Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
โยชูวา 1

พระเจ้าบัญชาโยชูวา

หลังจากโมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าสิ้นชีวิตไป พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาบุตรของนูนซึ่งเป็นผู้ช่วยของโมเสสว่า “โมเสสผู้รับใช้ของเราสิ้นชีวิตแล้ว บัดนี้เจ้าจงลุกขึ้น ทั้งเจ้าและประชาชนทั้งหมดจงข้ามแม่น้ำจอร์แดน และเข้าไปในแผ่นดินที่เรากำลังจะมอบให้แก่พวกเขา คือชาวอิสราเอล เราได้มอบทุกแห่งที่ฝ่าเท้าของเจ้าจะก้าวเหยียบไป ตามที่เราได้สัญญาไว้กับโมเสสแล้ว[a] อาณาเขตของเจ้านั้นเริ่มต้นจากถิ่นทุรกันดารไปจรดภูเขาเลบานอน และจากแม่น้ำใหญ่ยูเฟรติสจรดทั่วดินแดนของชาวฮิตจรดทะเลใหญ่[b]ทางทิศตะวันตก ตลอดชีวิตของเจ้า จะไม่มีผู้ใดยืนต่อต้านเจ้าได้ เราจะอยู่กับเจ้าเหมือนกับที่ได้อยู่กับโมเสส ไม่มีวันที่เราจะจากหรือทอดทิ้งเจ้าไป จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะว่าเจ้าจะเป็นผู้นำประชาชนเหล่านี้ เพื่อยึดครองดินแดนที่เราปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะมอบให้แก่เขา เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญให้มากเถิด จงระมัดระวังปฏิบัติตามกฎทุกข้อที่โมเสสผู้รับใช้ของเราบัญชาเจ้าไว้ อย่าหันเหไปจากการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ เพื่อเจ้าจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม จงกล่าวเรื่องหนังสือกฎบัญญัติฉบับนี้เป็นประจำ จงใคร่ครวญถึงทุกเช้าค่ำ เพื่อเจ้าจะระมัดระวังปฏิบัติตามทุกข้อที่บันทึกไว้ในนั้น เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะบรรลุถึงวิถีทางที่เจริญสู่ความสำเร็จ เราบัญชาเจ้าแล้วมิใช่หรือ จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าหวาดหวั่นและอย่าท้อใจ เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าจะอยู่กับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหนก็ตาม”

10 และโยชูวาบัญชาพวกเจ้าหน้าที่ของประชาชนว่า 11 “จงไปบอกประชาชนในค่ายให้ทั่วว่า ‘จงเตรียมเสบียงอาหารของพวกท่านให้พร้อม เพราะภายใน 3 วันท่านจะต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ไป เพื่อยึดครองแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกำลังมอบให้พวกท่านเป็นเจ้าของ’”

12 แต่โยชูวาพูดกับชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์ว่า 13 “จงจำคำที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าบัญชาพวกท่านไว้ ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกำลังเตรียมที่ให้พวกท่านได้พักพิง และจะมอบดินแดนนี้ให้แก่พวกท่าน’ 14 ภรรยาของพวกท่าน เด็กเล็ก และฝูงปศุสัตว์ของพวกท่านจะอยู่ในดินแดนทางด้านตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนที่โมเสสมอบให้ แต่นักรบผู้เก่งกล้าพร้อมอาวุธทุกคนต้องข้ามไปล่วงหน้าพี่น้องของท่านเพื่อช่วยพวกเขา 15 จนกว่าพระผู้เป็นเจ้าจะให้พวกพี่น้องของท่านได้หยุดพักเหมือนที่พระองค์ให้แก่ท่าน และพวกเขาจะยึดครองแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบให้แก่พวกเขาเสียก่อน แล้วพวกท่านจึงจะกลับมายังแผ่นดินที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้แก่ท่าน ที่โพ้นแม่น้ำจอร์แดน ในทิศทางที่ดวงอาทิตย์ขึ้น”

16 และพวกเขาตอบโยชูวาว่า “เราจะทำทุกสิ่งตามที่ท่านบัญชา และเราจะไปยังที่ที่ท่านให้เราไป 17 พวกเราจะเชื่อฟังท่านเหมือนกับที่เราได้เชื่อฟังโมเสสทุกประการ ขอแต่เพียงพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอยู่กับท่านเหมือนกับที่พระองค์ได้อยู่กับโมเสส 18 ผู้ใดขัดขืนต่อคำบัญชาของท่าน และไม่เชื่อฟังคำพูดที่ท่านบัญชาจะถูกประหาร ขอเพียงให้ท่านเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด”

สดุดี 120-122

คำอธิษฐานขอความช่วยเหลือ

บทเพลงบรรเลงในขบวนแห่ขณะเคลื่อนขึ้นสู่เนินเขา

ในยามทุกข์ยากข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า
    และพระองค์ตอบข้าพเจ้า
โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้น
    จากริมฝีปากของคนพูดปด
    จากลิ้นที่ลวงหลอก

พระองค์จะให้อะไรแก่เจ้าเล่า
    และจะกระทำอะไรต่อเจ้าอีก
    โอ ลิ้นที่ลวงหลอก
โดยลูกธนูเฉียบแหลมของนักรบ
    พร้อมกับถ่านไม้ซากลุกโชติช่วงนั่นแหละ

วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่เมเชค
    และพักอยู่ท่ามกลางกระโจมที่พักของเคดาร์[a]
ข้าพเจ้าพักอยู่ท่ามกลางฝูงชน
    ที่เกลียดสันติสุขนานเกินไปแล้ว
ข้าพเจ้าเป็นฝ่ายสันติตามที่ข้าพเจ้าพูด
    แต่พวกเขาเป็นฝ่ายสงคราม

พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้คุ้มกันเรา

บทเพลงบรรเลงในขบวนแห่ขณะเคลื่อนขึ้นสู่เนินเขา

ข้าพเจ้าแหงนหน้าไปทางภูเขา
    เพื่อดูว่า ความช่วยเหลือที่ข้าพเจ้าจะได้รับมาจากไหน
ความช่วยเหลือนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้า
    ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก

พระองค์จะไม่ปล่อยให้เท้าของท่านพลาด
    พระองค์ผู้คอยดูแลท่านย่อมไม่พักผ่อนนอนหลับ
ดูเถิด พระองค์เป็นผู้ดูแลอิสราเอล
    ที่ไม่นอนหลับหรือเผลอหลับไป

พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ดูแลท่าน
    พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้คุ้มครองอยู่ทางขวามือของท่าน
ดวงอาทิตย์จะไม่ทำอันตรายท่านในเวลากลางวัน
    และดวงจันทร์ก็ไม่ทำอันตรายในเวลากลางคืน

พระผู้เป็นเจ้าจะดูแลท่านให้พ้นจากภัยทั้งปวง
    พระองค์จะดูแลรักษาชีวิตท่าน
พระผู้เป็นเจ้าจะดูแลท่าน
    ไม่ว่าท่านจะทำอะไรอยู่ที่ไหน
    นับแต่บัดนี้จนชั่วนิรันดร์กาล

คำอธิษฐานสำหรับเยรูซาเล็ม

บทเพลงบรรเลงในขบวนแห่ขณะเคลื่อนขึ้นสู่เนินเขา ของดาวิด

ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีเมื่อพวกเขาพูดกับข้าพเจ้าว่า
    “พวกเราไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้ากันเถิด”
เยรูซาเล็มเอ๋ย เท้าของเรายืนอยู่
    ภายในประตูของเจ้า

เยรูซาเล็มถูกสร้างขึ้นเป็นเมือง
    ที่มีความพอเหมาะพอเจาะแก่ความต้องการ
เป็นสถานที่ซึ่งเผ่าต่างๆ ขึ้นไป
    เป็นเผ่าของพระผู้เป็นเจ้า
เพื่อสรรเสริญพระนามของพระผู้เป็นเจ้า
    ตามคำสั่งที่ได้ให้ไว้กับอิสราเอล
บัลลังก์แห่งการตัดสินคดีก็ถูกตั้งไว้ ณ ที่นั้น
    คือบัลลังก์ของพงศ์พันธุ์ดาวิด

จงอธิษฐานให้เยรูซาเล็มมีสันติสุขเถิด
    “ขอให้บรรดาผู้ที่รักเจ้าจงประสบแต่ความเจริญ
ขอสันติสุขจงมีภายในกำแพงเมืองของเจ้า
    และความปลอดภัยจงมีภายในป้อมปราการของเจ้า”
เพราะความรักที่มีต่อพี่น้องและมิตรสหายของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจะพูดว่า “สันติสุขจงมีอยู่ภายในเจ้า”
เพราะความรักที่มีต่อพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา
    ข้าพเจ้าจะอธิษฐานขอความเจริญให้แก่เจ้า

อิสยาห์ 61

ปีแห่งความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า

61 “พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สถิตอยู่เหนือเรา
    เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าเจิมเรา
เพื่อนำข่าวอันประเสริฐมายังผู้ยากไร้
    พระองค์ส่งเรามาเพื่อสมานหัวใจที่แตกร้าว
เพื่อประกาศกับนักโทษเพื่อให้ได้รับการปลดปล่อย
    และเปิดคุกให้แก่บรรดาผู้ที่ถูกจองจำ
เพื่อประกาศปีที่โปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า[a]
    และวันแห่งการแก้แค้นของพระเจ้าของพวกเรา
    เพื่อให้กำลังใจทุกคนที่เศร้าโศก
เพื่อจัดเตรียมให้กับบรรดาผู้ที่เศร้าโศกในศิโยน
    เพื่อมอบมงกุฎที่สวยงามแทนขี้เถ้าให้แก่พวกเขา
และให้น้ำมันแห่งความยินดีแทนความเศร้าโศก
    เครื่องประดับแห่งการสรรเสริญแทนจิตวิญญาณที่สิ้นหวัง
เพื่อพวกเขาจะได้รับเรียกว่า ต้นโอ๊กแห่งความชอบธรรม
    ที่พระผู้เป็นเจ้าปลูก
    เพื่อพระบารมีของพระองค์จะเป็นที่ประจักษ์”

พวกเขาจะสร้างเมืองโบราณที่พังพินาศขึ้นใหม่
    พวกเขาจะบูรณะสถานที่ซึ่งพังยับเยิน
พวกเขาจะซ่อมเมืองที่ปรักหักพัง
    ซึ่งรกร้างมาหลายชั่วอายุคน
คนแปลกหน้าจะยืนและดูแลฝูงแพะแกะของพวกท่าน
    ชาวต่างชาติจะเป็นคนพรวนดิน
    และคนดูแลสวนองุ่นของท่าน
แต่ท่านจะได้รับเรียกว่า บรรดาปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า
    พวกเขาจะพูดถึงท่านว่า ท่านเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าของเรา
ท่านจะได้รับความมั่งมีจากบรรดาประชาชาติ
    และท่านจะโอ้อวดที่ได้อยู่ในความรุ่งเรืองของพวกเขา
แทนที่จะต้องอับอาย
    ท่านจะได้รับส่วนแบ่งเป็นสองเท่า
แทนที่จะไร้เกียรติ
    พวกเขาจะร่าเริงใจในส่วนแบ่ง
ฉะนั้นพวกเขาจะเป็นเจ้าของส่วนแบ่งในแผ่นดินของพวกเขาสองเท่า
    พวกเขาจะมีความยินดีอันยั่งยืนตลอดไป

“ด้วยว่า เราผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้ารักความยุติธรรม
    เราเกลียดชังการปล้นและการกระทำความชั่ว
เราจะตอบสนองพวกเขาด้วยความสัตย์จริง
    และเราจะทำพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์กับพวกเขา
ทายาทของพวกเขาจะเป็นที่รู้จักในบรรดาประชาชาติ
    และบรรดาผู้สืบเชื้อสายของพวกเขาในท่ามกลางบรรดาชนชาติ
ทุกคนที่เห็นพวกเขาจะแสดงความรู้จักว่า
    พวกเขาคือทายาทที่พระผู้เป็นเจ้าได้อวยพร”

10 ข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีในพระผู้เป็นเจ้า
    จิตวิญญาณข้าพเจ้ายินดีในพระเจ้าของข้าพเจ้า
เพราะพระองค์สวมเสื้อแห่งความรอดพ้นให้แก่ข้าพเจ้า
    พระองค์ห่มข้าพเจ้าด้วยเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรม
อย่างกับเจ้าบ่าวสวมเครื่องประดับศีรษะอย่างงดงามดั่งปุโรหิต
    และอย่างกับเจ้าสาวที่ตกแต่งด้วยเพชรพลอย
11 ด้วยว่า แผ่นดินโลกทำให้พืชงอก
    และสวนทำให้เมล็ดถูกหว่านและงอกขึ้นมาเช่นไร
พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าก็จะโปรดให้ความชอบธรรม
    และการสรรเสริญสะพรั่งขึ้น เพื่อประชาชาติทั้งปวงเช่นนั้น

มัทธิว 9

พระเยซูรักษาชายง่อย

พระเยซูลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองของพระองค์ มีผู้คนพาชายง่อยคนหนึ่งนอนบนเปลหามมา พอพระองค์เห็นความเชื่อของพวกเขาจึงกล่าวกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย จงทำใจให้ดีไว้ บาปทั้งหลายของเจ้าได้รับการยกโทษแล้ว” พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนพูดต่อกันและกันว่า “ชายผู้นี้พูดจาหมิ่นประมาทพระเจ้า” พระเยซูทราบความคิดของพวกเขาจึงกล่าวว่า “ทำไมพวกท่านจึงคิดชั่วอยู่ในใจเล่า พูดอย่างไรจึงจะง่ายกว่ากันระหว่าง ‘บาปทั้งหลายของเจ้าได้รับการยกโทษแล้ว’ หรือจะพูดว่า ‘จงลุกขึ้นเดินเถิด’ แต่เพื่อพวกท่านจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะยกโทษบาปทั้งหลาย” แล้วพระองค์กล่าวกับคนง่อยนั้นว่า “จงลุกขึ้น แล้วยกเปลหามกลับไปบ้านเถิด” เขาจึงลุกขึ้นแล้วกลับบ้านไป เมื่อฝูงชนเห็นเช่นนั้นก็กลัวยิ่งนัก แล้วต่างก็พากันสรรเสริญพระเจ้าที่มอบสิทธิอำนาจเช่นนั้นให้แก่มนุษย์

มัทธิวติดตามพระเยซูไป

ขณะที่พระเยซูไปจากที่นั่น พระองค์เห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว กำลังนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี จึงกล่าวกับเขาว่า “จงติดตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นและติดตามพระองค์ไป

10 ขณะที่พระองค์กำลังเอนกายอยู่ที่บ้าน มีคนเก็บภาษีและคนบาปจำนวนมากมา และกำลังรับประทานอาหารร่วมกับพระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์ 11 ครั้นพวกฟาริสีเห็นดังนั้นจึงพูดกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานร่วมกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” 12 เมื่อพระองค์ได้ยินจึงกล่าวว่า “คนที่มีสุขภาพดีไม่จำเป็นต้องหาแพทย์ ยกเว้นแต่ผู้ป่วย 13 จงไปเถิด และเรียนรู้ว่าคำพูดนี้มีความหมายว่าอย่างไร ‘เราต้องการความเมตตา ไม่ต้องการเครื่องสักการะ’[a] เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนที่คิดว่าตนมีความชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป”

ผู้คนถามเรื่องการอดอาหาร

14 ครั้นแล้วบรรดาสาวกของยอห์นมาพูดกับพระองค์ว่า “ทำไมพวกเราและบรรดาฟาริสีอดอาหาร แต่พวกสาวกของท่านไม่อดอาหาร”

15 พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “พวกแขกของเจ้าบ่าวจะเป็นทุกข์ได้อย่างไรขณะที่เจ้าบ่าวอยู่กับเขา แต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้าบ่าวถูกพาตัวไปจากพวกเขา เขาจึงจะอดอาหาร 16 ไม่มีใครปะเศษผ้าใหม่ที่ยังไม่หดตัวลงบนเสื้อเก่า เพราะเศษผ้านั้นจะดึงเนื้อผ้าบนเสื้อเก่าออก จะยิ่งทำให้ขาดมากกว่าเดิม 17 ในทำนองเดียวกันคือไม่มีใครเทเหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า ถ้าทำเช่นนั้นถุงหนังจะขาด เหล้าองุ่นจะรั่วออกและถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาจะเทเหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังใหม่ และทั้งสองอย่างจะไม่เสียไป”

พระเยซูผู้รักษาโรคนานาชนิด และผู้พลิกฟื้นความตาย

18 ขณะที่พระองค์กำลังกล่าวสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขาฟังอยู่ ก็มีผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมคนหนึ่งมาคุกเข่าลงที่เบื้องหน้าพระองค์และพูดว่า “บุตรสาวของข้าพเจ้าเพิ่งตาย ขอให้ท่านโปรดวางมือบนตัวเธอ แล้วเธอจะได้มีชีวิตอยู่” 19 พระเยซูลุกขึ้นตามเขาไป บรรดาสาวกก็เช่นกัน 20 ขณะนั้น มีหญิงคนหนึ่งซึ่งทนทรมานจากโลหิตตกนานถึง 12 ปี เข้ามาใกล้ทางเบื้องหลังของพระองค์แล้วแตะที่ชายเสื้อตัวนอกของพระองค์ 21 เธอคิดในใจว่า “ถ้าเราเพียงได้แตะต้องเสื้อตัวนอกของพระองค์ เราก็จะหายจากโรค” 22 พระเยซูหันไปเห็นเธอ และกล่าวว่า “ลูกสาวเอ๋ย จงทำใจให้ดีไว้ ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหายจากโรคแล้ว” และหญิงนั้นก็หายจากโรคทันที 23 เมื่อพระเยซูเข้าไปในบ้านของผู้อยู่ในระดับปกครอง พระองค์ก็เห็นพวกคนเป่าขลุ่ยและผู้คนเอะอะชุลมุนกันอยู่ 24 พระองค์กล่าวว่า “จงออกไปเถิด เธอยังไม่ตาย เพียงแค่หลับไปเท่านั้น” พวกเขาก็หัวเราะเยาะพระองค์ 25 เมื่อฝูงชนถูกไล่ออกไปแล้ว พระองค์จึงเข้าไปจับมือเธอ เด็กคนนั้นก็ลุกขึ้น 26 เรื่องราวนี้เลื่องลือไปทั่วแคว้นนั้น

27 ขณะที่พระเยซูไปจากที่นั่น ชายตาบอด 2 คนตามพระองค์ไปพลางร้องขึ้นว่า “บุตรของดาวิด โปรดเมตตาพวกเราด้วย” 28 หลังจากที่พระองค์ได้เข้าไปในบ้านแล้ว ชายตาบอดก็เข้ามาหาพระองค์ แล้วพระเยซูกล่าวกับเขาทั้งสองว่า “เจ้าเชื่อหรือว่าเรารักษาเจ้าได้” เขาทั้งสองพูดว่า “พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าเชื่อ” 29 ดังนั้น พระองค์จึงแตะที่ตาของเขาทั้งสองพลางกล่าวว่า “จงเป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด” 30 ตาของเขาก็มองเห็น แล้วพระเยซูก็กำชับเขาทั้งสองว่า “จงระวัง อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้” 31 แต่แล้วเขาก็ป่าวประกาศเรื่องของพระองค์ไปทั่วเขตแดน

32 ขณะที่ชาย 2 คนจากไป มีคนพาชายใบ้ที่มีมารสิงอยู่มาหาพระองค์ 33 หลังจากที่พระองค์ขับมารออกแล้ว ชายใบ้จึงพูดได้ และฝูงชนประหลาดใจพากันพูดว่า “ไม่เคยมีปรากฏเช่นนี้มาก่อนเลยในอิสราเอล” 34 ฝ่ายพวกฟาริสีก็พูดกันว่า “คนนี้ขับพวกมารออกได้โดยใช้หัวหน้าของพวกมาร”

35 พระเยซูเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ตามหมู่บ้านทั่วไป สั่งสอนตามศาลาที่ประชุม ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิด 36 เมื่อพระองค์เห็นฝูงชนก็รู้สึกสงสาร เพราะพวกเขาถูกรังควานและเหยียบย่ำดั่งเช่นฝูงแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยงดู 37 พระองค์กล่าวกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีอยู่มากมายแต่คนงานมีจำนวนน้อย 38 ฉะนั้นจงขอให้พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นเจ้าของนาส่งพวกคนงานออกไปเก็บเกี่ยวในนาเถิด”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation