M’Cheyne Bible Reading Plan
เดโบราห์
4 หลังจากเอฮูดสิ้นชีวิตแล้ว ชนอิสราเอลทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าอีก 2 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงขายพวกเขาให้กษัตริย์ยาบินแห่งคานาอันผู้ปกครองในฮาโซร์ แม่ทัพของกษัตริย์ยาบินคือสิเสราซึ่งอาศัยอยู่ที่ฮาโรเชธฮาโกยิม 3 อิสราเอลได้ร้องทูลขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยพวกเขาเพราะว่ากษัตริย์ยาบินมีรถรบเหล็กเก้าร้อยคัน และได้กดขี่ข่มเหงอิสราเอลอย่างโหดร้ายอยู่ถึงยี่สิบปี
4 ผู้นำ[a]ของอิสราเอลในครั้งนั้นคือ ผู้เผยพระวจนะหญิงเดโบราห์ภรรยาของลัปปิโดท 5 นางเปิดศาลตัดสินอยู่ใต้ต้นอินทผลัมแห่งเดโบราห์ ซึ่งอยู่ระหว่างรามาห์กับเบธเอลในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ชาวอิสราเอลพากันมาให้นางตัดสินข้อพิพาท 6 เดโบราห์ส่งคนไปตามตัวบาราคบุตรอาบีโนอัมจากเคเดชในเขตนัฟทาลีมาพบ นางกล่าวกับบาราคว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงบัญชาท่านว่า ‘จงยกพลหนึ่งหมื่นคนจากเผ่านัฟทาลีกับเผ่าเศบูลุนไปยังภูเขาทาโบร์ 7 เราจะล่อสิเสราแม่ทัพของกษัตริย์ยาบินพร้อมด้วยรถม้าศึกและกองทหารของเขามาที่แม่น้ำคีโชน และมอบเขาไว้ในมือของเจ้า’ ”
8 บาราคตอบว่า “ถ้าท่านไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไป แต่หากท่านไม่ไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไม่ไป”
9 เดโบราห์จึงตอบว่า “ตกลง เราจะไปกับท่าน แต่เพราะท่านเลือกวิธีนี้[b] ท่านจะไม่ได้รับเกียรติ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบสิเสราไว้ในมือผู้หญิงคนหนึ่ง” ดังนั้นนางกับบาราคจึงเดินทางไปเคเดช 10 บาราคเกณฑ์ชายหนึ่งหมื่นคนจากเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลีที่เคเดชให้ติดตามเขาไปและเดโบราห์ก็ไปด้วย
11 ฝ่ายเฮเบอร์ชาวเคไนต์ ซึ่งเป็นลูกหลานของโฮบับพี่น้องของภรรยา[c]ของโมเสส ได้แยกออกจากวงศ์วานของตน มาตั้งเต็นท์อยู่ที่ต้นไม้ใหญ่แห่งศาอานันนิมใกล้เคเดช
12 เมื่อสิเสราได้ข่าวว่าบาราคบุตรอาบีโนอัมมาที่ภูเขาทาโบร์ 13 สิเสราก็รวมพลทั้งหมดและรถรบเหล็กเก้าร้อยคันจากฮาโรเชธฮาโกยิมมายังแม่น้ำคีโชน
14 เดโบราห์จึงกล่าวแก่บาราคว่า “จงไปเถิด! วันนี้เป็นวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงมอบสิเสราไว้ในมือของท่าน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำหน้าท่านไปไม่ใช่หรือ?” ดังนั้นบาราคจึงนำพลหนึ่งหมื่นคนลงจากภูเขาทาโบร์เข้าประจัญบาน 15 ขณะบาราคเคลื่อนทัพไปข้างหน้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรุกไล่สิเสรากับรถม้าศึกและกองทัพของเขาด้วยดาบ สิเสราทิ้งรถรบของตนแล้ววิ่งหนีไป 16 แต่บาราครุกไล่ศัตรูและรถม้าศึกไปไกลถึงฮาโรเชธฮาโกยิม ทหารของสิเสราถูกฆ่าตายหมด ไม่รอดชีวิตแม้สักคนเดียว
17 แต่สิเสราก็หนีมาถึงเต็นท์ของยาเอลภรรยาของเฮเบอร์ชาวเคไนต์ ทั้งนี้เพราะกษัตริย์ยาบินแห่งฮาโซร์กับตระกูลเฮเบอร์ชาวเคไนต์เป็นมิตรกัน
18 ยาเอลออกมาต้อนรับสิเสราและกล่าวว่า “เชิญเจ้านายของข้าพเจ้าเข้ามาในเต็นท์เถิด อย่ากลัวเลย” ดังนั้นเขาก็เข้าไปในเต็นท์ นางจึงคลี่ผ้าห่มคลุมตัวเขาไว้
19 เขากล่าวว่า “เรากระหายน้ำ ขอน้ำเราดื่มหน่อย” นางจึงเอานมมาให้เขาดื่ม และเอาผ้าคลุมตัวเขาไว้ดังเดิม
20 เขาสั่งนางว่า “จงยืนอยู่ที่ประตูเต็นท์ ถ้ามีใครผ่านมาและถามเจ้าว่า ‘มีใครอยู่ที่นี่หรือไม่?’ จงตอบว่า ‘ไม่มี’ ”
21 แต่ขณะที่สิเสรานอนหลับอยู่ด้วยความอ่อนเพลีย ยาเอลก็หยิบหลักหมุดเต็นท์และค้อน ย่องเข้ามาเงียบๆ แล้วตอกหลักหมุดเข้าที่ขมับของเขาทะลุดิน เขาก็ตาย
22 เมื่อบาราคไล่ล่าสิเสรามาถึงที่นี่ ยาเอลก็ออกไปพบและกล่าวว่า “มาเถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูคนที่ท่านกำลังตามหา” เขาจึงตามนางเข้าไปในเต็นท์ พบสิเสรานอนตายอยู่ที่นั่นมีหลักหมุดทะลุขมับ
23 ในวันนั้นพระเจ้าทรงทำให้กษัตริย์ยาบินแห่งคานาอันพ่ายแพ้ชาวอิสราเอล 24 และตั้งแต่นั้นมาอิสราเอลก็เริ่มเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถทำลายกษัตริย์ยาบินแห่งคานาอันได้
8 และเซาโลอยู่ที่นั่นก็เห็นชอบกับการตายของสเทเฟน
คริสตจักรถูกข่มเหงและกระจัดกระจายไป
ครั้งนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ที่กรุงเยรูซาเล็ม สาวกทั้งปวงยกเว้นพวกอัครทูตได้กระจัดกระจายไปทั่วแคว้นยูเดียและสะมาเรีย 2 บรรดาผู้อยู่ในทางพระเจ้าจัดการฝังศพสเทเฟนและอาลัยถึงเขาอย่างยิ่ง 3 ฝ่ายเซาโลเริ่มทำลายล้างคริสตจักร เขาเข้าไปบ้านนั้นบ้านนี้ฉุดลากชายหญิงไปขังไว้ในคุก
ฟีลิปในสะมาเรีย
4 บรรดาผู้กระจัดกระจายไปนั้นก็เที่ยวประกาศพระวจนะในทุกแห่งหนที่พวกเขาไป 5 ส่วนฟีลิปลงไปยังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียและประกาศเรื่องพระคริสต์[a]ที่นั่น 6 เมื่อฝูงชนได้ฟังฟีลิปและได้เห็นหมายสำคัญที่เขาทำก็ล้วนตั้งใจฟังสิ่งที่เขากล่าว 7 วิญญาณชั่ว[b]กรีดร้องแล้วออกมาจากหลายคน และคนเป็นอัมพาตและคนพิการหลายคนก็หาย 8 ดังนั้นจึงมีความชื่นชมยินดีใหญ่หลวงในเมืองนั้น
ซีโมนนักอาคม
9 ในเมืองนั้นมีชายคนหนึ่งชื่อซีโมน เขาได้เล่นคาถาอาคมมาระยะหนึ่งแล้วและได้ทำให้ชาวสะมาเรียทั้งปวงอัศจรรย์ใจ เขายกตัวว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ 10 และประชาชนทุกคนทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยต่างสนใจฟังเขาและพากันยกย่องว่า “ชายผู้นี้คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่รู้จักกันในนามว่าองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” 11 คนเหล่านี้ติดตามเขาเพราะอัศจรรย์ใจในวิทยาคมของเขามานาน 12 แต่เมื่อฟีลิปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าและพระนามของพระเยซูคริสต์ พวกเขาก็เชื่อฟีลิปและรับบัพติศมาทั้งชายและหญิง 13 ซีโมนเองก็เชื่อและรับบัพติศมา เขาติดตามฟีลิปไปทุกแห่งและรู้สึกประหลาดใจในหมายสำคัญและการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ต่างๆ ที่ได้เห็น
14 เมื่ออัครทูตในกรุงเยรูซาเล็มได้ข่าวว่าชาวสะมาเรียรับพระวจนะของพระเจ้าแล้วก็ส่งเปโตรกับยอห์นมาหาพวกเขา 15 เมื่อทั้งสองมาถึงก็อธิษฐานเผื่อพวกเขาให้ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ 16 เพราะยังไม่มีใครในพวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพียงแต่ได้รับบัพติศมาเข้าใน[c]พระนามขององค์พระเยซูเจ้า 17 จากนั้นเปโตรกับยอห์นวางมือบนพวกเขาและพวกเขาก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
18 เมื่อซีโมนเห็นคนได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยอัครทูตวางมือให้จึงนำเงินมาเสนอให้พวกเขา 19 และกล่าวว่า “ขอมอบความสามารถนี้ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเพื่อว่าทุกคนที่ข้าพเจ้าวางมือให้จะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์”
20 เปโตรตอบว่า “ให้เงินของท่านพินาศไปพร้อมกับตัวท่านเพราะท่านคิดจะใช้เงินซื้อของประทานจากพระเจ้า! 21 ท่านไม่มีส่วนร่วมในพันธกิจนี้เพราะใจของท่านไม่ได้ซื่อตรงต่อพระเจ้า 22 จงกลับใจใหม่จากการชั่วร้ายนี้และอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์อาจจะอภัยให้ท่านที่คิดเช่นนี้อยู่ในใจ 23 เพราะเราเห็นว่าท่านเต็มไปด้วยความขมขื่นและตกเป็นเชลยของบาป”
24 แล้วซีโมนจึงตอบว่า “โปรดอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเผื่อข้าพเจ้าด้วยเพื่อสิ่งที่ท่านกล่าวจะไม่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า”
25 หลังจากเปโตรกับยอห์นเป็นพยานและประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วทั้งสองก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ระหว่างนั้นก็ได้ประกาศข่าวประเสริฐในหมู่บ้านของชาวสะมาเรียหลายแห่ง
ฟีลิปกับขันทีชาวเอธิโอเปีย
26 ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งฟีลิปว่า “จงลงใต้ ไปยังถนนที่เรียกว่าทางกันดารซึ่งเชื่อมระหว่างกรุงเยรูซาเล็มกับเมืองกาซา” 27 ดังนั้นฟีลิปก็ออกเดินทางไป ในระหว่างทางเขาพบขันทีชาวเอธิโอเปีย[d] เป็นขุนนางคนสำคัญดูแลคลังทรัพย์ของพระนางคานดาสีราชินีแห่งเอธิโอเปีย ขันทีผู้นี้ได้มานมัสการที่เยรูซาเล็ม 28 ระหว่างเดินทางกลับบ้านเขานั่งอ่านหนังสือผู้เผยพระวจนะอิสยาห์อยู่ในรถม้า 29 พระวิญญาณตรัสบอกฟีลิปว่า “จงเข้าไปใกล้ๆ รถม้านั้นเถิด”
30 แล้วฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้รถนั้น เขาได้ยินเสียงคนอ่านหนังสือผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ก็ถามว่า “ท่านเข้าใจสิ่งที่ท่านอ่านหรือ?”
31 ขันทีนั้นตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบาย ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร?” ดังนั้นเขาจึงเชิญฟีลิปขึ้นมานั่งด้วยกัน
32 พระคัมภีร์ที่ขันทีกำลังอ่านอยู่นั้นคือ
“เขาถูกนำตัวไปเหมือนแกะที่ถูกนำไปฆ่า
และเหมือนลูกแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขน
เขาก็ไม่ได้ปริปากเช่นกัน
33 เมื่อเขาถูกย่ำยีนั้นเขาไม่ได้รับความยุติธรรมเลย
ใครเล่าจะพูดถึงเชื้อสายของเขาได้?
เพราะชีวิตของเขาถูกพรากไปจากโลก”[e]
34 ขันทีถามฟีลิปว่า “โปรดบอกเราเถิด ผู้เผยพระวจนะกำลังพูดถึงใคร ตัวผู้เผยพระวจนะเองหรือใครอื่น?” 35 แล้วฟีลิปจึงเริ่มจากข้อพระคัมภีร์ตอนนั้นและเล่าถึงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูให้เขาฟัง
36 ขณะเดินทางไปตามถนน พวกเขามาพบแอ่งน้ำ ขันทีจึงเอ่ยว่า “ดูเถิด ที่นี่มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมาเล่า?”[f] 38 และเขาสั่งให้หยุดรถ จากนั้นฟีลิปกับขันทีก็ลงไปในน้ำและฟีลิปให้ขันทีรับบัพติศมา 39 เมื่อขึ้นจากน้ำพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไปทันที ขันทีไม่เห็นเขาอีกเลยแต่เดินทางต่อไปด้วยความชื่นชมยินดี 40 อย่างไรก็ดีฟีลิปได้มาปรากฏตัวที่เมืองอาโซทัสและเดินทางไปทั่วเพื่อประกาศข่าวประเสริฐในทุกเมืองจนมาถึงเมืองซีซารียา
17 “บาปของยูดาห์ถูกสลักไว้ด้วยปากกาเหล็ก
จารึกไว้ด้วยปลายเพชร
ลงบนแผ่นหัวใจของเขา
และบนเชิงงอนที่แท่นบูชาของพวกเขา
2 แม้แต่ลูกหลานของเขาก็ระลึกถึง
แท่นบูชาและเสาเจ้าแม่อาเชราห์[a]
ข้างต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขา
และบนภูเขาสูงทั้งหลาย
3 ภูเขาของเรา[b]ในดินแดนนั้น
และทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพวกเจ้า
ตลอดจนสถานบูชาบนที่สูงของเจ้า
เราจะให้ศัตรูมาริบไป
เพราะบาปทั่วแดนของเจ้า
4 โดยความผิดของเจ้าเอง
เจ้าจะสูญเสียกรรมสิทธิ์ที่เรามอบให้
เราจะส่งเจ้าไปเป็นทาสของศัตรู
ในดินแดนซึ่งเจ้าไม่รู้จัก
เพราะเจ้าจุดไฟโทสะของเรา
มันจะเผาผลาญตลอดไป”
5 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“คำสาปแช่งตกอยู่แก่ผู้ที่ไว้วางใจในมนุษย์
พึ่งพละกำลังของเขา
และเอาใจออกห่างองค์พระผู้เป็นเจ้า
6 เขาจะเป็นเหมือนพุ่มไม้ในถิ่นกันดาร
มองไม่เห็นความเจริญรุ่งเรืองที่มาถึง
เขาจะอาศัยในถิ่นแห้งแล้งของทะเลทราย
ในเขตดินกร่อยซึ่งไม่มีใครอาศัย
7 “แต่ความสุขมีแก่ผู้ที่ไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในพระองค์
8 เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ
ซึ่งหยั่งรากลงไปริมธารน้ำ
มันไม่กลัวความร้อนที่มาถึง
ใบของมันเขียวขจีอยู่เสมอ
มันไม่วิตกในปีที่แห้งแล้ง
และไม่หยุดออกผล”
9 จิตใจเป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งอื่นใด
และเสื่อมทรามจนสุดจะแก้
ใครจะเข้าใจจิตใจนั้นได้?
10 “เราผู้เป็นพระยาห์เวห์พิเคราะห์ดูจิตใจ
และตรวจสอบความคิด
เพื่อให้บำเหน็จแก่ทุกคนตามผลการกระทำ
และตามความประพฤติของเขา”
11 ผู้ซึ่งมั่งมีด้วยวิธีทุจริต
ก็เหมือนนกที่กกไข่ซึ่งมันไม่ได้วาง
เมื่อถึงวัยกลางคน ทรัพย์สมบัติก็พรากจากเขาไป
และในบั้นปลายเขาจะกลายเป็นคนโง่เขลา
12 สถานนมัสการของข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นบัลลังก์อันรุ่งเรือง
ได้รับการเทิดทูนไว้ตั้งแต่ต้น
13 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นความหวังของอิสราเอล
คนทั้งปวงที่ละทิ้งพระองค์จะอัปยศอดสู
ผู้ที่หันไปจากพระองค์จะถูกจารึกไว้ในธุลีดิน
เพราะเขาละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ทรงเป็นบ่อน้ำพุซึ่งมีน้ำที่ให้ชีวิต
14 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงรักษาข้าพระองค์ แล้วข้าพระองค์จะหายดี
ขอทรงช่วย แล้วข้าพระองค์จะรอด
เพราะพระองค์คือผู้ที่ข้าพระองค์ถวายการสรรเสริญ
15 พวกเขาพร่ำพูดกับข้าพระองค์ว่า
“ไหนล่ะ พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า?
ให้มันเป็นไปตามนั้น เดี๋ยวนี้สิ!”
16 ข้าพระองค์ไม่ได้หนีจากการเป็นคนเลี้ยงแกะของพระองค์
พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์ไม่ได้ปรารถนาวันแห่งความสิ้นหวัง
สิ่งที่ข้าพระองค์เอ่ยปากบอกพวกเขา ก็แจ้งอยู่ต่อหน้าพระองค์
17 ขออย่าทรงเป็นเหตุให้ข้าพระองค์คร้ามกลัว
พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ในวันแห่งภัยพิบัติ
18 ขอให้ผู้กดขี่ข่มเหงข้าพระองค์ต้องอับอายขายหน้า
แต่ขอทรงปกป้องข้าพระองค์จากความอัปยศ
ขอให้พวกเขาอกสั่นขวัญแขวน
แต่ขอทรงคุ้มครองข้าพระองค์ให้พ้นจากความหวาดหวั่น
ขอทรงนำวันแห่งภัยพิบัติมายังเขา
ขอทรงทำลายเขาด้วยหายนะที่รุนแรงเป็นสองเท่า
รักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์
19 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงไปยืนอยู่ที่ประตูเมืองเยรูซาเล็มซึ่งกษัตริย์ยูดาห์เสด็จเข้าออก รวมทั้งประตูอื่นๆ ทั้งหมดของเยรูซาเล็ม 20 จงบอกคนทั้งปวงว่า ‘จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด กษัตริย์ยูดาห์ ชนยูดาห์ และชาวกรุงเยรูซาเล็มซึ่งผ่านเข้าออกประตูเหล่านี้ 21 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่าจงระวังอย่าแบกสิ่งของในวันสะบาโต หรือนำสิ่งใดผ่านเข้าออกประตูของเยรูซาเล็ม 22 อย่าแบกสิ่งใดออกจากบ้านเรือนของเจ้า หรือกระทำกิจการงานใดๆ ในวันสะบาโต แต่จงรักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์ตามที่เราได้บัญชาบรรพบุรุษของเจ้าไว้ 23 แต่คนเหล่านั้นไม่ฟัง ไม่ใส่ใจ พวกเขาดื้อดึงหัวแข็ง ไม่ยอมใส่ใจและรับฟังคำตักเตือน 24 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า แต่ถ้าพวกเจ้าใส่ใจเชื่อฟังเรา และไม่แบกสิ่งใดผ่านประตูในวันสะบาโต แต่รักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์โดยไม่ทำงานใดๆ ในวันนั้น 25 เมื่อนั้นเหล่ากษัตริย์ผู้ครองบัลลังก์ของดาวิดจะเข้าออกประตูต่างๆ ของกรุงนี้พร้อมกับเหล่าขุนนาง พวกเขาจะนั่งบนรถม้าศึกและหลังม้า ติดตามด้วยชนยูดาห์และชาวเยรูซาเล็ม และกรุงนี้จะมีผู้คนอาศัยอยู่ตลอดไป 26 ประชาชนจากเมืองต่างๆ ของยูดาห์ และหมู่บ้านต่างๆ รอบเยรูซาเล็ม จากเขตแดนของเบนยามิน จากเชิงเขาตะวันตก จากแถบภูเขาและเนเกบ จะนำเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา เครื่องหอม และเครื่องบูชาขอบพระคุณมายังพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า 27 แต่หากพวกเจ้ายไม่เชื่อฟังเรา ไม่ยอมรักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์ หากเจ้ายังนำสัมภาระผ่านประตูเมืองทั้งหลายของเยรูซาเล็มในวันสะบาโต เราก็จะจุดไฟเผาประตูเมืองเหล่านี้ เป็นไฟไม่รู้ดับซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของเมืองนี้จนหมดสิ้น’ ”
3 อีกครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเข้าไปในธรรมศาลาและมีชายมือลีบคนหนึ่งอยู่ที่นั่น 2 บางคนกำลังหาเหตุที่จะกล่าวโทษพระเยซู จึงคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าพระองค์จะรักษาชายคนนั้นในวันสะบาโตหรือไม่ 3 พระเยซูตรัสกับชายที่มือลีบนั้นว่า “มายืนข้างหน้านี่สิ”
4 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ทำดีหรือทำชั่ว ช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต อย่างไหนที่ถูกต้องตามบทบัญญัติในวันสะบาโต?” แต่เขาทั้งหลายก็นิ่งอยู่
5 พระองค์ทอดพระเนตรพวกเขาโดยรอบด้วยพระพิโรธ ทรงเศร้าพระทัยนักที่พวกเขาใจแข็งกระด้าง พระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกมา” เขาก็ทำตามและมือของเขาก็กลับเป็นปกติทุกอย่าง 6 พวกฟาริสีจึงออกไปเริ่มคบคิดกับกลุ่มผู้สนับสนุนเฮโรดว่าจะฆ่าพระเยซูได้อย่างไร
ฝูงชนติดตามพระเยซู(A)
7 พระเยซูกับสาวกปลีกตัวจากที่นั่นไปยังทะเลสาบ มีฝูงชนกลุ่มใหญ่จากแคว้นกาลิลีติดตามมา 8 เมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ คนเป็นอันมากจากแคว้นยูเดีย กรุงเยรูซาเล็ม แคว้นอิดูเมอาและอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน ตลอดจนแถบเมืองไทระและเมืองไซดอนพากันมาหาพระองค์ 9 เพราะฝูงชนเหล่านี้พระเยซูจึงตรัสสั่งสาวกให้เตรียมเรือเล็กพร้อมไว้สำหรับพระองค์ เพื่อไม่ให้ผู้คนมาเบียดเสียดพระองค์ 10 เนื่องจากพระเยซูได้ทรงรักษาคนเป็นอันมาก ผู้ที่ป่วยด้วยโรคต่างๆ จึงเบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อจะได้แตะต้องพระองค์ 11 ทุกครั้งที่วิญญาณชั่ว[a]เห็นพระองค์ พวกมันจะหมอบกราบและร้องว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า” 12 แต่พระองค์ทรงห้ามพวกมันเด็ดขาดไม่ให้บอกว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด
การแต่งตั้งอัครทูตสิบสองคน(B)
13 พระเยซูเสด็จขึ้นบนภูเขาและทรงเรียกบรรดาผู้ที่ทรงประสงค์มาพบ และพวกเขาก็มาหาพระองค์ 14 พระองค์ทรงแต่งตั้งคนสิบสองคนเป็นอัครทูต[b]ให้อยู่กับพระองค์ และพระองค์จะทรงส่งพวกเขาออกไปเทศนา 15 และทรงให้พวกเขามีฤทธิ์อำนาจที่จะขับผี 16 สาวกทั้งสิบสองคนนี้ได้แก่ซีโมน (ประทานชื่อให้ว่า เปโตร) 17 ยากอบบุตรเศเบดีกับยอห์นผู้เป็นน้องชาย (ประทานชื่อให้ทั้งคู่ว่า โบอาเนอเย หมายถึง ลูกฟ้าร้อง) 18 อันดรูว์ ฟีลิป บารโธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมนพรรคชาตินิยม 19 และยูดาสอิสคาริโอทผู้ทรยศพระองค์
พระเยซูกับเบเอลเซบุบ(C)
20 แล้วพระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้าน ฝูงชนก็มาชุมนุมกันอีกจนพระองค์กับสาวกไม่มีเวลาแม้แต่จะรับประทานอาหาร 21 เมื่อครอบครัวของพระองค์ได้ยินเรื่องนี้ก็มาเพื่อจะรั้งพระองค์ไว้ เพราะพวกเขาพูดว่า “เขาเสียสติไปแล้ว”
22 และพวกธรรมาจารย์ซึ่งมาจากกรุงเยรูซาเล็มพูดว่า “เขาถูกเบเอลเซบุบ[c]เข้าสิง! จึงขับผีออกได้โดยอาศัยเจ้าแห่งผี”
23 พระเยซูจึงทรงเรียกพวกเขามาและตรัสกับพวกเขาโดยยกคำอุปมาว่า “ซาตานจะไล่ซาตานออกได้อย่างไร? 24 หากอาณาจักรใดแตกแยกกันเองอาณาจักรนั้นย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ 25 หากครอบครัวใดแตกแยกกันเองครอบครัวนั้นย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ 26 และถ้าซาตานต่อต้านตัวเองและแตกแยกกัน มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ จุดจบของมันก็มาถึงแล้ว 27 อันที่จริงไม่มีใครจะสามารถเข้าไปในบ้านของคนที่แข็งแรงและขนเอาทรัพย์สินของเขาไป เว้นแต่จะจับคนแข็งแรงนั้นมัดไว้ก่อนแล้วจึงปล้นบ้านของเขาได้ 28 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าบาปและการหมิ่นประมาททุกอย่างของมนุษย์ทรงอภัยให้ได้ 29 แต่ผู้ใดหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่มีวันได้รับการอภัย เขาได้ทำความผิดอันเป็นบาปที่ติดตัวไปตลอดกาล”
30 พระองค์ตรัสเช่นนี้เพราะพวกเขากล่าวว่า “เขามีวิญญาณชั่วเข้าสิง”
มารดากับน้องชายของพระเยซู(D)
31 แล้วมารดากับน้องๆ ของพระเยซูก็มาถึง พวกเขายืนอยู่ด้านนอกและให้คนเข้าไปเรียกพระองค์ 32 ฝูงชนนั่งอยู่รอบพระองค์ พวกเขาทูลพระองค์ว่า “มารดากับน้องชายของท่านมารอพบท่านอยู่ด้านนอก”
33 พระองค์ตรัสถามว่า “ใครคือมารดาหรือพี่น้องของเรา?”
34 แล้วพระองค์ทรงมองดูบรรดาผู้ที่นั่งอยู่รอบพระองค์และตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา! 35 ผู้ใดทำตามพระทัยของพระเจ้าผู้นั้นแหละคือมารดาและพี่น้องชายหญิงของเรา”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.