต่ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้านมัสการพระเจ้าของบรรพบุรุษของเราเหมือนกับผู้ติดตามใน ‘วิถีทางนั้น’ ซึ่งพวกเขาเรียกว่า ‘พรรค’ ข้าพเจ้าเชื่อทุกสิ่งที่เห็นด้วยกับกฎบัญญัติและที่บันทึกอยู่ในหมวดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 15 ข้าพเจ้ามีความหวังในพระเจ้าเช่นเดียวกับชายเหล่านี้ คือทั้งคนที่มีความชอบธรรมและคนที่ไม่มีความชอบธรรมจะฟื้นคืนชีวิต 16 ทั้งนี้ข้าพเจ้าดิ้นรนอยู่เสมอที่จะให้มีมโนธรรมที่ดีต่อพระเจ้าและมนุษย์ 17 หลังจากที่ไม่ได้อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มสองสามปีแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปที่นั่นเพื่อนำเงินบริจาคมายังชนชาติของข้าพเจ้า และให้ของถวายต่างๆ 18 เมื่อพวกเขาเห็นข้าพเจ้าในบริเวณพระวิหาร คือตอนที่ข้าพเจ้าได้ชำระตัวแล้ว เขามิได้พบว่าข้าพเจ้าอยู่กับฝูงชนหรือทำการก่อกวน 19 แต่มีชาวยิวบางคนที่มาจากแคว้นเอเชียซึ่งควรจะมาฟ้องร้องท่านก่อนแล้ว ถ้าหากเขามีอะไรจะฟ้อง 20 หรือพวกที่อยู่ที่นี่ควรให้การว่าเขาพบข้าพเจ้าผิดอย่างไรเวลาที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ต่อหน้าศาสนสภา 21 มีสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าร้องตะโกนต่อหน้าเขาเหล่านี้คือ ‘เป็นเรื่องเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย ข้าพเจ้าจึงต้องยืนรับการพิจารณาคดีต่อหน้าท่านในวันนี้’”
22 แล้วเฟลิกส์ผู้ที่คุ้นเคยกับ “วิถีทางนั้น” ก็เลื่อนการพิจารณาโดยกล่าวว่า “เมื่อผู้บังคับกองพันลีเซียสมา ข้าพเจ้าจึงจะตัดสินคดีของท่าน” 23 ท่านสั่งนายร้อยให้คุมตัวเปาโลไว้ แต่ก็ให้มีอิสระบ้างและอนุญาตให้เพื่อนๆ ของเปาโลมาปรนนิบัติตามความจำเป็นได้
24 สองสามวันต่อมาเฟลิกส์มากับภรรยาชาวยิวชื่อดรูสิลลา ท่านให้คนพาตัวเปาโลมา และได้ฟังท่านพูดเกี่ยวกับความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 25 ขณะที่เปาโลได้พูดถึงความชอบธรรม การควบคุมตนเอง และการพิพากษาที่จะมาถึงตัว เฟลิกส์ก็เกิดกลัวขึ้นแล้วพูดว่า “พอเท่านี้ก่อน ท่านไปได้แล้ว แต่พอถึงเวลาอีกข้าพเจ้าจะเรียกตัวท่านมา” 26 ในเวลาเดียวกันท่านก็หวังว่าเปาโลจะเสนอให้สินบน ท่านจึงให้ตามตัวเปาโลมาพูดด้วยบ่อยครั้ง 27 สองปีผ่านไป ปอร์สิอัสเฟสทัสได้มารับตำแหน่งแทนเฟลิกส์ แต่ว่าเฟลิกส์ต้องการจะเอาความดีความชอบจากชาวยิว จึงทิ้งเปาโลไว้ในคุก
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation