Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ผู้วินิจฉัย 12

เยฟธาห์และเอฟราอิม

12 ชนเอฟราอิมระดมกำลังและข้ามมาที่ศาโฟน แล้วกล่าวกับเยฟธาห์ว่า “ทำไมท่านไปสู้รบกับคนอัมโมนโดยไม่เรียกพวกเราไปด้วย? เราจะเผาบ้านของท่านให้วอดวายลงมาทับศีรษะของท่าน”

เยฟธาห์ตอบว่า “ข้าพเจ้ากับพรรคพวกรบติดพันในศึกครั้งใหญ่กับชาวอัมโมน และถึงแม้ข้าพเจ้าเรียกท่าน ท่านก็ไม่ได้มาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากมือของพวกเขาเลย เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าท่านจะไม่ช่วย จึงเสี่ยงเอาชีวิตเข้าแลก ข้าพเจ้าข้ามออกไปสู้กับพวกอัมโมน และองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ประทานชัยชนะเหนือพวกเขา เพราะเหตุใดท่านจึงยกพวกมาสู้กับข้าพเจ้าในวันนี้?”

เยฟธาห์จึงระดมชาวกิเลอาดมาสู้กับชาวเอฟราอิม กิเลอาดพิชิตพวกเขาลงเพราะชาวเอฟราอิมกล่าวหาว่า “กิเลอาดเป็นพวกนอกคอกของเอฟราอิมและมนัสเสห์” ชาวกิเลอาดยึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดนซึ่งจะไปสู่เอฟราอิม และเมื่อใดก็ตามที่ชาวเอฟราอิมซึ่งรอดชีวิตกล่าวว่า “ขอให้เราข้ามไปเถิด” ชาวกิเลอาดก็จะถามเขาว่า “ท่านเป็นชาวเอฟราอิมหรือ?” หากผู้นั้นตอบว่า “ไม่ได้เป็น” พวกเขาก็จะกล่าวว่า “ไหนลองพูดคำว่า ‘ชิบโบเลท’ ซิ” ถ้าเขาพูดว่า “สิบโบเลท” ก็จะถูกจับไปฆ่าที่ท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดน เพราะว่าพวกเขาออกเสียงไม่ถูกต้อง คราวนั้นมีคนเอฟราอิมถูกจับไปฆ่าถึง 42,000 คน

เยฟธาห์ชาวกิเลอาดวินิจฉัย[a]อิสราเอลอยู่หกปี เมื่อเขาสิ้นชีวิตก็ถูกฝังไว้ในเมืองแห่งหนึ่งของกิเลอาด

อิบซาน เอโลน และอับโดน

ผู้วินิจฉัยคนถัดมาของอิสราเอลคืออิบซานแห่งเบธเลเฮม เขามีบุตรชายสามสิบคน บุตรสาวสามสิบคน เขาให้บุตรสาวทั้งสามสิบคนแต่งงานกับชายตระกูลอื่นๆ และหาหญิงสาวสามสิบคนจากตระกูลอื่นมาเป็นภรรยาบุตรชายของตน เขาวินิจฉัยอิสราเอลอยู่เจ็ดปี 10 เมื่อเขาสิ้นชีวิตก็ถูกฝังไว้ที่เบธเลเฮม

11 ผู้วินิจฉัยคนต่อมาคือเอโลนแห่งเผ่าเศบูลุน เขาวินิจฉัยอิสราเอลอยู่สิบปี 12 เมื่อเขาสิ้นชีวิตก็ถูกฝังไว้ที่อัยยาโลนในดินแดนเศบูลุน

13 ผู้วินิจฉัยคนต่อมาคืออับโดนบุตรฮิลเลลจากปิราโธน 14 เขามีบุตรชายสี่สิบคนและหลานชายสามสิบคน ซึ่งขี่ลาเจ็ดสิบตัว เขาวินิจฉัยอิสราเอลอยู่แปดปี 15 เมื่อเขาสิ้นชีวิตก็ถูกฝังไว้ที่ปิราโธนในเอฟราอิม ดินแดนเทือกเขาของชาวอามาเลข

กิจการของอัครทูต 16

ทิโมธีสมทบกับเปาโลและสิลาส

16 เขามาถึงเมืองเดอร์บี จากนั้นไปยังเมืองลิสตรา ที่นั่นมีสาวกคนหนึ่งชื่อทิโมธีอาศัยอยู่ มารดาของเขาเป็นผู้เชื่อชาวยิวแต่บิดาของเขาเป็นชาวกรีก ทิโมธีมีชื่อเสียงดีในหมู่พี่น้องที่เมืองลิสตราและเมืองอิโคนียูม เปาโลต้องการจะพาทิโมธีไปด้วยจึงให้เขาเข้าสุหนัตเพราะเห็นแก่ชาวยิวที่อยู่แถบนั้นเนื่องจากใครๆ ก็รู้ว่าบิดาของเขาเป็นคนกรีก ขณะเดินทางไปยังเมืองต่างๆ พวกเขาก็ถ่ายทอดมติของเหล่าอัครทูตและพวกผู้ปกครองที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อให้คนทั้งหลายปฏิบัติตาม ดังนั้นคริสตจักรต่างๆ จึงได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งในความเชื่อและสมาชิกก็เพิ่มขึ้นทุกวัน

ชาวมาซิโดเนียในนิมิตของเปาโล

เนื่องจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ให้ประกาศพระวจนะในแคว้นเอเชียเปาโลกับคณะจึงเดินทางไปทั่วภูมิภาคฟรีเจียและกาลาเทีย เมื่อมาถึงชายแดนแคว้นมิเซียพวกเขาก็พยายามจะเข้าไปในแคว้นบิธีเนียแต่พระวิญญาณของพระเยซูไม่ทรงอนุญาต พวกเขาจึงผ่านแคว้นมิเซียลงไปยังเมืองโตรอัส ในเวลากลางคืนเปาโลได้รับนิมิตเห็นชาวมาซิโดเนียคนหนึ่งยืนอ้อนวอนว่า “โปรดมาช่วยพวกข้าพเจ้าที่แคว้นมาซิโดเนียด้วยเถิด” 10 หลังจากเปาโลเห็นนิมิตเราก็เตรียมพร้อมทันทีที่จะไปยังแคว้นมาซิโดเนียเพราะเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกเราให้ไปประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา

นางลิเดียกลับใจในฟีลิปปี

11 จากเมืองโตรอัสเราลงเรือแล่นตรงไปยังเกาะสาโมธรัสและรุ่งขึ้นก็ถึงเมืองเนอาโปลิส 12 เราเดินทางจากที่นั่นไปยังเมืองฟีลิปปีซึ่งเป็นอาณานิคมของโรมันและเป็นเมืองเอกเมืองหนึ่งของแคว้นมาซิโดเนีย เราพักอยู่ที่นั่นหลายวัน

13 ในวันสะบาโตเราออกนอกประตูเมืองไปที่แม่น้ำคาดว่าจะพบที่สำหรับอธิษฐาน เรานั่งลงพูดคุยกับพวกผู้หญิงที่ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น 14 มีหญิงคนหนึ่งในพวกที่ฟังอยู่ชื่อลิเดีย เป็นคนค้าผ้าสีม่วงมาจากเมืองธิยาทิรา นางเป็นผู้นมัสการพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดใจนางให้ตอบรับถ้อยคำของเปาโล 15 เมื่อนางกับสมาชิกในครัวเรือนของนางได้รับบัพติศมานางก็เชิญเราเข้าไปในบ้าน โดยกล่าวว่า “หากท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เชิญมาพักที่บ้านของข้าพเจ้าเถิด” นางพูดชักชวนจนเราตกลง

เปาโลกับสิลาสในคุก

16 ครั้งหนึ่งขณะเรากำลังจะไปยังที่อธิษฐานทาสหญิงคนหนึ่งซึ่งมีผีหมอดูสิงอยู่มาพบเรา หญิงนี้ทำเงินให้นายมากมายจากการทำนายโชคชะตา 17 นางตามเปาโลกับพวกเรามาและร้องว่า “คนเหล่านี้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุด พวกเขามาบอกทางรอดให้ท่านทั้งหลาย” 18 นางทำเช่นนี้อยู่หลายวันเป็นการรบกวนเปาโลอย่างมากจนในที่สุดเขาหันไปสั่งผีนั้นว่า “ในพระนามพระเยซูคริสต์ เราสั่งให้เจ้าออกมาจากนาง!” ผีนั้นก็ออกมาจากนางทันที

19 เมื่อเจ้าของทาสนั้นเห็นว่าหมดหวังที่จะหาเงินแล้วก็จับเปาโลกับสิลาสและลากตัวมาที่ย่านชุมชนเพื่อพบเจ้าหน้าที่ 20 พวกเขานำคนทั้งสองมาต่อหน้าคณะผู้ปกครองเมืองแล้วเรียนว่า “คนเหล่านี้เป็นยิวและกำลังก่อกวนบ้านเมืองให้วุ่นวาย 21 โดยแนะนำสั่งสอนธรรมเนียมอันผิดกฎหมายที่เราชาวโรมันไม่อาจยอมรับหรือปฏิบัติตาม”

22 ฝูงชนเข้าร่วมเล่นงานเปาโลกับสิลาส คณะผู้ปกครองเมืองสั่งให้กระชากเสื้อผ้าของพวกเขาออกและโบยตีพวกเขา 23 หลังจากโบยตีอย่างหนักแล้วก็โยนพวกเขาเข้าห้องขังและกำชับพัศดีให้ดูแลอย่างเข้มงวด 24 เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนั้นพัศดีก็จองจำพวกเขาไว้ในห้องขังชั้นในและใส่ขื่อที่เท้าของพวกเขา

25 ราวเที่ยงคืนเปาโลกับสิลาสกำลังอธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าและนักโทษอื่นๆ ฟังอยู่ 26 ทันใดนั้นเกิดแผ่นดินไหวใหญ่จนฐานรากของคุกสั่นคลอน ประตูคุกทุกบานเปิดออกทันทีและโซ่ตรวนหลุดจากทุกคน 27 พัศดีตื่นขึ้นมาและเห็นประตูคุกเปิดก็ชักดาบออกมาจะฆ่าตัวตายเพราะคิดว่านักโทษหนีไปแล้ว 28 แต่เปาโลตะโกนว่า “อย่าทำร้ายตัวเอง! เราทุกคนอยู่ที่นี่!”

29 พัศดีเรียกให้จุดไฟแล้ววิ่งเข้ามาหมอบลงตัวสั่นต่อหน้าเปาโลกับสิลาส 30 จากนั้นก็พาพวกเขาออกมาแล้วถามว่า “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าต้องทำอย่างไรจึงจะได้รับความรอด?”

31 พวกเขาตอบว่า “จงเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า แล้วท่านกับครัวเรือนของท่านจะได้รับความรอด” 32 แล้วพวกเขาก็ประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแก่พัศดีและแก่คนทั้งปวงที่อยู่ในบ้านของเขา 33 กลางดึกชั่วโมงเดียวกันนั้นเองพัศดีก็พาพวกเขาไปล้างแผล แล้วพัศดีกับทั้งครอบครัวก็รับบัพติศมาทันที 34 พัศดีพาพวกเขาเข้าไปในบ้านและจัดอาหารมาเลี้ยงพวกเขา พัศดีชื่นชมยินดียิ่งนักที่ตัวเขาและทุกคนในครอบครัวของเขาได้มาเชื่อพระเจ้า

35 พอรุ่งเช้าคณะผู้ปกครองเมืองส่งเจ้าหน้าที่มาหาพัศดีสั่งว่า “ปล่อยตัวคนเหล่านั้นไป” 36 พัศดีบอกเปาโลว่า “คณะผู้ปกครองเมืองได้สั่งให้ปล่อยตัวท่านกับสิลาส บัดนี้เชิญท่านออกไปอย่างมีสันติสุขเถิด”

37 แต่เปาโลกล่าวกับเจ้าหน้าที่พวกนั้นว่า “พวกเขาโบยเราต่อหน้าประชาชนโดยไม่มีการไต่สวนทั้งๆ ที่เราเป็นพลเมืองโรมันและโยนเราเข้าคุก แล้วบัดนี้พวกเขาจะมาเสือกไสเราออกไปอย่างเงียบๆ หรือ? ไม่ได้! ให้พวกเขาเองนั่นแหละมาพาเราออกไป”

38 พวกเจ้าหน้าที่กลับไปรายงานเรื่องนี้แก่คณะผู้ปกครองเมือง เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเปาโลกับสิลาสเป็นพลเมืองโรมันก็ตกใจ 39 พวกเขามาเอาใจเปาโลกับสิลาสและพาออกจากคุกแล้วขอร้องให้ออกไปจากเมืองนั้น 40 หลังจากเปาโลและสิลาสออกจากคุกแล้วก็มาที่บ้านของนางลิเดีย เขาทั้งสองได้พบกับพวกพี่น้องและให้กำลังใจพวกเขาแล้วลาจากไป

เยเรมีย์ 25

เจ็ดสิบปีแห่งการตกเป็นเชลย

25 พระดำรัสของพระเจ้าเกี่ยวกับประชากรทั้งปวงของยูดาห์มาถึงเยเรมีย์ในปีที่สี่แห่งรัชกาลเยโฮยาคิมโอรสกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์ ซึ่งเป็นปีแรกที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนขึ้นครองราชย์ ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์จึงกล่าวแก่ชาวยูดาห์ทั้งปวงและชาวเยรูซาเล็มว่า ตลอด 23 ปีตั้งแต่ปีที่สิบสามแห่งรัชกาลโยสิยาห์โอรสของกษัตริย์อาโมนแห่งยูดาห์จนถึงวันนี้ ได้มีพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าเรื่อยๆ และข้าพเจ้าก็ถ่ายทอดให้พวกท่านฟังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ท่านก็ไม่ยอมฟัง

และถึงแม้องค์พระผู้เป็นเจ้าส่งบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์มาหาพวกท่านครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกท่านก็ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมใส่ใจ พวกเขากล่าวว่า “พวกเจ้าแต่ละคน จงหันกลับจากวิถีและความประพฤติชั่วร้ายเถิด แล้วเจ้าจะอยู่ในดินแดนซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้ายกให้เจ้าและบรรพบุรุษของเจ้าตลอดไปได้ อย่าไปติดตาม ปรนนิบัติ นมัสการพระอื่นๆ อย่ายั่วให้เราโกรธด้วยสิ่งที่มือของเจ้าเองสร้างขึ้น แล้วเราก็จะไม่ทำอันตรายเจ้า”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “แต่เจ้าก็ไม่ยอมฟังเรา และยั่วให้เราโกรธโดยสิ่งที่มือของเจ้าสร้างขึ้น เจ้ารนหาทุกข์ภัยมาใส่ตัว”

ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “เนื่องจากเจ้าไม่ฟังถ้อยคำของเรา” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เราก็จะเรียกชนชาติทั้งปวงจากทางเหนือ และกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนผู้รับใช้ของเรามาชุมนุมกัน เราจะนำพวกเขามาต่อสู้ดินแดนและชาวถิ่นนี้ ตลอดจนชนชาติต่างๆ ที่รายรอบอยู่ ทั้งหมดนี้ เราจะทำลายล้าง[a]พวกเจ้าให้หมดสิ้น ทำให้เจ้าเป็นเป้าของความสยดสยองและการดูหมิ่นและเป็นความหายนะตลอดกาล 10 เราจะกำจัดเสียงสรวลเสเฮฮา เสียงเจ้าบ่าวเจ้าสาว เสียงโม่แป้ง และแสงตะเกียงไปจากเจ้า 11 ดินแดนทั้งหมดนี้จะกลายเป็นซากทิ้งร้างว่างเปล่า และชนชาติเหล่านี้จะรับใช้กษัตริย์บาบิโลนเป็นเวลาเจ็ดสิบปี”

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาติของเขา ซึ่งก็คือแผ่นดินของชาวบาบิโลน[b] เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขาถูกทิ้งร้างตลอดไป 13 เราจะทำกับดินแดนนั้นตามที่เราได้ลั่นวาจาไว้ทุกประการ ตามที่เขียนไว้ในหนังสือนี้และที่เยเรมีย์ได้พยากรณ์ไว้เกี่ยวกับประชาชาติทั้งปวง 14 พวกเขาจะตกเป็นทาสของกษัตริย์ยิ่งใหญ่จากชาติต่างๆ และเราจะลงโทษพวกเขาให้สาสมกับความประพฤติและการกระทำของพวกเขา”

ถ้วยแห่งพระพิโรธ

15 พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงรับถ้วยที่เต็มด้วยเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธนี้จากมือของเรา และให้ประชาชาติทั้งปวงที่เราใช้เจ้าไปหาดื่มจากถ้วยนี้ 16 เมื่อดื่มแล้ว พวกเขาจะโซซัดโซเซและคลุ้มคลั่งไป เพราะดาบที่เราจะส่งมาท่ามกลางพวกเขา”

17 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงรับถ้วยจากพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และให้มวลประชาชาติที่พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้าไปหานั้นดื่มจากถ้วยนี้ 18 เยรูซาเล็มและเมืองต่างๆ ของยูดาห์ พร้อมทั้งกษัตริย์และขุนนาง จะถูกทำให้เป็นซากรกร้าง เป็นเป้าของความสยดสยอง เป็นที่ดูหมิ่นและเป็นที่สาปแช่งเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 19 ทั้งฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ ขุนนาง ข้าราชบริพาร และราษฎรทั้งปวง 20 ตลอดจนคนต่างด้าวทั้งปวงซึ่งอยู่ที่นั่น รวมทั้งกษัตริย์ทั้งปวงแห่งดินแดนอูสและแห่งฟีลิสเตีย (ผู้ครองอัชเคโลน กาซา เอโครน และประชาชนซึ่งเหลืออยู่ที่อัชโดด) 21 ทั้งเอโดม โมอับ และอัมโมน 22 กษัตริย์ทั้งปวงแห่งไทระและไซดอน บรรดากษัตริย์แห่งภูมิภาคซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของทะเล 23 เดดาน เทมา บูส และคนทั้งปวงในที่ไกลโพ้น[c] 24 กษัตริย์อาระเบียทั้งปวงและของชนเร่ร่อนเผ่าต่างๆ ในทะเลทราย 25 กษัตริย์ทั้งปวงแห่งศิมรี เอลาม และมีเดีย 26 เหล่ากษัตริย์ของดินแดนทางเหนือทั้งใกล้และไกล จากแดนหนึ่งไปสู่อีกแดนหนึ่งและทั่วอาณาจักรทั้งปวงของโลก และในที่สุดกษัตริย์เชชัก[d]เองก็จะดื่มจากถ้วยนี้ด้วย

27 “จงบอกพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า จงดื่ม จงเมามายและอาเจียน และล้มลงจนลุกขึ้นมาอีกไม่ได้เพราะดาบซึ่งเราจะส่งมาในหมู่พวกเจ้า’ 28 แต่หากพวกเขาไม่ยอมรับถ้วยนี้จากมือของเจ้ามาดื่ม จงบอกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนี้ว่า เจ้าต้องดื่ม! 29 ดูเถิด เรากำลังเริ่มต้นนำหายนะมาสู่เมืองซึ่งใช้ชื่อของเรา ส่วนเจ้าจะลอยนวลพ้นโทษไปได้หรือ? ไม่เลย เจ้าจะไม่พ้นโทษเพราะเราจะสั่งให้ลงดาบเหนือชาวโลกทั้งปวง’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น

30 “บัดนี้จงพยากรณ์ถ้อยคำเหล่านี้แก่พวกเขา จงบอกพวกเขาว่า

“ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปล่งเสียงกัมปนาทจากเบื้องบน
พระองค์จะทรงเปล่งพระสุรเสียงจากที่ประทับอันบริสุทธิ์
และส่งเสียงดังสนั่นต่อสู้ดินแดนของพระองค์
พระองค์จะทรงเปล่งเสียงเหมือนเสียงคนย่ำองุ่น
จะเปล่งเสียงดังต่อชาวพิภพทั้งปวง
31 ความโกลาหลอลหม่านจะดังก้องไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงดำเนินคดีกับประชาชาติทั้งหลาย
จะทรงพิพากษาลงโทษมวลมนุษยชาติ
จะทรงประหารคนชั่วด้วยดาบ’ ”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

32 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“ดูเถิด! ภัยพิบัติกำลังแพร่ไป
จากชาติหนึ่งไปยังอีกชาติหนึ่ง
พายุใหญ่กำลังปั่นป่วนขึ้น
จากทุกมุมโลก”

33 ในครั้งนั้นบรรดาคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประหารจะเกลื่อนกลาดอยู่ทุกหนทุกแห่ง จากสุดโลกด้านหนึ่งถึงสุดโลกอีกด้านหนึ่ง จะไม่มีใครร้องไห้ให้เขาหรือรวบรวมซากศพไปฝัง มีแต่ทิ้งไว้บนพื้นเหมือนขยะ

34 จงร่ำไห้และคร่ำครวญเถิด บรรดาคนเลี้ยงแกะ
พวกผู้นำฝูงแกะ จงเกลือกกลิ้งในธุลี
เพราะถึงเวลาแล้วที่พวกเจ้าจะถูกประหาร
เจ้าจะล้มตายและถูกขยี้แหลกลาญเหมือนเครื่องปั้นดินเผาชั้นดี
35 บรรดาคนเลี้ยงแกะไม่รู้จะหนีไปที่ไหน
พวกผู้นำฝูงแกะไม่รู้จะหลบไปที่ใด
36 จงฟังเสียงร้องของเหล่าคนเลี้ยงแกะ
เสียงร่ำไห้ของบรรดาผู้นำฝูงแกะ
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำลังทำลายทุ่งหญ้าของพวกเขา
37 ท้องทุ่งอันสงบสุขจะถูกทิ้งร้าง
เพราะพระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้า
38 พระองค์จะเสด็จมาจากที่ประทับเหมือนราชสีห์
และดินแดนของพวกเขาจะถูกทิ้งร้าง
เพราะดาบ[e]ของผู้กดขี่ข่มเหง
และเพราะพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์

มาระโก 11

เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต(A)

11 เมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็มถึงหมู่บ้านเบธฟายีและหมู่บ้านเบธานีที่ภูเขามะกอกเทศ พระเยซูทรงส่งสาวกสองคนไป ตรัสสั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้านั้น พอเข้าเขตหมู่บ้านจะพบลูกลาตัวหนึ่งซึ่งยังไม่เคยมีใครขี่เลยผูกอยู่ จงแก้เชือกและจูงมาที่นี่ หากมีใครถามว่า ‘ท่านทำเช่นนี้ทำไม?’ จงบอกว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการลูกลานี้และประเดี๋ยวจะส่งกลับคืนให้ที่นี่’ ”

เขาทั้งสองก็ไปและพบลูกลาผูกอยู่นอกประตูที่ถนน ขณะกำลังแก้เชือก บางคนซึ่งยืนอยู่แถวนั้นถามขึ้นมาว่า “ทำอะไร? เจ้าแก้เชือกผูกลูกลานั้นทำไม?” เขาก็ตอบตามที่พระเยซูทรงสั่งไว้ พวกนั้นจึงยอมให้มา เขานำลูกลามาให้พระเยซู แล้วเอาเสื้อคลุมของตนปูบนหลังลาให้พระองค์ประทับ ฝูงชนเป็นอันมากเอาเสื้อคลุมปูบนทาง บางคนตัดกิ่งไม้จากท้องทุ่งมาปู ฝูงชนทั้งที่นำเสด็จและตามเสด็จต่างโห่ร้องว่า

“โฮซันนา![a]

“สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาใน
พระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า!”[b]

10 “ขอให้อาณาจักรของดาวิดบรรพบุรุษของเราที่จะมานี้ จงเจริญ!”

“โฮซันนาในที่สูงสุด!”

11 พระเยซูเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มและไปยังพระวิหาร พระองค์ทอดพระเนตรทุกสิ่งแต่เนื่องจากใกล้ค่ำแล้วจึงทรงออกไปยังหมู่บ้านเบธานีกับสาวกทั้งสิบสองคน

พระเยซูทรงชำระพระวิหาร(B)

12 เช้าวันรุ่งขึ้นขณะออกจากหมู่บ้านเบธานีพระเยซูทรงหิว 13 พระองค์ทรงเห็นต้นมะเดื่อใบดกแต่ไกลก็เสด็จเข้าไปดูว่ามีผลหรือไม่ เมื่อทรงพบว่ามีแต่ใบไม่มีผลเพราะยังไม่ถึงฤดูออกผล 14 จึงตรัสแก่ต้นมะเดื่อนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าเลย” และเหล่าสาวกได้ยินพระดำรัสนี้

15 เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็มพระเยซูเสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหาร ทรงขับไล่บรรดาผู้ที่ซื้อขายของกันที่นั่น ทรงคว่ำโต๊ะของผู้รับแลกเงินและม้านั่งของบรรดาคนขายนกพิราบ 16 และทรงห้ามไม่ให้ผู้ใดขนสินค้าผ่านลานพระวิหาร 17 พระองค์ทรงสอนพวกเขาว่า “มีคำเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า

“ ‘นิเวศของเราจะได้ชื่อว่า
นิเวศแห่งการอธิษฐานสำหรับมวลประชาชาติ’[c]?
แต่พวกเจ้ามาทำให้กลายเป็น ‘ซ่องโจร’[d]

18 บรรดาหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์ได้ยินดังนั้นก็เริ่มหาช่องทางที่จะฆ่าพระเยซู เพราะพวกเขากลัวพระองค์เนื่องจากประชาชนทั้งปวงเลื่อมใสในคำสอนของพระองค์

19 พอตกเย็นพระเยซูกับสาวก[e]ก็ออกจากกรุง

ต้นมะเดื่อเหี่ยวเฉา(C)

20 ในเวลาเช้าขณะมาตามทางพวกเขาเห็นต้นมะเดื่อเหี่ยวเฉาไปจนถึงราก 21 เปโตรนึกขึ้นได้จึงทูลพระเยซูว่า “รับบี ดูสิ! มะเดื่อที่ทรงสาบเหี่ยวเฉาไปแล้ว!”

22 พระเยซูตรัสตอบว่า “จงเชื่อ[f]พระเจ้า 23 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าหากผู้ใดสั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘จงทิ้งตัวลงทะเลไป’ และใจไม่สงสัยเลยแต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่เขาพูดก็จะเป็นจริงตามนั้น 24 เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่าไม่ว่าท่านอธิษฐานทูลขอสิ่งใดจงเชื่อว่าจะได้รับแล้วท่านจะได้สิ่งนั้น 25 เมื่อท่านยืนอธิษฐาน จงให้อภัยคนที่ท่านไม่พอใจ เพื่อพระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยบาปของท่าน[g]

ปัญหาเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซู(D)

27 เมื่อพวกเขามาถึงกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้ง ขณะพระเยซูทรงดำเนินอยู่ในลานพระวิหาร พวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และเหล่าผู้อาวุโสมาทูลถามพระองค์ว่า 28 “ท่านทำสิ่งเหล่านี้โดยอาศัยสิทธิอำนาจใด? และใครให้สิทธิอำนาจท่านทำเช่นนี้?”

29 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราก็จะถามท่านสักข้อหนึ่ง จงตอบมาแล้วเราจะบอกว่าเราอาศัยสิทธิอำนาจใดทำสิ่งเหล่านี้ 30 บัพติศมาของยอห์นมาจากสวรรค์หรือจากมนุษย์? จงบอกเรามา!”

31 พวกเขาหารือกันว่า “ถ้าตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทำไมท่านไม่เชื่อยอห์น?’ 32 แต่ถ้าจะว่า ‘มาจากมนุษย์’…” (พวกเขากลัวประชาชนเพราะทุกคนถือว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะจริงๆ)

33 ดังนั้นพวกเขาจึงทูลพระเยซูว่า “พวกเราไม่ทราบ”

พระเยซูตรัสว่า “เราก็จะไม่บอกพวกท่านเช่นกันว่าเราอาศัยสิทธิอำนาจใดทำสิ่งเหล่านี้”

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.