Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ผู้วินิจฉัย 8

เศบาห์และศัลมุนนา

คนเผ่าเอฟราอิมมาถามกิเดโอนว่า “ทำไมจึงทำกับเราอย่างนี้? ทำไมท่านไม่เรียกเราเมื่อไปรบกับชาวมีเดียน?” แล้วพวกเขาก็ต่อว่ากิเดโอนอย่างรุนแรง

แต่เขาตอบคนเหล่านั้นว่า “ความสำเร็จของข้าพเจ้าเทียบกับสิ่งที่ท่านทำได้หรือ? ผลองุ่นที่เอฟราอิมเก็บตกได้ก็ยังดีกว่าผลองุ่นที่อาบีเอเซอร์เก็บได้อย่างเต็มที่ไม่ใช่หรือ? พระเจ้าทรงมอบโอเรบและเศเอบซึ่งเป็นผู้นำมีเดียนไว้ในมือของท่าน สิ่งที่ข้าพเจ้าทำเทียบกับท่านได้หรือ?” เมื่อได้ฟังดังนั้น พวกเขาจึงค่อยหายขุ่นเคือง

กิเดโอนกับคนของเขาสามร้อยคนข้ามแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาต่างก็อ่อนเพลีย แต่ยังคงรุกไล่ชาวมีเดียนอยู่ กิเดโอนกล่าวกับชาวเมืองสุคคทว่า “โปรดให้เสบียงแก่ทหารของข้าพเจ้าบ้างเถิด พวกเขาอิดโรยมาก และข้าพเจ้าก็ยังตามล่ากษัตริย์เศบาห์กับกษัตริย์ศัลมุนนาของชาวมีเดียนอยู่”

แต่เจ้าหน้าที่ของเมืองสุคคทกล่าวว่า “ท่านจับตัวกษัตริย์เศบาห์กับกษัตริย์ศัลมุนนาได้อย่างนั้นหรือ? เรื่องอะไรที่เราจะต้องให้เสบียงแก่ทหารของท่านเล่า?”

กิเดโอนจึงตอบว่า “ถ้าท่านกล่าวเช่นนี้แล้ว เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบกษัตริย์เศบาห์และกษัตริย์ศัลมุนนาไว้ในมือของเรา เราจะฉีกเนื้อพวกท่านด้วยหนามทะเลทราย”

จากที่นั่นกิเดโอนขึ้นไปที่เปนีเอล[a]และขอเสบียงอาหารเช่นกัน แต่ได้รับคำตอบอย่างเดียวกับที่ได้รับจากชาวเมืองสุคคท เขาจึงกล่าวกับชาวเปนีเอลว่า “เมื่อเรารบชนะกลับมา เราจะรื้อหอคอยนี้ทิ้ง”

10 ขณะนั้นกษัตริย์เศบาห์กับกษัตริย์ศัลมุนนาและกองทหารที่เหลือราว 15,000 คนอยู่ที่คารโคร์ ซึ่งเป็นจำนวนคนที่เหลือทั้งหมดจากทัพพันธมิตรของฟากตะวันออก เพราะพลดาบถูกฆ่าตายถึง 120,000 คน 11 กิเดโอนขึ้นไปตามเส้นทางของคนเร่ร่อนทางตะวันออกของโนบาห์และโยกเบฮาห์ บุกโจมตีโดยที่ศัตรูไม่คาดคิด 12 กษัตริย์เศบาห์และกษัตริย์ศัลมุนนาแห่งมีเดียนหลบหนีไป แต่กิเดโอนตามจับตัวมาได้ และรุกไล่กองกำลังทั้งหมดแตกพ่ายไป

13 จากนั้นกิเดโอนบุตรโยอาชกลับจากทำศึกผ่านทางช่องแคบเฮเรส 14 เขาจับกุมตัวชายหนุ่มชาวสุคคทได้คนหนึ่งและไต่สวนเขา และให้ชายหนุ่มคนนี้จดรายชื่อเจ้าหน้าที่ทั้ง 77 คนซึ่งเป็นผู้อาวุโสของเมืองนั้น 15 แล้วกิเดโอนกลับมายังสุคคท และกล่าวกับชาวเมืองว่า “นี่คือกษัตริย์เศบาห์และกษัตริย์ศัลมุนนาซึ่งพวกท่านเคยหยามน้ำหน้าข้าพเจ้าไว้ด้วยคำพูดที่ว่า ‘ท่านจับตัวกษัตริย์เศบาห์กับกษัตริย์ศัลมุนนาได้อย่างนั้นหรือ? เรื่องอะไรที่เราจะต้องให้เสบียงแก่ทหารที่อ่อนล้าของท่านเล่า?’ ” 16 กิเดโอนก็จับตัวผู้อาวุโสของเมืองนั้นมาหวดด้วยหนามทะเลทราย เป็นบทเรียนสั่งสอนชาวเมืองสุคคท 17 เขาทลายหอคอยของเมืองเปนีเอลและฆ่าชาวเมืองนั้นด้วย

18 กิเดโอนกล่าวกับกษัตริย์เศบาห์และกษัตริย์ศัลมุนนาว่า “คนที่ท่านสังหารที่ทาโบร์นั้นมีลักษณะท่าทางอย่างไร?”

เขาตอบว่า “ก็คล้ายๆ กับท่าน แต่ละคนมีลักษณะท่าทางเป็นเจ้านาย”

19 กิเดโอนตอบว่า “พวกเขาเป็นพี่น้องร่วมมารดาของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด หากท่านไว้ชีวิตพวกเขา เราจะไม่ฆ่าท่านฉันนั้น” 20 แล้วเขาจึงหันมาสั่งเยเธอร์บุตรหัวปีของเขาว่า “ฆ่าพวกเขาเสีย!” แต่เยเธอร์ไม่ได้ชักดาบออกมาเพราะเขายังเด็กและหวาดกลัว

21 กษัตริย์เศบาห์กับกษัตริย์ศัลมุนนากล่าวว่า “ท่านก็ลงมือเองสิ ‘ยิ่งหนุ่มแน่นมากเท่าใดก็มีกำลังมากเท่านั้น’ ” กิเดโอนจึงตรงเข้าประหารกษัตริย์ทั้งสององค์นั้นและริบเอาเครื่องประดับคออูฐของพวกเขาไว้

เอโฟดของกิเดโอน

22 ชาวอิสราเอลกล่าวกับกิเดโอนว่า “เชิญท่านและลูกหลานมาปกครองเราเถิด เพราะท่านได้ช่วยกอบกู้เราให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวมีเดียน”

23 แต่กิเดโอนตอบว่า “ข้าพเจ้าหรือลูกๆ จะไม่ปกครองท่าน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปกครองท่าน” 24 แล้วเขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอท่านอย่างหนึ่ง คือให้แต่ละคนมอบตุ้มหูที่ริบมาได้นั้นแก่ข้าพเจ้า” (เป็นประเพณีของเชื้อสายอิชมาเอลที่จะสวมตุ้มหูทองคำ)

25 พวกเขาตอบว่า “เรายินดีมอบให้” ดังนั้นพวกเขาจึงคลี่เสื้อตัวหนึ่งออก เพื่อให้ทุกคนโยนตุ้มหูที่ริบมาได้กองรวมกัน 26 ตุ้มหูทองคำที่ได้หนักประมาณ 19.5 กิโลกรัม[b] ไม่รวมเครื่องประดับ จี้ และผ้าสีม่วงซึ่งเป็นเครื่องทรงของกษัตริย์แห่งมีเดียน หรือสายสร้อยคล้องคออูฐ 27 กิเดโอนใช้ทองนี้ทำเอโฟด ตั้งไว้ที่โอฟราห์เมืองของเขา อิสราเอลทั้งปวงพากันเล่นชู้โดยการนมัสการเอโฟด สิ่งนี้จึงกลายเป็นกับดักของกิเดโอนกับครอบครัวของเขา

กิเดโอนสิ้นชีวิต

28 ดังนั้นพวกมีเดียนพ่ายแพ้อิสราเอลและไม่อาจฟื้นตัวได้อีกเลย แผ่นดินก็สงบสุขเป็นเวลาสี่สิบปี ตลอดชีวิตของกิเดโอน

29 เยรุบบาอัลบุตรโยอาชกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอน 30 เขามีบุตรชายถึงเจ็ดสิบคน เพราะเขามีภรรยาหลายคน 31 ภรรยาน้อยของเขาคนหนึ่งซึ่งอาศัยที่เมืองเชเคมได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่เขา เขาตั้งชื่อว่าอาบีเมเลค 32 กิเดโอนบุตรของโยอาชสิ้นชีวิตเมื่อชรามากแล้ว และถูกฝังไว้ที่อุโมงค์ฝังศพของโยอาชบิดาของเขาในเมืองโอฟราห์ของตระกูลอาบีเอเซอร์

33 เมื่อกิเดโอนสิ้นชีวิตได้ไม่นาน ชนอิสราเอลก็หวนกลับไปเล่นชู้กับพระบาอัลอีก พวกเขาตั้งพระบาอัลเบรีทเป็นเทพเจ้าของพวกเขา 34 และไม่ได้ระลึกถึงพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ผู้ทรงกอบกู้พวกเขาจากเงื้อมมือของศัตรูทั้งหมดที่อยู่รอบด้าน 35 ทั้งพวกเขาไม่ทำดีต่อครอบครัวของเยรุบบาอัล (คือกิเดโอน) ทั้งๆ ที่เขาได้ทำสิ่งดีงามนานัปการเพื่อพวกเขา

กิจการของอัครทูต 12

เปโตรพ้นจากคุกอย่างอัศจรรย์

12 ช่วงนั้นกษัตริย์เฮโรดได้จับกุมคนของคริสตจักรไปโดยเจตนาจะข่มเหงพวกเขา เฮโรดให้ฆ่ายากอบพี่ชายของยอห์นด้วยดาบ เมื่อเห็นว่าพวกยิวพอใจกับการกระทำนั้นก็สั่งจับเปโตรด้วย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ หลังจากจับกุมเปโตรแล้วก็ให้จำคุกไว้โดยมีทหารสี่หมู่ หมู่ละสี่คนคอยเฝ้า เฮโรดตั้งใจจะนำเขาออกมาไต่สวนต่อหน้าประชาชนหลังเทศกาลปัสกา

ดังนั้นเปโตรจึงถูกคุมขังอยู่ในคุกแต่คริสตจักรได้อธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อเขาอย่างจริงจัง

ในคืนก่อนที่เฮโรดจะนำเปโตรมาไต่สวน เขากำลังหลับอยู่ระหว่างทหารสองคน ถูกล่ามด้วยโซ่สองเส้นและทหารยามยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูคุก ทันใดนั้นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาปรากฏและมีแสงสว่างส่องเข้ามาในห้องขัง ทูตนั้นตบที่สีข้างของเปโตรและปลุกเขาตื่นแล้วกล่าวว่า “เร็วๆ เข้า ลุกขึ้น!” โซ่ก็หลุดจากข้อมือของเปโตร

แล้วทูตนั้นกล่าวกับเขาว่า “จงสวมเสื้อผ้าและรองเท้า” เปโตรก็ทำตาม ทูตบอกว่า “สวมเสื้อคลุมแล้วตามเรามาเถิด” เปโตรก็ตามออกไปจากคุก เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทูตนั้นทำอยู่เป็นเรื่องจริง เขาคิดว่าตนเองกำลังเห็นนิมิต 10 เมื่อพวกเขาออกไปพ้นทหารยามชุดที่หนึ่งและชุดที่สองแล้วก็มาถึงประตูเหล็กที่จะเข้าเมือง ประตูนั้นเปิดออกเองให้พวกเขาผ่านไป เมื่อเดินมาตามถนนได้ระยะหนึ่งทันใดนั้นทูตสวรรค์องค์นั้นก็จากเขาไป

11 เปโตรจึงรู้สึกตัวและกล่าวว่า “เดี๋ยวนี้เรารู้แน่แล้วว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งทูตของพระองค์มาช่วยเราให้พ้นจากเงื้อมมือของเฮโรดและการปองร้ายทั้งปวงของพวกยิว”

12 เมื่อเกิดความเข้าใจเช่นนี้แล้วเขาก็ไปยังบ้านของมารีย์ผู้เป็นมารดาของยอห์นซึ่งเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโก บ้านนั้นเป็นที่ซึ่งหลายคนประชุมอธิษฐานกันอยู่ 13 เปโตรเคาะประตูชั้นนอกสาวใช้คนหนึ่งชื่อโรดาจึงมาที่ประตู 14 พอจำได้ว่าเป็นเสียงของเปโตรนางก็ดีใจมากจนวิ่งกลับไปโดยไม่ได้เปิดประตูพลางร้องว่า “เปโตรอยู่ที่ประตู!”

15 คนเหล่านั้นจึงว่า “เธอเสียสติไปแล้ว” แต่เมื่อนางยืนกรานว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกเขาก็พูดว่า “ต้องเป็นทูตสวรรค์ประจำตัวเขา”

16 แต่เปโตรยังเคาะประตูไม่หยุด เมื่อพวกเขาเปิดประตูมาพบเปโตรพวกเขาก็แปลกใจมาก 17 แต่เปโตรโบกมือให้พวกเขาสงบแล้วเล่าว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำเขาออกมาจากคุกได้อย่างไรพร้อมกับสั่งว่า “จงบอกเรื่องนี้แก่ยากอบและพวกพี่น้องอื่นๆ” แล้วเขาก็จากไปยังอีกที่หนึ่ง

18 พอรุ่งเช้าพวกทหารก็แตกตื่นตกใจกันใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเปโตร 19 หลังจากเฮโรดให้ค้นหาตัวเปโตรจนทั่วแต่ไม่พบจึงไต่สวนพวกทหารยามและสั่งประหารชีวิต

เฮโรดสิ้นพระชนม์

จากนั้นเฮโรดออกจากแคว้นยูเดียไปพักอยู่ที่เมืองซีซารียาระยะหนึ่ง 20 ก่อนหน้านี้เฮโรดมีเรื่องบาดหมางกับชาวไทระและไซดอน บัดนี้พวกเขารวมตัวกันมาขอเข้าเฝ้าโดยอาศัยบลัสทัสมหาดเล็กคนสนิทของเฮโรด พวกเขามาขอคืนดีเพราะต้องพึ่งเสบียงอาหารจากดินแดนของเฮโรด

21 ในวันนัดเฮโรดแต่งตัวเต็มยศนั่งบนบัลลังก์และกล่าวปราศรัยต่อประชาชน 22 เขาทั้งหลายร้องตะโกนว่า “นี่เป็นเสียงเทพเจ้าไม่ใช่เสียงมนุษย์” 23 เนื่องจากเฮโรดไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทันใดนั้นทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงให้เฮโรดล้มป่วยและถูกหนอนกัดกินจนสิ้นชีพ

24 แต่พระวจนะของพระเจ้ายังคงทวียิ่งขึ้นและแพร่กระจายไป

25 เมื่อบารนาบัสกับเซาโลทำพันธกิจเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับจาก[a]กรุงเยรูซาเล็มและพายอห์นซึ่งมีอีกชื่อว่ามาระโกไปด้วย

เยเรมีย์ 21

พระเจ้าทรงเมินคำทูลขอของเศเดคียาห์

21 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งมาถึงเยเรมีย์เมื่อกษัตริย์เศเดคียาห์ส่งปาชเฮอร์บุตรมัลคิยาห์และปุโรหิตเศฟันยาห์บุตรมาอาเสอาห์มาพบเยเรมีย์และกล่าวว่า “ช่วยทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าให้เราด้วย เพราะกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์[a]แห่งบาบิโลนยกทัพมาโจมตีเรา บางทีองค์พระผู้เป็นเจ้าอาจจะทำการอัศจรรย์เพื่อพวกเราเหมือนในอดีต เนบูคัดเนสซาร์จะได้ถอนทัพกลับไป”

แต่เยเรมีย์ตอบพวกเขาว่า “ไปทูลเศเดคียาห์เถิดว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราจะหันอาวุธทั้งปวงในมือของเจ้าซึ่งเจ้าใช้ต่อกรกับกษัตริย์บาบิโลนและกับชาวบาบิโลน[b]ที่กำลังล้อมเมืองเจ้าอยู่นั้นให้หวนกลับมาเล่นงานเจ้า และเราจะรวบรวมพวกเขาเข้ามาในกรุงนี้ เราเองจะสู้รบกับเจ้าด้วยมือที่เงื้ออยู่ และด้วยแขนอันทรงพลัง เนื่องจากความโกรธ ความเกรี้ยวกราด และโทสะอันใหญ่หลวง เราจะเล่นงานทุกชีวิตในกรุงนี้ ทั้งคนและสัตว์จะตายด้วยภัยพิบัติร้ายแรง หลังจากนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่าเราจะมอบกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ ข้าราชการและชาวกรุงนี้ที่รอดจากโรคระบาด สงคราม และการกันดารอาหารไว้ในมือกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนและในมือศัตรูซึ่งหมายเอาชีวิตของพวกเขา เนบูคัดเนสซาร์จะเข่นฆ่าเขาด้วยดาบ ไม่ยอมเมตตาเอ็นดูหรือสงสารเลย’

“อีกทั้งจงบอกเหล่าประชากรว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราให้เจ้าเลือกเอาระหว่างความเป็นกับความตาย ผู้ที่อยู่ในกรุงนี้จะตายเพราะสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาด แต่ใครก็ตามที่ออกไปยอมแพ้แก่ชาวบาบิโลนซึ่งมาล้อมเมืองอยู่ก็จะรอดชีวิต 10 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เราตั้งใจจะทำร้ายกรุงนี้ ไม่ใช่ทำดี กรุงนี้จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์บาบิโลน เขาจะเผามันวอดวาย’

11 “นอกจากนี้จงกล่าวแก่ราชวงศ์ยูดาห์ว่า ‘จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า 12 วงศ์วานของดาวิดเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า

“ ‘ทุกเช้าจงอำนวยความยุติธรรม
จงช่วยเหลือผู้ที่ถูกปล้น
จากมือของผู้กดขี่ข่มเหง
มิฉะนั้นโทสะของเราจะระเบิดออกและแผดเผาดั่งไฟ
เผาผลาญโดยไม่มีใครดับได้
เนื่องจากความชั่วร้ายที่พวกเจ้าได้ทำ
13 เยรูซาเล็มเอ๋ย เราเป็นศัตรูกับเจ้า
ผู้อาศัยอยู่เหนือหุบเขาแห่งนี้
บนที่ราบอันเต็มไปด้วยหิน
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
เจ้าผู้พูดว่า “ใครจะมาสู้เราได้?
ใครจะเข้ามายังที่ลี้ภัยของเราได้?”
14 เราเองจะลงโทษเจ้าให้สาสมกับความประพฤติของเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
เราจะจุดไฟในป่าของเจ้า
ซึ่งจะเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเจ้า’ ”

มาระโก 7

สิ่งที่เป็นมลทิน(A)

ฝ่ายพวกฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาห้อมล้อมพระเยซู และเห็นสาวกบางคนของพระองค์รับประทานอาหารโดยไม่ได้ล้างมือซึ่งถือว่า “เป็นมลทิน” (พวกฟาริสีและชาวยิวทั้งปวงถือตามประเพณีที่สืบทอดจากบรรพบุรุษว่าจะไม่รับประทานอาหารจนกว่าจะได้ล้างมือตามระเบียบพิธีก่อน เมื่อกลับจากตลาดต้องล้างมือก่อนจะรับประทานอาหาร และยังมีธรรมเนียมอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่นการล้างถ้วย เหยือก และภาชนะต่างๆ[a])

ฉะนั้นพวกฟาริสีและธรรมาจารย์จึงทูลถามพระเยซูว่า “เหตุใดสาวกของท่านจึงไม่ทำตามธรรมเนียมของผู้อาวุโส แต่กลับรับประทานอาหารด้วยมือที่ ‘เป็นมลทิน’?”

พระองค์ตรัสตอบว่า “อิสยาห์พูดถูกแล้วเมื่อเผยพระวจนะเกี่ยวกับคนหน้าซื่อใจคดอย่างพวกเจ้าดังที่มีคำเขียนไว้ว่า

“ ‘ประชากรเหล่านี้ยกย่องเราแต่ปาก
แต่ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา
พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์
คำสอนของเขาเป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สอนกันมา’[b]

พวกท่านละเลยพระบัญชาของพระเจ้าและไปยึดถือธรรมเนียมของมนุษย์”

และพระองค์ตรัสว่า “พวกท่านมีวิธีเลี่ยงพระบัญชาของพระเจ้าไปทำตาม[c]ธรรมเนียมของตนได้ดีจริงนะ! 10 เพราะโมเสสกล่าวว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’[d] และ ‘ผู้ใดแช่งด่าบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย’[e] 11 แต่พวกท่านบอกว่าหากใครพูดกับบิดามารดาว่า ‘สิ่งใดๆ จากข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่านก็คือโกระบาน’ (คือของที่ได้ถวายแด่พระเจ้าแล้ว) 12 แล้วท่านจึงไม่ให้เขาทำสิ่งใดให้บิดามารดาอีกต่อไป 13 ด้วยเหตุนี้ท่านจึงทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะไปโดยการยึดธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาและพวกท่านยังทำอีกหลายอย่างในทำนองนี้”

14 แล้วพระเยซูทรงเรียกฝูงชนเข้ามาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่งและตรัสว่า “ทุกคนจงฟังและเข้าใจข้อนี้ 15 ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในมนุษย์แล้วทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’ แต่สิ่งที่ออกจากตัวเขาต่างหากที่ทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’[f]

17 เมื่อละจากฝูงชนเข้ามาในบ้านแล้ว เหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์เกี่ยวกับคำอุปมานี้ 18 พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ท่านไม่เห็นหรือว่าไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในตัวคนแล้วทำให้คน ‘เป็นมลทิน’ ได้? 19 เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วออกจากร่างกาย” (ที่พระเยซูตรัสเช่นนี้เป็นการประกาศว่าอาหารทั้งปวง “ปราศจากมลทิน”)

20 พระองค์ตรัสต่อไปว่า “สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์ต่างหากที่ทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’ 21 เพราะที่ออกมาจากภายในจากใจคนเราคือ ความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การเข่นฆ่า การล่วงประเวณี 22 ความโลภ การมุ่งร้าย การฉ้อฉล ราคะตัณหา ความอิจฉา การนินทาว่าร้าย ความหยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา 23 สารพัดความชั่วนี้มาจากภายในและทำให้มนุษย์ ‘เป็นมลทิน’ ”

ความเชื่อของหญิงชาวซีเรียฟีนิเซีย(B)

24 จากที่นั่นพระเยซูเสด็จเข้าสู่เขตเมืองไทระ[g] ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งและไม่ประสงค์ให้ใครรู้แต่ก็ปิดไว้ไม่อยู่ 25 หญิงคนหนึ่งซึ่งลูกสาวเล็กๆ ของนางมีวิญญาณชั่ว[h]สิง เมื่อได้ทราบข่าวเกี่ยวกับพระองค์ก็มาหมอบกราบแทบพระบาทของพระองค์ 26 หญิงผู้นี้เป็นชาวกรีกเกิดในซีเรียฟีนิเซีย นางมาทูลอ้อนวอนพระเยซูให้ทรงช่วยขับผีออกจากลูกสาวของนาง

27 พระองค์ตรัสบอกนางว่า “ต้องให้ลูกๆ กินอิ่มก่อน เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัข”

28 หญิงนั้นทูลว่า “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขใต้โต๊ะยังได้กินเศษอาหารที่เหลือจากลูก”

29 แล้วพระองค์จึงตรัสบอกนางว่า “ไปเถิด เพราะคำตอบของเจ้า ผีนั้นออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว”

30 หญิงนั้นก็กลับไปบ้านและพบว่าลูกสาวนอนอยู่บนเตียงและผีนั้นได้ออกไปแล้ว

ทรงรักษาคนหูหนวกและเป็นใบ้(C)

31 แล้วพระเยซูเสด็จจากเขตเมืองไทระผ่านเมืองไซดอนไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลีเข้าสู่แคว้นเดคาโปลิส[i] 32 ที่นั่นมีคนพาชายผู้หนึ่งซึ่งหูหนวกพูดเกือบไม่ได้เลย มาทูลอ้อนวอนให้ทรงวางมือบนชายผู้นั้น

33 พระเยซูทรงพาเขาเลี่ยงออกไปจากฝูงชน เอานิ้วพระหัตถ์สอดเข้าไปในหูของชายผู้นั้น แล้วทรงบ้วนน้ำลายเอาไปแตะที่ลิ้นของเขา 34 พระองค์ทรงเงยพระพักตร์มองฟ้าสวรรค์ ถอนพระทัยยาว และตรัสกับเขาว่า “เอฟฟาธา!” (ซึ่งแปลว่า “จงเปิดออก!”) 35 แล้วหูของชายคนนั้นก็หายหนวก ลิ้นของเขาก็หายขัด เขาเริ่มพูดได้ชัดเจน

36 พระเยซูทรงกำชับพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องนี้แก่ใคร แต่ยิ่งพระองค์ทรงห้ามพวกเขาก็ยิ่งเล่าลือเรื่องนี้ไปทั่ว 37 ประชาชนประหลาดใจยิ่งนักและพูดว่า “พระองค์ทรงกระทำแต่สิ่งดีๆ ทั้งนั้น พระองค์ถึงกับทรงกระทำให้คนหูหนวกได้ยินและคนใบ้พูดได้”

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.