Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ผู้วินิจฉัย 14

การแต่งงานของแซมสัน

14 แซมสันลงไปยังเมืองทิมนาห์ และเห็นสาวชาวฟีลิสเตียคนหนึ่ง เมื่อเขากลับมาจึงบอกกับบิดามารดาว่า “ข้าพเจ้าเห็นสาวชาวฟีลิสเตียคนหนึ่งในทิมนาห์ ช่วยไปขอนางมาเป็นภรรยาของข้าพเจ้าด้วย”

บิดามารดาทักท้วงว่า “ไม่มีผู้หญิงในหมู่ญาติพี่น้องหรือคนชาติเดียวกับเราถูกใจเจ้าสักคนเลยหรือ? เจ้าจึงต้องไปหาภรรยาจากพวกชาวฟีลิสเตียซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต”

แต่แซมสันพูดกับบิดาว่า “นางเป็นคนที่เหมาะกับข้าพเจ้า ช่วยไปขอนางมาให้ข้าพเจ้าเถิด” (บิดามารดาของแซมสันไม่รู้ว่าการนี้มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงหาโอกาสที่จะเผชิญหน้ากับชาวฟีลิสเตียซึ่งขณะนั้นปกครองอิสราเอลอยู่) แซมสันกับบิดามารดาลงไปที่ทิมนาห์ ขณะที่พวกเขามาถึงสวนองุ่นแห่งทิมนาห์ ทันใดนั้นมีสิงโตหนุ่มคำรามกระโจนเข้าใส่แซมสัน พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาสถิตกับแซมสัน และประทานกำลังมหาศาลแก่เขา จนเขาสามารถฉีกสิงโตออกจากกันด้วยมือเปล่าราวกับจับลูกแพะฉีกเป็นสองซีก แต่แซมสันไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้บิดามารดาทราบ เมื่อมาถึงทิมนาห์ เขาได้พูดคุยกับสาวคนนั้นและเขาชอบนาง

ต่อมาเมื่อแซมสันกลับไปอีกเพื่อแต่งงานกับนาง เขาแวะไปดูซากสิงโต ก็พบรวงผึ้งอยู่ในซากนั้นและมีน้ำผึ้งอยู่ด้วย เขาจึงนำน้ำผึ้งติดตัวไปด้วย เดินไปกินไป เมื่อเขาไปพบบิดามารดา เขาก็เอาน้ำผึ้งให้บิดามารดากินด้วย แต่ไม่ได้บอกว่าน้ำผึ้งนั้นมาจากซากสิงโต

10 ขณะที่บิดาไปดูตัวผู้หญิงคนนั้น แซมสันจัดงานเลี้ยงขึ้นที่นั่นตามธรรมเนียมเจ้าบ่าว 11 เมื่อผู้คนเห็นเขา พวกเขาก็เลือกชายหนุ่มสามสิบคนให้มาเป็นเพื่อนแซมสัน

12 แซมสันกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “ขอให้เราทายปริศนาพวกเจ้าสักข้อหนึ่งเถิด ถ้าพวกเจ้าตอบได้ภายในงานเลี้ยงเจ็ดวันนี้ เราก็จะให้เสื้อผ้าลินินพร้อมเครื่องนุ่งห่มสามสิบชุด 13 แต่ถ้าตอบไม่ได้ พวกเจ้าก็ต้องเป็นฝ่ายยกเสื้อผ้าลินินพร้อมเครื่องนุ่งห่มสามสิบชุดให้เรา”

พวกเขาจึงว่า “เอาเลย ทายมาสิ”

14 แซมสันจึงกล่าวว่า

“อาหารออกมาจากผู้กิน
ความหวานออกมาจากผู้มีกำลัง”

ตลอดสามวันคนเหล่านั้นก็ยังแก้ปริศนาไม่ได้

15 ในวันที่สี่[a]พวกเขาจึงมาคาดคั้นภรรยาของแซมสันว่า “ไปตะล่อมเอาคำตอบจากสามีของเจ้ามาซิ ไม่อย่างนั้นเราจะเผาบ้านพ่อของเจ้าพร้อมกับตัวเจ้า มีอย่างหรือเชิญเรามาร่วมงานเลี้ยงนี้เพื่อจะให้เราหมดตัว?”

16 ภรรยาของแซมสันจึงร้องไห้ฟูมฟายมาหาแซมสันและกล่าวว่า “ท่านเกลียดฉัน! ท่านไม่ได้รักฉันจริงถึงได้ตั้งปริศนาทายคนของฉัน แล้วไม่บอกคำตอบแก่ฉัน”

แซมสันตอบว่า “ขนาดพ่อกับแม่ของข้า ข้ายังไม่บอกเลย เรื่องอะไรข้าต้องบอกเจ้า” 17 นางร้องไห้เซ้าซี้กับแซมสันทุกวันตลอดงานเลี้ยงทั้งเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดแซมสันก็บอกคำตอบแก่นาง เพราะนางเอาแต่เซ้าซี้เขา นางจึงนำคำตอบไปบอกคนของนาง

18 ในวันที่เจ็ดก่อนดวงอาทิตย์ตกคนเหล่านั้นก็ทายปริศนาว่า

“อะไรเล่าจะหวานกว่าน้ำผึ้ง?
และอะไรเล่ามีกำลังมากกว่าสิงโต?”

แซมสันกล่าวกับเขาว่า

“ถ้าไม่ได้เอาแม่วัวของข้าไถ
พวกเจ้าก็ไม่มีวันทายปริศนาได้หรอก”

19 แล้วพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาสถิตกับแซมสันและประทานกำลังมหาศาลให้เขา เขาไปยังเมืองอัชเคโลน ฆ่าชายสามสิบคน ยึดเอาทรัพย์สินและเครื่องนุ่งห่มของคนเหล่านั้นมามอบให้ชายหนุ่มทั้งปวงที่ทายปริศนาของตน แต่แซมสันโกรธมากจึงกลับไปยังบ้านของบิดา 20 ส่วนภรรยาของแซมสันนั้น พ่อตาก็ยกให้เพื่อนซึ่งมาร่วมงานแต่งงานของเขา

กิจการของอัครทูต 18

ในโครินธ์

18 หลังจากนั้นเปาโลออกจากกรุงเอเธนส์ ไปยังเมืองโครินธ์ ที่นั่น เขาพบชาวยิวคนหนึ่งชื่ออาควิลลาชาวแคว้นปอนทัส เพิ่งมา จากอิตาลีพร้อมกับภรรยาชื่อปริสสิลลา เนื่องจากจักรพรรดิคลาวดิอัสออกคำสั่งให้ชาวยิวทั้งปวงออกจากกรุงโรม เปาโลไปพบคนทั้งสอง และเนื่องจากเปาโลเป็นช่างทำเต็นท์เช่นเดียวกับพวกเขา จึงได้พักอาศัยและทำงานอยู่กับพวกเขา ทุกวันสะบาโต เปาโลยกเหตุผลมาอภิปรายในธรรมศาลาเพื่อชักชวนทั้งชาวยิวและชาวกรีก

เมื่อสิลาสกับทิโมธีมาจากแคว้นมาซิโดเนียเปาโลก็อุทิศตัวทั้งหมดให้กับการเทศนาเป็นพยานแก่ชาวยิวว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์[a] แต่เมื่อพวกยิวต่อต้านและทำต่อเปาโลอย่างหยาบช้า เขาก็สะบัดเสื้อผ้าแสดงการประท้วงและกล่าวว่า “ให้พวกท่านรับผิดชอบการตัดสินใจของท่านเองเถิด![b] ข้าพเจ้าพ้นความรับผิดชอบแล้วตั้งแต่นี้ต่อไปข้าพเจ้าจะไปหาคนต่างชาติ”

แล้วเปาโลก็ออกจากธรรมศาลาไปยังบ้านของทิทีอัสยุสทัสซึ่งอยู่ถัดไป เขาเป็นคนหนึ่งที่นมัสการพระเจ้า ฝ่าย คริสปัสนายธรรมศาลากับทั้งครัวเรือนได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและชาวโครินธ์หลายคนที่ได้ฟังเขาก็เชื่อและรับบัพติศมา

คืนหนึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเปาโลในนิมิตว่า “อย่ากลัวเลย จงประกาศต่อไป อย่าเงียบเลย 10 เพราะเราอยู่กับเจ้า และไม่มีใครจะเล่นงานและทำร้ายเจ้าได้เพราะคนของเราในเมืองนี้มีมาก”

11 ดังนั้นเปาโลจึงอยู่สั่งสอนพระวจนะของพระเจ้าที่นั่นตลอดปีครึ่ง

12 ขณะที่กัลลิโอเป็นผู้ตรวจการแคว้นอาคายา พวกยิวรวมตัวกันโจมตีเปาโลและนำเขาขึ้นศาล 13 พวกเขาฟ้องร้องว่า “ชายผู้นี้ชักจูงให้ผู้คนนมัสการพระเจ้าในทางที่ขัดต่อกฎหมาย”

14 พอเปาโลจะเอ่ยปากกัลลิโอก็กล่าวกับพวกยิวว่า “หากท่านชาวยิวจะร้องทุกข์คดีอาญาไม่ว่าสถานหนักหรือสถานเบาก็สมควรที่เราจะรับฟังพวกท่าน 15 แต่นี่เป็นปัญหาเรื่องถ้อยคำ เรื่องชื่อ และบทบัญญัติของพวกท่านเอง ไปตกลงกันเองเถิด เราจะไม่ตัดสินในเรื่องเหล่านี้” 16 ว่าแล้วก็ให้พวกเขาออกไปจากศาล 17 เขาทั้งหลายจึงจับโสสเธเนสนายธรรมศาลาไปโบยตีหน้าศาลแต่กัลลิโอก็ไม่สนใจ

ปริสสิลลา อาควิลลา และอปอลโล

18 เปาโลพักอยู่ในเมืองโครินธ์ชั่วระยะหนึ่งแล้วก็จากพวกพี่น้องลงเรือไปแคว้นซีเรียโดยมีปริสสิลลากับอาควิลลาไปด้วย ก่อนที่จะลงเรือเขากล้อนผมที่เมืองเคนเครียเพราะได้สาบานตนไว้ 19 เมื่อมาถึงเมืองเอเฟซัสเปาโลก็ละปริสสิลลากับอาควิลลา ส่วนเขาเองเข้าไปในธรรมศาลาและยกเหตุผลมาอภิปรายกับพวกยิว 20 เมื่อพวกนั้นขอให้เขาอยู่ต่อไปอีกเขาก็ปฏิเสธ 21 แต่ตอนจากกันเปาโลสัญญาว่า “หากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะกลับมาอีก” แล้วเขาก็ลงเรือไปจากเมืองเอเฟซัส 22 เมื่อขึ้นฝั่งที่เมืองซีซารียา เขาขึ้นไปทักทายคริสตจักรจากนั้นลงไปที่เมืองอันทิโอก

23 หลังจากอยู่ที่เมืองอันทิโอกชั่วระยะหนึ่งเปาโลเดินทางจากที่นั่นไปยังที่ต่างๆ ทั่วแคว้นกาลาเทียและฟรีเจียเพื่อเสริมสร้างสาวกทั้งปวงให้เข้มแข็งขึ้น

24 ขณะเดียวกันมีชาวยิวคนหนึ่งชื่ออปอลโลพื้นเพเป็นชาวอเล็กซานเดรียมาที่เมืองเอเฟซัส เขาเป็นผู้คงแก่เรียนและรู้พระคัมภีร์อย่างดี 25 เขาได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาพูดด้วยใจร้อนรน[c]และสอนเรื่องพระเยซูอย่างถูกต้อง แม้ว่าเขาจะรู้จักแต่เพียงบัพติศมาของยอห์น 26 เขาพูดในธรรมศาลาด้วยใจกล้า เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาได้ฟังเขาแล้วก็เชิญมาที่บ้านและอธิบายเรื่องทางของพระเจ้าให้เขาเข้าใจมากยิ่งขึ้น

27 เมื่ออปอลโลอยากจะไปแคว้นอาคายาพวกพี่น้องก็ให้กำลังใจเขาและเขียนจดหมายถึงสาวกที่นั่นให้ต้อนรับเขา เมื่อเขาไปถึงก็ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างมากมายแก่บรรดาผู้ที่ได้มาเชื่อโดยพระคุณของพระเจ้า 28 เพราะเขาโต้แย้งอย่างแข็งขันกับพวกยิวต่อหน้าสาธารณชนโดยยกข้อพระคัมภีร์มาพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์

เยเรมีย์ 27

ยูดาห์จะปรนนิบัติเนบูคัดเนสซาร์

27 ในต้นรัชกาลเศเดคียาห์[a]โอรสกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์ มีพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ความว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงทำแอกจากไม้พร้อมสายรัดแล้วคล้องคอเจ้าไว้ และฝากข้อความไปถึงกษัตริย์เอโดม โมอับ อัมโมน ไทระ และไซดอนผ่านทางบรรดาทูตซึ่งมาเฝ้ากษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ที่เยรูซาเล็ม ให้ไปทูลเจ้านายของตนว่า ‘พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า “จงไปบอกนายของเจ้าว่า เราได้สร้างโลก มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ในโลกนี้ โดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่และมือที่เงื้ออยู่ และเรายกสิ่งเหล่านี้แก่ใครก็ได้ที่เราพอใจ บัดนี้เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้าให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนผู้รับใช้ของเรา แม้แต่สัตว์ป่าเราก็จะทำให้ยอมสยบต่อเขา ประชาชาติทั้งปวงจะรับใช้เขาและลูกหลานของเขาจนกว่าจะหมดเวลาของเขา จากนั้นประชาชาติต่างๆ และเหล่ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จะพิชิตบาบิโลน

“ ‘ “แต่หากชนชาติใดหรืออาณาจักรใดไม่ยอมปรนนิบัติรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน หรือไม่ยอมอยู่ใต้แอกของเขา เราจะลงโทษชนชาตินั้นด้วยสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาด จนกว่าเราจะทำลายชาตินั้นให้สิ้นไปด้วยมือเนบูคัดเนสซาร์ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังผู้พยากรณ์ หมอดู ผู้ทำนายฝัน คนทรง และหมอผีของพวกเจ้า ผู้ที่บอกว่า ‘เจ้าจะไม่ต้องเป็นข้ารับใช้กษัตริย์บาบิโลน’ 10 พวกเขาพยากรณ์เท็จให้เจ้าฟัง ซึ่งมีแต่จะทำให้เจ้าพลัดพรากจากดินแดนของเจ้า เราจะเนรเทศเจ้าไปและเจ้าจะพินาศ 11 แต่ถ้าชาติใดยอมค้อมคออยู่ใต้แอกของกษัตริย์บาบิโลนและปรนนิบัติรับใช้เขา เราจะอนุญาตให้ชาตินั้นคงอยู่ในดินแดนของตน ทำไร่ไถนาอาศัยอยู่ต่อไป องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น” ’ ”

12 ข้าพเจ้าได้แจ้งข้อความเดียวกันแก่กษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์คือ “จงค้อมคออยู่ใต้แอกของกษัตริย์บาบิโลน ปรนนิบัติรับใช้เขากับราษฎรของเขา แล้วท่านจะมีชีวิตรอด 13 ทำไมท่านกับเหล่าประชากรจะต้องตายเพราะสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาด ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ว่าจะตกอยู่แก่ชนชาติใดก็ตามที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์บาบิโลนเล่า? 14 อย่าไปฟังบรรดาผู้พยากรณ์ที่บอกกับท่านว่า ‘พวกเจ้าจะไม่ต้องรับใช้กษัตริย์บาบิโลน’ เพราะพวกเขาพยากรณ์เท็จให้เจ้าฟัง 15 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘เราไม่ได้ส่งพวกเขามา เขาพยากรณ์เท็จให้เจ้าฟังโดยอ้างนามของเรา ฉะนั้นเราจะเนรเทศเจ้าไปและเจ้าจะพินาศ ทั้งเจ้าและบรรดาผู้เผยพระวจนะซึ่งพยากรณ์ให้เจ้าฟัง’ ”

16 แล้วข้าพเจ้ากล่าวแก่บรรดาปุโรหิตและประชากรทั้งปวงว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า อย่าไปฟังถ้อยคำต่างๆ ที่ผู้พยากรณ์กล่าวว่า ‘ในไม่ช้าภาชนะซึ่งถูกริบจากพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้คืนมาจากบาบิโลน’ พวกเขากำลังพยากรณ์เท็จให้เจ้าฟัง 17 อย่าไปฟังเลย จงยอมรับใช้กษัตริย์บาบิโลน แล้วพวกท่านจะรักษาชีวิตไว้ได้ จะยอมให้เมืองนี้เป็นซากปรักหักพังไปทำไม? 18 หากคนเหล่านั้นเป็นผู้เผยพระวจนะและมีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้พวกเขาอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ ไม่ให้ภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ ที่เหลืออยู่ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในวังของกษัตริย์ยูดาห์ และในเยรูซาเล็มต้องถูกริบไปบาบิโลน 19 เพราะพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสเกี่ยวกับเสาหาน ขันสาคร แท่นเคลื่อนที่ และเครื่องตกแต่งอื่นๆ ที่ยังเหลืออยู่ในเมืองนี้ 20 ซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนไม่ได้ริบไป เมื่อครั้งที่เยโฮยาคีน[b]โอรสกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบิโลนพร้อมกับบรรดาเจ้าขุนมูลนายของยูดาห์และเยรูซาเล็มนั้น 21 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เหลืออยู่ในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าในราชวังกษัตริย์ยูดาห์และในเยรูซาเล็มไว้ดังนี้ 22 ‘สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะถูกริบไปไว้ที่บาบิโลนจนกว่าจะถึงวันที่เรามาเยือน แล้วเราจึงจะนำมันกลับมายังที่เดิม’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น”

มาระโก 13

หมายสำคัญแห่งวาระสิ้นยุค(A)

13 ขณะพระเยซูเสด็จออกจากพระวิหาร สาวกคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ดูสิ พระอาจารย์! หินก้อนมหึมาทั้งนั้น! ช่างเป็นอาคารที่งามตระการตายิ่งนัก!”

พระเยซูตรัสตอบว่า “พวกท่านเห็นอาคารใหญ่โตมโหฬารเหล่านี้ใช่ไหม? ศิลาที่นี่จะไม่เหลือซ้อนทับกันสักก้อนเดียว ทุกก้อนจะถูกโยนทิ้งลงมาหมด”

ขณะพระเยซูประทับอยู่บนภูเขามะกอกเทศตรงข้ามกับพระวิหาร เปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูว์มาทูลถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ขอทรงบอกพวกข้าพระองค์เถิด สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด? และอะไรเป็นหมายสำคัญว่าสิ่งทั้งปวงนั้นกำลังจะสำเร็จ?”

พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงระวัง อย่าให้ใครมาล่อลวงท่าน หลายคนจะมาในนามของเราและอ้างตัวว่า ‘เราคือผู้นั้น’ แล้วล่อลวงคนเป็นอันมาก เมื่อท่านได้ยินข่าวสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม อย่าตื่นตกใจ เพราะสิ่งเหล่านั้นต้องเกิดขึ้นแต่ยังไม่ถึงจุดจบ ประชาชาติต่อประชาชาติและอาณาจักรต่ออาณาจักรจะสู้รบกัน จะเกิดแผ่นดินไหวและการกันดารอาหารในที่ต่างๆ เหตุการณ์เหล่านี้คือขั้นเริ่มต้นของความเจ็บปวดก่อนคลอดบุตร

“ท่านต้องเฝ้าระวัง ท่านจะถูกคุมตัวไปยังที่ว่าการในท้องที่และถูกโบยตีในธรรมศาลา ท่านต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าการและกษัตริย์แล้วเป็นพยานแก่พวกเขาเพื่อเรา 10 ข่าวประเสริฐต้องประกาศแก่มวลประชาชาติก่อน 11 เมื่อใดก็ตามที่ท่านถูกจับกุมและส่งตัวขึ้นศาล อย่าวิตกกังวลไปก่อนว่าจะพูดอะไรดี จงพูดไปตามถ้อยคำที่ประทานแก่ท่านในเวลานั้นเพราะไม่ใช่ตัวท่านเองที่เป็นผู้พูดแต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์

12 “พี่น้องจะทรยศกันเองถึงตายและพ่อจะทรยศลูก ลูกจะกบฏต่อพ่อแม่และเป็นเหตุให้พวกเขาถึงตาย 13 คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะเรา แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงที่สุดจะรอด

14 “เมื่อใดที่ท่านเห็น ‘สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติ’[a] ตั้งอยู่ในที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของมัน[b] (ให้ผู้อ่านทำความเข้าใจเอาเถิด) เมื่อนั้นให้ผู้ที่อยู่ในยูเดียหนีไปที่ภูเขา 15 ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้านอย่าลงมาหรือเข้าบ้านมาหยิบสิ่งใดออกไป 16 ผู้ที่อยู่ตามทุ่งนาก็อย่ากลับไปเอาเสื้อคลุมของท่าน 17 วันเหล่านั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนักสำหรับหญิงมีครรภ์หรือแม่ลูกอ่อน 18 จงอธิษฐานให้เหตุการณ์นี้ไม่เกิดในฤดูหนาว 19 เพราะเวลานั้นจะเป็นวาระแห่งความทุกข์ลำเค็ญอย่างที่ไม่มีครั้งใดเทียบเท่าตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกจนถึงบัดนี้ และจะไม่มีครั้งใดเทียบเท่าอีก 20 หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงร่นวันเหล่านั้นให้สั้นเข้าก็จะไม่มีใครเหลือรอดเลย แต่เพราะเห็นแก่ผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้พระองค์จึงทรงทำให้วันเหล่านั้นสั้นลง 21 เมื่อเวลานั้นมาถึงหากมีใครมาบอกท่านว่า ‘ดูเถิด พระคริสต์[c]อยู่ที่นี่!’ หรือ ‘ดูเถิด พระองค์อยู่ที่นั่น!’ อย่าไปเชื่อเลย 22 เพราะจะมีพระคริสต์ปลอมและผู้เผยพระวจนะเท็จปรากฏขึ้น พวกเขาจะแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ เพื่อลวงผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้หากเป็นไปได้ 23 ฉะนั้นจงระวัง เราบอกทุกอย่างแก่ท่านไว้ล่วงหน้าแล้ว

24 “แต่ในวาระนั้นหลังจากความทุกข์เข็ญ

“ ‘ดวงอาทิตย์จะถูกดับ
ดวงจันทร์จะไม่ทอแสง
25 ดวงดาวทั้งหลายจะร่วงจากท้องฟ้า
และฟ้าสวรรค์จะถูกเขย่า’[d]

26 “เมื่อนั้นคนทั้งหลายจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆด้วยเดชานุภาพและพระเกียรติสิริอันยิ่งใหญ่ 27 พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มารวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้จากทั้งสี่ทิศ จากปลายแผ่นดินโลกถึงสุดขอบฟ้าสวรรค์

28 “จงเรียนรู้บทเรียนนี้จากต้นมะเดื่อ คือทันทีที่มันแตกกิ่งและผลิใบท่านก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว 29 เช่นเดียวกันเมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ท่านก็รู้ว่าสิ่งนี้[e]ใกล้เข้ามาแล้ว อยู่ที่ประตูนี่เอง 30 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าคนในยุคนี้[f]ยังไม่ทันล่วงลับไป สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ก็เกิดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน 31 ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไปแต่ถ้อยคำของเราจะไม่มีวันสูญสิ้น

วันเวลาที่ไม่มีใครรู้

32 “ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ 33 จงระวัง! จงตื่นตัว![g] ท่านไม่รู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อใด 34 ก็เหมือนชายคนหนึ่งออกจากบ้านไป เขาตั้งคนรับใช้ให้รับผิดชอบหน้าที่ต่างๆ ตามที่แต่ละคนได้รับมอบหมายและบอกคนเฝ้าประตูให้เฝ้าระวังไว้

35 “ฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่เพราะท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะกลับมาเมื่อใด อาจจะกลับมาเวลาค่ำหรือเวลาเที่ยงคืน เวลาไก่ขัน หรือเวลารุ่งสาง 36 ถ้าเขากลับมากระทันหันก็อย่าให้เขาพบว่าท่านกำลังหลับอยู่ 37 สิ่งที่เราบอกกับท่านเราก็บอกกับทุกๆ คนว่า ‘จงเฝ้าระวัง!’”

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.