M’Cheyne Bible Reading Plan
โยชูวารับช่วงต่อจากโมเสส
31 ครั้นแล้วโมเสสก็ออกไปพูดกับชาวอิสราเอลทั้งปวงดังต่อไปนี้คือ 2 “บัดนี้เรามีอายุ 120 ปีแล้ว เราไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนอย่างคล่องแคล่วอีก พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้’[a] 3 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะนำท่านข้ามไปด้วยพระองค์เอง พระองค์จะกำจัดประชาชาติเหล่านี้ให้พ้นหน้าท่าน เพื่อท่านจะได้ขับไล่พวกเขาออกไป และโยชูวาจะนำท่านข้ามไป ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ 4 และพระผู้เป็นเจ้าจะกระทำต่อพวกเขาอย่างที่พระองค์กระทำต่อสิโหนและโอกกษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมร์ และต่อแผ่นดินของพวกเขาที่พระองค์กำจัดเสียสิ้น[b] 5 และพระผู้เป็นเจ้าจะมอบตัวพวกเขาให้แก่ท่าน และท่านจะกระทำต่อพวกเขาตามคำบัญญัติที่เราได้บัญชาพวกท่านแล้วทุกประการ 6 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรือหวาดหวั่นเพราะพวกเขา เพราะผู้ที่ไปกับท่านคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรือทอดทิ้งท่านไป”[c]
7 ครั้นแล้วโมเสสจึงเรียกตัวโยชูวามาและกล่าวกับท่านต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะท่านจะไปกับชนชาตินี้ เข้าไปในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณกับบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะมอบให้แก่พวกเขา และท่านจงให้เขาเข้าไปยึดครอง 8 ผู้ที่นำหน้าท่านไปคือพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะสถิตกับท่าน พระองค์จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรือทอดทิ้งท่านไป อย่ากลัวหรือหวั่นใจเลย”
อ่านกฎบัญญัติให้ฟังทุก 7 ปี
9 ดังนั้น โมเสสเขียนกฎบัญญัตินี้และมอบให้แก่บรรดาปุโรหิตซึ่งเป็นบุตรของชาวเลวีผู้เป็นฝ่ายหามหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า และแก่หัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงของอิสราเอล 10 และโมเสสบัญชาพวกเขาว่า “ทุกๆ ปลายปีที่เจ็ดตามกำหนดเวลาของปียกเลิกหนี้สิน ซึ่งอยู่ในระหว่างเทศกาลอยู่เพิง 11 เมื่อชาวอิสราเอลทั้งปวงมาอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านในสถานที่ซึ่งพระองค์จะเลือก ท่านจงอ่านกฎบัญญัตินี้ให้ชาวอิสราเอลทั้งปวงฟัง 12 ให้ประชาชนชายและหญิง เด็กๆ และคนต่างด้าวที่อยู่ในเมืองของท่านมา เพื่อให้พวกเขาได้ยินและรู้จักเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และจงปฏิบัติตามกฎบัญญัตินี้ทุกประการด้วยความระมัดระวัง 13 และบรรดาบุตรของพวกเขาที่ไม่รู้กฎบัญญัตินี้จะได้ยินและรู้จักเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ตราบเท่าที่ท่านมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครอง”
14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ดูเถิด ใกล้วันแล้วที่เจ้าจะต้องตาย จงเรียกโยชูวามา และเจ้าทั้งสองมาด้วยกันยังกระโจมที่นัดหมาย แล้วเราจะมอบหมายหน้าที่แก่เขา” ครั้นแล้วโมเสสและโยชูวาก็ไปยังกระโจมที่นัดหมายด้วยกัน 15 แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏที่กระโจมในลักษณะของเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลัก และเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลักหยุดอยู่ที่ทางเข้ากระโจม
16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ดูเถิด เจ้ากำลังจะสิ้นชีวิตไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า และชนชาตินี้จะปันใจไปเชื่อในบรรดาเทพเจ้าต่างชาติประหนึ่งหญิงแพศยาของแผ่นดินที่พวกเขากำลังจะเข้าไปอยู่ พวกเขาจะทอดทิ้งเราและไม่รักษาพันธสัญญาที่เราทำไว้กับพวกเขา 17 ความโกรธของเราจะพลุ่งขึ้นต่อพวกเขาในวันนั้น แล้วเราจะทอดทิ้งเขา และซ่อนหน้าจากเขา พวกเขาจะถูกทำลาย จะประสบกับความเลวร้ายและความทุกข์ยาก เขาจะพูดกันในวันนั้นว่า ‘พวกเราประสบสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ก็เพราะพระเจ้าของเราไม่อยู่กับพวกเรามิใช่หรือ’ 18 แล้วเราจะซ่อนหน้าในวันนั้น เพราะพวกเขากระทำสิ่งเลวร้ายทั้งปวง โดยหันเข้าหาบรรดาเทพเจ้า
19 บัดนี้ เจ้าจงเขียนบทเพลงนี้สำหรับพวกเขาและสอนชาวอิสราเอลให้ร้องจนขึ้นใจ เพลงนี้จะเป็นพยานกล่าวโทษชาวอิสราเอลให้เรา 20 เพราะเมื่อเรานำพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง ซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้ว่าจะให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็กินจนอิ่มหนำและอ้วนพี และจะหันเข้าหาบรรดาเทพเจ้า และบูชาสิ่งเหล่านั้น และหันหลังให้เราและไม่รักษาพันธสัญญาของเรา 21 เมื่อพวกเขาประสบกับความเลวร้ายและความทุกข์ยากมากมาย เพลงนี้ก็จะยืนยันต่อหน้าพวกเขาเหมือนเป็นพยาน เพราะบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเขาจะไม่ลืมเพลงที่ร้องจากปากตนเอง เพราะเรารู้จุดประสงค์ที่พวกเขามี ก่อนที่เราจะพาพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่เราได้ปฏิญาณไว้ว่าจะมอบให้” 22 ดังนั้น โมเสสจึงเขียนเพลงนี้ไว้ในวันเดียวกันนั้น และสอนให้แก่ชาวอิสราเอล
23 และพระองค์มอบหมายหน้าที่แก่โยชูวาบุตรของนูนโดยกล่าวว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะนำชาวอิสราเอลเข้าไปในแผ่นดินที่เราได้ปฏิญาณไว้ว่าจะให้แก่พวกเขา เราจะอยู่กับเจ้า”
24 เมื่อโมเสสเขียนคำกล่าวในกฎบัญญัตินี้ลงในหนังสือจบแล้ว 25 โมเสสบัญชาชาวเลวีผู้เป็นฝ่ายหามหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าว่า 26 “จงเอาหนังสือกฎบัญญัติฉบับนี้ไปวางไว้ที่ข้างหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เพื่อให้อยู่ที่นั่นเป็นพยานกล่าวโทษท่าน 27 เพราะเราทราบว่าพวกท่านชอบขัดขืนและดื้อรั้นเพียงไร ดูเถิด แม้ว่าขณะนี้เรายังมีชีวิตอยู่กับพวกท่าน พวกท่านก็ยังขัดขืนพระผู้เป็นเจ้า หลังจากเราตายไปแล้ว พวกท่านจะกระทำยิ่งกว่าเพียงไร 28 จงเรียกหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงและเจ้าหน้าที่ประจำเผ่าของท่านมาประชุมร่วมกับเรา เราจะได้พูดให้พวกเขาได้ยินด้วยหูของเขาเอง และจะให้ฟ้าดินเป็นพยานกล่าวโทษพวกเขา 29 เพราะเราทราบว่าหลังจากที่เราตายไปแล้ว พวกท่านจะประพฤติอย่างเสื่อมทรามอย่างที่สุด และหันไปจากวิถีทางที่เราได้บัญชาไว้ และจากนั้นสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับพวกท่าน เพราะท่านจะกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และยั่วโทสะพระองค์ด้วยสิ่งที่ท่านสร้างขึ้น”
บทเพลงของโมเสส
30 ครั้นแล้ว โมเสสก็กล่าวคำในบทเพลงนี้จนจบ ให้ทุกคนในที่ประชุมของอิสราเอลได้ยินดังนี้ว่า
מ เมม
97 ข้าพเจ้ารักกฎบัญญัติของพระองค์ยิ่งนัก
และเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าใคร่ครวญถึงตลอดวันเวลา
98 พระบัญญัติของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ามีสติปัญญาเกินกว่าพวกศัตรูของข้าพเจ้า
เพราะพระบัญญัตินั้นอยู่กับข้าพเจ้าเป็นนิตย์
99 ข้าพเจ้ามีความเข้าใจมากกว่าครูทุกคนของข้าพเจ้า
เพราะข้าพเจ้าใคร่ครวญถึงคำสั่งของพระองค์
100 ข้าพเจ้าหยั่งรู้มากกว่าบรรดาผู้สูงอายุ
เพราะข้าพเจ้าปฏิบัติตามข้อบังคับของพระองค์
101 ข้าพเจ้ายั้งเท้าไม่ให้ย่างไปในวิถีทางอันชั่วร้ายทั้งปวง
เพื่อปฏิบัติตามคำกล่าวของพระองค์
102 ข้าพเจ้าไม่ละเลยต่อคำสั่งของพระองค์
เพราะพระองค์เป็นผู้สอนข้าพเจ้า
103 ถ้อยคำของพระองค์หวานชื่นใจ
ยิ่งกว่ารสน้ำผึ้งในปากข้าพเจ้า
104 ข้าพเจ้าหยั่งรู้ได้โดยข้อบังคับของพระองค์
ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเกลียดชังวิถีทางอันลวงหลอกทั้งปวง
נ นูน
105 คำกล่าวของพระองค์เป็นเสมือนตะเกียงสำหรับเท้าของข้าพเจ้า
และเป็นแสงส่องทางของข้าพเจ้า
106 ข้าพเจ้าได้ให้คำสาบานและยืนยันแล้วว่า
จะรักษาคำสั่งอันชอบธรรมของพระองค์
107 ข้าพเจ้าทุกข์ยากแสนสาหัส
โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้ามีชีวิตตามคำกล่าวของพระองค์เถิด
108 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดรับเครื่องสักการะแห่งการสรรเสริญจากปากของข้าพเจ้า
และสอนคำสั่งของพระองค์แก่ข้าพเจ้า
109 ข้าพเจ้าบงการชีวิตของข้าพเจ้าเองเสมอ
แต่ข้าพเจ้าไม่ลืมกฎบัญญัติของพระองค์
110 พวกคนชั่ววางกับดักไว้ลวงข้าพเจ้า
แต่ข้าพเจ้าไม่ได้หลงผิดไปจากข้อบังคับของพระองค์
111 คำสั่งของพระองค์เป็นสมบัติอันล้ำค่าสำหรับข้าพเจ้าเป็นนิตย์
อันเป็นความยินดีในใจของข้าพเจ้า
112 ข้าพเจ้าตั้งใจจะกระทำตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ไปตลอดกาล
จนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย
ס ซาเมค
113 ข้าพเจ้าเกลียดพวกคนสองจิตสองใจ
แต่ข้าพเจ้ารักกฎบัญญัติของพระองค์
114 พระองค์เป็นที่หลบภัยและโล่ป้องกันของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ามีความหวังในคำกล่าวของพระองค์
115 เจ้าพวกทำความชั่ว เจ้าจงไปให้พ้น
เราตั้งใจทำตามพระบัญญัติของพระเจ้าของเรา
116 โปรดพยุงข้าพเจ้าไว้ตามคำสัญญาของพระองค์ เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีชีวิต
และไม่ผิดไปจากสิ่งที่ข้าพเจ้าหวังไว้
117 โปรดประคองข้าพเจ้าให้ปลอดภัย
ข้าพเจ้าจะใส่ใจในกฎเกณฑ์ของพระองค์เสมอไป
118 พระองค์ปฏิเสธทุกคนที่ละเลยและห่างหายไปจากกฎเกณฑ์ของพระองค์
ฉะนั้นการหลอกลวงของพวกเขาจึงไร้ประโยชน์
119 พระองค์กำจัดคนชั่วทั้งปวงในแผ่นดินโลกออกไป เหมือนกำจัดขี้แร่
ฉะนั้น ข้าพเจ้ารักคำสั่งของพระองค์
120 เนื้อตัวข้าพเจ้าสั่นเทาเพราะหวั่นกลัวในพระองค์
และข้าพเจ้าเกรงกลัวการตัดสินของพระองค์
การอดอาหารที่แท้จริงและปลอม
58 “จงส่งเสียงร้องดัง ไม่ต้องยับยั้งไว้
ส่งเสียงร้องของเจ้าเหมือนเสียงแตร
จงประกาศแก่ชนชาติของเราถึงการล่วงละเมิดของเขา
แก่พงศ์พันธุ์ยาโคบถึงบาปของพวกเขา
2 พวกเขาแสวงหาเราวันแล้ววันเล่า
และยินดีที่จะรู้วิถีทางของเรา
เหมือนกับว่า พวกเขาเป็นประชาชาติที่กระทำสิ่งอันเป็นความชอบธรรม
และไม่ได้ทอดทิ้งคำบัญชาของพระเจ้าของเขา
พวกเขาถามเราถึงการตัดสินอันชอบธรรม
พวกเขายินดีเดินเข้าใกล้พระเจ้า
3 พวกเขาพูดว่า ‘พวกเราอดอาหารไปทำไม
ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่เห็น
พวกเราเจียมตัวไปทำไม
ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่รับทราบ’
ดูเถิด ในวันที่เจ้าอดอาหาร เจ้าก็ทำไปเพียงเพื่อตนเอง
แล้วก็บีบบังคับลูกจ้างของเจ้าทุกคน
4 ดูเถิด เจ้าอดอาหารก็เพื่อจะก่อการวิวาทและต่อสู้เท่านั้น
และเพื่อชกด้วยหมัดที่มุ่งร้าย
การอดอาหารอย่างที่พวกเจ้ากระทำในวันนี้
จะไม่ทำให้เสียงของเจ้าเป็นที่ได้ยินในเบื้องสูงหรอก
5 การอดอาหารแบบนี้น่ะหรือที่เราเลือก
เป็นวันที่ให้คนถ่อมตนหรือ
ให้เขาก้มศีรษะลงอย่างไม้อ้อ
และนอนบนผ้ากระสอบและขี้เถ้าหรือ
เจ้าจะเรียกว่านั่นเป็นการอดอาหาร
และเป็นวันที่พระผู้เป็นเจ้ายอมรับได้หรือ
6 การอดอาหารแบบที่เราเลือกมิใช่อย่างนี้หรือ
คือแก้สิ่งผูกมัดของความชั่ว
แก้สายรัดของแอก
ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ
และปลดแอกทั้งหมดออก
7 เพื่อแบ่งปันอาหารของเจ้าให้กับผู้ที่หิว
และนำผู้ยากไร้ที่ไม่มีบ้านอยู่เข้าไปในบ้านของเจ้า
เมื่อเจ้าเห็นผู้ที่ไร้เครื่องนุ่งห่ม ก็จัดหาให้เขา
และไม่ซ่อนตัวเจ้าจากเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้า มิใช่หรือ
8 แล้วแสงสว่างของเจ้าก็จะสาดส่องดั่งอรุณรุ่ง
และการเจ็บไข้ของเจ้าจะหายขาดอย่างรวดเร็ว
ความชอบธรรมของเจ้าจะนำหน้าเจ้าไป
บารมีของพระผู้เป็นเจ้าจะคุ้มกันที่ข้างหลังเจ้า
9 เวลาที่เจ้าร้องเรียก พระผู้เป็นเจ้าก็จะตอบ
เจ้าจะร้องให้ช่วย พระองค์ก็จะกล่าวว่า ‘เราอยู่นี่’
ถ้าเจ้าเอาแอกนั้นออกไปจากท่ามกลางพวกเจ้า
และเลิกจากการตำหนิติเตียนผู้อื่น หรือการพูดว่าร้าย
10 ถ้าเจ้าช่วยเหลือผู้หิวกระหาย
และให้ผู้มีความลำบากได้รับจนพอใจ
แล้วแสงสว่างของเจ้าก็จะส่องในความมืด
และความมืดมนของเจ้าก็จะสว่างดั่งเที่ยงวัน
11 และพระผู้เป็นเจ้าจะนำทางเจ้าเสมอไป
และให้เจ้าได้รับจนพอใจในยามลำเค็ญ
และทำให้กระดูกของเจ้าแข็งแรง
และเจ้าจะเป็นอย่างสวนที่ได้น้ำรด
เป็นอย่างน้ำพุ
ที่ไม่มีวันแห้งเหือด
12 และสิ่งปรักหักพังโบราณของเจ้าจะได้รับการสร้างขึ้นใหม่
เจ้าจะสร้างฐานรากให้กับหลายชั่วอายุคน
เจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ซ่อมกำแพง
ผู้สร้างถนนขึ้นใหม่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยได้
13 ถ้าเจ้าหยุดละเมิดวันสะบาโต
หยุดจากการหาความสำราญในวันบริสุทธิ์ของเรา
และเรียกว่า วันสะบาโตเป็นวันที่น่ายินดี
และให้เกียรติวันบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า
ถ้าเจ้าให้เกียรติวันนั้น คือเจ้าไม่ทำตามวิถีทางของเจ้า
หรือแสวงหาความสำราญของเจ้า หรือพูดพร่ำ
14 แล้วเจ้าจะยินดีในพระผู้เป็นเจ้า
และเราจะให้เจ้าขึ้นสู่ความสูงของแผ่นดินโลก
เราจะให้เจ้ารับมรดกของยาโคบบิดาของเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวด้วยปากของพระองค์”
การให้ทานสงเคราะห์
6 จงระวัง อย่าทำดีต่อหน้าผู้คนเพื่อหวังให้เขาเห็นว่าท่านมีความชอบธรรม เพราะถ้าทำอย่างนั้น ท่านจะไม่ได้รับรางวัลจากพระบิดาของท่านผู้อยู่ในสวรรค์
2 ฉะนั้น เมื่อท่านให้ทานสงเคราะห์ ก็อย่าเป่าแตรนำหน้าไปอย่างเช่นพวกหน้าไหว้หลังหลอกกระทำกันในศาลาที่ประชุมและตามถนนเพื่อรับการเยินยอจากคน เราขอบอกความจริงกับท่านว่า พวกเขาได้รับรางวัลเต็มที่แล้ว 3 เมื่อท่านให้ทานสงเคราะห์ ก็อย่าให้มือซ้ายรู้ว่ามือขวาทำอะไร 4 เพื่อว่าทานสงเคราะห์จะได้เป็นทานลับ และพระบิดาผู้เห็นสิ่งที่ท่านทำเป็นการลับก็จะให้รางวัลแก่ท่าน
การอธิษฐาน
5 เวลาที่ท่านอธิษฐาน ก็อย่าเป็นเช่นพวกหน้าไหว้หลังหลอก เพราะเขาเหล่านั้นชอบยืนอธิษฐานในศาลาที่ประชุมและตามมุมถนนเพื่อให้ผู้คนเห็น เราขอบอกความจริงกับท่านว่า พวกเขาได้รับรางวัลเต็มที่แล้ว 6 แต่ท่านเอง เวลาอธิษฐานก็จงอยู่ในห้องชั้นใน ปิดประตูแล้วอธิษฐานต่อพระบิดาของท่าน ซึ่งเรามองไม่เห็น แล้วพระบิดาผู้เห็นสิ่งที่ท่านทำเป็นการลับจะให้รางวัลแก่ท่าน
7 เวลาที่ท่านอธิษฐาน ก็อย่าใช้คำพูดยืดยาวที่ไม่มีความหมายดังเช่นบรรดาคนนอกกระทำกัน เพราะเขาเหล่านั้นคิดว่าคำอธิษฐานอันยืดยาวจะเป็นที่ได้ยิน 8 ฉะนั้นอย่าเป็นเช่นพวกเขา เพราะพระบิดาทราบว่าท่านมีความจำเป็นในสิ่งใด ก่อนที่ท่านจะขอจากพระองค์
9 ฉะนั้น จงอธิษฐานดังนี้
‘ข้าแต่พระบิดาของเราในสวรรค์
ขอพระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
10 ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาสถิตเถิด
ขอให้ความประสงค์ของพระองค์
ลุล่วงบนแผ่นดินโลกดังที่เป็นไปในสวรรค์
11 ขอพระองค์ให้อาหารประจำวันแก่พวกเราในวันนี้
12 ขอพระองค์ยกโทษการกระทำผิดทั้งปวงให้แก่พวกเรา
ด้วยว่าพวกเรายกโทษให้แก่ทุกคนที่กระทำผิดต่อเรา
13 ขอพระองค์นำเราไปให้พ้นจากสิ่งยั่วยุ
และช่วยพวกเราให้พ้นจากมารร้าย’[a]
14 ถ้าหากว่าพวกท่านยกโทษบาปให้แก่มนุษย์แล้ว พระบิดาในสวรรค์ของท่านก็จะยกโทษบาปให้แก่พวกท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยกโทษบาปให้แก่มนุษย์ พระบิดาก็จะไม่ยกโทษบาปของท่านเช่นกัน
การอดอาหาร
16 เวลาที่ท่านอดอาหาร ก็อย่าทำหน้าเศร้าหมองดังเช่นที่พวกหน้าไหว้หลังหลอกกระทำกัน เพราะว่าเขาเหล่านั้นแสร้งทำสีหน้าให้คนเห็นว่ากำลังอดอาหารอยู่ เราขอบอกความจริงกับท่านว่า พวกเขาได้รับรางวัลเต็มที่แล้ว 17 แต่ท่านเอง เวลาที่อดอาหารก็จงใส่น้ำมันบนศีรษะของท่าน และล้างหน้าเสีย 18 เพื่อว่าคนจะได้ไม่เห็นว่าท่านกำลังอดอาหารอยู่ แต่เป็นเพียงพระบิดาของท่าน ซึ่งเรามองไม่เห็น แล้วพระบิดาผู้เห็นสิ่งที่ท่านทำเป็นการลับจะให้รางวัลแก่ท่าน
การสะสมทรัพย์สมบัติ
19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้เพื่อตนเองในโลก อันเป็นที่ที่มีแมลงกัด สนิมกิน และโจรบุกชิงเอาไปได้ 20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์ซึ่งแมลงและสนิมกัดกินไม่ได้ และโจรบุกชิงเอาไปไม่ได้ 21 เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย
22 ดวงตาเป็นเสมือนตะเกียงของร่างกาย ฉะนั้นถ้าดวงตาของท่านดี ทั่วทั้งร่างกายของท่านจะเต็มด้วยความสว่าง 23 แต่ถ้าดวงตาของท่านไม่ดี ทั่วทั้งร่างกายของท่านจะมีแต่ความมืด ฉะนั้นถ้าความสว่างในตัวท่านคือความมืดแล้ว มันจะมืดมากเพียงไร
24 ไม่มีผู้รับใช้คนใดจะรับใช้นาย 2 คนได้ เขาจะเกลียดคนหนึ่งและรักอีกคนหนึ่ง หรือไม่ก็จะทุ่มเทให้คนหนึ่งและดูหมิ่นอีกคนหนึ่ง ท่านจะรับใช้ทั้งพระเจ้าและเงินทองด้วยกันไม่ได้
ความกังวล
25 ด้วยเหตุนี้ เราขอบอกท่านว่า อย่ากังวลกับชีวิตว่าจะกินหรือดื่มอะไร หรือกับร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร ชีวิตไม่มีค่ายิ่งกว่าอาหาร และร่างกายไม่มีค่ายิ่งกว่าเสื้อผ้าหรือ 26 จงดูนกในอากาศเถิด มันไม่หว่านไม่เก็บเกี่ยว มันไม่มีห้องหรือยุ้งฉางเก็บ พระบิดาของท่านในสวรรค์ก็ยังเลี้ยงมัน ท่านไม่มีคุณค่ายิ่งกว่านกหรือ 27 มีใครในพวกท่านบ้างที่สามารถยืดชีวิตให้ยาวได้ด้วยความวิตกกังวล 28 แล้วทำไมท่านจึงวิตกกังวลเรื่องเสื้อผ้า จงพิจารณาดูว่าดอกไม้ป่าในทุ่งเติบโตขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่ทำงานหรือปั่นด้าย 29 แต่เราขอบอกท่านว่า แม้แต่กษัตริย์ซาโลมอนผู้พร้อมด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ยังทรงเครื่องไม่งามเท่าดอกไม้ดอกหนึ่ง 30 แต่ถ้าพระเจ้าตกแต่งทุ่งหญ้าซึ่งยังอยู่ในวันนี้ และพรุ่งนี้ถูกโยนลงในเตาไฟ แล้วพระองค์จะไม่ตกแต่งท่านให้มากกว่านั้นอีกหรือ ท่านนี่ช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง 31 ดังนั้นอย่าวิตกกังวลเลยว่า ‘พวกเราจะกินหรือดื่มอะไร’ หรือว่า ‘พวกเราจะสวมใส่อะไร’ 32 เพราะบรรดาคนนอกเสาะหาสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ พระบิดาของท่านในสวรรค์ทราบว่าท่านมีความจำเป็นในสิ่งเหล่านี้ 33 แต่จงแสวงหาอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน แล้วพระองค์จะเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ให้แก่ท่านเอง
34 ฉะนั้นอย่าวิตกกังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้มีเรื่องวิตกกังวลสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation