M’Cheyne Bible Reading Plan
4 เมื่อเหล่าประชากรข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปทุกคนแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า 2 “จงคัดเลือกชายสิบสองคนจากเหล่าประชากรเผ่าละหนึ่งคน 3 และสั่งพวกเขาให้ยกก้อนหินมาสิบสองก้อน จากกลางแม่น้ำจอร์แดนตรงที่เหล่าปุโรหิตยืน และตั้งไว้ในสถานที่ซึ่งเจ้าจะไปตั้งค่ายพักค่ำวันนี้”
4 โยชูวาจึงเรียกชายสิบสองคนนั้นซึ่งคัดเลือกจากชนอิสราเอลเผ่าละหนึ่งคนมา 5 และสั่งว่า “จงออกไปกลางแม่น้ำจอร์แดนตรงที่หีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านตั้งอยู่ แล้วแบกหินขึ้นบ่ามาคนละหนึ่งก้อน ตามจำนวนเผ่าของชนอิสราเอล 6 เพื่อเป็นอนุสรณ์ท่ามกลางพวกท่าน ในอนาคตเมื่อลูกหลานของท่านถามว่า ‘หินเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร?’ 7 จงบอกพวกเขาว่าแม่น้ำจอร์แดนแยกออกต่อหน้าหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อหีบข้ามแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนก็แยกขาดจากกัน หินเหล่านี้จะเป็นอนุสรณ์เตือนใจชนอิสราเอลตลอดไป”
8 ชนอิสราเอลก็ทำตามที่โยชูวาสั่ง พวกเขาขนหินสิบสองก้อนจากกลางแม่น้ำจอร์แดนตามจำนวนเผ่าของอิสราเอล ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาโยชูวาไว้ และยกมาวางลงในสถานที่ตั้งค่ายพักแรมของพวกเขาในคืนวันนั้น 9 โยชูวาให้นำหินสิบสองก้อนที่เคยอยู่กลางแม่น้ำจอร์แดน ในบริเวณที่ปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญายืนอยู่นั้นมาตั้งไว้[a] และหินเหล่านั้นยังคงอยู่ที่นั่นจวบจนทุกวันนี้
10 ปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญายืนอยู่กลางแม่น้ำตราบจนเหล่าประชากรทำครบถ้วนทุกอย่างตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโยชูวา ดังที่โมเสสได้กำชับโยชูวา เหล่าประชากรรีบรุดข้ามแม่น้ำไป 11 เมื่อทุกคนข้ามไปแล้ว ประชากรพากันมองดูปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นจากแม่น้ำ 12 ชนเผ่ารูเบน กาด และมนัสเสห์ครึ่งเผ่าก็ข้ามแม่น้ำไป พวกเขาคาดอาวุธนำหน้าชนอิสราเอลตามที่โมเสสได้สั่งพวกเขาไว้ 13 มีคนราวสี่หมื่นคนจับอาวุธออกรบต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าบุกไปยังที่ราบเยรีโค
14 วันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกชูโยชูวาขึ้นต่อหน้าปวงชนอิสราเอล และพวกเขายำเกรงโยชูวาตลอดชีวิตของโยชูวาเหมือนที่เคยยำเกรงโมเสส
15 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า 16 “จงสั่งปุโรหิตผู้หามหีบแห่งพันธสัญญาให้ขึ้นจากแม่น้ำจอร์แดน”
17 โยชูวาก็ออกคำสั่งแก่ปุโรหิตว่า “จงขึ้นมาจากแม่น้ำจอร์แดน”
18 ปุโรหิตจึงหามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นจากแม่น้ำ ทันทีที่เท้าของพวกเขาแตะพื้นตลิ่ง สายน้ำก็ไหลกลับลงท่วมตลิ่งดังเดิม
19 ในวันที่สิบของเดือนแรก เหล่าประชากรข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปตั้งค่ายพักแรมที่กิลกาล ชิดเขตแดนด้านตะวันออกของเมืองเยรีโค 20 โยชูวาก็ให้ตั้งหินสิบสองก้อนที่ยกมาจากแม่น้ำจอร์แดนนั้นไว้ที่กิลกาล 21 เขากล่าวแก่ชนอิสราเอลว่า “ในอนาคตเมื่อลูกหลานของท่านถามว่า ‘ก้อนหินเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร?’ 22 จงบอกเขาว่า ‘อิสราเอลเดินข้ามแม่น้ำจอร์แดนบนพื้นแห้ง’ 23 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงบันดาลให้แม่น้ำจอร์แดนแห้งต่อหน้าพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะข้ามไปได้ เหมือนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเคยทำให้ทะเลแดง[b]แห้งเป็นทางต่อหน้าเราจนพวกเราได้ข้ามไป 24 ทั้งนี้เพื่อชาวโลกทั้งปวงจะรู้ว่าพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงอานุภาพ และเพื่อท่านทั้งหลายจะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านตลอดไป”
(บทเพลงใช้แห่ขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม)
129 พวกเขาข่มเหงรังแกข้าพเจ้าอย่างหนักตั้งแต่วัยเยาว์
ให้อิสราเอลกล่าวเถิดว่า
2 พวกเขาข่มเหงรังแกข้าพเจ้าอย่างหนักตั้งแต่วัยเยาว์
ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ชนะข้าพเจ้า
3 พวกเขาทำนาบนหลังข้าพเจ้า
และฝากรอยไถไว้ยาว
4 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชอบธรรม
พระองค์ทรงตัดเชือกมัดของคนชั่วออก ปลดปล่อยข้าพเจ้าให้เป็นอิสระ
5 ขอให้ผู้ที่เกลียดชังศิโยน
ล่าถอยกลับไปด้วยความอับอาย
6 ขอให้พวกเขาเป็นเหมือนหญ้าบนหลังคา
ซึ่งเหี่ยวเฉาไปเมื่อยังไม่ทันโต
7 ซึ่งคนเก็บไม่แยแส
และคนมัดก็ยังเมิน
8 ขอให้ทุกคนที่ผ่านไปมาปฏิเสธที่จะอวยพรพวกเขาว่า
“ขอพระพรขององค์พระผู้เป็นเจ้าจงมีแก่ท่าน
เราขออวยพรท่านในพระนามพระยาห์เวห์”
(บทเพลงใช้แห่ขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม)
130 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์จากห้วงลึก
2 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสดับฟังเสียงของข้าพระองค์
ขอทรงเงี่ยพระกรรณ
รับฟังคำทูลวิงวอนขอความเมตตาของข้าพระองค์ด้วยเถิด
3 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ทรงบันทึกบาปทั้งหลายไว้
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ใดเล่าจะยืนหยัดอยู่ได้?
4 แต่เพราะพระองค์ทรงอภัยโทษ
พระองค์จึงทรงเป็นที่ยำเกรง
5 ข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเฝ้าคอย
และฝากความหวังไว้ที่พระวจนะของพระองค์
6 จิตวิญญาณของข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า
ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า
ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า
7 อิสราเอลเอ๋ย จงฝากความหวังไว้ที่
องค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะความรักมั่นคงอยู่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า
การไถ่อันสมบูรณ์อยู่ที่พระองค์
8 พระองค์เองจะทรงไถ่อิสราเอล
จากบาปทั้งสิ้นของพวกเขา
(บทเพลงใช้แห่ขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม บทประพันธ์ของดาวิด)
131 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า จิตใจของข้าพระองค์ไม่ได้ลำพอง
นัยน์ตาของข้าพระองค์ไม่ได้ยโส
ข้าพระองค์ไม่ได้คิดการใหญ่
หรือทำอะไรเกินตัว
2 แต่ข้าพระองค์สงบสำรวมจิตวิญญาณ
เหมือนเด็กที่หย่านมแล้วซุกอยู่ที่อกแม่
จิตวิญญาณของข้าพระองค์สงบอยู่ภายใน ดั่งเด็กที่หย่านมแล้ว
3 อิสราเอลเอ๋ย จงฝากความหวังไว้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ทั้งบัดนี้และสืบไปนิรันดร์
64 โอ อยากให้พระองค์ทรงแหวกฟ้าสวรรค์เสด็จลงมา
ให้ภูเขาทั้งหลายสั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์!
2 เหมือนเมื่อไฟเผากิ่งไม้วอด
และทำให้น้ำเดือดพล่าน
ขอโปรดเสด็จมาเพื่อทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่เหล่าศัตรู
ทำให้นานาประชาชาติสั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์!
3 เพราะเมื่อพระองค์ทรงทำสิ่งที่น่าครั่นคร้ามซึ่งข้าพระองค์ทั้งหลายไม่คาดคิด
คือพระองค์เสด็จลงมา ภูเขาทั้งหลายก็สั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์
4 ตั้งแต่ครั้งโบราณไม่เคยมีใครได้ยิน
ไม่เคยมีใครได้ฟัง
ไม่เคยมีใครได้เห็นพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์
ผู้ทรงกระทำการเพื่อคนทั้งปวงที่รอคอยพระองค์
5 พระองค์เสด็จมาช่วยเหลือคนทั้งหลายที่ยินดีทำสิ่งที่ถูกต้อง
ผู้ระลึกถึงวิถีทางของพระองค์
แต่เมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายยังคงทำบาปขัดขืนพระมรรคา
พระองค์ก็ทรงพระพิโรธ
แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายจะรอดได้อย่างไร?
6 ข้าพระองค์ทั้งปวงกลายเป็นผู้มีมลทิน
ความประพฤติอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งปวงเหมือนผ้าขี้ริ้วโสโครก
ข้าพระองค์ทั้งหลายเหี่ยวเฉาประหนึ่งใบไม้ร่วง
และบาปของข้าพระองค์ทั้งหลายเหมือนลมพัดเอาพวกข้าพระองค์ปลิวหายไป
7 ไม่มีสักคนร้องทูลพระนามของพระองค์
หรือขวนขวายยึดมั่นพระองค์ไว้
เพราะพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์จากข้าพระองค์ทั้งหลาย
และทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเสื่อมเสียไปเพราะบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย
8 ถึงกระนั้น ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นดินเหนียว พระองค์ทรงเป็นช่างปั้น
ข้าพระองค์ทั้งหลายล้วนเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์
9 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขออย่าทรงพระพิโรธมากเกินไป
ขออย่าทรงจดจำบาปของข้าพระองค์ทั้งหลายไปตลอดกาล
โอ ข้าพระองค์ทั้งหลายอธิษฐาน ขอโปรดทอดพระเนตรเหล่าข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นประชากรของพระองค์
10 นครบริสุทธิ์ของพระองค์กลายเป็นทะเลทราย
แม้แต่ศิโยนก็เป็นทะเลทราย เยรูซาเล็มเป็นที่ถูกทิ้งร้าง
11 พระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์และมีสง่าราศีของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ซึ่งเหล่าบรรพบุรุษของข้าพระองค์ใช้เป็นที่สรรเสริญพระองค์นั้นถูกเผาวอดวาย
และทุกสิ่งที่พวกเราถือว่าล้ำค่าก็อยู่ในสภาพปรักหักพัง
12 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงเพียงนี้แล้ว พระองค์จะยังคงยับยั้งพระองค์ไว้หรือ?
พระองค์จะยังคงนิ่งเงียบและลงโทษข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างเหลือประมาณอยู่หรือ?
เจ้าเหนือวันสะบาโต(A)
12 ครั้งนั้นพระเยซูเสด็จผ่านทุ่งนาในวันสะบาโต สาวกของพระองค์หิวจึงเด็ดรวงข้าวมากิน 2 เมื่อพวกฟาริสีเห็นก็ทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด! พวกศิษย์ของท่านทำสิ่งที่ผิดบัญญัติในวันสะบาโต”
3 พระองค์ตรัสตอบว่า “พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่าดาวิดทำอะไรเมื่อเขากับพรรคพวกหิวโหย? 4 ดาวิดเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าและเขากับพวกกินขนมปังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติ เพราะมีแต่ปุโรหิตเท่านั้นที่รับประทานขนมปังศักดิ์สิทธิ์ได้ 5 ท่านไม่ได้อ่านในหนังสือบทบัญญัติหรือที่ว่าในวันสะบาโตปุโรหิตในพระวิหารทำงานของตนซึ่งเป็นการละเมิดกฎวันสะบาโต แต่ไม่มีความผิด? 6 เราบอกท่านว่า ผู้[a]ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่ 7 หากท่านเข้าใจความหมายของข้อความที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ใช่เครื่องบูชา’[b] ท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษผู้ที่ไม่มีความผิด 8 เพราะบุตรมนุษย์ทรงเป็นเจ้าเหนือวันสะบาโต”
9 จากที่นั่นพระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาของพวกเขา 10 และชายมือลีบคนหนึ่งอยู่ที่นั่น พวกเขาหาเหตุที่จะจับผิดพระองค์จึงทูลถามว่า “การรักษาโรคในวันสะบาโตผิดบัญญัติหรือไม่?”
11 พระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า “หากใครในพวกท่านมีแกะตัวหนึ่งและแกะนั้นตกบ่อในวันสะบาโต เขาจะไม่ฉุดดึงแกะขึ้นจากบ่อหรือ? 12 คนๆ หนึ่งมีค่ายิ่งกว่าแกะตัวหนึ่งสักเพียงใด ฉะนั้นการทำความดีในวันสะบาโตก็ถูกต้องตามบทบัญญัติแล้ว”
13 แล้วพระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกมา” เขาจึงเหยียดมือออกและมือนั้นก็กลับเป็นปกติดีเหมือนมืออีกข้างหนึ่ง 14 แต่พวกฟาริสีออกไปวางแผนกันว่าจะฆ่าพระเยซูได้อย่างไร
ผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือก
15 พระเยซูทรงทราบเช่นนี้จึงปลีกพระองค์ไปจากที่นั่น คนเป็นอันมากติดตามพระองค์มาและพระองค์ทรงรักษาคนป่วยของพวกเขาให้หายโรคทุกคน 16 พระองค์ทรงเตือนพวกเขาไม่ให้แพร่งพรายว่าพระองค์คือใคร 17 ทั้งนี้เป็นจริงตามที่ได้กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า
18 “นี่คือผู้รับใช้ของเราซึ่งเราเลือกสรรไว้
ผู้ที่เรารักและชื่นชม
เราจะส่งวิญญาณของเราลงมาเหนือเขา
และเขาจะประกาศความยุติธรรมแก่บรรดาประชาชาติ
19 เขาจะไม่วิวาทหรือส่งเสียงร้อง
จะไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงของเขาที่ถนน
20 ไม้อ้อช้ำแล้วเขาจะไม่หัก
และไส้ตะเกียงที่ริบหรี่เขาจะไม่ดับ
จนกว่าเขาจะนำความยุติธรรมไปสู่ชัยชนะ
21 บรรดาประชาชาติจะหวังใจในนามของเขา”[c]
พระเยซูกับเบเอลเซบุบ(B)
22 แล้วเขาพาชายที่มีผีสิงคนหนึ่งซึ่งทั้งตาบอดและเป็นใบ้มาหาพระองค์ พระเยซูทรงรักษาคนนั้น เขาจึงพูดและมองเห็นได้ 23 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจและพูดกันว่า “เป็นไปได้ไหมที่คนนี้คือบุตรดาวิด?”
24 แต่เมื่อพวกฟาริสีได้ยินก็พูดว่า “คนนี้ขับผีออกโดยอาศัยเบเอลเซบุบ[d]เจ้าแห่งผีเท่านั้นเอง”
25 พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขาจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ทุกๆ อาณาจักรที่แตกแยกกันเองย่อมถูกทำลาย และทุกๆ บ้านเมืองหรือครัวเรือนที่แตกแยกกันเองย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ 26 หากซาตานขับไล่ซาตาน มันก็แตกแยกกับตัวเอง แล้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร? 27 และหากเราขับผีออกโดยอาศัยเบเอลเซบุบ คนของพวกท่านเล่าขับผีออกโดยอาศัยใคร? ฉะนั้นพวกเขาจะตัดสินท่าน 28 แต่หากเราขับผีออกโดยพระวิญญาณของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงพวกท่านแล้ว
29 “หรือคนจะสามารถเข้าไปในบ้านของคนที่แข็งแรงและขนเอาทรัพย์สินของเขาไปได้อย่างไร ถ้าไม่จับคนแข็งแรงนั้นมัดไว้ก่อน? จากนั้นจึงปล้นบ้านของเขาได้
30 “ผู้ใดไม่อยู่ฝ่ายเราก็เป็นปฏิปักษ์กับเรา และผู้ใดไม่รวบรวมไว้ให้เราก็ทำให้กระจัดกระจายไป 31 ฉะนั้นเราบอกท่านว่าบาปและการหมิ่นประมาททุกอย่างทรงอภัยให้มนุษย์ได้ แต่การหมิ่นประมาทพระวิญญาณทรงอภัยให้ไม่ได้ 32 ผู้ใดกล่าวล่วงเกินบุตรมนุษย์จะทรงอภัยให้ แต่ผู้ใดกล่าวล่วงเกินพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงอภัยให้ไม่ว่าในยุคนี้หรือในยุคหน้า
33 “ถ้าต้นไม้ดีผลก็จะดี ถ้าต้นไม้เลวผลก็จะเลว เพราะจะรู้จักต้นไม้ได้ก็โดยผลของมัน 34 เจ้าชาติงูร้าย เจ้าที่เป็นคนชั่วจะพูดสิ่งที่ดีได้อย่างไร? เพราะปากพูดสิ่งที่ล้นออกมาจากใจ 35 คนดีนำสิ่งดีๆ ออกมาจากความดีที่สะสมไว้ในตัวเขา ส่วนคนชั่วนำสิ่งชั่วๆ ออกมาจากความชั่วที่สะสมอยู่ในตัวเขา 36 แต่เราบอกท่านว่าในวันพิพากษามนุษย์จะต้องให้การเกี่ยวกับถ้อยคำพล่อยๆ ทุกคำที่เขาพูดออกมา 37 เพราะท่านจะพ้นผิดหรือถูกลงโทษก็ขึ้นอยู่กับถ้อยคำของท่าน”
หมายสำคัญของโยนาห์(C)
38 แล้วมีบางคนในพวกฟาริสีและธรรมาจารย์มาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เราอยากเห็นหมายสำคัญจากท่าน”
39 พระองค์ตรัสว่า “คนในยุคที่ชั่วร้ายและทรยศต่อพระเจ้า ขอแต่หมายสำคัญ! แต่เขาจะไม่ได้รับหมายสำคัญอื่นยกเว้นหมายสำคัญของผู้เผยพระวจนะโยนาห์ 40 เพราะโยนาห์อยู่ในท้องปลาใหญ่สามวันสามคืนฉันใด บุตรมนุษย์ก็จะอยู่ในใจกลางแผ่นดินโลกสามวันสามคืนฉันนั้น 41 ในวันพิพากษาชาวนีนะเวห์จะยืนขึ้นพร้อมกับคนในยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขาเพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจใหม่โดยคำเทศนาของโยนาห์และบัดนี้ผู้[e]ที่ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่ 42 ในวันพิพากษาราชินีแห่งแดนใต้จะลุกขึ้นพร้อมกับคนในยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา เพราะพระนางมาจากสุดโลกเพื่อรับฟังสติปัญญาของโซโลมอน และบัดนี้ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโซโลมอนก็อยู่ที่นี่
43 “เมื่อวิญญาณชั่ว[f]ออกจากผู้ใดแล้ว มันก็ไปทั่วถิ่นแล้ง แสวงหาที่พักและไม่พบ 44 มันจึงว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา’ พอมาถึงก็พบว่าบ้านนั้นว่างอยู่ เก็บกวาดสะอาด และจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย 45 จึงไปพาผีอื่นๆ อีกเจ็ดตนซึ่งชั่วร้ายยิ่งกว่ามันเข้ามาอาศัยที่นั่นด้วย และในที่สุดสภาพของคนนั้นก็เลวร้ายยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก คนในยุคที่ชั่วร้ายนี้ก็จะเป็นเช่นนั้น”
มารดาและน้องชายของพระเยซู(D)
46 ขณะพระเยซูกำลังตรัสอยู่กับฝูงชน มารดาและบรรดาน้องชายของพระองค์มายืนอยู่ด้านนอกต้องการจะพูดกับพระองค์ 47 มีผู้ทูลพระเยซูว่า “มารดาและน้องชายของท่านมายืนอยู่ด้านนอกต้องการจะพูดกับท่าน”[g]
48 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า “ใครคือมารดาและใครคือพี่น้องของเรา?” 49 พระองค์ทรงชี้ไปที่เหล่าสาวกของพระองค์และตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา 50 เพราะผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราในสวรรค์ ผู้นั้นคือมารดาและพี่น้องชายหญิงของเรา”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.