Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ปฐมกาล 21

การเกิดของอิสอัค

21 พระผู้เป็นเจ้ามาเยี่ยมซาราห์ตามที่พระองค์ได้กล่าวไว้ และพระผู้เป็นเจ้าให้พรแก่ซาราห์ตามที่ได้สัญญาไว้ และซาราห์ตั้งครรภ์ และมีบุตรชายให้แก่อับราฮัมซึ่งอยู่ในวัยชรา ตรงตามเวลาที่พระเจ้าได้กล่าวไว้ อับราฮัมตั้งชื่อบุตรชายที่นางซาราห์ให้กำเนิดนี้ว่า อิสอัค[a] อับราฮัมทำพิธีเข้าสุหนัตให้แก่อิสอัคบุตรของตนเมื่อมีอายุครบ 8 วันตามคำสั่งของพระเจ้า เวลาอิสอัคเกิด อับราฮัมมีอายุ 100 ปี นางซาราห์พูดว่า “พระเจ้าทำให้ฉันหัวเราะ ทุกคนที่ทราบเรื่องนี้ก็พลอยหัวเราะไปกับฉันด้วย” นางพูดต่อไปอีกว่า “มีใครที่จะพูดกับอับราฮัมได้ว่า ซาราห์จะได้มีลูกกินนมนางเอง แต่ฉันก็ได้ให้กำเนิดลูกชายแก่ท่านในวัยชรา”

พระเจ้าคุ้มครองฮาการ์และอิชมาเอล

เมื่อเด็กชายเติบโตขึ้นจนหย่านมแล้ว อับราฮัมก็จัดงานฉลองใหญ่ในวันที่อิสอัคหย่านม นางซาราห์เห็นบุตรชายของนางฮาการ์กำลังเล่นกับอิสอัคบุตรชายของตน ฮาการ์เป็นชาวอียิปต์ที่ให้กำเนิดบุตรชายแก่อับราฮัม 10 ซาราห์จึงบอกอับราฮัมว่า “จงไล่หญิงทาสคนนี้กับลูกของนางไปเสีย ด้วยว่าลูกของหญิงทาสคนนี้จะไม่มีวันรับมรดกร่วมกับอิสอัคลูกของฉัน”[b] 11 เรื่องนี้ทำให้อับราฮัมไม่สบายใจ เพราะเป็นเรื่องบุตรชายของท่าน 12 แต่พระเจ้ากล่าวกับอับราฮัมว่า “จงอย่าทุกข์ใจเรื่องเด็กและหญิงทาสของเจ้าเลย ซาราห์ว่าอะไรก็ทำตามที่นางบอกเถิด เพราะว่าเจ้าจะมีบรรดาผู้สืบเชื้อสายโดยผ่านทางอิสอัค 13 และเราจะให้บรรดาผู้สืบเชื้อสายจากลูกของหญิงทาสของเจ้าเป็นประชาชาติหนึ่งด้วย เพราะเขาก็สืบเชื้อสายมาจากเจ้าเช่นกัน” 14 ดังนั้นอับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ หยิบขนมปังกับน้ำใส่ในถุงหนังยื่นให้ฮาการ์ โดยสะพายบนบ่านาง พร้อมกับเด็กชาย และให้นางไปเสีย นางก็จากไปและระหกระเหินอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งเบเออร์เช-บา

15 เมื่อน้ำในถุงหนังหมดแล้ว นางก็ทิ้งเด็กชายไว้ที่ใต้ร่มไม้ 16 จากนั้นนางก็ไปนั่งตามลำพัง ห่างประมาณเท่ากับระยะยิงลูกธนูตก เพราะนางคิดว่า “อย่าให้ฉันเห็นความตายของเด็กชายเลย” และขณะที่นางนั่งลง นางแผดเสียงขึ้นแล้วก็ร้องไห้ 17 พระเจ้าได้ยินเสียงเด็ก และทูตสวรรค์ของพระเจ้าเรียกฮาการ์จากสวรรค์ และกล่าวกับนางว่า “ฮาการ์ เจ้าเป็นอะไรไป ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะพระเจ้าได้ยินเสียงของเด็กจากที่ๆ เขาอยู่ 18 จงลุกขึ้น พยุงเด็กและจับมือเขาไว้ให้แน่น เพราะว่าเราจะให้ประชาชาติหนึ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมาจากตัวเขา” 19 แล้วพระเจ้าก็โปรดให้นางมองเห็นบ่อน้ำ นางจึงไปเอาน้ำใส่ถุงหนังจนเต็ม และให้เด็กดื่มน้ำ 20 พระเจ้าสถิตกับเด็กนั้น เขาเติบโตขึ้นและอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาชำนาญในการใช้ธนู 21 เขาอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งปาราน มารดาหาภรรยาคนหนึ่งจากดินแดนของประเทศอียิปต์ให้เขา

พันธสัญญากับอาบีเมเลค

22 เวลานั้นอาบีเมเลคและฟีโคล์ผู้บังคับกองพันทหารของท่านกล่าวกับอับราฮัมว่า “พระเจ้าสถิตกับท่านในทุกสิ่งที่ท่านทำ 23 ฉะนั้นบัดนี้จงสาบานต่อหน้าพระเจ้าว่า ท่านจะไม่ทรยศเราหรือลูกหลาน หรือผู้สืบตระกูลของเรา แต่จะปฏิบัติต่อเราและต่อแผ่นดินที่ท่านอาศัยอยู่อย่างคนต่างด้าว ดังที่เราได้กรุณาต่อท่าน” 24 อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าขอสาบาน”

25 เมื่ออับราฮัมบ่นกับอาบีเมเลคเรื่องบ่อน้ำที่พวกผู้รับใช้ของอาบีเมเลคยึดเอาไป 26 อาบีเมเลคกล่าวว่า “เราไม่รู้ว่าใครก่อเรื่องนี้ ท่านไม่เคยบอกเราก่อนหน้านี้ และเราก็ไม่รู้เรื่องจนวันนี้” 27 อับราฮัมจึงมอบแพะแกะและโคให้แก่อาบีเมเลค แล้วทั้งสองท่านได้ทำพันธสัญญากัน 28 อับราฮัมแยกแกะสาว 7 ตัวออกจากฝูง 29 อาบีเมเลคกล่าวกับอับราฮัมว่า “แกะสาว 7 ตัวที่ท่านแยกออกไปนี้มีความหมายว่าอย่างไร” 30 ท่านตอบว่า “แกะสาว 7 ตัวนี้ท่านจะรับไปจากมือข้าพเจ้า เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ขุดบ่อนี้” 31 ฉะนั้นสถานที่นั้นมีชื่อว่า เบเออร์เช-บา[c] เพราะเป็นสถานที่ซึ่งทั้งสองท่านได้สัจจะสาบานต่อกัน 32 ดังนั้นท่านทั้งสองได้ทำพันธสัญญาที่เบเออร์เช-บา อาบีเมเลคพร้อมทั้งฟีโคล์ผู้บังคับกองพันทหารของท่านก็ลุกขึ้น เดินทางกลับไปยังดินแดนชาวฟีลิสเตีย 33 อับราฮัมปลูกต้นแทมริสก์ที่เบเออร์เช-บา และ ณ ที่นั้นท่านร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้เป็นนิรันดร์ 34 แล้วอับราฮัมอาศัยอยู่อย่างคนต่างด้าวในดินแดนของชาวฟีลิสเตียเป็นเวลานาน

มัทธิว 20

อุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น

20 อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนเจ้าของที่ดินคนหนึ่งที่ออกไปจ้างคนมาทำงานในสวนองุ่นของเขาแต่เช้าตรู่ เมื่อเขาได้ตกลงจ่ายคนงาน 1 เหรียญเดนาริอันสำหรับวันนั้นแล้ว ก็ให้พวกคนงานไปในสวนองุ่นของเขา ประมาณ 9 โมงเช้า เขาก็ออกไปอีก เห็นคนยืนออกันในย่านตลาดโดยไม่ทำอะไรเลย เขาพูดกับคนเหล่านั้นว่า ‘ท่านไปทำงานในสวนองุ่นได้เช่นกัน เราจะจ่ายท่านอย่างยุติธรรม’ ดังนั้นพวกเขาก็ไป เวลาเที่ยงวันและบ่าย 3 โมงเขาก็ออกไปอีก ทำเหมือนเดิม ประมาณ 5 โมงเย็น เขาออกไปพบคนอื่นยืนอยู่ จึงถามว่า ‘ทำไมท่านยืนกันอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไรเลย’ พวกเขาพูดว่า ‘เพราะไม่มีใครจ้างเรา’ เจ้าของสวนพูดว่า ‘ท่านไปทำงานในสวนองุ่นได้เช่นกัน’ พอตกเย็น เจ้าของสวนองุ่นพูดกับหัวหน้าคนงานว่า ‘จงเรียกพวกคนงานมา และจ่ายค่าจ้างแก่เขา ให้คนกลุ่มหลังสุดมาก่อน ไล่ไปจนถึงคนแรกสุด’ เมื่อพวกคนที่รับจ้างตอน 5 โมงเย็นมา เขาทุกคนได้รับ 1 เหรียญเดนาริอัน 10 พอถึงพวกคนที่รับจ้างตอนแรกสุดมา พวกเขาคิดว่าจะได้รับมากกว่า แต่ทุกคนได้รับ 1 เหรียญเดนาริอันเช่นกัน 11 เมื่อพวกเขาได้รับแล้วก็บ่นพึมพำกับเจ้าของสวนว่า 12 ‘คนพวกสุดท้ายนี้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว แล้วท่านจ่ายให้เท่ากับเราขณะที่เราต้องตรากตรำทนแดดมาทั้งวัน’ 13 เจ้าของสวนพูดตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้กระทำผิดต่อท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงรับ 1 เหรียญเดนาริอันจากเราหรือ 14 จงรับส่วนที่เป็นของท่านไปเถิด เราต้องการให้แก่คนพวกสุดท้ายนี้เท่าๆ กับที่เราให้แก่ท่าน 15 เราไม่มีสิทธิ์ทำตามที่เราต้องการกับสิ่งที่เป็นของเราหรือ หรือว่าท่านอิจฉาเพราะเราเอื้อเฟื้อ’ 16 ฉะนั้นคนสุดท้ายจะเป็นคนแรก และคนแรกเป็นคนสุดท้าย”

พระเยซูแจ้งมรณกาลของพระองค์ไว้ล่วงหน้า

17 ขณะที่พระเยซูกำลังขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม พระองค์พาเพียงสาวกทั้งสิบสองไปพูดตามลำพังว่า 18 “ดูเถิด พวกเรากำลังจะขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม บุตรมนุษย์จะถูกมอบตัวให้แก่พวกมหาปุโรหิตและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติ และพวกเขาจะกล่าวโทษให้ท่านถึงแก่ความตาย 19 และจะมอบตัวท่านให้บรรดาคนนอกล้อเลียน โบยและตรึงบนไม้กางเขน[a] แล้วในวันที่สามจะฟื้นคืนชีวิต”

มารดาของยากอบและยอห์นขอร้องสิ่งหนึ่งจากพระเยซู

20 ขณะนั้นภรรยาและบุตรทั้งสองของเศเบดีมาหาพระองค์ นางก้มกราบขอร้องสิ่งหนึ่งจากพระองค์ 21 พระองค์กล่าวกับนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางพูดว่า “โปรดรับสั่งว่าบุตรทั้งสองของข้าพเจ้าจะได้นั่งในอาณาจักรของพระองค์ คนหนึ่งทางด้านขวาและอีกคนหนึ่งทางด้านซ้ายของพระองค์” 22 แต่พระเยซูกล่าวตอบว่า “พวกเจ้าไม่รู้ว่ากำลังขออะไรกันอยู่ เจ้าสามารถดื่มจากถ้วยที่เราจะดื่มได้หรือ” พวกเขาตอบว่า “เราทำได้” 23 พระองค์กล่าวกับเขาว่า “ถ้วยของเรานั้นเจ้าจะดื่ม แต่จะนั่งทางขวามือและทางซ้ายมือของเรา ไม่ใช่สิทธิ์ของเราที่จะให้ แต่เป็นที่สำหรับบรรดาผู้ซึ่งพระบิดาของเราได้เตรียมให้ไว้” 24 เมื่อสาวก 10 คนได้ยินดังนั้นก็โกรธพี่น้องสองคนนั้น 25 พระเยซูจึงเรียกพวกเขามาหาและกล่าวว่า “เจ้าก็รู้อยู่ว่า พวกที่อยู่ในระดับปกครองของบรรดาคนนอกย่อมมีสิทธิอำนาจเหนือพวกเขา และคนใหญ่คนโตของเขาใช้อำนาจกับพวกเขา 26 มิใช่เช่นนั้นในพวกเจ้า ใครก็ตามที่อยากจะเป็นใหญ่ในพวกเจ้าต้องเป็นผู้รับใช้ของเจ้า 27 และใครก็ตามที่อยากเป็นคนแรกในพวกเจ้า ต้องเป็นทาสรับใช้เจ้า 28 แม้แต่บุตรมนุษย์ก็ไม่ได้มาเพื่อให้ผู้ใดรับใช้ แต่มาเพื่อจะรับใช้ และเพื่อมอบชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่แก่คนจำนวนมาก”

ดวงตาที่ได้คืนของชายตาบอด 2 คน

29 ขณะที่พระองค์และเหล่าสาวกกำลังออกไปจากเมืองเยรีโค มหาชนก็ติดตามพระองค์ไป 30 ชายตาบอด 2 คนนั่งอยู่ข้างถนนได้ยินว่าพระเยซูกำลังเดินผ่านมาจึงร้องตะโกนขึ้นว่า “พระองค์ท่าน บุตรของดาวิด โปรดเมตตาพวกเราด้วย” 31 ฝูงชนห้ามพวกเขาและบอกให้เงียบเสีย แต่เขายิ่งตะโกนดังมากขึ้นว่า “พระองค์ท่าน บุตรของดาวิด โปรดเมตตาพวกเราด้วย” 32 พระเยซูหยุดเดินและเรียกเขามาพูดว่า “เจ้าต้องการจะให้เราทำอะไรให้เล่า” 33 พวกเขาพูดว่า “พระองค์ท่าน ช่วยให้ตาของเรามองเห็นเถิด” 34 พระเยซูมีความสงสารจึงแตะที่ตาของเขา ในทันใดนั้นทั้งสองคนก็มองเห็นได้และตามพระองค์ไป

เนหะมีย์ 10

ชื่อบุคคลที่ประทับตราในคำสัญญา

10 รายชื่อผู้ที่ประทับตราสาสน์มีดังต่อไปนี้คือ เนหะมีย์ผู้ว่าราชการซึ่งเป็นบุตรฮาคาลิยาห์ เศเดคียาห์ เสไรยาห์ อาซาริยาห์ เยเรมีย์ ปาชเฮอร์ อามาริยาห์ มัลคิยาห์ ฮัทธัช เช-บานิยาห์ มัลลูค ฮาริม เมเรโมท โอบาดีห์ ดาเนียล กินเนโธน บารุค เมชุลลาม อาบียาห์ มิยามิน มาอาซิยาห์ บิลกัย เชไมยาห์ คนเหล่านี้เป็นปุโรหิต ชาวเลวีคือ เยชูอาซึ่งเป็นบุตรอาซันยาห์ บินนุยจากผู้สืบเชื้อสายของเฮนาดัด ขัดมีเอล 10 และพี่น้องของเขา เช-บานิยาห์ โฮดียาห์ เคลิทา เปลายาห์ ฮานาน 11 มีคา เรโหบ ฮาชาบิยาห์ 12 ศัคเคอร์ เชเรบิยาห์ เช-บานิยาห์ 13 โฮดียาห์ บานี เบนินู 14 บรรดาหัวหน้าของประชาชนคือ ปาโรช ปาหัทโมอับ เอลาม ศัทธู บานี 15 บุนนี อัสกาด เบบัย 16 อาโดนียาห์ บิกวัย อาดีน 17 อาเทอร์ เฮเซคียาห์ อัสซูร์ 18 โฮดียาห์ ฮาชูม เบไซ 19 ฮาริฟ อานาโธท เนบัย 20 มักปีอาช เมชุลลาม เฮซีร์ 21 เมเชซาเบล ศาโดก ยาดดูอา 22 ปาลัทยาห์ ฮานาน อานายาห์ 23 โฮเชยา ฮานันยาห์ หัสชูบ 24 ฮัลโลเหช ปิลหา โชเบก 25 เรฮูม ฮาชับนาห์ มาอาเสยาห์ 26 อาหิอาห์ ฮานาน อานาน 27 มัลลูค ฮาริม บาอานาห์

ข้อผูกมัดของคำสัญญา

28 ประชาชนที่เหลือ บรรดาปุโรหิต ชาวเลวี คนเฝ้าประตู นักร้อง ผู้รับใช้พระวิหาร และทุกคนที่แยกตนออกจากประชาชนของแผ่นดิน เพื่อกฎบัญญัติของพระเจ้า รวมทั้งภรรยา บุตรชายบุตรหญิงของพวกเขาทุกคนที่สามารถเข้าใจ 29 คนเหล่านี้จึงเข้าร่วมกับพวกพี่น้องและเหล่าเจ้านาย และผูกมัดร่วมกันในข้อสาปแช่งและสาบานว่าจะดำเนินชีวิตในกฎบัญญัติของพระเจ้าที่ได้มอบผ่านทางโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า และจะรักษาและปฏิบัติตามพระบัญญัติ คำบัญชา และกฎเกณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรา 30 เราจะไม่ยกบุตรสาวของเราให้กับประชาชนของแผ่นดิน และจะไม่รับเอาบุตรสาวของพวกเขามาให้บุตรชายของพวกเรา 31 และถ้าประชาชนของแผ่นดินนำสินค้าหรือธัญพืชมาขายในวันสะบาโต พวกเราก็จะไม่ซื้อในวันสะบาโตหรือในวันบริสุทธิ์ใดๆ และในปีที่เจ็ดเราจะละเว้นจากการเพาะปลูก และจะยกหนี้สินทั้งสิ้น

32 เรารับผิดชอบเรื่องการถวายประจำปีเป็นเงินหนึ่งส่วนสามเชเขล สำหรับงานรับใช้ในพระตำหนักของพระเจ้าของเรา 33 สำหรับขนมปังอันบริสุทธิ์ เครื่องธัญญบูชาและสัตว์ที่เผาเป็นของถวายเป็นประจำ วันสะบาโต วันเทศกาลข้างขึ้น เทศกาลต่างๆ ที่กำหนดไว้ ของถวายอันบริสุทธิ์ และของถวายลบล้างบาปเพื่อชดใช้บาปให้แก่อิสราเอล และเพื่องานในพระตำหนักของพระเจ้าของเรา 34 บรรดาปุโรหิต ชาวเลวี และประชาชนได้จับฉลาก เพื่อตัดสินว่าเมื่อใดแต่ละตระกูลของพวกเราจะนำฟืนมามอบที่พระตำหนักของพระเจ้าของเรา ตามกำหนดเวลาของแต่ละปี เพื่อเผาบนแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ดังที่มีบันทึกไว้ในกฎบัญญัติ 35 พวกเรารับผิดชอบในการนำผลแรกจากการเพาะปลูกและผลไม้รุ่นแรกจากทุกต้น ในแต่ละปี เพื่อถวายในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 36 เราต้องนำบุตรชายคนแรกและสัตว์ตัวผู้ตัวแรกจากฝูงสัตว์ของเรา และแพะแกะตัวผู้ตัวแรกจากฝูงสัตว์ของเรา มายังพระตำหนักของพระเจ้าของเรา เพื่อมอบแก่บรรดาปุโรหิตที่รับใช้ในพระตำหนักของพระเจ้าของเรา ดังที่มีบันทึกไว้ในกฎบัญญัติ 37 และนำแป้งรุ่นแรกและของถวายที่เป็นธัญพืช ผลไม้รุ่นแรกจากทุกต้น เหล้าองุ่น และน้ำมัน มามอบแก่บรรดาปุโรหิต และเก็บไว้ในห้องที่พระตำหนักของพระเจ้าของเรา และนำหนึ่งในสิบจากพืชผลของพวกเรามาให้แก่ชาวเลวี เพราะชาวเลวีเป็นผู้เก็บหนึ่งในสิบจากทุกเมืองที่พวกเราลงแรงทำงาน 38 ปุโรหิตผู้สืบเชื้อสายจากอาโรนจะมากับชาวเลวีเมื่อชาวเลวีรับหนึ่งในสิบ และชาวเลวีต้องนำหนึ่งในสิบของจำนวนที่ได้รับ ไปยังพระตำหนักของพระเจ้า ที่ห้องเก็บในคลังพัสดุ 39 ประชาชนของอิสราเอล รวมทั้งชาวเลวี ต้องนำของถวายที่เป็นธัญพืช เหล้าองุ่น และน้ำมัน ไปยังห้องเก็บภาชนะของที่พำนัก ซึ่งเป็นที่อยู่ของบรรดาปุโรหิตผู้ปฏิบัติงานรับใช้ คนเฝ้าประตู และนักร้อง พวกเราจะไม่เพิกเฉยต่อพระตำหนักของพระเจ้าของเรา”

กิจการของอัครทูต 20

ที่แคว้นมาซิโดเนียและประเทศกรีก

20 เมื่อความวุ่นวายได้สงบลง เปาโลก็ให้คนไปตามเหล่าสาวกมาเพื่อให้กำลังใจและกล่าวลา ครั้นแล้วก็เดินทางไปยังแคว้นมาซิโดเนีย ท่านเดินทางแวะไปตามดินแดนต่างๆ ในแถบนั้น และได้ให้กำลังใจมากมายแก่ผู้คน ในที่สุดก็มายังประเทศกรีก ซึ่งได้พักอยู่เป็นเวลา 3 เดือน เมื่อท่านจวนจะลงเรือไปยังแคว้นซีเรีย ก็ได้ตัดสินใจย้อนกลับไปทางแคว้นมาซิโดเนีย เพราะชาวยิวได้วางแผนจะสังหารท่าน ในครั้งนี้คนที่ไปด้วยคือ โสปาเทอร์บุตรของปีรัสจากเมืองเบโรอา อาริสทาร์คัสกับเสคุนดัสจากเมืองเธสะโลนิกา กายอัสจากเมืองเดอร์บี และทิโมธี ทีคิกัสกับโตรฟีมัสจากแคว้นเอเชีย ชายเหล่านั้นได้ไปล่วงหน้าก่อนแล้ว และได้รอคอยพวกเราอยู่ที่โตรอัส แต่เราได้ลงเรือมาจากเมืองฟีลิปปีหลังจากเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ และ 5 วันต่อมาก็ร่วมทางไปกับพวกเขาที่โตรอัส และเราพักอยู่ที่นั่นได้ 7 วัน

ที่เมืองโตรอัส

วันแรกของสัปดาห์นั้นพวกเรามาร่วมประชุมกันเพื่อบิขนมปัง เปาโลได้สั่งสอนผู้คน และด้วยเหตุว่าท่านตั้งใจที่จะเดินทางจากไปในวันรุ่งขึ้น ท่านจึงพูดยาวนานไปจนถึงเที่ยงคืน ในห้องชั้นบนที่พวกเราประชุมกันมีตะเกียงหลายดวง ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อยุทิกัสนั่งอยู่ที่หน้าต่างและง่วงนอนเต็มที ขณะที่เปาโลพูดสั่งสอนต่อไปอีก เขาโงกหลับไปจึงพลัดตกจากชั้นที่สามลงมา พอยกขึ้นมาก็พบว่าตายเสียแล้ว 10 เปาโลจึงลงไปข้างล่างแล้วนอนทาบลงบนชายหนุ่ม กอดตัวเขาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องตกใจ เขามีชีวิตแล้ว” 11 แล้วท่านก็ขึ้นไปห้องชั้นบนอีก บิขนมปังรับประทานกัน หลังจากที่ได้สนทนาจนถึงรุ่งเช้าแล้วก็ได้จากไป 12 ผู้คนได้พาชายหนุ่มที่ยังมีชีวิตอยู่กลับบ้านไปด้วยความสบายใจไม่น้อย

เปาโลกล่าวกับผู้ปกครองที่เมืองเอเฟซัส

13 พวกเราไปล่วงหน้าเพื่อจะลงเรือไปยังเมืองอัสโสส โดยหมายจะรับเปาโลที่นั่น ท่านได้เตรียมการณ์ไว้อย่างนั้นเพราะว่าท่านตั้งใจจะไปทางบก 14 เมื่อท่านพบกับพวกเราที่เมืองอัสโสสแล้ว เราก็รับท่านไปยังเมืองมิทิเลนีต่อ 15 วันรุ่งขึ้นพวกเราลงเรือจากที่นั่นจนมาถึงฝั่งตรงข้ามเกาะคิโอส วันต่อมาพวกเราข้ามไปยังเกาะสามอส และอีกวันต่อมาก็ถึงเมืองมิเลทัส 16 เปาโลได้ตัดสินใจจะลงเรือเลยเมืองเอเฟซัสไป เพราะไม่ต้องการอยู่ในแคว้นเอเชีย ท่านรีบไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ถ้าเป็นไปได้จะได้ให้ทันวันเพ็นเทคศเต

17 จากเมืองมิเลทัส เปาโลได้ส่งคนไปเชิญคณะผู้ปกครองของคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสมา 18 เมื่อเขาเหล่านั้นมาถึง ท่านกล่าวขึ้นว่า

“พวกท่านทราบว่าข้าพเจ้าใช้ชีวิตอย่างไร ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่าน นับแต่วันแรกที่ข้าพเจ้าเข้ามาในแคว้นเอเชีย 19 ข้าพเจ้าได้รับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วยความถ่อมตัวและด้วยน้ำตานองหน้า ข้าพเจ้าถูกทดสอบอย่างหนักจากชาวยิวที่คิดร้ายต่อข้าพเจ้า 20 พวกท่านทราบว่า ข้าพเจ้าไม่เคยลังเลที่จะสั่งสอนสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่พวกท่าน ทั้งในที่ชุมชนและตามบ้าน 21 ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ชาวยิวและกรีกว่า เขาต้องกลับใจเข้าหาพระเจ้า และมีความเชื่อในพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 22 มาบัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังจะไปยังเมืองเยรูซาเล็ม โดยรับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยที่ไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าที่นั่น 23 ข้าพเจ้าทราบแต่เพียงว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนข้าพเจ้าในทุกเมือง ว่าเรือนจำและความลำบากคอยท่าข้าพเจ้าอยู่ 24 อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าจะเป็นหรือตายก็ไม่ว่า เพียงแต่ขอวิ่งในการแข่งขันให้เสร็จสิ้น และทำงานซึ่งพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้ามอบหมายไว้ให้เสร็จบริบูรณ์ คือการยืนยันเรื่องข่าวประเสริฐซึ่งแสดงถึงพระคุณของพระเจ้า 25 ดูเถิด ข้าพเจ้าได้เที่ยวประกาศอาณาจักรของพระเจ้าในหมู่ท่าน บัดนี้ข้าพเจ้าทราบว่าไม่มีใครในพวกท่านที่จะเห็นหน้าข้าพเจ้าอีก 26 ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงยืนยันแก่ท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เป็นผู้รับผิดชอบถ้าใครหลงหายตายไป 27 เพราะข้าพเจ้าไม่ลังเลเลยที่จะประกาศความประสงค์ทั้งสิ้นของพระเจ้าให้ท่านทราบ 28 จงรักษาตัวท่านเองและรักษาแกะทุกตัวในฝูงที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้มอบให้ท่านเป็นผู้ดูแล จงเลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้มาด้วยโลหิตของพระองค์เอง 29 ข้าพเจ้าทราบว่าหลังจากที่ข้าพเจ้าจากไปแล้ว พวกสุนัขป่าร้ายกาจจะเข้ามาในหมู่ท่านและจะไม่ละเว้นฝูงแกะไว้ 30 บางคนในพวกท่านเองนั่นแหละ จะลุกขึ้นมากล่าวสิ่งที่บิดเบือนความจริงเพื่อชักพาสาวกให้ตามพวกเขาไป 31 ฉะนั้นจงระวังให้ดี จงจำไว้ว่าเป็นเวลา 3 ปีที่ข้าพเจ้าไม่ได้หยุดตักเตือนท่านทุกคนทั้งวันและคืนด้วยน้ำตานองหน้า 32 บัดนี้ข้าพเจ้าฝากท่านไว้กับพระเจ้า และกับคำกล่าวของพระองค์ ซึ่งเป็นพระคุณที่สามารถเสริมพลังฝ่ายวิญญาณให้ท่าน และมอบมรดกแก่ท่านด้วยกันกับทุกคนที่พระเจ้าชำระให้บริสุทธิ์แล้ว 33 ข้าพเจ้าไม่โลภอยากได้เงินและทอง หรือเสื้อผ้าของผู้ใด 34 พวกท่านเองก็ทราบว่า มือทั้งสองของข้าพเจ้าได้ทำงานเลี้ยงชีวิตของข้าพเจ้า และของคนที่อยู่กับข้าพเจ้าด้วย 35 ข้าพเจ้าได้แสดงให้ท่านเห็นว่าการทำงานหนักเช่นนี้ พวกเราต้องช่วยเหลือผู้อ่อนแอ จงจำคำที่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า ‘การให้ย่อมทำให้มีความสุขมากกว่าการรับ’”

36 เมื่อท่านพูดเช่นนั้นแล้วก็คุกเข่าลงกับทุกคนและอธิษฐาน 37 เขาเหล่านั้นร้องไห้ขณะที่กอดและจูบแก้ม[a]ลาท่าน 38 สิ่งที่ทำให้เขาเหล่านั้นเศร้าโศกมากที่สุดก็คือ คำกล่าวของเปาโลที่ว่า เขาจะไม่มีวันเห็นหน้าท่านอีก แล้วเขาก็พากันเดินไปส่งท่านลงเรือ

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation