M’Cheyne Bible Reading Plan
ซาราห์สิ้นชีวิต และการซื้อสุสาน
23 ซาราห์มีชีวิตอยู่ถึง 127 ปี 2 แล้วนางก็สิ้นชีวิตที่คีริยาทอาร์บา (มีอีกชื่อว่า เฮโบรน) ในดินแดนของคานาอัน อับราฮัมเข้าไปร้องคร่ำครวญถึงซาราห์ และร้องไห้ถึงนาง 3 เมื่ออับราฮัมลุกขึ้นจากข้างศพก็พูดกับพวกชาวฮิตว่า 4 “ข้าพเจ้าเป็นคนต่างแดนอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกท่าน ขอให้ข้าพเจ้าได้ที่ดินเป็นสถานที่สำหรับบรรจุศพที่นี่เถิด เพื่อจะได้บรรจุร่างผู้ตายของข้าพเจ้าให้พ้นสายตา” 5 ชาวฮิตตอบอับราฮัมว่า 6 “นายท่าน โปรดฟังพวกเราเถิด ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และอยู่ท่ามกลางพวกเรา ไปบรรจุร่างผู้ตายของท่านในถ้ำเก็บศพที่ดีที่สุดของพวกเราเถิด ไม่มีใครหวงถ้ำเก็บศพโดยไม่ให้ท่าน หรือรั้งท่านมิให้บรรจุร่างผู้ตายของท่านหรอก” 7 อับราฮัมลุกขึ้นคำนับชาวฮิตซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน 8 และพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าท่านยินดีให้ข้าพเจ้าบรรจุร่างผู้ตายของข้าพเจ้าให้พ้นสายตาก็โปรดฟัง และช่วยขอร้องเอโฟรนลูกโศหาร์ให้ข้าพเจ้าด้วย 9 ขอถ้ำมัคเป-ลาห์ซึ่งเขาเป็นเจ้าของอยู่ ถ้ำนั้นตั้งอยู่ปลายทุ่ง ขอให้เขาขายต่อหน้าท่านทั้งหลายในราคาเต็ม ข้าพเจ้าจะได้มีไว้ใช้เป็นสถานบรรจุศพ”
10 เอโฟรนกำลังนั่งอยู่กับกลุ่มชาวฮิต ดังนั้นเอโฟรนชาวฮิตจึงตอบอับราฮัมต่อหน้าชาวฮิตทั้งหลายที่เข้าฟังร่วมกันที่ประตูเมืองของเขาว่า 11 “ไม่หรอก นายท่าน โปรดฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายกทุ่งนาให้แก่ท่าน รวมทั้งถ้ำในนาด้วย ข้าพเจ้าขอมอบให้แก่ท่านต่อหน้าพลเมืองของข้าพเจ้า ท่านจงใช้เป็นที่บรรจุร่างผู้ตายของท่านเถิด” 12 อับราฮัมคำนับต่อหน้าพลเมืองของดินแดนนั้น 13 และท่านพูดกับเอโฟรนต่อหน้าพลเมืองของดินแดนนั้นว่า “ได้โปรดเถิด ฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะซื้อทุ่งนาตามราคา จงรับไปจากข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะได้ใช้เป็นที่บรรจุร่างผู้ตายของข้าพเจ้าที่นั่น” 14 เอโฟรนตอบอับราฮัมว่า 15 “นายท่าน โปรดฟังข้าพเจ้า ที่ดินผืนเดียวมีค่าเป็นเงินหนัก 400 เชเขล[a] ไม่หนักหนาอะไรเลย ท่านจงใช้เป็นที่บรรจุร่างผู้ตายของท่านเถิด” 16 อับราฮัมเห็นด้วยกับราคาของเอโฟรน ท่านจึงชั่งเงินที่เอโฟรนตีราคาไว้ต่อหน้าชาวฮิตทั้งหลาย เป็นเงินหนัก 400 เชเขลตามมาตรฐานน้ำหนักที่พวกพ่อค้าใช้กัน
17 ดังนั้นทุ่งนาของเอโฟรนในมัคเป-ลาห์ ซึ่งอยู่ใกล้มัมเร ทั้งทุ่งและถ้ำ ต้นไม้ทั้งหมดที่อยู่ในทุ่ง ทั่วบริเวณทั้งหมดถูกโอน 18 ให้อับราฮัมเป็นเจ้าของต่อหน้าชาวฮิต ต่อหน้าทุกคนที่เข้าไปในประตูเมืองของเขา 19 หลังจากนั้น อับราฮัมก็บรรจุซาราห์ภรรยาของท่านไว้ในถ้ำที่ทุ่งนาในมัคเป-ลาห์ ซึ่งอยู่ใกล้มัมเรในเฮโบรน ในดินแดนคานาอัน 20 ชาวฮิตโอนทุ่งนาและถ้ำที่อยู่ในนาให้อับราฮัมเป็นเจ้าของเพื่อใช้เป็นสุสาน
อุปมาเรื่องงานเลี้ยงสมรส
22 พระเยซูกล่าวตอบพวกเขาเป็นอุปมาอีกว่า 2 “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนกษัตริย์ผู้หนึ่งซึ่งจัดงานเลี้ยงสมรสให้บุตรชาย 3 ท่านส่งผู้รับใช้ไปเชิญบรรดาแขกมางานเลี้ยงสมรส แต่เขาเหล่านั้นไม่อยากจะมา 4 ท่านจึงส่งผู้รับใช้อื่นๆ ไปอีกว่า ‘จงไปบอกบรรดาแขกว่า “ดูสิ เราได้เตรียมอาหารเย็นไว้ ทั้งโคและลูกโคอ้วนพีก็ฆ่าไว้แล้ว ทุกสิ่งก็พร้อม มางานเลี้ยงสมรสเถิด”’ 5 แต่เขาเหล่านั้นไม่สนใจเลย ต่างก็ไปทำธุระของตน คนหนึ่งไปยังไร่นาของตน อีกคนหนึ่งไปทำการค้า 6 คนอื่นที่เหลือก็จับพวกผู้รับใช้มาทารุณแล้วฆ่าเสีย 7 กษัตริย์ผู้นั้นโกรธมาก จึงส่งกองทหารไปทำลายพวกฆาตกรเหล่านั้นแล้วเผาเมืองเสีย 8 ครั้นแล้วก็กล่าวกับบรรดาผู้รับใช้ว่า ‘งานสมรสพร้อมแล้ว แต่บรรดาแขกไม่สมควรที่จะมาในงาน 9 ฉะนั้นจงไปตามถนนใหญ่ เชิญคนมางานเลี้ยงสมรสให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้’ 10 บรรดาผู้รับใช้จึงออกไปตามถนน รวบรวมคนที่หาได้ทั้งคนชั่วและคนดีจนห้องเลี้ยงฉลองเต็มไปด้วยแขกของงาน
11 ครั้นกษัตริย์เข้ามาดูแขกในงาน ก็เห็นว่าชายคนหนึ่งไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานสมรส 12 จึงถามเขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านเข้ามาในที่นี้ได้อย่างไร โดยไม่มีเสื้อสำหรับงานสมรส’ เขาก็อึ้งไป 13 กษัตริย์กล่าวกับพวกผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือและเท้าของเขาแล้วโยนตัวออกไปยังความมืดข้างนอก ณ ที่นั่นจะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’ 14 เพราะคนจำนวนมากได้รับเชิญ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับเลือก”
คำถามเรื่องการเสียภาษี
15 ครั้นแล้วพวกฟาริสีจึงออกไปปรึกษากันว่าจะจับผิดในสิ่งที่พระองค์กล่าวได้อย่างไร 16 เขาเหล่านั้นจึงให้พวกสาวกของเขาไปกับพรรคของเฮโรด ไปหาพระองค์เพื่อถามว่า “อาจารย์ พวกเราทราบว่า ท่านพูดความจริงและสั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าจริงๆ โดยไม่เอาใจผู้ใด เพราะท่านไม่ลำเอียง 17 ฉะนั้นกรุณาบอกเราว่า ท่านคิดเห็นอย่างไร เป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหรือไม่ในการเสียภาษีให้แก่ซีซาร์” 18 พระเยซูตระหนักถึงความมุ่งร้ายของพวกเขา จึงกล่าวว่า “ทำไมจึงทดสอบเรา พวกท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก 19 ให้เราดูเหรียญที่ใช้จ่ายค่าภาษีสิ” พวกเขาจึงเอาเหรียญเดนาริอันมาให้พระองค์ 20 พระองค์กล่าวว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” 21 เขาทั้งหลายตอบพระองค์ว่า “ของซีซาร์” แล้วพระองค์กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่เป็นของซีซาร์ก็จงให้แก่ซีซาร์ และสิ่งที่เป็นของพระเจ้าก็จงให้แด่พระเจ้า” 22 พวกเขาได้ยินเช่นนั้นก็อัศจรรย์ใจ แล้วจากพระองค์ไป
ความสงสัยเรื่องวันที่ฟื้นคืนชีวิต
23 ในวันนั้นพวกสะดูสี (ซึ่งพูดว่าไม่มีการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย) ได้มาหาพระองค์และถามว่า 24 “อาจารย์ ตามที่โมเสสกล่าวว่า ‘ถ้าชายคนหนึ่งตายไปโดยที่ไม่มีบุตรเลย น้องชายของเขาควรสมรสกับหญิงม่าย และมีบุตรสืบตระกูลให้พี่ชายของเขา’[a] 25 ครั้งหนึ่งมีพี่น้องที่เป็นชายอยู่ 7 คน คนแรกสมรสและตายโดยไม่มีบุตร ทอดทิ้งภรรยาไว้กับน้องชายของตน 26 คนที่สอง คนที่สามก็เช่นเดียวกัน มาจนถึงคนที่เจ็ด 27 ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย 28 เมื่อถึงวันที่ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย แล้วนางจะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้งเจ็ดคนได้สมรสกับนาง”
29 พระเยซูกล่าวตอบว่า “ท่านผิดแล้ว ท่านไม่เข้าใจพระคัมภีร์และอานุภาพของพระเจ้า 30 เพราะในวันที่ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย พวกเขาจะไม่มีการสมรสหรือการยกให้เป็นสามีภรรยากัน แต่จะเป็นเหมือนพวกทูตสวรรค์ในฟ้าสวรรค์ 31 แต่เรื่องคนตายที่ฟื้นคืนชีวิต ท่านยังไม่ได้อ่านตอนที่พระเจ้าได้กล่าวกับท่านหรือว่า 32 ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[b] พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น” 33 เมื่อฝูงชนได้ยินดังนั้น ก็อัศจรรย์ใจกับการสอนของพระองค์
พระบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่ที่สุด
34 เมื่อพวกฟาริสีทราบว่าพระองค์ไล่ต้อนจนพวกสะดูสีนิ่งอึ้ง จึงได้ประชุมกัน 35 คนหนึ่งในพวกเขาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติได้ถามพระเยซูเป็นการทดสอบว่า 36 “อาจารย์ พระบัญญัติข้อใดในหมวดกฎบัญญัติยิ่งใหญ่ที่สุด” 37 พระองค์ตอบว่า “‘จงรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดดวงใจ สุดดวงจิต และสุดความคิดของท่าน’[c] 38 นี่คือพระบัญญัติแรกและสำคัญที่สุด 39 พระบัญญัติที่สองก็เหมือนกัน ‘จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าให้เหมือนรักตนเอง’[d] 40 ทั้งหมวดกฎบัญญัติและหมวดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าขึ้นอยู่กับพระบัญญัติ 2 ข้อนี้”
คำถามเรื่องบุตรของดาวิด
41 ขณะที่พวกฟาริสีประชุมกันอยู่ พระเยซูจึงถามพวกเขาว่า 42 “ท่านคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพระคริสต์ พระองค์เป็นบุตรของผู้ใด” พวกเขาพูดว่า “บุตรของดาวิด” 43 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่ดาวิดเรียกพระองค์โดยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ดลใจว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า’ ดังที่กล่าวไว้ว่า
44 ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
“จงนั่งทางด้านขวาของเรา
จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้า
อยู่ใต้เท้าเจ้า”’[e]
45 ถ้าดาวิดเรียกพระองค์ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า’ แล้วพระองค์จะเป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร” 46 ไม่มีใครสามารถตอบพระองค์ได้สักคำเดียว และตั้งแต่วันนั้นไม่มีใครกล้าซักถามพระองค์อีก
ปุโรหิตและชาวเลวีถวาย
12 ต่อไปนี้เป็นบรรดาปุโรหิตและชาวเลวีที่ขึ้นมากับเศรุบบาเบลบุตรของเชอัลทิเอล และกับเยชูอา คือ เสไรยาห์ เยเรมีย์ เอสรา 2 อามาริยาห์ มัลลูค ฮัทธัช 3 เชคานิยาห์ เรฮูม เมเรโมท 4 อิดโด กินเนธอย อาบียาห์ 5 มิยามิน มาอาดียาห์ บิลกาห์ 6 เชไมยาห์ โยยาริบ เยดายาห์ 7 สัลลู อาโมค ฮิลคียาห์ เยดายาห์ คนเหล่านี้เป็นหัวหน้าของบรรดาปุโรหิตและพี่น้องของพวกเขาในสมัยของเยชูอา
8 และชาวเลวีคือ เยชูอา บินนุย ขัดมีเอล เชเรบิยาห์ ยูดาห์ มัทธานิยาห์และพี่น้องของเขา ชายเหล่านี้รับผิดชอบในเพลงขอบคุณ 9 บัคบูคิยาห์ อุนนี และพี่น้องของเขา ยืนอยู่ตรงข้ามพวกเขาในเวลาปฏิบัติงาน 10 และเยชูอาเป็นบิดาของโยยาคิม โยยาคิมเป็นบิดาของเอลียาชีบ เอลียาชีบเป็นบิดาของโยยาดา 11 โยยาดาเป็นบิดาของโยนาธาน โยนาธานเป็นบิดาของยาดดูอา
12 ในสมัยโยยาคิม มีปุโรหิตผู้เป็นหัวหน้าของตระกูล หัวหน้าของตระกูลเสไรยาห์ คือเมรายาห์ หัวหน้าของตระกูลเยเรมีย์ คือฮานันยาห์ 13 หัวหน้าของตระกูลเอสรา คือเมชุลลาม หัวหน้าของตระกูลอามาริยาห์ คือเยโฮฮานัน 14 หัวหน้าของตระกูลมัลลูคี คือโยนาธาน หัวหน้าของตระกูลเช-บานิยาห์ คือโยเซฟ 15 หัวหน้าของตระกูลฮาริม คืออัดนา หัวหน้าของตระกูลเมราโยท คือเฮลคาย 16 หัวหน้าของตระกูลอิดโด คือเศคาริยาห์ หัวหน้าของตระกูลกินเนโธน คือเมชุลลาม 17 หัวหน้าของตระกูลอาบียาห์ คือศิครี หัวหน้าของตระกูลมินยามินและตระกูลโมอัดยาห์ คือปิลทัย 18 หัวหน้าของตระกูลบิลกาห์ คือชัมมูอา หัวหน้าของตระกูลเชไมยาห์ คือเยโฮนาธาน 19 หัวหน้าของตระกูลโยยาริบ คือมัทเธนัย ของตระกูลเยดายาห์ คืออุสซี 20 หัวหน้าของตระกูลศัลลัย คือคาลลัย หัวหน้าของตระกูลอาโมค คือเอเบอร์ 21 หัวหน้าของตระกูลฮิลคียาห์ คือฮาชาบิยาห์ หัวหน้าของตระกูลเยดายาห์ คือเนธันเอล
22 ในสมัยของเอลียาชีบ โยยาดา โยฮานาน และยาดดูอา มีบันทึกว่า ชาวเลวีเป็นบรรดาหัวหน้าตระกูล เช่นเดียวกับบรรดาปุโรหิตในรัชสมัยของดาริอัสชาวเปอร์เซีย 23 ส่วนพงศ์พันธุ์ของเลวี หัวหน้าของตระกูล จนถึงสมัยของโยฮานานบุตรเอลียาชีบ มีบันทึกในหนังสือแห่งพงศาวดาร 24 และบรรดาหัวหน้าของชาวเลวีคือ ฮาชาบิยาห์ เชเรบิยาห์ เยชูอาบุตรของขัดมีเอล และพี่น้องของเขา ยืนอยู่ตรงข้ามพวกเขา เพื่อสรรเสริญและขอบคุณ ผลัดเวรกัน ตามคำบัญญัติของดาวิดคนของพระเจ้า 25 มัทธานิยาห์ บัคบูคิยาห์ และโอบาดีห์ เมชุลลาม ทัลโมน และอักขูบ เป็นผู้เฝ้าประตู ยืนเฝ้าประตูคลังพัสดุ 26 คนเฝ้าประตูเหล่านั้นรับใช้ในสมัยของโยยาคิมบุตรของเยชูอา ผู้เป็นบุตรโยซาดัก และรับใช้ในสมัยของผู้ว่าราชการเนหะมีย์ และของเอสราปุโรหิตผู้สอนกฎบัญญัติ
ถวายกำแพงเมือง
27 เมื่อถึงเวลาถวายกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม เขาทั้งหลายเสาะหาชาวเลวีจากทุกแห่งหน เพื่อให้มายังเยรูซาเล็มและฉลองการถวายด้วยความยินดี ด้วยการขอบคุณ และการร้องเพลงด้วยฉาบ พิณสิบสาย และพิณเล็ก 28 บรรดาบุตรของบรรดานักร้องพากันมาจากเมืองรอบๆ เยรูซาเล็มและจากหมู่บ้านชาวเนโทฟาห์ 29 จากเบธกิลกาล จากเขตแดนเก-บา และอัสมาเวท บรรดานักร้องได้ก่อตั้งหมู่บ้านของตนรอบๆ เยรูซาเล็ม 30 บรรดาปุโรหิตและชาวเลวีทำพิธีชำระตนให้บริสุทธิ์ และได้ชำระประชาชน ประตู และกำแพงให้บริสุทธิ์ด้วย
31 แล้วข้าพเจ้าก็นำบรรดาหัวหน้าของยูดาห์ขึ้นไปบนกำแพง และแต่งตั้งให้คณะนักร้องคณะใหญ่ 2 คณะ เป็นผู้กล่าวขอบคุณ คณะหนึ่งไปทางทิศใต้บนกำแพงที่ไปยังประตูมูลสัตว์ 32 บรรดาผู้ที่เดินตามพวกนักร้องเหล่านั้นไปคือ โฮชายาห์และอีกครึ่งหนึ่งของบรรดาหัวหน้าของยูดาห์ 33 อาซาริยาห์ เอสรา เมชุลลาม 34 ยูดาห์ เบนยามิน เชไมยาห์ เยเรมีย์ 35 และบุตรบางคนของบรรดาปุโรหิตที่ถือแตรยาว[a] ได้แก่ เศคาริยาห์บุตรโยนาธาน โยนาธานเป็นบุตรของเชไมยาห์ เชไมยาห์เป็นบุตรของมัทธานิยาห์ มัทธานิยาห์เป็นบุตรของมิคายาห์ มิคายาห์เป็นบุตรของศัคเคอร์ ศัคเคอร์เป็นบุตรของอาสาฟ 36 กับพี่น้องของเขาคือ เชไมยาห์ อาซาร์เอล มิลาลัย กิลาลัย มาอัย เนธันเอล ยูดาห์ และฮานานี พร้อมกับเครื่องดนตรีของดาวิดคนของพระเจ้า และเอสราผู้สอนกฎบัญญัติเดินนำหน้าพวกเขาไป 37 และผ่านประตูน้ำพุ พวกเขาเดินตรงขึ้นไปทางบันไดเมืองของดาวิด ทางขึ้นไปยังกำแพงเมือง ผ่านตำหนักของดาวิด ถึงประตูน้ำทางทิศตะวันออก
38 คณะนักร้องอีกคณะที่กล่าวคำขอบคุณ ก็ไปทางทิศเหนือ ข้าพเจ้าไปกับประชาชนอีกครึ่งหนึ่ง เดินตามไปบนกำแพง ผ่านหอคอยเตาอบ ถึงกำแพงกว้าง 39 ผ่านกำแพงเอฟราอิม ทางประตูเก่า ทางประตูปลา หอคอยฮานันเอล และหอคอยศต ถึงประตูแกะ และหยุดที่ประตูยาม 40 ดังนั้นคณะนักร้องทั้ง 2 คณะที่กล่าวขอบคุณจึงมายืนอยู่ที่พระตำหนักของพระเจ้า พร้อมกับข้าพเจ้าและครึ่งหนึ่งของบรรดาเจ้าหน้าที่ที่อยู่กับข้าพเจ้า 41 และบรรดาปุโรหิตที่ถือแตรยาวคือ เอลียาคิม มาอาเสยาห์ มินยามิน มิคายาห์ เอลีโอนัย เศคาริยาห์ และฮานันยาห์ 42 มาอาเสยาห์ เชไมยาห์ เอเลอาซาร์ อุสซี เยโฮฮานัน มัลคิยาห์ เอลาม และเอเซอร์ และบรรดานักร้องมียิสรายาห์เป็นหัวหน้านำร้องเพลงร่วมกัน 43 และเขาทั้งหลายถวายสัตว์เป็นเครื่องสักการะครั้งใหญ่ในวันนั้น และชื่นชมยินดี เพราะพระเจ้าทำให้พวกเขามีความยินดียิ่งนัก บรรดาผู้หญิงและเด็กๆ ก็ชื่นชมยินดีเช่นกัน และเสียงแห่งความยินดีของเยรูซาเล็มดังไปไกล
การปฏิบัติงานที่พระวิหาร
44 ในวันนั้น บรรดาผู้ชายได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลคลังพัสดุ ของถวาย ผลไม้รุ่นแรก หนึ่งในสิบของพืชผลที่ได้จากแผ่นดิน นำมาจากไร่นาในเมืองเพื่อเก็บในคลังตามที่กำหนดในกฎบัญญัติสำหรับบรรดาปุโรหิตและชาวเลวี ด้วยว่าคนในยูดาห์ยินดีกับบรรดาปุโรหิตและชาวเลวีที่ปฏิบัติงาน 45 เขาทั้งหลายปฏิบัติงานรับใช้พระเจ้าของพวกเขา และรับใช้ในพิธีการชำระให้บริสุทธิ์ บรรดานักร้องและคนเฝ้าประตูก็ปฏิบัติงานของเขา ตามคำบัญชาของดาวิดและซาโลมอนบุตรของท่าน 46 นานมาแล้ว ในสมัยของดาวิดและอาสาฟ มีบรรดาหัวหน้ากำกับนักร้อง และมีเพลงสรรเสริญและกล่าวขอบคุณพระเจ้า 47 ในสมัยของเศรุบบาเบลและสมัยของเนหะมีย์ อิสราเอลทั้งปวงมอบส่วนแบ่งให้แก่บรรดานักร้องและคนเฝ้าประตูตามที่กำหนดไว้ในแต่ละวัน และเก็บส่วนแบ่งไว้สำหรับชาวเลวีด้วย และชาวเลวีก็เก็บส่วนแบ่งไว้สำหรับบรรดาบุตรของอาโรน
22 “พี่น้องและท่านอาวุโสทั้งหลาย จงฟังคำแก้คดีของข้าพเจ้าด้วย”
2 เมื่อเขาเหล่านั้นได้ยินท่านพูดภาษาฮีบรูด้วย ก็นิ่งเงียบทีเดียว เปาโลกล่าวต่อไปว่า
3 “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิว เกิดที่เมืองทาร์ซัสในแคว้นซีลีเซียแต่เติบโตในเมืองนี้ ได้รับการศึกษาภายใต้ท่านกามาลิเอลในด้านกฎบัญญัติของบรรพบุรุษของพวกเราอย่างเคร่งครัด และกระตือรือร้นในพระเจ้ามากเท่าที่พวกท่านเป็นกันอยู่ในวันนี้ 4 ข้าพเจ้าเคยกดขี่ข่มเหงพวกที่ติดตามใน ‘วิถีทางนั้น’ จนพวกเขาถึงแก่ความตาย เที่ยวจับกุมทั้งชายและหญิงแล้วก็ส่งพวกเขาไปจองจำ 5 ซึ่งหัวหน้ามหาปุโรหิตและคณะผู้ใหญ่ทั้งหมดเป็นพยานให้ได้ และข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากท่านเหล่านั้นที่มีไปถึงพวกพี่น้องชาวยิวในเมืองดามัสกัส และข้าพเจ้าไปที่นั่นเพื่อจะจับกุมคนเหล่านี้มาที่เมืองเยรูซาเล็มเพื่อลงโทษ
6 ขณะที่ข้าพเจ้าเดินทางเข้าใกล้เมืองดามัสกัสราวๆ เที่ยงวัน ในทันใดนั้นก็มีแสงสว่างจากสวรรค์ส่องลงมาล้อมรอบข้าพเจ้า 7 ข้าพเจ้าทรุดตัวลงบนพื้น และได้ยินเสียงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงกดขี่ข่มเหงเรา’ 8 ข้าพเจ้าถามว่า ‘พระองค์ท่าน พระองค์เป็นผู้ใด’ พระองค์ตอบว่า ‘เราคือเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธซึ่งเจ้ากำลังข่มเหง’ 9 บรรดาผู้ที่ไปกับข้าพเจ้าก็เห็นแสงนั้นด้วย แต่เขาไม่ได้ยินเสียงของพระองค์ที่กำลังกล่าวกับข้าพเจ้าอยู่ 10 ข้าพเจ้าถามว่า ‘ข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไร พระองค์ท่าน’ พระองค์ท่านตอบว่า ‘จงลุกขึ้นเถิด แล้วเข้าไปในเมืองดามัสกัส จะมีคนที่นั่นมาบอกว่าเจ้าจะต้องทำสิ่งใดบ้าง’ 11 แสงสว่างจ้านั้นทำให้ตาของข้าพเจ้าบอด คนที่ไปกับข้าพเจ้าจึงต้องจูงมือนำข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองดามัสกัส
12 ชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียมาหาข้าพเจ้า ท่านเป็นผู้รักษากฎบัญญัติที่เชื่อในพระเจ้ามาก และเป็นที่นับถืออย่างสูงในหมู่ชาวยิวที่อาศัยอยู่ที่นั่น 13 ท่านยืนอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้า พูดว่า ‘พี่เซาโลเอ๋ย จงเห็นเถิด’ และขณะนั้นเอง ข้าพเจ้าก็มองเห็นท่านได้ 14 แล้วท่านพูดว่า ‘พระเจ้าของบรรพบุรุษของเราได้เลือกท่าน ให้รับรู้ความประสงค์ของพระองค์และเห็นองค์ผู้มีความชอบธรรม เพื่อฟังคำกล่าวจากพระองค์โดยตรง 15 ท่านจะเป็นพยานฝ่ายพระองค์ให้คนทั้งปวงทราบถึงเหตุการณ์ที่ท่านได้เห็นและได้ยิน 16 ทำไมท่านจะต้องรอต่อไปอีก จงลุกขึ้นรับบัพติศมา และชำระล้างบาป โดยร้องเรียกพระนามของพระองค์เถิด’
17 ข้าพเจ้ากลับไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ขณะที่กำลังอธิษฐานอยู่ที่พระวิหาร ข้าพเจ้าก็ตกอยู่ในภวังค์ 18 และเห็นพระองค์ซึ่งได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘จงรีบออกไปจากเมืองเยรูซาเล็มทันที เพราะว่าผู้คนทั้งหลายจะไม่ยอมรับคำยืนยันของเจ้าที่เกี่ยวกับเรา’ 19 ข้าพเจ้าตอบว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาเองทราบว่า ข้าพเจ้าเที่ยวไปจับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ตามศาลาที่ประชุมเพื่อให้พวกเขาถูกจำคุกและโบยตี 20 และเมื่อสเทเฟนผู้เป็นพยานของพระองค์ถึงกับโลหิตตก ข้าพเจ้ายืนอยู่ที่นั่นโดยเห็นชอบในการกระทำนั้น และเฝ้าเสื้อผ้าของพวกที่กำลังฆ่าสเทเฟน’ 21 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘จงไปเถิด เราจะส่งเจ้าไปยังบรรดาคนนอกที่อยู่ห่างไกล’”
เปาโลเป็นคนสัญชาติโรมัน
22 ฝูงชนฟังเปาโลกล่าวจนถึงเพียงนี้ ก็ตะโกนเสียงลั่นว่า “กำจัดชายคนนี้ให้หายสาบสูญไปจากโลกเสียเถิด เขาไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว” 23 ขณะที่เขาทั้งหลายกำลังตะโกนไป พร้อมกับเหวี่ยงเสื้อคลุมออกไปจนฝุ่นตลบอยู่นั้น 24 ผู้บังคับกองพันได้สั่งให้เปาโลเข้าไปในกรมทหาร สั่งให้ทหารเฆี่ยน เพื่อจะได้ไต่สวนดูว่าทำไมผู้คนจึงได้ตะโกนใส่ท่านเช่นนั้น 25 ขณะที่พวกทหารขึงร่างของท่านเพื่อรอการเฆี่ยน เปาโลก็กล่าวกับนายร้อยที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า “ถูกกฎแล้วหรือที่ท่านจะเฆี่ยนคนสัญชาติโรมันก่อนที่จะพิพากษาว่าผิด” 26 เมื่อนายร้อยได้ยินเช่นนั้นจึงนำความไปรายงานกับผู้บังคับกองพันว่า “ท่านจะทำอย่างไรต่อไป ชายคนนี้เป็นคนสัญชาติโรมัน” 27 ผู้บังคับกองพันจึงไปถามเปาโลว่า “บอกข้าพเจ้าเถิดว่า ท่านเป็นคนสัญชาติโรมันหรือ” ท่านตอบว่า “ใช่แล้ว” 28 แล้วผู้บังคับกองพันพูดว่า “กว่าข้าพเจ้าจะได้เป็นคนสัญชาติโรมันข้าพเจ้าต้องเสียเงินมาก” เปาโลตอบว่า “แต่ข้าพเจ้าเป็นคนสัญชาติโรมันโดยกำเนิด” 29 ฝ่ายพวกที่กำลังจะซักถามท่านก็ถอยออกไปทันที ผู้บังคับกองพันเองก็ตกใจที่ล่ามโซ่เปาโลซึ่งเป็นคนสัญชาติโรมัน
เปาโลยืนอยู่ต่อหน้าศาสนสภา
30 วันรุ่งขึ้น ผู้บังคับกองพันต้องการที่จะทราบให้แน่ชัดว่าเหตุใดชาวยิวจึงกล่าวหาเปาโล เขาจึงให้คนถอดเครื่องที่ล่ามเปาโลออก แล้วสั่งให้ทั้งบรรดามหาปุโรหิตและศาสนสภาทั้งหมดมาร่วมประชุมกัน ครั้นแล้วก็ให้เปาโลมายืนอยู่ต่อหน้าเขาทั้งปวง
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation