M’Cheyne Bible Reading Plan
รบชนะชาวมีเดียน
7 ในเวลาเช้าตรู่เยรุบบาอัล (คือกิเดโอน) และคนของเขาทั้งหมดออกมาตั้งค่ายที่น้ำพุฮาโรด ค่ายของชาวมีเดียนตั้งอยู่ทางเหนือของพวกเขาในหุบเขาซึ่งใกล้เนินเขาโมเรห์ 2 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า “เจ้ามีกำลังพลมากเกินไป เราจะไม่ให้เจ้าชนะชาวมีเดียนด้วยคนมากมายขนาดนี้ เพื่อชาวอิสราเอลจะได้ไม่อวดอ้างกับเราว่าพวกเขากอบกู้ตนเองโดยอาศัยกำลังของพวกเขา 3 จงประกาศแก่คนทั้งปวงว่า ‘ผู้ใดหวาดกลัว จงหันกลับและไปจากภูเขากิเลอาดเถิด’ ” ฉะนั้นจึงมี 22,000 คนกลับบ้าน เหลืออยู่หนึ่งหมื่นคน
4 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า “ยังมีคนมากเกินไป จงพาพวกเขาลงไปที่แหล่งน้ำ เราจะเลือกพวกเขาที่นั่น ถ้าเราบอกว่า ‘คนนี้จะไปกับเจ้า’ เขาก็จะไป แต่ถ้าเราบอกว่า ‘คนนี้จะไม่ไปกับเจ้า’ เขาก็จะไม่ไป”
5 ฉะนั้นกิเดโอนจึงนำคนของเขาลงมาที่ริมน้ำ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาที่นั่นว่า “จงแยกคนที่เลียน้ำกินเหมือนสุนัขออกจากคนที่คุกเข่าลงดื่มน้ำ” 6 มีเพียงสามร้อยคนที่เอามือวักน้ำขึ้นเลียนอกนั้นคุกเข่าลงดื่มน้ำ
7 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า “เราจะช่วยกู้เจ้าและมอบชาวมีเดียนไว้ในเงื้อมมือของเจ้าด้วยคนสามร้อยคนนี้ ให้คนอื่นกลับบ้านไปให้หมด” 8 ดังนั้นกิเดโอนจึงส่งชาวอิสราเอลที่เหลือกลับไปยังเต็นท์ของตน แต่เอาสามร้อยคนและเอาเสบียงอาหารกับแตรของคนที่กลับบ้านไว้
ฝ่ายชาวมีเดียนตั้งค่ายพักอยู่ในหุบเขาเบื้องล่าง 9 ในคืนนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า “จงลุกขึ้น จงไปต่อสู้กับค่ายนั้น เพราะว่าเรากำลังจะมอบเขาไว้ในมือของเจ้า 10 แต่หากเจ้าหวาดกลัว ไม่กล้าโจมตี จงลงไปที่ค่ายของชาวมีเดียนพร้อมกับปูราห์คนรับใช้ของเจ้า 11 แล้วจงฟังสิ่งที่พวกเขากำลังพูดกัน หลังจากนั้นเจ้าจะมีกำลังใจที่จะเข้าโจมตีค่าย” ฉะนั้นกิเดโอนกับปูราห์คนรับใช้ของเขาจึงลงไปยังที่มั่นรอบนอกค่าย 12 คนมีเดียน คนอามาเลข และชนชาติอื่นทั้งหมดทางด้านตะวันออก ตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาอย่างหนาแน่นดั่งฝูงตั๊กแตน อูฐของเขามีมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนทรายที่ชายทะเล
13 กิเดโอนมาถึงพอดีกับที่ชายคนหนึ่งกำลังเล่าความฝันให้เพื่อนฟังว่า “ข้าพเจ้าฝันว่ามีขนมปังบาร์เลย์กลมๆ ก้อนหนึ่งกลิ้งเข้ามาในค่ายของชาวมีเดียนและกระแทกเต็นท์อย่างแรงจนเต็นท์ของเราพังราบลงมา”
14 เพื่อนของเขาตอบว่า “นี่ไม่ใช่อื่นไกล เป็นดาบของกิเดโอนบุตรโยอาชชาวอิสราเอล พระเจ้าทรงมอบชาวมีเดียนและค่ายทั้งค่ายไว้ในมือของเขาแล้ว”
15 เมื่อกิเดโอนได้ยินความฝันและความหมายก็ก้มกราบนมัสการพระเจ้า จากนั้นกลับไปยังค่ายพักของอิสราเอล แล้วร้องว่า “ลุกขึ้นเถิด! องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบค่ายของชาวมีเดียนไว้ในมือของท่านแล้ว” 16 กิเดโอนแบ่งคนสามร้อยคนออกเป็นสามกลุ่ม แจกจ่ายแตรกับหม้อดินเปล่าๆ ที่บรรจุคบเพลิงไว้ข้างในให้กับทุกคน
17 เขากล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “จงตามข้าพเจ้ามาและเฝ้าดู เมื่อข้าพเจ้าไปถึงริมค่าย จงทำตามข้าพเจ้าทุกประการ 18 ทันทีที่ข้าพเจ้าและคนในกลุ่มของข้าพเจ้าเป่าแตร ท่านจงเป่าแตรรอบค่ายและโห่ร้องว่า ‘เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อกิเดโอน’ ”
19 ราวสี่ห้าทุ่ม หลังจากที่ทหารรักษาการณ์เพิ่งผลัดเวรกัน กิเดโอนและคนหนึ่งร้อยคนที่ไปกับเขามาถึงรอบนอกค่ายทันใดนั้นกิเดโอนกับพวกก็เป่าแตรและทุบหม้อในมือทิ้ง 20 ทั้งสามกลุ่มเป่าแตรและทุบหม้อ มือซ้ายถือคบเพลิง มือขวาถือแตร และโห่ร้องว่า “ดาบนี้เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อกิเดโอน!” 21 จากนั้นพวกเขาก็เพียงแต่ยืนอยู่รอบค่าย ดูชาวมีเดียนทั้งหมดวิ่งพล่าน ร้องตะโกนขณะที่หนีเตลิดไป
22 เมื่อคนสามร้อยคนนั้นเป่าแตร องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้คนมีเดียนทั้งค่ายหันมาสู้รบและฆ่าฟันกันเอง แล้วกองทัพมีเดียนเตลิดหนีไปเบธชิทธาห์ ซึ่งเป็นทางไปเศเรราห์และหนีไปถึงเขตแดนอาเบลเมโฮลาห์ใกล้ทับบาท 23 ชนอิสราเอลจากนัฟทาลี อาเชอร์ และมนัสเสห์ทั้งหมดถูกเรียกออกมา พวกเขารุกไล่ชาวมีเดียน 24 กิเดโอนส่งผู้สื่อสารไปทั่วแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิมและกล่าวว่า “จงลงมาต่อสู้กับชาวมีเดียนและยึดน่านน้ำจอร์แดนไปจนถึงเบธบาราห์ก่อนหน้าพวกเขา”
ดังนั้นคนเอฟราอิมทั้งหมดจึงถูกเรียกออกมา และพวกเขายึดน่านน้ำจอร์แดนไปจนถึงเบธบาราห์ 25 พวกเขาจับผู้นำมีเดียนสองคน คือโอเรบและเศเอบ พวกเขาฆ่าโอเรบที่ศิลาแห่งโอเรบและฆ่าเศเอบที่บ่อย่ำองุ่นแห่งเศเอบ พวกเขาตามล่าชาวมีเดียนและนำศีรษะของโอเรบกับเศเอบมามอบให้กิเดโอนซึ่งอยู่ที่ริมแม่น้ำจอร์แดน
เปโตรชี้แจงการกระทำของเขา
11 เหล่าอัครทูตและพวกพี่น้องทั่วแคว้นยูเดียได้ยินว่าคนต่างชาติก็ได้รับพระวจนะของพระเจ้าด้วย 2 ดังนั้นเมื่อเปโตรกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มพวกผู้เชื่อซึ่งเข้าสุหนัตแล้วจึงวิพากษ์วิจารณ์เขา 3 และกล่าวว่า “ท่านเข้าไปในบ้านของผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตและรับประทานอาหารกับเขา”
4 เปโตรจึงชี้แจงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟังตามลำดับว่า 5 “ข้าพเจ้าอยู่ที่เมืองยัฟฟา ขณะกำลังอธิษฐานและตกอยู่ในภวังค์ข้าพเจ้าก็ได้รับนิมิต เห็นสิ่งหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ทั้งสี่มุมหย่อนจากฟ้าสวรรค์ลงมายังที่ซึ่งข้าพเจ้าอยู่ 6 ข้าพเจ้ามองเข้าไปเห็นสัตว์สี่เท้าของแผ่นดินโลก สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศ 7 แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงหนึ่งบอกข้าพเจ้าว่า ‘เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด’
8 “ข้าพเจ้าตอบว่า ‘ไม่ได้พระเจ้าข้า! ไม่เคยมีสิ่งเป็นมลทินหรือไม่สะอาดเข้าปากของข้าพระองค์เลย’
9 “เสียงนั้นพูดจากฟ้าสวรรค์เป็นครั้งที่สองว่า ‘อย่าเรียกสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงชำระให้สะอาดแล้วว่าเป็นมลทิน’ 10 เป็นเช่นนี้ถึงสามครั้ง แล้วทั้งหมดนั้นก็ถูกรับขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์อีก
11 “ทันใดนั้นเองชายสามคนจากเมืองซีซารียาที่เขาส่งมาหาข้าพเจ้าก็มาหยุดอยู่ที่บ้านซึ่งข้าพเจ้าพักอยู่ 12 พระวิญญาณทรงสั่งให้ข้าพเจ้าไปกับพวกเขาโดยไม่ต้องลังเล พี่น้องหกคนนี้ก็ไปด้วยและเราเข้าไปในบ้านของชายผู้นั้น 13 เขาเล่าให้เราฟังว่าได้เห็นทูตสวรรค์มาปรากฏในบ้านของเขาและกล่าวว่า ‘จงส่งคนไปเมืองยัฟฟา แล้วรับตัวซีโมนที่เรียกกันว่าเปโตรมาเถิด 14 เขาจะแจ้งเรื่องราวแก่เจ้าแล้วเจ้ากับทั้งครัวเรือนของเจ้าจะได้รับความรอดผ่านเรื่องราวนั้น’
15 “พอข้าพเจ้าเริ่มพูดพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาเหนือพวกเขาเหมือนที่ได้เสด็จมาเหนือเราทั้งหลายในตอนแรก 16 แล้วข้าพเจ้าจึงนึกขึ้นได้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ยอห์นให้บัพติศมาด้วย[a]น้ำ แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับบัพติศมาด้วย[b]พระวิญญาณบริสุทธิ์’ 17 ดังนั้นถ้าพระเจ้าทรงให้ของประทานอย่างเดียวกันแก่พวกเขาเหมือนที่ทรงให้แก่พวกเราผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า แล้วข้าพเจ้าเป็นใครกันเล่าที่คิดว่าจะขัดขวางพระเจ้าได้?”
18 เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ก็ไม่มีข้อคัดค้านใดอีกและพากันสรรเสริญพระเจ้าว่า “ถ้าอย่างนั้น แม้คนต่างชาติพระเจ้าก็ทรงโปรดให้กลับใจใหม่เข้าสู่ชีวิตด้วย”
คริสตจักรในอันทิโอก
19 ฝ่ายบรรดาผู้ที่กระจัดกระจายไปเนื่องจากการข่มเหงอันเกี่ยวโยงกับสเทเฟน ก็เดินทางไปไกลถึงเมืองฟีนิเซีย เกาะไซปรัสและเมืองอันทิโอก และเล่าเรื่องราวนั้นแก่พวกยิวเท่านั้น 20 แต่ก็มีบางคนในพวกเขาที่มาจากเกาะไซปรัสและจากเมืองไซรีนได้ไปที่เมืองอันทิโอกและเล่าข่าวประเสริฐเรื่ององค์พระเยซูเจ้าแก่ชาวกรีกด้วย 21 พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับเขาเหล่านั้น ผู้คนมากมายเชื่อและกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
22 ข่าวนี้มาถึงคริสตจักรที่กรุงเยรูซาเล็มพวกเขาจึงส่งบารนาบัสไปยังเมืองอันทิโอก 23 เมื่อบารนาบัสมาถึงและได้เห็นพยานหลักฐานที่แสดงถึงพระคุณของพระเจ้าก็ชื่นชมยินดีและให้กำลังใจพวกเขาทุกคนให้สัตย์ซื่อมั่นคงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดใจ 24 บารนาบัสเป็นคนดี เต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเชื่อ คนจำนวนมากก็มาเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
25 แล้วบารนาบัสจึงไปตามหาเซาโลที่เมืองทาร์ซัส 26 เมื่อพบแล้วก็พาเขามาเมืองอันทิโอก บารนาบัสกับเซาโลร่วมประชุมกับคริสตจักรและสั่งสอนคนเป็นอันมากตลอดหนึ่งปีเต็ม และที่เมืองอันทิโอกนั้นเองพวกสาวกได้ชื่อว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรก
27 ครั้งนั้นมีผู้เผยพระวจนะบางคนจากกรุงเยรูซาเล็มมาที่อันทิโอก 28 พวกเขาคนหนึ่งชื่ออากาบัสยืนขึ้นพยากรณ์โดยพระวิญญาณว่าจะเกิดการกันดารอาหารอย่างรุนแรงทั่วจักรวรรดิโรมัน (เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในสมัยของคลาวดิอัส) 29 เหล่าสาวกจึงตัดสินใจว่าจะร่วมกันช่วยเหลือพวกพี่น้องที่อยู่ในแคว้นยูเดียตามกำลังของแต่ละคน 30 พวกเขาทำตามนั้นโดยฝากความช่วยเหลือของพวกเขาให้บารนาบัสกับเซาโลนำมาให้เหล่าผู้ปกครองคริสตจักร
เยเรมีย์และปาชเฮอร์
20 เมื่อปุโรหิตปาชเฮอร์บุตรอิมเมอร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ดูแลพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ยินเรื่องที่เยเรมีย์กำลังเผยพระวจนะอยู่ 2 ก็ให้คนทุบตีผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ และจับกุมตัวใส่ขื่อคาขังไว้ที่ประตูเบนยามินด้านบนของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า 3 เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อปาชเฮอร์มาปล่อยเยเรมีย์ออกจากขื่อคา เยเรมีย์กล่าวกับเขาว่า “ชื่อที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตั้งให้ท่านไม่ใช่ปาชเฮอร์ แต่เป็นมาโกร์มิสสาบิบ[a] 4 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราจะทำให้เจ้าเป็นที่สยดสยองทั้งแก่ตัวเจ้าเองและแก่เพื่อนฝูงทั้งปวงของเจ้า ตาของเจ้าเองจะเห็นพวกเขาล้มตายด้วยคมดาบของเหล่าศัตรู เราจะมอบยูดาห์ไว้ในเงื้อมมือกษัตริย์บาบิโลน ซึ่งจะกวาดต้อนพวกเขาไปยังบาบิโลนหรือฆ่าทิ้ง 5 เราจะมอบทรัพย์สมบัติทั้งปวงของกรุงนี้แก่ศัตรูของพวกเขา ได้แก่ผลิตผลทั้งปวง ทรัพย์สินมีค่าและสมบัติทั้งสิ้นของบรรดากษัตริย์ยูดาห์ ศัตรูจะปล้นและริบไปยังบาบิโลน 6 ส่วนเจ้า ปาชเฮอร์และทุกคนในครัวเรือนของเจ้าจะต้องไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ตายและฝังที่นั่น ทั้งตัวเจ้าและเพื่อนๆที่เจ้าพยากรณ์เท็จให้ฟัง’ ”
เยเรมีย์คร่ำครวญ
7 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงหลอกลวงข้าพระองค์และข้าพระองค์ก็ถูกหลอกให้ตายใจ
พระองค์เหนือกว่าข้าพระองค์และทรงชนะข้าพระองค์
ข้าพระองค์ถูกหัวเราะเยาะวันยังค่ำ
ทุกคนเย้ยหยันข้าพระองค์
8 เมื่อใดที่พูด ข้าพระองค์เป็นต้องป่าวร้อง
ประกาศความรุนแรงและความพินาศย่อยยับ
ฉะนั้นพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ทำให้ข้าพระองค์ถูกเย้ยหยันและถูกติเตียนวันยังค่ำ
9 แต่หากข้าพระองค์จะกล่าวว่า “ข้าพระองค์จะไม่พูดถึงพระองค์
หรือไม่พูดอะไรในพระนามของพระองค์อีกต่อไป”
พระดำรัสของพระองค์ในจิตใจของข้าพระองค์
ก็เป็นเหมือนไฟที่แผดเผาอยู่ในกระดูก
และข้าพระองค์หมดเรี่ยวหมดแรงที่จะทนเก็บไว้ได้
ข้าพระองค์เก็บไว้ไม่ได้จริงๆ
10 ข้าพระองค์ได้ยินเสียงซุบซิบหนาหูว่า
“ความสยดสยองอยู่รอบด้าน!
ให้เรารายงานเรื่องเขา! รายงานเรื่องเขา!”
เพื่อนๆ ของข้าพระองค์
คอยให้ข้าพระองค์พลาดล้ม พวกเขาพูดว่า
“บางทีเขาอาจจะถูกหลอก
แล้วเราจะชนะเขา
และแก้แค้นเขาได้”
11 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เคียงข้างข้าพระองค์ประหนึ่งนักรบผู้เกรียงไกร
ฉะนั้นบรรดาผู้ข่มเหงข้าพระองค์จะล้มลงและไม่ชนะ
พวกเขาจะล้มเหลวและอัปยศอดสู
พวกเขาจะถูกตราหน้าและเสียเกียรติตลอดไป
12 ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระองค์ทรงพิเคราะห์ผู้ชอบธรรม
ทรงพินิจดูความคิดจิตใจ
ขอโปรดให้ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงแก้แค้นคนเหล่านี้
เพราะข้าพระองค์ได้มอบเรื่องราวของข้าพระองค์ไว้กับพระองค์แล้ว
13 จงร้องเพลงถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า!
จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า!
พระองค์ทรงกู้ชีวิตของผู้ขัดสน
จากเงื้อมมือของคนชั่ว
14 ขอแช่งวันที่ข้าพเจ้าถือกำเนิดมา!
ขออย่าให้วันที่แม่คลอดข้าพเจ้าออกมานั้นได้รับพร!
15 ขอแช่งคนที่นำข่าวไปบอกพ่อของข้าพเจ้า
คนที่ทำให้พ่อของข้าพเจ้าดีใจมาก
โดยบอกว่า “ท่านได้ลูกชายแล้ว!”
16 ขอให้คนนั้นเป็นเหมือนเมืองต่างๆ
ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงคว่ำทลายโดยปราศจากความเมตตาสงสาร
ขอให้เขาได้ยินเสียงร่ำไห้ในยามเช้า
เสียงโห่ร้องทำศึกยามเที่ยงวัน
17 เนื่องจากเขาไม่ฆ่าข้าพเจ้าเสียตั้งแต่อยู่ในครรภ์
ให้ท้องของแม่เป็นหลุมฝังศพของข้าพเจ้า
ให้ท้องของแม่โตอยู่อย่างนั้นตลอดไป
18 ทำไมหนอข้าพเจ้าจึงออกมาจากท้องแม่
ต้องเห็นความทุกข์โศกลำเค็ญ
และชีวิตหมดไปกับความอัปยศอดสู?
ผู้เผยพระวจนะซึ่งไม่มีใครนับถือ(A)
6 พระเยซูเสด็จจากที่นั่นไปยังบ้านเกิดของพระองค์โดยมีเหล่าสาวกติดตามไปด้วย 2 เมื่อถึงวันสะบาโตพระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลา หลายคนที่ได้ฟังพระองค์ก็ประหลาดใจ
พวกเขาถามว่า “คนนี้ได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? สติปัญญาที่เขาได้รับเป็นสติปัญญาอย่างไหนกัน? ถึงกับทำการอัศจรรย์ได้! 3 เขาเป็นช่างไม้มิใช่หรือ? เขาเป็นลูกนางมารีย์ เป็นพี่ชายของยากอบ โยเซฟ[a] ยูดาส กับซีโมนไม่ใช่หรือ? พวกน้องสาวของเขาก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ?” เขาทั้งหลายจึงไม่พอใจพระองค์
4 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระวจนะจะขาดคนนับถือก็แต่เฉพาะในบ้านเกิด ในหมู่ญาติ และในบ้านของตนเอง” 5 พระองค์ไม่อาจทำการอัศจรรย์ใดๆ ที่นั่นเว้นแต่ทรงวางมือบนคนป่วยบางคนและรักษาพวกเขาให้หาย 6 และพระองค์ทรงแปลกใจที่พวกเขาขาดความเชื่อ
พระเยซูทรงส่งสาวกทั้งสิบสองคนออกไป(B)
จากนั้นพระเยซูเสด็จไปสั่งสอนตามหมู่บ้านโดยรอบ 7 ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา ส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ๆพร้อมทั้งประทานฤทธิ์อำนาจเหนือวิญญาณชั่ว[b]ให้แก่พวกเขา
8 พระองค์ทรงกำชับว่า “ไม่ต้องนำสิ่งใดติดตัวไปในการเดินทางนอกจากไม้เท้า ไม่ต้องเอาอาหาร ย่าม หรือเงินติดตัวไป 9 ให้สวมรองเท้าแต่ไม่ต้องเตรียมเสื้ออีกตัวหนึ่ง 10 เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงพักที่บ้านนั้นจนกว่าจะไปจากเมืองนั้น 11 หากที่ไหนไม่ต้อนรับหรือไม่รับฟัง เมื่อจะไปจากที่นั่นก็จงสะบัดฝุ่นออกจากเท้าเพื่อเป็นพยานปรักปรำเขา”
12 เหล่าสาวกจึงออกไปและเทศนาให้ประชาชนกลับใจใหม่ 13 พวกเขาขับผีออกหลายตนและเจิมคนป่วยมากมายด้วยน้ำมันและรักษาพวกเขาให้หาย
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกประหาร(C)
14 กษัตริย์เฮโรดได้ยินเรื่องของพระเยซูเพราะชื่อเสียงของพระองค์เลื่องลือไปทั่ว บางคนพูดว่า[c]พระเยซูคือยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งเป็นขึ้นจากตาย ดังนั้นเขาจึงมีฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์ต่างๆ ได้
15 บางคนก็ว่า “เขาคือเอลียาห์” และยังมีคนอื่นๆ ที่อ้างว่า “เขาคือผู้เผยพระวจนะเหมือนเหล่าผู้เผยพระวจนะในอดีต”
16 แต่เมื่อเฮโรดได้ยินก็กล่าวว่า “นี่คือยอห์นที่เราสั่งให้ตัดศีรษะไป เขาเป็นขึ้นจากตายแล้ว!”
17 เพราะเฮโรดเองสั่งให้จับยอห์นมาล่ามโซ่ขังไว้ในคุกด้วยสาเหตุจากนางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตนซึ่งเฮโรดได้นางมาเป็นภรรยา 18 เนื่องจากยอห์นเคยพูดกับเฮโรดว่า “ท่านทำผิดบัญญัติที่เอาน้องสะใภ้มาเป็นภรรยา” 19 ดังนั้นนางเฮโรเดียสจึงอาฆาตยอห์นและอยากจะฆ่าเขาแต่ก็ทำไม่ได้ 20 เพราะเฮโรดยำเกรงยอห์นและคอยปกป้องเขาเพราะรู้ว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมและบริสุทธิ์ เมื่อเฮโรดได้ฟังยอห์นพูดก็งุนงงสงสัยยิ่งนัก[d]แต่ก็ยังอยากฟัง
21 ในที่สุดโอกาสก็มาถึง ในงานฉลองวันเกิดเฮโรดจัดงานเลี้ยงขุนนาง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และบรรดาคนสำคัญๆ ในแคว้นกาลิลี 22 เมื่อบุตรีของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำก็เป็นที่ถูกใจเฮโรดกับแขกเหรื่อยิ่งนัก
กษัตริย์จึงกล่าวกับหญิงสาวนั้นว่า “จงขอสิ่งที่เจ้าต้องการแล้วเราจะให้ตามที่เจ้าขอ” 23 และสัญญาโดยปฏิญาณว่า “ไม่ว่าเจ้าจะขออะไร เราก็จะให้ทั้งนั้นจนถึงครึ่งหนึ่งของอาณาจักร”
24 นางจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขออะไรดี?”
มารดาบอกว่า “ขอศีรษะยอห์นผู้ให้บัพติศมาสิ”
25 นางรีบมาทูลกษัตริย์ทันทีว่า “ขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เดี๋ยวนี้เถิด”
26 กษัตริย์เฮโรดเป็นทุกข์ยิ่งนักแต่ก็ขัดไม่ได้เพราะได้ปฏิญาณไว้และเพราะเห็นแก่หน้าแขกเหรื่อ 27 จึงบัญชาในทันทีทันใดให้เพชฌฆาตนำศีรษะของยอห์นมา เขาก็ไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก 28 แล้วนำศีรษะใส่ถาดมาให้หญิงนั้นและนางเอาไปให้มารดา 29 เมื่อศิษย์ของยอห์นทราบข่าวจึงมารับศพเขาไปฝังในอุโมงค์
พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน(D)
30 ฝ่ายอัครทูตมาเข้าเฝ้าพระเยซูและทูลรายงานสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาได้ทำและสั่งสอน 31 เนื่องจากขณะนั้นมีผู้คนไปๆ มาๆ กันแน่นขนัดจนพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะรับประทานอาหาร พระองค์จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงตามเราไปหาที่สงบพักกันสักหน่อยเถิด”
32 ดังนั้นพระองค์กับเหล่าสาวกจึงลงเรือไปยังที่สงบเงียบ 33 แต่หลายคนเห็นพวกเขาก็จำได้และพากันวิ่งจากเมืองต่างๆ ไปถึงที่นั่นก่อน 34 เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือและเห็นคนหมู่ใหญ่ก็ทรงสงสารเพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง ดังนั้นพระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง
35 พอตกเย็นเหล่าสาวกจึงมาทูลว่า “ที่นี่ห่างไกลนักและตกเย็นแล้ว 36 ขอทรงให้ประชาชนเหล่านี้ไปเสียเถิดเพื่อเขาจะได้ซื้อหาอาหารกินกันเองตามหมู่บ้านรอบๆ”
37 แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด”
เหล่าสาวกทูลว่า “นี่ต้องใช้เงินเท่ากับค่าจ้างคนงานคนหนึ่งถึงแปดเดือน[e]ทีเดียว! เราต้องใช้เงินมากขนาดนั้นไปซื้อหาอาหารมาให้เขากินหรือ?”
38 พระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน? ไปดูซิ”
เมื่อรู้แล้วพวกเขาจึงกลับมาทูลว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว”
39 แล้วพระเยซูตรัสสั่งสาวกให้ไปบอกประชาชนให้นั่งกันเป็นกลุ่มบนพื้นหญ้าเขียวขจี 40 พวกเขาก็นั่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง 41 พระเยซูทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวนั้นมา ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมองฟ้าสวรรค์แล้วขอบพระคุณพระเจ้าและหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวก พวกเขาก็แจกจ่ายให้ประชาชน พระองค์ยังทรงแบ่งปลาสองตัวให้คนทั้งปวงโดยทั่วกันด้วย 42 พวกเขาทุกคนได้กินอิ่มหนำ 43 เหล่าสาวกเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้สิบสองตะกร้าเต็ม 44 จำนวนผู้ชายที่รับประทานอาหารนั้นมีห้าพันคน
พระเยซูทรงดำเนินบนน้ำ(E)
45 แล้วพระเยซูทรงให้เหล่าสาวกลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปยังเมืองเบธไซดาทันทีขณะที่พระองค์ทรงรอส่งฝูงชน 46 หลังจากแยกจากพวกเขาแล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐาน
47 เมื่อค่ำลง เรือของเหล่าสาวกอยู่กลางทะเลสาบและพระองค์ประทับอยู่ที่ริมฝั่งแต่ผู้เดียว 48 ทรงเห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงทวนลมที่ปะทะอยู่ ในช่วงใกล้รุ่ง[f]พระเยซูก็ทรงดำเนินบนน้ำไปหาพวกเขา พระองค์กำลังจะเสด็จเลยพวกเขาไป 49 แต่เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ดำเนินมาบนทะเลสาบก็คิดว่าเป็นผีจึงร้องลั่น 50 เพราะทุกคนเห็นพระองค์และตกใจกลัว
ทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เข้มแข็งไว้! นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 51 แล้วเสด็จขึ้นเรือของพวกเขา ลมก็สงบ พวกเขาประหลาดใจยิ่งนัก 52 เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง จิตใจของพวกเขาแข็งกระด้าง
53 เมื่อข้ามฟากมาแล้วพวกเขาก็จอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเรท 54 ทันทีที่พวกเขาขึ้นจากเรือประชาชนก็จำพระเยซูได้ 55 คนเหล่านั้นจึงวิ่งไปทั่วแคว้นนำบรรดาคนเจ็บป่วยวางบนที่นอนและหามไปยังทุกที่ที่ได้ยินว่าพระองค์เสด็จไป 56 ไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ไหน ทั้งในหมู่บ้าน ในเมือง หรือในชนบท พวกเขาจะหามคนป่วยมาที่ย่านชุมชน แล้วทูลขอให้คนป่วยนั้นได้แตะต้องแม้แต่เพียงชายฉลองพระองค์ก็พอและทุกคนที่ได้แตะต้องพระองค์ก็หายป่วย
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.