M’Cheyne Bible Reading Plan
2 ฉะนั้น ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก อีกทั้งทุกสิ่งที่อาศัยอยู่ในที่เหล่านั้นได้ถูกสร้างจนสำเร็จทั้งสิ้น
วันที่เจ็ด พระเจ้าหยุดพัก
2 เมื่อถึงวันที่เจ็ด พระเจ้าก็เสร็จสิ้นจากการงานของพระองค์ ดังนั้นในวันที่เจ็ดพระองค์จึงหยุดพักจากการงานทั้งสิ้นที่ได้กระทำ 3 แล้วพระเจ้าก็อวยพรวันที่เจ็ด และตั้งให้เป็นวันบริสุทธิ์ เพราะเป็นวันที่พระเจ้าหยุดพักจากการงานสร้างสรรค์ทั้งสิ้นของพระองค์
อาดัมกับเอวา
4 ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกถูกสร้างสรรค์ขึ้นตามลำดับดังนี้ ในวันที่พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าสร้างแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์
5 ยามที่แผ่นดินโลกยังไม่มีพันธุ์ไม้เขียวชอุ่มอยู่ตามทุ่งนา อีกทั้งผักหญ้าในทุ่งก็ยังไม่งอก เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้ายังไม่ได้บันดาลให้ฝนตกบนแผ่นดินโลก และยังไม่มีผู้ใดทำไร่พรวนดิน 6 มีแต่ละอองน้ำพุ่งขึ้นจากแผ่นดินและรดทั่วพื้นดิน 7 ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าก็ปั้นมนุษย์[a]ขึ้นจากธุลีดิน แล้วพระองค์ได้ระบายลมหายใจแห่งชีวิตผ่านทางจมูกของเขา และมนุษย์ผู้นั้นก็มีชีวิตขึ้นมา 8 แล้วพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดนทางทิศตะวันออก พระองค์มอบหมายให้มนุษย์ซึ่งพระองค์ปั้นไว้อยู่ที่นั่น 9 และพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าให้ต้นไม้ทุกประเภทที่สวยงามและมีผลใช้เป็นอาหารได้งอกขึ้นจากดิน ที่กลางสวนมีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่ง[b] และต้นไม้แห่งความรู้ในสิ่งดีและชั่ว
10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลมาจากเอเดนและหล่อเลี้ยงสวนนั้น และจากนั้นก็แยกออกเป็นแม่น้ำ 4 สาย 11 แม่น้ำสายแรกชื่อพิโชน ไหลอยู่โดยรอบแผ่นดินของฮาวิลาห์ ที่นั่นมีแร่ทองคำ 12 ทองคำจากดินแดนนั้นเป็นทองนพคุณ มียางไม้หอมและพลอยหลากสีด้วย 13 แม่น้ำสายที่สองชื่อกีโฮน ไหลอยู่โดยรอบแผ่นดินของคูช 14 แม่น้ำสายที่สามชื่อไทกริส ไหลไปทางทิศตะวันออกของอัชชูร์ และแม่น้ำสายที่สี่ชื่อยูเฟรติส
15 พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าได้ให้มนุษย์ผู้นั้นอาศัยอยู่ในสวนเอเดน เพื่อทำไร่และดูแลรักษาสวน 16 แล้วพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าก็ได้สั่งมนุษย์นั้นว่า “เจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนได้โดยไม่ต้องลังเลใจ 17 แต่จงอย่ากินผลจากต้นไม้แห่งความรู้ในสิ่งดีและชั่ว เพราะในวันที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน”
18 แล้วพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้ากล่าวว่า “ไม่ดีเลยถ้ามนุษย์นี้จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เราจะสร้างผู้ช่วยที่เหมาะสมให้เขา” 19 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจึงได้ปั้นสัตว์ป่าทุกชนิดที่อยู่ในทุ่ง และนกในอากาศทุกชนิดขึ้นจากดิน แล้วพามาให้มนุษย์นั้นดูว่าจะเรียกมันว่าอะไร เมื่อมนุษย์เรียกชื่อสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดแล้ว ชื่อของมันก็เป็นไปตามนั้น 20 มนุษย์ผู้นั้นตั้งชื่อสัตว์เลี้ยงทั้งหมด อีกทั้งนกในอากาศ และสัตว์ป่าทุกชนิดในทุ่ง แต่ก็ยังไม่มีผู้ช่วยที่เหมาะสมสำหรับอาดัม 21 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจึงทำให้เขาหลับสนิท และขณะที่หลับอยู่นั้นเอง พระองค์ได้ชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา และปิดเนื้อให้สนิทดังเดิม 22 ซี่โครงที่พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าได้ชักออกมานั้น ก็เอามาสร้างเป็นหญิงผู้หนึ่ง และนำมาให้มนุษย์ผู้นั้น
23 ครั้นแล้วมนุษย์จึงกล่าวว่า
“ในที่สุด นี่คือกระดูกจากกระดูกของเรา
และเนื้อจากเนื้อของเรา
เราจะเรียกนี่ว่า ‘หญิง’[c]
เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งที่มาจากชาย”
24 ด้วยเหตุนี้ ผู้ชายจะจากบิดาและมารดาของเขาไป และผูกพันอยู่กับภรรยาของตน และเขาทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกัน[d] 25 ชายคนนั้นกับภรรยาของเขาต่างเปลือยกายและไร้ความเขินอายต่อกัน
โหราจารย์จากทิศตะวันออก
2 หลังจากที่พระเยซูได้ถือกำเนิดที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย ซึ่งเป็นสมัยของกษัตริย์เฮโรด[a]ก็ได้มีพวกโหราจารย์จากทิศตะวันออกมายังเมืองเยรูซาเล็มกล่าวว่า 2 “ผู้ที่ได้เกิดมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิวอยู่ที่ไหน เพราะว่าพวกเราเห็นดาวของพระองค์ปรากฏทางทิศตะวันออก จึงได้พากันมานมัสการพระองค์” 3 เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นก็กระวนกระวายใจ รวมไปถึงชาวเมืองเยรูซาเล็มด้วย 4 ท่านเรียกบรรดามหาปุโรหิตและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติของประชาชนมาประชุม และไต่ถามว่าพระคริสต์จะบังเกิดที่ไหน 5 พวกเขาพูดว่า “ที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย เพราะผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้บันทึกไว้ว่า
6 ‘และเจ้าเอง เมืองเบธเลเฮม ดินแดนแห่งแคว้นยูดาห์
หาใช่จะด้อยที่สุดในบรรดาผู้นำในแคว้นยูเดียไม่
เพราะผู้นำท่านหนึ่งซึ่งมาจากเจ้า
จะเป็นผู้นำทางให้แก่อิสราเอล ชนชาติของเรา’”[b]
7 ครั้นแล้วเฮโรดก็เรียกพวกโหราจารย์มาเป็นการลับ เพื่อถามให้ถ้วนถี่ถึงเวลาที่ดาวนั้นปรากฏขึ้น 8 แล้วก็ให้โหราจารย์ไปยังเมืองเบธเลเฮมโดยสั่งว่า “จงไปค้นหาทารกนั้นให้ทั่วจนกว่าจะพบ เมื่อพบแล้วก็มารายงานให้เราทราบ เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย”
9 เมื่อรับคำสั่งจากกษัตริย์แล้ว พวกโหราจารย์ก็จากไป ดาวที่พวกเขาเห็นทางทิศตะวันออกก็นำทางล่วงหน้าพวกเขาไป และมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ที่ทารกอยู่ 10 เมื่อพวกเขาเห็นดาวดวงนั้นก็ยินดียิ่ง 11 ครั้นเข้าไปในเรือน ก็เห็นทารกและมารีย์มารดา จึงกราบนมัสการพระองค์ แล้วเปิดห่อของอันมีค่ามอบแด่พระองค์ ได้แก่ ทองคำ กำยาน และมดยอบ 12 พระเจ้าได้เตือนพวกโหราจารย์ในฝันไม่ให้กลับไปหาเฮโรด พวกเขาจึงเดินทางกลับประเทศของตนโดยใช้เส้นทางอื่น
หนีไปยังประเทศอียิปต์
13 เมื่อพวกเขาได้จากไปแล้ว ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่โยเซฟในฝันกล่าวว่า “จงลุกขึ้นเถิด พาทารกและมารดาของพระองค์หนีไปประเทศอียิปต์ จงอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกท่าน เพราะว่าเฮโรดจะค้นหาทารกนี้เพื่อจะฆ่าเสีย” 14 โยเซฟจึงลุกขึ้นและพามารดาและทารกออกเดินทางไปในคืนนั้น แล้วเดินทางไปยังอียิปต์ 15 และอยู่ที่นั่นจนเฮโรดเสียชีวิต ซึ่งเป็นไปตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้โดยผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า “เราเรียกบุตรของเราออกมาจากประเทศอียิปต์”[c]
เฮโรดฆ่าเด็ก
16 เมื่อเฮโรดเห็นว่าตนหลงกลพวกโหราจารย์ก็ยิ่งโกรธมากขึ้น จึงสั่งให้ฆ่าเด็กชายทุกคนที่อายุตั้งแต่สองขวบลงมา ทั้งในเมืองเบธเลเฮมและย่านใกล้เคียง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ได้ทราบเรื่องจากโหราจารย์ 17 แล้วก็เป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้โดยเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า
18 “เสียงที่ได้ยินในหมู่บ้านรามาห์คือ
เสียงร้องไห้และร้องคร่ำครวญอันดัง
นางราเชลร่ำไห้เพราะลูกๆ ของนาง
และนางไม่ยอมให้ปลอบใจ
เพราะลูกๆ ตายเสียแล้ว”[d]
กลับไปยังนาซาเร็ธ
19 หลังจากเฮโรดสิ้นชีวิตแล้ว ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่โยเซฟที่ประเทศอียิปต์ในฝันกล่าวว่า 20 “จงลุกขึ้นเถิด พาทารกกับมารดาของพระองค์ไปยังดินแดนของประเทศอิสราเอล เพราะว่าบรรดาคนที่ค้นหาเพื่อเอาชีวิตของทารกได้ตายไปแล้ว” 21 โยเซฟก็ลุกขึ้นและพามารดากับทารกไปยังดินแดนของประเทศอิสราเอล 22 แต่เมื่อเขาได้ยินว่าอาร์เค-ลาอัสครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดา เขาก็ไม่กล้าไปที่นั่น พระเจ้าเตือนเขาในฝันให้เดินทางไปยังแคว้นกาลิลี 23 ไปอาศัยอยู่ในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ ดังที่เป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้โดยบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า “ผู้คนจะพากันเรียกพระองค์ว่า ชาวนาซาเร็ธ”
ผู้ถูกเนรเทศกลับบ้านเกิดเมืองนอน
2 เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้จับประชาชนที่ถูกเนรเทศจากแคว้นยูดาห์ไปเป็นเชลยที่บาบิโลน และต่อมาพวกเขาต่างก็กลับมายังเมืองของตนในเยรูซาเล็มและยูดาห์ 2 เขาทั้งหลายมากับเศรุบบาเบล เยชูอา เนหะมีย์ เสไรยาห์ เรเอไลยาห์ โมร์เดคัย บิลชาน มิสปาร์ บิกวัย เรฮูม และบาอานาห์
จำนวนประชาชนผู้ชายของอิสราเอลมีดังต่อไปนี้ 3 พงศ์พันธุ์ปาโรช 2,172 คน 4 พงศ์พันธุ์เชฟาทิยาห์ 372 คน 5 พงศ์พันธุ์อาราห์ 775 คน 6 พงศ์พันธุ์ปาหัทโมอับ คือบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเยชูอาและโยอาบ 2,812 คน 7 พงศ์พันธุ์เอลาม 1,254 คน 8 พงศ์พันธุ์ศัทธู 945 คน 9 พงศ์พันธุ์ศักคัย 760 คน 10 พงศ์พันธุ์บานี 642 คน 11 พงศ์พันธุ์เบบัย 623 คน 12 พงศ์พันธุ์อัสกาด 1,222 คน 13 พงศ์พันธุ์อาโดนีคัม 666 คน 14 พงศ์พันธุ์บิกวัย 2,056 คน 15 พงศ์พันธุ์อาดีน 454 คน 16 พงศ์พันธุ์อาเทอร์ คือบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเฮเซคียาห์ 98 คน 17 พงศ์พันธุ์เบไซ 323 คน 18 พงศ์พันธุ์โยราห์ 112 คน 19 พงศ์พันธุ์ฮาชูม 223 คน 20 พงศ์พันธุ์กิบบาร์ 95 คน 21 พงศ์พันธุ์จากเบธเลเฮม 123 คน 22 ผู้ชายจากเนโทฟาห์ 56 คน 23 ผู้ชายจากอานาโธท 128 คน 24 พงศ์พันธุ์จากอัสมาเวท 42 คน 25 พงศ์พันธุ์จากคีริยาทอาริม เคฟีราห์ และเบเอโรท 743 คน 26 พงศ์พันธุ์จากรามาห์และเก-บา 621 คน 27 ผู้ชายจากมิคมาส 122 คน 28 ผู้ชายจากเบธเอลและอัย 223 คน 29 พงศ์พันธุ์จากเนโบ 52 คน 30 พงศ์พันธุ์ชาวมักบีช 156 คน 31 พงศ์พันธุ์ชาวเอลามอีกกลุ่มหนึ่ง 1,254 คน 32 พงศ์พันธุ์ชาวฮาริม 320 คน 33 พงศ์พันธุ์ชาวโลด ชาวฮาดิด และชาวโอโน 725 คน 34 พงศ์พันธุ์ชาวเยรีโค 345 คน 35 พงศ์พันธุ์ชาวเสนาอาห์ 3,630 คน
36 บรรดาปุโรหิต คือพงศ์พันธุ์เยดายาห์ จากตระกูลเยชูอา 973 คน 37 พงศ์พันธุ์อิมเมอร์ 1,052 คน 38 พงศ์พันธุ์ปาชเฮอร์ 1,247 คน 39 พงศ์พันธุ์ฮาริม 1,017 คน
40 ชาวเลวี คือพงศ์พันธุ์เยชูอาและขัดมีเอล จากพงศ์พันธุ์โฮดาวิยาห์ 74 คน 41 บรรดานักร้อง คือพงศ์พันธุ์อาสาฟ 128 คน 42 บรรดาผู้สืบเชื้อสายของคนเฝ้าประตู คือพงศ์พันธุ์ชัลลูม พงศ์พันธุ์อาเทอร์ พงศ์พันธุ์ทัลโมน พงศ์พันธุ์อักขูบ พงศ์พันธุ์ฮาทิธา และพงศ์พันธุ์โชบัย รวมทั้งสิ้น 139 คน
43 บรรดาผู้รับใช้ประจำพระวิหาร คือพงศ์พันธุ์ศีหะ พงศ์พันธุ์ฮาสูฟา พงศ์พันธุ์ทับบาโอท 44 พงศ์พันธุ์เคโรส พงศ์พันธุ์สีอาฮา พงศ์พันธุ์พาโดน 45 พงศ์พันธุ์เลบานาห์ พงศ์พันธุ์ฮากาบาห์ พงศ์พันธุ์อักขูบ 46 พงศ์พันธุ์ฮากาบ พงศ์พันธุ์ชัมลัย พงศ์พันธุ์ฮานาน 47 พงศ์พันธุ์กิดเดล พงศ์พันธุ์กาฮาร์ พงศ์พันธุ์เรอายาห์ 48 พงศ์พันธุ์เรซีน พงศ์พันธุ์เนโคดา พงศ์พันธุ์กัสซาม 49 พงศ์พันธุ์อุสซา พงศ์พันธุ์ปาเสอัค พงศ์พันธุ์เบสัย 50 พงศ์พันธุ์อัสนาห์ พงศ์พันธุ์เมอูนิม พงศ์พันธุ์เนฟิสิม 51 พงศ์พันธุ์บัคบูค พงศ์พันธุ์ฮาคูฟา พงศ์พันธุ์ฮาร์ฮูร์ 52 พงศ์พันธุ์บัสลูท พงศ์พันธุ์เมหิดา พงศ์พันธุ์ฮาร์ชา 53 พงศ์พันธุ์บาร์โขส พงศ์พันธุ์สิเส-รา พงศ์พันธุ์เทมาห์ 54 พงศ์พันธุ์เนซิยาห์ และพงศ์พันธุ์ฮาทิฟา
55 พงศ์พันธุ์ผู้รับใช้ของซาโลมอน คือพงศ์พันธุ์โสทัย พงศ์พันธุ์หัสโสเฟเรท พงศ์พันธุ์เปรุดา 56 พงศ์พันธุ์ยาอาลาห์ พงศ์พันธุ์ดาร์โคน พงศ์พันธุ์กิดเดล 57 พงศ์พันธุ์เชฟาทิยาห์ พงศ์พันธุ์ฮัทธิล พงศ์พันธุ์โปเคเรท-หัสเซบาอิม และพงศ์พันธุ์อามี
58 ผู้รับใช้ประจำพระวิหารและพงศ์พันธุ์ผู้รับใช้ของซาโลมอน รวมทั้งสิ้น 392 คน
59 คนเหล่านี้ขึ้นมาจากเมืองเทลเมลาห์ เทลฮาร์ชา เครูบ อัดดาน และอิมเมอร์ แต่พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามาจากตระกูลใดหรือสืบเชื้อสายมาจากชาวอิสราเอลหรือไม่ พวกเขามีรายชื่อดังต่อไปนี้ 60 พงศ์พันธุ์เดไลยาห์ พงศ์พันธุ์โทบียาห์ และพงศ์พันธุ์เนโคดา รวมได้ 652 คน 61 จากพงศ์พันธุ์ของบรรดาปุโรหิตด้วยคือ พงศ์พันธุ์โฮบายาห์ พงศ์พันธุ์ฮักโขส และพงศ์พันธุ์บาร์ซิลลัย (ผู้ได้แต่งงานกับบุตรหญิงของบาร์ซิลลัยชาวกิเลอาด จึงได้ชื่อตามนั้น) 62 คนเหล่านี้ได้ค้นหาทะเบียนของพวกเขาในหมู่คนที่จดทะเบียนลำดับเชื้อสาย แต่หาไม่พบ พวกเขาจึงถูกตัดออกจากการเป็นปุโรหิตเพราะถูกนับว่ามีมลทิน 63 ผู้ว่าราชการเมืองสั่งห้ามไม่ให้พวกเขารับประทานอาหารบริสุทธิ์ที่สุด จนกว่าปุโรหิตจะตัดสินใจโดยใช้อูริมและทูมมิม[a]เสียก่อน
64 ที่ประชุมทั้งหมดรวมทั้งสิ้น 42,360 คน 65 นอกจากบรรดาผู้รับใช้ชายและหญิงจำนวน 7,337 คนแล้ว ยังมีนักร้องชายและหญิงอีก 200 คน 66 ม้า 736 ตัว ล่อ 245 ตัว 67 อูฐ 435 ตัว และลา 6,720 ตัว
68 เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าในเยรูซาเล็ม หัวหน้าครอบครัวบางคนก็มอบของถวายด้วยใจสมัคร เพื่อสร้างพระตำหนักของพระเจ้าขึ้นใหม่ในที่เดิม 69 พวกเขาอุทิศตามความสามารถให้แก่กองคลังเป็นทองคำหนัก 61,000 ดาริค[b] เงิน 5,000 มินา[c] และเครื่องแต่งกายปุโรหิต 100 ตัว
70 บรรดาปุโรหิต ชาวเลวี นักร้อง คนเฝ้าประตู ผู้รับใช้ประจำพระวิหาร รวมทั้งประชาชนบางคน ต่างก็ตั้งรกรากอยู่ในเมืองของตน และอิสราเอลทั้งปวงตั้งรกรากอยู่ในเมืองของตน
ผู้ที่เชื่อเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
2 เมื่อถึงวันเทศกาลเพ็นเทคศเต[a] ขณะที่พี่น้องทั้งหลายรวมตัวกันอยู่ในที่แห่งเดียวกัน 2 ในทันใดนั้นมีเสียงเหมือนลมพัดกล้าจากฟ้าสวรรค์ ดังก้องทั่วบ้านที่พวกเขากำลังนั่งกันอยู่ 3 มีเปลวไฟรูปร่างเหมือนลิ้นปรากฏขึ้น และกระจายแยกออกไปอยู่เหนือพวกเขาแต่ละคน 4 ทุกคนจึงเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเริ่มพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก ตามแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์โปรดให้พูด
5 มีกลุ่มชาวยิวจากทั่วทุกมุมโลกที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม คนเหล่านี้ล้วนเกรงกลัวในพระเจ้า 6 เมื่อบังเกิดเสียงอย่างนั้น คนกลุ่มใหญ่จึงพากันเข้ามาและต่างก็ฉงนสนเท่ห์ เพราะแต่ละคนได้ยินพวกเขาพูดภาษาของตน 7 คนทั้งปวงล้วนแต่อัศจรรย์ใจยิ่งนัก จึงถามกันว่า “พวกคนที่กำลังพูดอยู่นี้เป็นชาวกาลิลีมิใช่หรือ 8 แล้วเป็นไปได้อย่างไร ที่พวกเราแต่ละคนได้ยินภาษาของเราเอง 9 ชาวปาร์เธีย มีเดีย และชาวเอลาม คนที่อยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย แคว้นยูเดีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นปอนทัสและเอเชีย 10 แคว้นฟรีเจีย แคว้นปัมฟีเลีย ประเทศอียิปต์ และบางส่วนของลิเบียใกล้เมืองไซรีน บ้างก็เป็นชาวโรมซึ่งมาเยือน (คือชาวยิวและพวกที่เคยปฏิบัติตามศาสนาของชาวยิว) 11 อีกทั้งชาวเกาะครีตและชาวอาระเบียด้วย พวกเราได้ยินคนเหล่านั้น กล่าวถึงสิ่งมหัศจรรย์ของพระเจ้าในภาษาของเราเอง” 12 ผู้คนเหล่านั้นพากันอัศจรรย์ใจและฉงนสนเท่ห์ จึงถามกันและกันว่า “นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน” 13 แต่มีบางคนที่ได้ล้อเลียนและพูดว่า “พวกเขาดื่มเหล้าองุ่นมากเกินไป”
เปโตรเทศนาครั้งแรก
14 เปโตรจึงยืนขึ้นพร้อมกับอัครทูตทั้งสิบเอ็ด และกล่าวกับผู้คนด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านชาวยิวทั้งหลาย และทุกท่านที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ขอให้ข้าพเจ้าได้อธิบายบางสิ่งแก่ท่านเถิด จงฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูดให้ดี 15 ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เมาอย่างที่ท่านคิดกัน แล้วนี่ก็ 9 โมงเช้าเท่านั้น 16 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นไปตามคำที่โยเอลผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้กล่าวไว้ว่า
17 ‘พระเจ้ากล่าวว่า เมื่อถึงช่วงเวลาแห่งวาระสุดท้าย
เราจะหลั่งวิญญาณของเราสู่มนุษย์ทั้งหลาย
บุตรชายบุตรหญิงของเจ้าจะเผยคำกล่าวของพระเจ้า
คนหนุ่มจะเห็นภาพนิมิตต่างๆ
ผู้เฒ่าจะฝันเห็น
18 แม้แต่ผู้รับใช้ของเราทั้งชายและหญิง
เราก็จะหลั่งวิญญาณของเราในวาระนั้น
และเขาเหล่านั้นจะเผยคำกล่าวของพระเจ้า
19 เราจะแสดงสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ที่ปรากฏในสวรรค์เบื้องบน
และปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ บนโลกเบื้องล่าง
จะมีเลือด ไฟ และกลุ่มควัน
20 ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นความมืด
ดวงจันทร์จะกลายเป็นเลือด
ก่อนที่จะถึงวันอันยิ่งใหญ่และงามตระการของพระผู้เป็นเจ้า
21 และทุกคนที่ร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจะรอดพ้น’[b]
22 ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด พระเจ้าได้รับรองให้พระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ เป็นผู้สำแดงฤทธานุภาพ สิ่งมหัศจรรย์ และปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ท่ามกลางท่าน ดังที่ท่านทราบกันอยู่ 23 พระเยซูผู้นี้ถูกมอบให้ท่าน ตามแผนการที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ล่วงหน้าและทราบดีมาแต่แรก ท่านได้ประหารพระองค์ พวกคนชั่วร้ายให้ความช่วยเหลือท่านในการตรึงพระองค์บนไม้กางเขน 24 แต่พระเจ้าให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย ปลดปล่อยพระองค์ให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดรวดร้าวแห่งความตาย เพราะความตายไม่อาจฉุดรั้งพระองค์ไว้ได้ 25 ด้วยว่าดาวิดได้กล่าวเกี่ยวกับพระองค์ไว้ว่า
‘ข้าพเจ้าเห็นพระผู้เป็นเจ้าที่ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ
ด้วยว่าพระองค์อยู่ทางขวามือของข้าพเจ้า
จึงไม่มีผู้ใดทำให้ข้าพเจ้าหวั่นไหวได้
26 ฉะนั้น ใจของข้าพเจ้าแสนจะโสมนัส และลิ้นของข้าพเจ้าจึงชื่นชมยินดี
ร่างกายของข้าพเจ้าก็จะมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง
27 เพราะพระองค์จะไม่ละทิ้งข้าพเจ้าไว้ในแดนคนตาย
และจะไม่ปล่อยให้องค์ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์เปื่อยเน่าไป
28 พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าทราบถึงวิถีทางแห่งชีวิต
และจะโปรดให้ข้าพเจ้าปิติอย่างมากล้น ณ เบื้องหน้าพระองค์’[c]
29 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านได้อย่างมั่นใจว่า ดาวิดบรรพบุรุษของเราได้ล่วงลับไปแล้ว และถ้ำเก็บศพของท่านก็ยังอยู่ มาจนถึงทุกวันนี้ 30 ท่านเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และทราบว่าพระเจ้าได้ให้คำปฏิญาณว่า พระองค์จะให้ผู้หนึ่งในบรรดาผู้สืบวงศ์ตระกูลครองบัลลังก์ 31 ท่านเห็นว่าเป็นเช่นนั้น ท่านจึงได้กล่าวถึงการฟื้นคืนชีวิตของพระคริสต์ว่า พระองค์จะไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ในแดนคนตาย และร่างของพระองค์ก็จะไม่เปื่อยเน่า 32 พระเจ้าได้บันดาลให้พระเยซูพระองค์นี้ฟื้นคืนชีวิต และพวกเราทุกคนก็เป็นพยานในเรื่องจริงนี้ 33 พระองค์ได้รับการเชิดชู ณ เบื้องขวาของพระเจ้า พระบิดาได้มอบพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามพระสัญญาให้แก่พระองค์ เพื่อหลั่งให้แก่พวกเรา ดังที่ท่านเห็นและได้ยินกัน 34 ด้วยว่าดาวิดไม่ได้ขึ้นไปสวรรค์แต่ยังได้กล่าวไว้ว่า
‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
“จงนั่งทางด้านขวาของเรา
35 จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้า
อยู่ใต้เท้า ดั่งที่วางเท้าของเจ้า”’[d]
36 ฉะนั้น ให้ชาวอิสราเอลทั้งปวงตระหนักว่า พระเจ้าให้พระเยซูเป็นทั้งพระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์ ซึ่งพวกท่านได้ตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว”
37 เมื่อผู้คนได้ยินแล้วก็รู้สึกเสียดแทงใจ จึงพูดกับเปโตรและอัครทูตอื่นๆ ว่า “พี่น้องทั้งหลาย พวกเราควรจะทำอย่างไรกันดี” 38 เปโตรจึงตอบว่า “พวกท่านทุกๆ คนจงกลับใจและรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ เพื่อรับการยกโทษบาปของท่าน แล้วท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ 39 พระสัญญานี้เป็นของท่าน ของลูกๆ และทุกท่านที่อยู่ห่างไกล และทุกท่านที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราจะเรียกตัว” 40 ท่านได้เตือนผู้คนหลายต่อหลายสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เตือนว่า “จงให้ตัวท่านเองรอดพ้นจากคนในช่วงกาลเวลาที่คดโกงนี้เถิด” 41 ผู้ที่ยอมรับคำประกาศของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3,000 คน
ผู้ที่เชื่อพบปะกันอยู่เสมอ
42 ผู้คนเหล่านั้นล้วนใฝ่ใจทั้งในคำสั่งสอนของเหล่าอัครทูต การร่วมสามัคคีธรรม รวมถึงการบิขนมปัง[e] และการอธิษฐาน 43 ทุกคนเกรงกลัวในสิ่งมหัศจรรย์และปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ที่พวกอัครทูตกระทำ 44 ทุกคนที่เชื่อต่างก็พบปะกันด้วยความใกล้ชิดอยู่เสมอ และแบ่งปันสิ่งของที่ตนมีให้แก่กันและกัน 45 ต่างขายสมบัติพัสถานของตนเอง เพื่อแบ่งปันให้แก่ทุกคนที่ขัดสน 46 เขาเหล่านั้นร่วมประชุมกันต่อไปทุกวันในบริเวณพระวิหาร บิขนมปังรับประทานกันตามบ้านด้วยความยินดีและความจริงใจ 47 ผู้ที่เชื่อพากันสรรเสริญพระเจ้า และคนทั่วไปล้วนชื่นชมไปกับพวกเขาด้วย พระผู้เป็นเจ้าได้เพิ่มจำนวนผู้รอดพ้นให้ทวีขึ้นเป็นประจำทุกวัน
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation