M’Cheyne Bible Reading Plan
ผู้มาเยือนทั้งสาม
18 และพระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่ท่านที่ข้างสวนโอ๊กของมัมเร ท่านนั่งอยู่ตรงทางเข้าของกระโจม ขณะที่แดดจัดจ้า 2 ท่านเงยหน้าขึ้น ดูเถิด มีชาย 3 คนยืนอยู่ตรงข้ามท่าน เมื่อท่านเห็นก็รีบรุดจากทางเข้ากระโจมไปหาท่านทั้งสามและก้มตัวลงราบกับพื้น 3 พร้อมกับพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน โปรดอย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไปเลย 4 ให้ข้าพเจ้าได้หาน้ำมาล้างเท้าท่าน และขอเชิญเข้าพักที่ใต้ต้นไม้นี้เถิด 5 ข้าพเจ้าจะไปเอาขนมปังมาให้ท่านสักเล็กน้อย ท่านจะได้สดชื่นขึ้น เมื่อเสร็จแล้วท่านจะได้เดินทางต่อไป ในเมื่อท่านก็มายังผู้รับใช้ของท่านแล้ว” ดังนั้นท่านทั้งสามจึงพูดว่า “ทำตามที่เจ้าพูดเถิด” 6 อับราฮัมรีบเข้าไปในกระโจมบอกกับซาราห์ว่า “เจ้ารีบเอาแป้งสาลีชั้นเยี่ยม 3 สอาห์[a] นวดแล้วทำขนมปังโดยเร็ว” 7 แล้วอับราฮัมรีบรุดออกไปที่ฝูงโค เลือกลูกโคน้อยอายุกำลังเหมาะ ให้ผู้รับใช้ไปรีบทำเป็นอาหาร 8 ครั้นแล้ว ท่านก็นำโยเกิร์ต นม และเนื้อลูกโคที่ปรุงเป็นอาหารแล้ว มาวางไว้เบื้องหน้าท่านทั้งสาม แล้วท่านก็ยืนอยู่ข้างๆ ที่ใต้ต้นไม้ขณะที่ท่านเหล่านั้นรับประทาน
9 ท่านทั้งสามกล่าวกับท่านว่า “ซาราห์ภรรยาของเจ้าอยู่ที่ไหน” อับราฮัมตอบว่า “นางอยู่ในกระโจม” 10 ท่านหนึ่งกล่าวว่า “เราจะกลับมาหาเจ้าอย่างแน่นอนประมาณหนึ่งปีหลังจากนี้ และซาราห์ภรรยาของเจ้าจะให้กำเนิดบุตรชาย”[b] นางซาราห์กำลังฟังอยู่ข้างหลังอับราฮัมที่ทางเข้ากระโจม 11 อับราฮัมและซาราห์ชราแล้ว ทั้งสองมีอายุมาก ซาราห์ก็หมดรอบเดือนแล้ว 12 นางซาราห์จึงหัวเราะค่อยๆ และคิดในใจว่า “ตัวฉันชราปานนี้แล้ว สามีของฉันก็มีอายุมาก ฉันยังจะมีลูกได้อีกหรือ” 13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอับราฮัมว่า “ทำไมซาราห์จึงหัวเราะและพูดว่า ‘ฉันจะมีลูกจริงๆ ในยามชราหรือนี่’ 14 มีอะไรที่ยากเกินไปสำหรับพระผู้เป็นเจ้าหรือ ปีหน้าเราจะกลับมาหาเจ้าตามกำหนดเวลานี้ และซาราห์จะได้บุตรชาย” 15 แต่ซาราห์รีบปฏิเสธด้วยความกลัวและพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้หัวเราะ” แต่พระองค์กล่าวว่า “ไม่จริง เจ้าหัวเราะเมื่อสักครู่นี้”
อับราฮัมขอพระเจ้าไม่ให้ทำลายโสโดม
16 ครั้นแล้วชายทั้งสามก็ไปจากที่นั่น มุ่งหน้าไปทางเมืองโสโดม อับราฮัมก็ได้เดินไปส่ง 17 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เราควรจะปิดบังสิ่งที่เรากำลังจะทำไม่ให้อับราฮัมรู้หรือ 18 ด้วยว่าบรรดาผู้สืบเชื้อสายของอับราฮัมจะเป็นประชาชาติหนึ่งที่มีอำนาจและเข้มแข็งมาก และประชาชาติทั้งปวงในโลกจะได้รับพรโดยผ่านเขา[c] 19 เป็นเพราะว่าเราได้เลือกเขาไว้เพื่อเขาจะได้กำชับลูกหลานและทุกคนที่จะเกิดมาในตระกูลของเขาให้รักษาวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าโดยปฏิบัติตามความชอบธรรมและความยุติธรรม เพื่อพระผู้เป็นเจ้าจะได้มอบสิ่งที่พระองค์สัญญาไว้แก่อับราฮัม” 20 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เพราะมีเสียงร้องทุกข์ต่อต้านเมืองโสโดมและโกโมราห์ดังมาก และผู้คนทำในสิ่งเลวร้ายยิ่ง 21 เราจะลงไปดูว่า พวกเขาได้กระทำความเลวจริง ดังที่เสียงร้องทุกข์มาถึงเราหรือไม่ จะจริงเท็จอย่างไร เราก็จะรู้”
22 ฉะนั้น ชายทั้งสามท่านจึงไปจากที่นั่น เพื่อไปยังเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 23 อับราฮัมจึงเข้าไปใกล้พลางพูดว่า “พระองค์จะทำให้คนมีความชอบธรรมถึงแก่ชีวิตไปด้วยกับคนชั่วช้าจริงๆ หรือ 24 สมมุติว่าผู้มีความชอบธรรมอยู่ในเมือง 50 คน แล้วพระองค์จะทำลายสถานที่นั้น โดยไม่ไว้ชีวิตคนมีความชอบธรรม 50 คนที่อยู่ในนั้นหรือ 25 ไม่มีวันที่พระองค์จะทำเช่นนั้น ไม่มีวันที่จะฆ่าผู้มีความชอบธรรมไปพร้อมกับคนชั่ว ไม่มีวันกระทำต่อผู้มีความชอบธรรมเหมือนกับที่กระทำต่อคนชั่ว ไม่มีวันที่พระองค์จะทำเช่นนั้น องค์ผู้พิพากษาของทุกคนในโลกจะไม่กระทำด้วยความยุติธรรมหรือ” 26 พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวว่า “ถ้าเราพบผู้มีความชอบธรรม 50 คนในเมืองโสโดม เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นทั้งหมดเพราะเห็นแก่คนเหล่านั้น”
27 อับราฮัมตอบว่า “โปรดให้อภัยข้าพเจ้าที่บังอาจพูดสิ่งต่อไปนี้กับพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นเพียงผงธุลีและเศษเถ้า 28 แต่สมมุติว่าใน 50 คนของผู้มีความชอบธรรมขาดไป 5 คน แล้วพระองค์จะทำลายทั้งเมืองเพราะขาดไป 5 คนหรือ” พระองค์ตอบว่า “เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นถ้าเราพบ 45 คนที่นั่น” 29 ท่านจึงพูดกับพระองค์ต่อไปอีกว่า “แล้วสมมุติว่าพบเพียง 40 คนที่นั่น” พระองค์ตอบว่า “เพราะเห็นแก่ 40 คน เราจะไม่ทำ” 30 แล้วท่านก็พูดว่า “โอ ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าโกรธเลย ข้าพเจ้าต้องขอถามต่ออีกว่า สมมุติว่าพบ 30 คนที่นั่น” พระองค์ตอบว่า “เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น ถ้าเราพบ 30 คนที่นั่น” 31 ท่านพูดว่า “โปรดให้อภัยที่ข้าพเจ้าบังอาจกล้าพูดกับพระผู้เป็นเจ้าต่ออีกว่า ถ้าสมมุติว่าพบ 20 คนที่นั่น” พระองค์ตอบว่า “เพราะเห็นแก่ 20 คน เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น” 32 แล้วท่านพูดว่า “โอ ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าโกรธเลย และข้าพเจ้าจะพูดอีกครั้งเดียวว่า สมมุติว่าพบ 10 คนที่นั่น” พระองค์ตอบว่า “เพราะเห็นแก่ 10 คน เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น” 33 ครั้นพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอับราฮัมเสร็จแล้ว พระองค์ก็ไปยังจุดหมายของพระองค์ ในขณะอับราฮัมก็กลับไปยังที่ของท่าน
พระเยซู โมเสส และเอลียาห์
17 หกวันต่อมา พระเยซูพาเปโตร ยากอบและน้องชายของเขาคือยอห์น ขึ้นไปยังภูเขาสูงแต่เพียงลำพัง 2 ร่างกายของพระองค์เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา ใบหน้าเปล่งแสงราวกับดวงอาทิตย์ และเสื้อตัวนอกของพระองค์ก็ขาวกระจ่างเรืองรองดุจแสงสว่าง 3 ในทันใดนั้น โมเสสและเอลียาห์ได้ปรากฏแก่พวกเขา และกำลังสนทนาอยู่กับพระองค์ 4 เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “พระองค์ท่าน ดีเหลือเกินที่พวกเราได้มาอยู่กันที่นี่ ถ้าพระองค์ปรารถนา ข้าพเจ้าจะสร้างกระโจม 3 หลังที่นี่ กระโจมหนึ่งสำหรับพระองค์ กระโจมหนึ่งสำหรับโมเสส และกระโจมหนึ่งสำหรับเอลียาห์” 5 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ เมฆสว่างจ้าก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นปกคลุมผู้คน ณ ที่นั้น ในทันใดนั้น มีเสียงจากเมฆกล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา คือผู้ที่เราพอใจมาก จงฟังท่านเถิด” 6 เมื่อพวกสาวกได้ยินเช่นนั้นก็ซบหน้าลงกับพื้นด้วยความกลัวยิ่ง 7 พระเยซูมาสัมผัสตัวพวกเขาและกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” 8 เมื่อเขาเหล่านั้นเงยหน้าขึ้นดูก็ไม่เห็นใครเลย เว้นแต่พระเยซูเท่านั้น
9 ขณะที่ลงมาจากภูเขา พระเยซูสั่งพวกเขาว่า “อย่าบอกใครๆ ในเรื่องภาพที่เห็นจนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นคืนชีวิตจากความตาย” 10 เหล่าสาวกของพระองค์ถามว่า “แล้วทำไมพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติพูดกันว่า เอลียาห์ต้องมาก่อน” 11 พระองค์กล่าวตอบว่า “เอลียาห์จะต้องมาและจะทำให้ทุกสิ่งคืนสู่สภาพเดิม 12 แต่เราขอบอกเจ้าว่า เอลียาห์ได้มาแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นเอลียาห์ และกระทำต่อเขาตามใจชอบ บุตรมนุษย์จะทนทุกข์ทรมานเพราะพวกเขาเช่นเดียวกัน” 13 ดังนั้นเหล่าสาวกจึงเข้าใจว่าพระองค์ได้กล่าวถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาให้พวกเขาฟัง
พระเยซูขับมารพ้นจากตัวเด็ก
14 เมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกมายังฝูงชน มีชายคนหนึ่งเข้ามาก้มกราบเบื้องหน้าพระองค์และกล่าวว่า 15 “พระองค์ท่าน โปรดเมตตาลูกชายของข้าพเจ้าด้วย เพราะเขาเป็นโรคลมชักและทรมานมาก เขามักจะพลัดตกในกองไฟและพลัดตกน้ำบ่อยครั้ง 16 ข้าพเจ้าพาเขาไปหาเหล่าสาวกของพระองค์ แต่พวกเขารักษาให้ไม่ได้” 17 พระเยซูกล่าวตอบว่า “คนในช่วงกาลเวลานี้ช่างไร้ความเชื่อ และบิดเบือนเสียจริง เราจะต้องอยู่กับพวกเจ้านานสักเท่าไร เราจะต้องทนต่อพวกเจ้าไปนานสักเท่าไร พาเขามาหาเราที่นี่เถิด” 18 พระเยซูห้ามมารให้หยุด และมันก็ออกจากตัวเด็ก และเขาก็หายเป็นปกติทันที 19 เหล่าสาวกมาหาพระเยซูตามลำพังและถามว่า “ทำไมพวกเราจึงขับมันออกมาไม่ได้” 20 พระองค์กล่าวว่า “เพราะความเชื่อของเจ้ามีน้อย เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ถ้าเจ้ามีความเชื่อมากเพียงเท่ากับเมล็ดพันธุ์จิ๋ว เมื่อเจ้าพูดกับภูเขานี้ว่า ‘จงเคลื่อนจากที่นี่ไปที่นั่น’ แล้วมันก็จะเคลื่อน ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเจ้า [21 แต่มารประเภทนี้จะไม่มีวันถูกขับออกมาได้จนกว่าจะมีการอธิษฐานและอดอาหาร”][a]
22 ขณะที่พวกเขาชุมนุมกันอยู่ที่แคว้นกาลิลี พระเยซูกล่าวว่า “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของมนุษย์ 23 พวกเขาจะฆ่าท่านเสีย และท่านจะฟื้นคืนชีวิตในวันที่สาม” แล้วเหล่าสาวกก็เศร้าใจยิ่งนัก
ภาษีพระวิหาร
24 เมื่อมาถึงเมืองคาเปอร์นาอุมแล้ว คนเก็บภาษี 2 ดร๊าคม่า[b]มาหาเปโตรพลางกล่าวว่า “อาจารย์ของท่านไม่จ่ายภาษีพระวิหารหรือ” 25 เปโตรตอบว่า “จ่าย” ครั้นเปโตรเข้าไปในบ้าน พระเยซูกล่าวกับเขาก่อนเลยว่า “ซีโมน เจ้าคิดว่าอย่างไร บรรดากษัตริย์ในโลกเก็บภาษีอากรและภาษีอื่นๆ จากใคร จากลูกๆ หรือจากผู้อื่น” 26 เปโตรตอบว่า “จากผู้อื่น” พระเยซูกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าลูกๆ ไม่ต้องจ่าย 27 แต่เพื่อไม่ให้ใครตำหนิเรา จงไปตกเบ็ดที่ทะเลสาบ เอาปลาตัวแรกที่ตกได้มาเปิดปากดู แล้วเจ้าก็จะพบเหรียญสตาเตเหรียญหนึ่ง[c] เอาเหรียญนั้นไปจ่ายเขาเป็นภาษีสำหรับเราและเจ้า”
7 เมื่อสร้างกำแพงเสร็จ ข้าพเจ้าได้ติดตั้งบานประตู และกำหนดผู้เฝ้าประตู นักร้อง และชาวเลวี 2 ข้าพเจ้าให้ฮานานีพี่น้องของข้าพเจ้า พร้อมกับฮานันยาห์ผู้บัญชาการป้อมปราการ เป็นผู้ดูแลเยรูซาเล็ม เพราะเขาภักดีและเกรงกลัวพระเจ้ามากกว่าคนอื่นๆ อีกหลายคน 3 ข้าพเจ้าพูดกับพวกเขาว่า “อย่าให้ประตูเยรูซาเล็มเปิด จนกว่าแดดจะร้อน และขณะที่พวกเขายืนเฝ้าอยู่ ก็ให้พวกเขาปิดและกั้นด้วยดาลประตู ตั้งยามเฝ้าจากบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม ให้มียามเฝ้าที่ป้อมยามบ้าง และที่หน้าบ้านของพวกเขาบ้าง” 4 เมืองนั้นกว้างและใหญ่ แต่ประชาชนที่อยู่ภายในมีน้อย และยังไม่ได้สร้างบ้านเรือนกัน
รายชื่อเชลยที่กลับมา
5 พระเจ้าดลใจให้ข้าพเจ้าเรียกประชุมขุนนาง เจ้าหน้าที่ และประชาชน เพื่อจดทะเบียน และข้าพเจ้าพบสมุดบันทึกลำดับเชื้อสายของบรรดาคนรุ่นแรกที่กลับมา และพบสิ่งที่บันทึกในนั้นว่า
6 เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้จับประชาชนที่ถูกเนรเทศจากแคว้นยูดาห์ไปเป็นเชลย และต่อมาพวกเขาต่างก็กลับมายังเมืองของตนในเยรูซาเล็มและยูดาห์ 7 เขาทั้งหลายมากับเศรุบบาเบล เยชูอา เนหะมีย์ อาซาริยาห์ ราอามิยาห์ นาหะมานี โมร์เดคัย บิลชาน มิสเปเรท บิกวัย เนฮูม บาอานาห์
จำนวนประชาชนผู้ชายของอิสราเอลมีดังต่อไปนี้ 8 พงศ์พันธุ์ปาโรช 2,172 คน 9 พงศ์พันธุ์เชฟาทิยาห์ 372 คน 10 พงศ์พันธุ์อาราห์ 652 คน 11 พงศ์พันธุ์ปาหัทโมอับ คือบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเยชูอาและโยอาบ 2,818 คน 12 พงศ์พันธุ์เอลาม 1,254 คน 13 พงศ์พันธุ์ศัทธู 845 คน 14 พงศ์พันธุ์ศักคัย 760 คน 15 พงศ์พันธุ์บินนุย 648 คน 16 พงศ์พันธุ์เบบัย 628 คน 17 พงศ์พันธุ์อัสกาด 2,322 คน 18 พงศ์พันธุ์อาโดนีคัม 667 คน 19 พงศ์พันธุ์บิกวัย 2,067 คน 20 พงศ์พันธุ์อาดีน 655 คน 21 พงศ์พันธุ์อาเทอร์ คือบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเฮเซคียาห์ 98 คน 22 พงศ์พันธุ์ฮาชูม 328 คน 23 พงศ์พันธุ์เบไซ 324 คน 24 พงศ์พันธุ์ฮาริฟ 112 คน 25 พงศ์พันธุ์กิเบโอน 95 คน 26 ผู้ชายจากเบธเลเฮมและเนโทฟาห์ 188 คน 27 ผู้ชายจากอานาโธท 128 คน 28 ผู้ชายจากเบธอัสมาเวท 42 คน 29 ผู้ชายจากคีริยาทเยอาริม เคฟีราห์ และเบเอโรท 743 คน 30 ผู้ชายจากรามาห์และเก-บา 621 คน 31 ผู้ชายจากมิคมาส 122 คน 32 ผู้ชายจากเบธเอลและอัย 123 คน 33 ผู้ชายจากเนโบอีกกลุ่มหนึ่ง 52 คน 34 พงศ์พันธุ์ชาวเอลามอีกกลุ่มหนึ่ง 1,254 คน 35 พงศ์พันธุ์ชาวฮาริม 320 คน 36 พงศ์พันธุ์ชาวเยรีโค 345 คน 37 พงศ์พันธุ์ชาวโลด ชาวฮาดิด และชาวโอโน 721 คน 38 พงศ์พันธุ์ชาวเสนาอาห์ 3,930 คน
39 บรรดาปุโรหิต คือพงศ์พันธุ์เยดายาห์ จากตระกูลเยชูอา 973 คน 40 พงศ์พันธุ์อิมเมอร์ 1,052 คน 41 พงศ์พันธุ์ปาชเฮอร์ 1,247 คน 42 พงศ์พันธุ์ฮาริม 1,017 คน
43 ชาวเลวี คือพงศ์พันธุ์เยชูอาและขัดมีเอล จากพงศ์พันธุ์โฮดาวิยาห์ 74 คน 44 บรรดานักร้อง คือพงศ์พันธุ์อาสาฟ 148 คน 45 บรรดาผู้สืบเชื้อสายของคนเฝ้าประตู คือพงศ์พันธุ์ชัลลูม พงศ์พันธุ์อาเทอร์ พงศ์พันธุ์ทัลโมน พงศ์พันธุ์อักขูบ พงศ์พันธุ์ฮาทิธา และพงศ์พันธุ์โชบัย 138 คน
46 บรรดาผู้รับใช้ประจำพระวิหาร คือพงศ์พันธุ์ศีหะ พงศ์พันธุ์ฮาสูฟา พงศ์พันธุ์ทับบาโอท 47 พงศ์พันธุ์เคโรส พงศ์พันธุ์สีอา พงศ์พันธุ์พาโดน 48 พงศ์พันธุ์เลบานาห์ พงศ์พันธุ์ฮากาบาห์ พงศ์พันธุ์ชัลมัย 49 พงศ์พันธุ์ฮานาน พงศ์พันธุ์กิดเดล พงศ์พันธุ์กาฮาร์ 50 พงศ์พันธุ์เรอายาห์ พงศ์พันธุ์เรซีน พงศ์พันธุ์เนโคดา 51 พงศ์พันธุ์กัสซาม พงศ์พันธุ์อุสซา พงศ์พันธุ์ปาเสอัค 52 พงศ์พันธุ์เบสัย พงศ์พันธุ์เมอูนิม พงศ์พันธุ์เนฟูเชสิม 53 พงศ์พันธุ์บัคบูค พงศ์พันธุ์ฮาคูฟา พงศ์พันธุ์ฮาร์ฮูร์ 54 พงศ์พันธุ์บัสลีท พงศ์พันธุ์เมหิดา พงศ์พันธุ์ฮาร์ชา 55 พงศ์พันธุ์บาร์โขส พงศ์พันธุ์สิเส-รา พงศ์พันธุ์เทมาห์ 56 พงศ์พันธุ์เนซิยาห์ และพงศ์พันธุ์ฮาทิฟา
57 พงศ์พันธุ์ผู้รับใช้ของซาโลมอน คือพงศ์พันธุ์โสทัย พงศ์พันธุ์หัสโสเฟเรท พงศ์พันธุ์เปริดา 58 พงศ์พันธุ์ยาอาลาห์ พงศ์พันธุ์ดาร์โคน พงศ์พันธุ์กิดเดล 59 พงศ์พันธุ์เชฟาทิยาห์ พงศ์พันธุ์ฮัทธิล พงศ์พันธุ์โปเคเรท-หัสเซบาอิม และพงศ์พันธุ์อาโมน
60 ผู้รับใช้ประจำพระวิหารและพงศ์พันธุ์ผู้รับใช้ของซาโลมอน รวมทั้งสิ้น 392 คน
61 คนเหล่านี้ขึ้นมาจากเมืองเทลเมลาห์ เทลฮาร์ชา เครูบ อัดโดน และอิมเมอร์ แต่พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามาจากตระกูลใดหรือสืบเชื้อสายมาจากชาวอิสราเอลหรือไม่ พวกเขามีรายชื่อดังต่อไปนี้ 62 พงศ์พันธุ์เดไลยาห์ พงศ์พันธุ์โทบียาห์ และพงศ์พันธุ์เนโคดา รวมได้ 642 คน 63 จากพงศ์พันธุ์ของบรรดาปุโรหิตด้วยคือ พงศ์พันธุ์โฮบายาห์ พงศ์พันธุ์ฮักโขส และพงศ์พันธุ์บาร์ซิลลัย (ผู้ได้แต่งงานกับบุตรหญิงของบาร์ซิลลัยชาวกิเลอาด จึงได้ชื่อตามนั้น) 64 คนเหล่านี้ได้ค้นหาทะเบียนของพวกเขาในหมู่คนที่จดทะเบียนลำดับเชื้อสาย แต่หาไม่พบ พวกเขาจึงถูกตัดออกจากการเป็นปุโรหิตเพราะถูกนับว่ามีมลทิน 65 ผู้ว่าราชการเมืองสั่งห้ามไม่ให้พวกเขารับประทานอาหารบริสุทธิ์ที่สุด จนกว่าปุโรหิตจะตัดสินใจโดยใช้อูริมและทูมมิม[a]เสียก่อน
จำนวนคนและของถวาย
66 ที่ประชุมทั้งหมดรวมทั้งสิ้น 42,360 คน 67 นอกจากบรรดาผู้รับใช้ชายและหญิงจำนวน 7,337 คนแล้ว ยังมีนักร้องชายและหญิงอีก 245 คน 68 ม้า 736 ตัว ล่อ 245 ตัว 69 อูฐ 435 ตัว และลา 6,720 ตัว
70 หัวหน้าพงศ์พันธุ์บางคนอุทิศเพื่อช่วยในงานครั้งนั้น ผู้ว่าราชการถวายแก่คลังเป็นทองคำหนัก 1,000 ดาริค[b] ชาม 50 ใบ เครื่องแต่งกายปุโรหิต 530 ตัว 71 หัวหน้าพงศ์พันธุ์บางคนถวายแก่คลังเพื่อช่วยในงานครั้งนั้น เป็นทองคำหนัก 20,000 ดาริค เงินหนัก 2,200 มินา[c] 72 และสิ่งที่ประชาชนถวายเป็นทองคำหนัก 20,000 ดาริค เงินหนัก 2,000 มินา และเครื่องแต่งกายปุโรหิต 67 ตัว
73 บรรดาปุโรหิต ชาวเลวี คนเฝ้าประตู นักร้อง ประชาชนบางคน ผู้รับใช้ประจำพระวิหาร และอิสราเอลทั้งปวง ต่างก็ตั้งรกรากอยู่ในเมืองของตน
เมื่อถึงเดือนที่เจ็ด ประชาชนอิสราเอลก็ได้อยู่ในเมืองของตน
ที่เมืองเธสะโลนิกา
17 เมื่อพวกเขาได้ข้ามเมืองอัมฟีบุรีและเมืองอปอลโลเนียแล้ว ก็มายังเมืองเธสะโลนิกา ที่นั่นมีศาลาที่ประชุมของชาวยิว 2 เปาโลเข้าไปในศาลาที่ประชุมตามเคย และท่านใช้วันสะบาโตถึง 3 สัปดาห์ อภิปรายกับผู้คนโดยให้เหตุผลจากพระคัมภีร์ 3 และได้อธิบายทั้งยังพิสูจน์ว่า พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมานและฟื้นคืนชีวิตจากความตาย ท่านกล่าวว่า “พระเยซูที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่านอยู่นี้คือพระคริสต์” 4 เปาโลได้ชักจูงชาวยิวบางคนให้เข้าพวกไปกับท่านและสิลาส ชาวกรีกอีกจำนวนมากที่เกรงกลัวพระเจ้า รวมทั้งผู้นำหญิงจำนวนไม่น้อยก็เข้าพวกไปด้วยเช่นกัน 5 แต่ชาวยิวเกิดอิจฉา จึงได้วานพวกอันธพาลมาจากย่านตลาด รวมกันเป็นกลุ่มเพื่อร่วมก่อการจลาจลในเมือง และพวกเขาก็รีบบุกเข้าไปในบ้านของยาโสนเพื่อตามหาเปาโลและสิลาส เพื่อจะพาตัวท่านทั้งสองออกไปกลางฝูงชน 6 แต่เมื่อไม่พบจึงได้ฉุดกระชากยาโสน และพี่น้องบางคนออกไปหาเจ้าหน้าที่ประจำเมือง พลางตะโกนว่า “คนพวกนี้ได้ทำความยุ่งยากไปทั่วโลก แล้วบัดนี้ก็มาถึงที่นี่ 7 ยาโสนได้ยินดีรับพวกเขาเข้าบ้าน ซึ่งพวกนั้นกระทำผิดคำสั่งของซีซาร์ โดยกล่าวอ้างว่า มีกษัตริย์อีกผู้หนึ่งชื่อเยซู” 8 ครั้นแล้วฝูงชนและพวกเจ้าหน้าที่ประจำเมืองเกิดความไม่พอใจยิ่งนักที่ได้ยินอย่างนั้น 9 และเมื่อได้รับค่าประกันตัวจากยาโสนกับคนอื่นๆ แล้ว จึงปล่อยตัวพวกเขาไป
ที่เมืองเบโรอา
10 ทันทีที่ตกค่ำพวกพี่น้องก็ส่งเปาโลและสิลาสไปยังเมืองเบโรอา เมื่อถึงแล้ว พวกเขาก็ไปยังศาลาที่ประชุมของชาวยิว 11 ชาวเมืองเบโรอายินดีรับฟังคำกล่าวอย่างกระตือรือร้นมากกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกา และตรวจสอบกับพระคัมภีร์ทุกวันว่า สิ่งที่เปาโลพูดเป็นความจริงหรือไม่ 12 มีชาวยิวจำนวนมากที่เชื่อ พร้อมทั้งพวกสตรีสูงศักดิ์ชาวกรีก รวมถึงชายชาวกรีกก็จำนวนไม่น้อยด้วย 13 เมื่อชาวยิวที่อยู่ในเมืองเธสะโลนิกาทราบว่า เปาโลกำลังประกาศคำกล่าวของพระเจ้าที่เมืองเบโรอา ก็ตามไปที่นั่นเพื่อก่อความวุ่นวายและปลุกระดมฝูงชน 14 พวกพี่น้องจึงส่งเปาโลให้เดินทางไปยังแถบชายฝั่งทะเลทันที แต่สิลาสและทิโมธีพักอยู่ต่อที่เมืองเบโรอา 15 พวกคนที่พาเปาโลไปได้นำท่านไปถึงเมืองเอเธนส์ หลังจากที่พวกเขาได้รับคำสั่งให้ไปบอกสิลาสและทิโมธีมาร่วมงานกับท่านโดยเร็ว แล้วก็จากไป
ที่เมืองเอเธนส์
16 ขณะที่เปาโลกำลังรอสิลาสและทิโมธีอยู่ที่เมืองเอเธนส์ ท่านก็เกิดความวิตกกังวลมากเมื่อพบว่า เมืองนั้นเต็มไปด้วยรูปเคารพ 17 ดังนั้นท่านจึงอภิปรายในศาลาที่ประชุมกับชาวยิวและชาวกรีกที่เกรงกลัวพระเจ้า และในย่านตลาดทุกวันกับคนที่บังเอิญอยู่ที่นั่น 18 มีนักปรัชญาบางคนในพวกเอปิคูเรียน และนักปรัชญาบางคนในพวกสโตอิกที่เริ่มโต้แย้งกับท่าน บางคนก็ถามว่า “คนที่เก็บความรู้ของคนอื่นใคร่จะพูดอะไรให้พวกเราฟัง” บางคนก็พูดเสียดสีว่า “ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ประกาศของบรรดาเทพเจ้าต่างชาติ” เขาทั้งหลายพูดเช่นนี้ เป็นเพราะว่าเปาโลประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระเยซูและการฟื้นคืนชีวิต 19 แล้วพวกเขาจึงพาท่านไปยังที่ประชุมของอาเรโอปากัส แล้วถามว่า “พวกเราขอทราบได้ไหมว่า การสอนแบบใหม่ที่ท่านเสนอนี้เป็นอย่างไร 20 เราได้ยินความคิดเห็นแปลกประหลาดจากสิ่งที่ท่านพูดมา และเราอยากทราบว่าสิ่งเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร” 21 ชาวเอเธนส์และชนต่างชาติทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นต่างไม่ทำสิ่งอื่นใดเลย นอกจากจะพูดหรือฟังเรื่องใหม่ล่าสุด
22 เปาโลจึงยืนขึ้นในที่ประชุมของอาเรโอปากัสและพูดว่า “ท่านชาวเมืองเอเธนส์ ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านเคร่งครัดในกรอบของศาสนามาก 23 ข้าพเจ้าได้เดินดูรอบๆ และเห็นสิ่งที่ท่านนมัสการ ข้าพเจ้ายังพบแท่นนมัสการแห่งหนึ่งซึ่งมีคำจารึกไว้ว่า
‘แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก’
ฉะนั้นข้าพเจ้าจะประกาศให้ท่านทราบถึงผู้ที่ท่านไม่รู้จัก แต่ยังนมัสการอยู่
24 พระเจ้าผู้สร้างโลกและทุกสิ่งที่มีอยู่ในนั้น คือพระผู้เป็นเจ้าของสวรรค์และโลก พระองค์ไม่สถิตในวิหารต่างๆ ที่มนุษย์สร้าง 25 และไม่จำเป็นต้องให้มือมนุษย์มาปรนนิบัติราวกับว่าพระองค์ต้องอาศัยสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์เป็นผู้มอบชีวิตกับลมหายใจแก่มนุษย์ทั้งหลายและสิ่งทั้งปวง 26 พระองค์สร้างมนุษย์ทุกชาติขึ้นมาจากชายคนเดียว เพื่อให้มีชีวิตครองโลก พระองค์เจาะจงกาลเวลาและเขตแดนว่า มนุษย์คนใดควรจะอยู่แห่งใด 27 เพื่อว่ามนุษย์จะได้แสวงหาพระองค์ และอาจจะไขว่คว้าหาพระองค์จนพบ ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากเราแต่ละคนเลย 28 ด้วยว่า ‘เรามีชีวิต เคลื่อนไหว และเป็นอยู่ได้ก็เพราะพระองค์’ ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวไว้ว่า ‘พวกเราเป็นเชื้อสายของพระองค์’
29 ในเมื่อพวกเราเป็นเชื้อสายของพระเจ้า ก็ไม่ควรคิดว่าพระเจ้าเป็นเหมือนทอง เงิน หรือหินที่เป็นรูปเคารพ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยการออกแบบและความชำนาญของมนุษย์ 30 ในสมัยก่อน พระเจ้ามองข้ามความไร้เดียงสาเช่นนั้นของมนุษย์ แต่มาบัดนี้พระองค์ออกคำสั่งให้คนทั่วทุกแห่งหนกลับใจ 31 เพราะว่าพระองค์ได้กำหนดวัน ซึ่งพระองค์จะพิพากษาโลกอย่างยุติธรรม โดยผ่านมนุษย์ผู้หนึ่ง ซึ่งพระองค์ได้เลือกไว้ พระเจ้าได้พิสูจน์แก่คนทั้งปวง ด้วยการให้มนุษย์ผู้นั้นฟื้นคืนชีวิตจากความตาย”
32 เมื่อเขาเหล่านั้นได้ยินเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย บ้างก็พูดเยาะเย้ย แต่บางคนกล่าวว่า “พวกเราอยากจะได้ยินท่านพูดเรื่องนี้อีก” 33 เปาโลก็เดินออกไปจากที่นั่น 34 แต่บางคนเชื่อและได้ติดตามเปาโลไป รวมทั้งดิโอนิสิอัสซึ่งเป็นสมาชิกผู้หนึ่งของสภาอาเรโอปากัส กับหญิงคนหนึ่งชื่อดามาริส และคนอื่นๆ อีก
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation