M’Cheyne Bible Reading Plan
โทลา
10 หลังจากยุคของอาบีเมเลค ก็มีโทลาบุตรปูอาห์หลานโดโดจากตระกูลอิสสาคาร์ขึ้นมาช่วยกอบกู้อิสราเอล เขาอาศัยอยู่ที่ชามีร์ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม 2 โทลาวินิจฉัย[a]อิสราเอลอยู่ 23 ปี เมื่อเขาสิ้นชีวิตก็ถูกฝังไว้ที่ชามีร์
ยาอีร์
3 แล้วยาอีร์แห่งกิเลอาดดำรงตำแหน่งสืบต่อมา เขาวินิจฉัยอิสราเอลอยู่ 22 ปี 4 เขามีบุตรชายสามสิบคน พวกเขาขี่ลาคนละตัวและครองเมืองสามสิบเมืองในดินแดนกิเลอาด ซึ่งยังคงเรียกกันว่าฮัฟโวทยาอีร์[b]จนถึงทุกวันนี้ 5 เมื่อยาอีร์สิ้นชีวิตก็ถูกฝังไว้ที่คาโมน
เยฟธาห์
6 แล้วอิสราเอลทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าอีก พวกเขาปรนนิบัติพระบาอัล พระอัชโทเรท และพระต่างๆ ของชาวอารัม ไซดอน โมอับ อัมโมน และฟีลิสเตีย เนื่องจากอิสราเอลละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและไม่ปรนนิบัติพระองค์อีกต่อไป 7 พระองค์จึงทรงพระพิโรธพวกเขา ทรงขายพวกเขาให้ตกอยู่ในมือของชาวฟีลิสเตียและชาวอัมโมน 8 ผู้ซึ่งเข้ามาบดขยี้พวกเขาในปีนั้น ตลอดสิบแปดปีคนเหล่านั้นมากดขี่ข่มเหงอิสราเอลทั้งปวงทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนในกิเลอาดซึ่งเป็นดินแดนของชาวอาโมไรต์ 9 ชาวอัมโมนยังข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาสู้รบกับยูดาห์ เบนยามิน และเผ่าเอฟราอิมด้วย อิสราเอลทุกข์แสนสาหัส 10 แล้วชนชาติอิสราเอลร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาปต่อพระองค์ โดยละทิ้งพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายและไปปรนนิบัติพระบาอัล”
11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “เมื่อชาวอียิปต์ อาโมไรต์ อัมโมน ฟีลิสเตีย 12 ไซดอน อามาเลข และมาโอน[c] กดขี่ข่มเหงเจ้าและเจ้าขอให้เราช่วย เราไม่ได้ช่วยเจ้าจากเงื้อมมือของพวกเขาหรือ? 13 ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังละทิ้งเราไปปรนนิบัติพระอื่นๆ ฉะนั้นเราจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้ว 14 ไปเถิด ไปร่ำไห้กับพระทั้งหลายที่เจ้าเลือก ถึงคราวเจ้าลำบากก็ให้พระเหล่านั้นช่วยเจ้าสิ!”
15 แต่ชาวอิสราเอลทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาปไปแล้ว โปรดลงโทษพวกข้าพระองค์ตามชอบพระทัย ขอเพียงแต่ช่วยกู้พวกข้าพระองค์ให้พ้นจากศัตรูเดี๋ยวนี้เถิด” 16 แล้วเขาก็ทำลายพระต่างชาติเหล่านั้นและปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ไม่อาจทนดูความทุกข์ทรมานของอิสราเอลได้อีกต่อไป
17 ครั้งนั้นชาวอัมโมนออกมารบและตั้งค่ายที่กิเลอาด ส่วนชนอิสราเอลรวมตัวกันตั้งค่ายที่มิสปาห์ 18 บรรดาผู้นำของกิเลอาดหารือกันว่า “ผู้ใดอาสานำทัพไปโจมตีพวกอัมโมน ผู้นั้นจะได้เป็นหัวหน้าของทุกคนในกิเลอาด”
11 เยฟธาห์ชาวกิเลอาดเป็นนักรบเกรียงไกร บิดาของเขาคือกิเลอาด แต่มารดาของเขาเป็นหญิงโสเภณีคนหนึ่ง 2 ภรรยาของกิเลอาดมีบุตรชายหลายคน และเมื่อพวกเขาโตขึ้นก็ขับไล่ไสส่งเยฟธาห์ พวกเขากล่าวว่า “เจ้าจะไม่ได้กรรมสิทธิ์ใดๆ ในครอบครัวของเรา เพราะเจ้าเป็นลูกของหญิงอื่น” 3 ดังนั้นเยฟธาห์จึงหนีพี่น้องไปตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินโทบ ซึ่งมีพวกนักเลงมาเข้าเป็นสมัครพรรคพวก
4 ต่อมาเมื่อชาวอัมโมนรบกับอิสราเอล 5 บรรดาผู้อาวุโสของกิเลอาดไปตามตัวเยฟธาห์มาจากแผ่นดินโทบ 6 พวกเขากล่าวว่า “ขอเชิญมาเป็นแม่ทัพของเรา เพื่อเราจะสู้รบกับชาวอัมโมนได้”
7 เยฟธาห์กล่าวกับพวกเขาว่า “ท่านเกลียดข้าพเจ้าและไล่ข้าพเจ้าออกมาจากบ้านบิดาไม่ใช่หรือ? ทำไมตอนนี้เดือดร้อนก็มาหาข้าพเจ้า?”
8 เหล่าผู้อาวุโสของกิเลอาดตอบเขาว่า “ถึงอย่างไรตอนนี้เราก็กลับมาหาท่านแล้ว ไปสู้พวกอัมโมนร่วมกับเราเถิด แล้วท่านจะได้เป็นหัวหน้าของพวกเราทั้งหมดในกิเลอาด”
9 เยฟธาห์ตอบว่า “หากท่านพาข้าพเจ้ากลับไปสู้ชาวอัมโมน และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบพวกเขาแก่ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะได้เป็นหัวหน้าของพวกท่านแน่หรือ?”
10 เหล่าผู้อาวุโสของกิเลอาดตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพยาน เราจะทำตามที่ท่านพูดแน่นอน” 11 ดังนั้นเยฟธาห์จึงไปกับพวกเขา และประชาชนก็ตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าและแม่ทัพของพวกเขา แล้วเยฟธาห์จึงย้ำทุกถ้อยคำที่พูดกับเหล่าผู้อาวุโสของกิเลอาดต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์
ในเมืองอิโคนียูม
14 ที่เมืองอิโคนียูมเปาโลกับบารนาบัสเข้าไปในธรรมศาลาของพวกยิวตามปกติ พวกเขาประกาศอย่างเกิดผลจนมีชาวยิวและชาวต่างชาติมากมายมาเชื่อ 2 แต่พวกยิวที่ไม่ยอมเชื่อก็ปลุกปั่นคนต่างชาติและทำให้พวกเขามีใจคิดร้ายต่อพวกพี่น้อง 3 ฝ่ายเปาโลกับบารนาบัสใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานพอสมควร พวกเขาประกาศด้วยใจกล้าเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงยืนยันเรื่องราวแห่งพระคุณของพระองค์โดยให้เขาทั้งสองทำหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ต่างๆ 4 ชาวเมืองนั้นแยกเป็นสองฝ่าย พวกหนึ่งอยู่ฝ่ายพวกยิว อีกพวกอยู่ฝ่ายอัครทูต 5 คนต่างชาติกับพวกยิวและหัวหน้าของพวกเขาคบคิดกันจะทำร้ายและเอาหินขว้างเปาโลกับบารนาบัส 6 แต่เขาทั้งสองล่วงรู้แผนการนี้จึงหนีไปยังแคว้นลิคาโอเนีย ที่เมืองลิสตรา เมืองเดอร์บีกับแถบใกล้เคียงโดยรอบ 7 และได้ประกาศข่าวประเสริฐที่นั่นต่อไป
ในเมืองลิสตราและเมืองเดอร์บี
8 ที่เมืองลิสตรามีชายขาพิการคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาเป็นง่อยมาตั้งแต่เกิด ไม่เคยเดินเลย 9 คนนั้นนั่งฟังเปาโลพูด เปาโลมองตรงไปที่เขาเห็นว่าเขามีความเชื่อที่จะได้รับการรักษาให้หายได้ 10 จึงร้องว่า “จงลุกขึ้นยืน!” คนนั้นก็กระโดดขึ้นยืนและเริ่มเดินไป
11 เมื่อฝูงชนเห็นสิ่งที่เปาโลได้ทำก็ร้องตะโกนเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า “เหล่าเทพเจ้าได้จำแลงเป็นมนุษย์ลงมาหาพวกเราแล้ว!” 12 พวกเขาเรียกบารนาบัสว่าเทพเจ้าซุสและเรียกเปาโลว่าเทพเจ้าเฮอร์เมสเพราะส่วนใหญ่เปาโลเป็นผู้พูด 13 ปุโรหิตของเทพเจ้าซุสซึ่งวิหารอยู่นอกเมืองไปเล็กน้อยได้นำโคและพวงมาลามาที่ประตูเมืองเพราะเขากับฝูงชนประสงค์จะถวายเครื่องบูชาแก่เปาโลกับบารนาบัส
14 แต่เมื่ออัครทูตบารนาบัสกับเปาโลได้ยินเรื่องนี้ก็ฉีกเสื้อผ้าแล้วถลันเข้าไปกลางฝูงชนและตะโกนว่า 15 “ท่านทั้งหลาย เหตุใดจึงทำเช่นนี้? เราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเช่นเดียวกับพวกท่าน เรานำข่าวประเสริฐมาเพื่อให้ท่านหันจากสิ่งไร้ค่าเหล่านี้มาหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และสรรพสิ่งในนั้น 16 ในอดีตพระองค์ทรงปล่อยประชาชาติทั้งปวงไปตามทางของเขา 17 กระนั้นพระองค์โปรดให้มีพยานหลักฐานถึงพระองค์เอง คือทรงสำแดงพระคุณโดยประทานฝนจากฟ้าสวรรค์และพืชผลตามฤดูกาล พระองค์ประทานอาหารอันอุดมสมบูรณ์แก่ท่านและให้จิตใจของท่านเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี” 18 แม้กล่าวเช่นนี้แล้วก็ยังยากที่เขาทั้งสองจะห้ามฝูงชนไม่ให้ถวายเครื่องบูชาแก่พวกเขา
19 แล้วพวกยิวบางคนมาจากเมืองอันทิโอกและเมืองอิโคนียูมและชักจูงฝูงชนให้มาเป็นพวกตนได้สำเร็จ พวกเขาเอาหินขว้างเปาโลและลากออกนอกเมืองเพราะคิดว่าเขาตายแล้ว 20 แต่หลังจากที่เหล่าสาวกเข้ามาห้อมล้อมเขาเปาโลก็ลุกขึ้นและกลับเข้าไปในเมือง วันรุ่งขึ้นเขากับบารนาบัสก็ออกเดินทางไปเมืองเดอร์บี
กลับมายังเมืองอันทิโอกในแคว้นซีเรีย
21 พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐในเมืองนั้นและมีคนมากมายมาเป็นสาวก จากนั้นพวกเขากลับไปยังเมืองลิสตรา เมืองอิโคนียูม และเมืองอันทิโอก 22 เพื่อช่วยให้พวกสาวกเข้มแข็งขึ้นและให้กำลังใจพวกเขาให้สัตย์ซื่อมั่นคงในความเชื่อ พวกเขากล่าวว่า “เราต้องเผชิญความยากลำบากมากมายเพื่อเข้าอาณาจักรของพระเจ้า” 23 เปาโลกับบารนาบัสแต่งตั้งเหล่าผู้ปกครอง[a] ในแต่ละคริสตจักรและอดอาหารอธิษฐานเพื่อมอบพวกเขาไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งพวกเขาเชื่อวางใจ 24 หลังจากไปทั่วแคว้นปิสิเดียแล้วพวกเขามายังแคว้นปัมฟีเลีย 25 และเมื่อประกาศพระวจนะในเมืองเปอร์กาแล้วก็ลงไปที่เมืองอัททาลิยา
26 และจากเมืองอัททาลิยาพวกเขาลงเรือกลับมายังเมืองอันทิโอกที่ซึ่งพวกเขาถูกมอบไว้ในพระคุณของพระเจ้าให้ทำงานซึ่งบัดนี้พวกเขาได้ทำสำเร็จแล้ว 27 เมื่อมาถึงที่นั่นพวกเขาเรียกประชุมคริสตจักรและรายงานสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าได้ทรงกระทำผ่านพวกเขาตลอดจนการที่ทรงเปิดประตูแห่งความเชื่อแก่คนต่างชาติ 28 และพวกเขาอยู่กับเหล่าสาวกที่นั่นเป็นเวลานาน
กิ่งอันชอบธรรม
23 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “วิบัติแก่บรรดาคนเลี้ยงแกะซึ่งผลาญทำลายและทำให้ลูกแกะในท้องทุ่งของเรากระจัดกระจายไป!” 2 ฉะนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลจึงตรัสกับบรรดาคนเลี้ยงแกะซึ่งดูแลพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าว่า “เนื่องจากเจ้าทำให้ฝูงแกะของเรากระจัดกระจายไป เจ้าขับไล่ไสส่งและไม่ได้ดูแลเอาใจใส่พวกเขา ฉะนั้นเราจะลงโทษพวกเจ้าเพราะความชั่วที่เจ้าได้ทำ” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 3 “เราเองจะรวบรวมฝูงแกะที่เหลือออกจากประเทศต่างๆ ที่เราขับไล่พวกเขาไป และจะนำพวกเขากลับมายังท้องทุ่งเดิม ที่ซึ่งพวกเขาจะมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง 4 เราจะตั้งคนเลี้ยงแกะซึ่งรับผิดชอบดูแลเขา เขาจะไม่ต้องหวาดกลัวอกสั่นขวัญแขวนอีกต่อไป และจะไม่มีคนใดขาดหายไป” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
5 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “วันนั้นจะมาถึง
เมื่อเราจะสถาปนากิ่งอันชอบธรรมให้แก่ดาวิด[a]
ผู้นั้นเป็นกษัตริย์ซึ่งจะปกครองอย่างชาญฉลาด
และทำสิ่งที่ถูกต้องเที่ยงธรรมในแผ่นดิน
6 ในยุคสมัยของเขา ยูดาห์จะได้รับการช่วยกู้
และอิสราเอลจะอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย
เขาผู้นั้นจะได้รับการขนานนามว่า
‘พระยาห์เวห์ผู้ทรงเป็นความชอบธรรมของเรา’”
7 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “ฉะนั้นเมื่อเวลานั้นมาถึง ประชากรจะไม่พูดอีกต่อไปว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงนำชนอิสราเอลออกมาจากอียิปต์นั้นทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’ 8 แต่จะพูดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงนำวงศ์วานอิสราเอลออกมาจากดินแดนทางเหนือและจากทุกประเทศที่พระองค์ทรงเนรเทศเขาไปนั้นทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’ และพวกเขาจะอาศัยอยู่ในดินแดนของตนเอง”
ผู้เผยพระวจนะเท็จ
9 พระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้เผยพระวจนะความว่า
ดวงใจข้าพเจ้าแหลกสลายอยู่ภายใน
กระดูกทุกซี่สั่นสะท้าน
ข้าพเจ้าเหมือนคนเมา
เหมือนคนที่ถูกครอบงำด้วยฤทธิ์เมรัย
เนื่องด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้า
และพระวจนะอันบริสุทธิ์ของพระองค์
10 แผ่นดินเต็มไปด้วยคนล่วงประเวณี
เพราะคำสาปแช่ง[b] ผืนแผ่นดินก็แตกระแหง[c]
ทุ่งหญ้าในถิ่นกันดารก็เหี่ยวเฉาไป
เหล่าผู้เผยพระวจนะทำชั่ว
และใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม
11 “ทั้งปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะล้วนแต่อธรรม
แม้แต่ในวิหารของเรา เราก็ยังเห็นความชั่วช้าเลวทรามของพวกเขา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
12 “ฉะนั้นหนทางของเขาจึงลื่น
เขาจะถูกขับไล่ไสส่งไปสู่ความมืดมน
และจะล้มตายที่นั่น
เราจะนำภัยพิบัติมาสู่พวกเขา
ในปีที่พวกเขาถูกลงโทษ”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
13 “ในหมู่ผู้เผยพระวจนะของสะมาเรีย
เราเห็นสิ่งน่ารังเกียจคือ
พวกเขาพยากรณ์ในนามพระบาอัล
และนำประชากรอิสราเอลของเราหลงผิดไป
14 และเราก็เห็นสิ่งน่าขยะแขยง
ในหมู่ผู้เผยพระวจนะของเยรูซาเล็มคือ
พวกเขาล่วงประเวณีและดำเนินชีวิตอยู่ในความหลอกลวง
พวกเขาสนับสนุนคนทำชั่ว
เพื่อจะไม่มีใครหันกลับจากความชั่วร้ายของตน
สำหรับเรา พวกเขาเป็นเหมือนโสโดม
ชาวเยรูซาเล็มเป็นเหมือนโกโมราห์”
15 ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสเกี่ยวกับบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า
“เราจะทำให้พวกเขากินอาหารขม
และดื่มน้ำมีพิษ
เพราะความอธรรมก็ระบาดไปทั่วดินแดน
จากบรรดาผู้เผยพระวจนะของเยรูซาเล็ม”
16 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า
“อย่าฟังสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นพยากรณ์แก่เจ้า
พวกเขาให้แต่ความหวังลมๆ แล้งๆ
แจ้งนิมิตต่างๆ จากความคิดของตน
ไม่ใช่ถ้อยคำจากพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
17 เขาพร่ำบอกคนที่หมิ่นประมาทเราว่า
‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า พวกท่านจะอยู่เย็นเป็นสุข’
บอกกับคนที่ทำตามใจดื้อดึงว่า
‘จะไม่มีภัยอันตรายใดๆ เกิดแก่ท่าน’
18 แต่มีคนไหนบ้างในพวกเขาซึ่งยืนอยู่ในที่ชุมนุมขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เพื่อจะเห็นหรือได้ยินพระวจนะของพระองค์?
มีใครบ้างที่ฟังและได้ยินถ้อยคำของพระองค์?
19 ดูเถิด พายุขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จะปะทุขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด
เป็นพายุหมุนลงมา
เหนือศีรษะของบรรดาคนชั่วร้าย
20 พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่หันกลับ
จนกว่าจะสำเร็จตามเป้าหมายในพระทัยของพระองค์ทุกประการ
ในภายภาคหน้า
เจ้าจะเข้าใจสิ่งนี้แจ่มแจ้ง
21 เราไม่ได้ใช้ผู้เผยพระวจนะเหล่านี้มา
แต่พวกเขาก็กล่าวถ้อยคำของตนออกมา
เราไม่ได้ตรัสอะไรกับเขา
แต่พวกเขาก็พยากรณ์
22 แต่หากเขายืนอยู่ในที่ประชุมของเรา
ก็คงจะประกาศถ้อยคำของเราแก่เหล่าประชากร
และชักจูงให้เหล่าประชากรหันจากวิถี
และการกระทำอันชั่วร้ายของตน”
23 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“เราเป็นพระเจ้าผู้อยู่แต่เพียงใกล้ๆ แค่นั้นหรือ?
ไม่ได้เป็นพระเจ้าผู้อยู่ห่างไกลด้วยหรือ?”
24 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“มีใครสามารถหลบซ่อนในที่ลับจนเรามองไม่เห็นหรือ?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“เราอยู่ทั่วฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกไม่ใช่หรือ?”
25 “เราได้ยินคำพูดของผู้เผยพระวจนะซึ่งพยากรณ์เท็จโดยอ้างนามของเรา พวกเขาพูดว่า ‘ข้าพเจ้าฝันเห็น! ข้าพเจ้าฝันเห็น!’ 26 อีกนานสักเท่าไรที่สิ่งนี้จะคงอยู่ในใจของผู้เผยพระวจนะเท็จผู้ซึ่งพยากรณ์ภาพหลอนในใจของตนเอง? 27 พวกเขาคิดว่าความฝันที่ตนเล่าสู่กันฟังจะทำให้ประชากรของเราลืมนามของเรา เหมือนที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้ลืมนามของเราไปกราบไหว้พระบาอัล 28 ให้ผู้เผยพระวจนะเหล่านี้เล่าความฝันของเขาไปเถิด แต่ผู้ที่มีถ้อยคำของเราก็จงประกาศไปอย่างซื่อสัตย์ เพราะฟางข้าวก็ต่างจากเมล็ดข้าวไม่ใช่หรือ?” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 29 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “ถ้อยคำของเราเหมือนไฟ และเหมือนค้อนที่ทุบหินแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ใช่หรือ?”
30 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “ฉะนั้นเราเป็นศัตรูกับผู้เผยพระวจนะที่พยากรณ์แล้วอ้างว่าเป็นถ้อยคำของเรา และพวกเขาขโมยถ้อยคำเหล่านั้นจากกันและกัน” 31 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “ถูกแล้ว เราเป็นศัตรูกับผู้เผยพระวจนะซึ่งกระดกลิ้นตัวเอง แต่ก็ยังอ้างว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า’ ” 32 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แน่ละ เราเป็นศัตรูกับผู้พยากรณ์เท็จที่เล่าฝันซึ่งกุขึ้นมาเอง พวกเขาชักนำประชากรของเราให้หลงผิดโดยคำโกหกคล่องปาก ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ใช้เขาหรือแต่งตั้งเขา เขาไม่ได้เป็นประโยชน์แก่ประชากรเหล่านี้แม้แต่น้อย” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
คำพยากรณ์และผู้เผยพระวจนะเท็จ
33 “เมื่อใครในหมู่ประชากร ผู้เผยพระวจนะหรือปุโรหิตมาถามเจ้าว่า ‘วันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระดำรัส[d]อะไรบ้าง?’ เจ้าจงตอบว่า ‘พระดำรัสน่ะหรือ? องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เราจะเหวี่ยงเจ้าทิ้ง’ 34 ถ้าปุโรหิตหรือผู้เผยพระวจนะหรือผู้หนึ่งผู้ใดแอบอ้างว่า ‘นี่คือพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เราจะลงโทษผู้นั้นกับครอบครัวของเขา 35 ที่พวกเจ้าแต่ละคนเฝ้าถามกับญาติมิตรของตนว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระดำรัสตอบว่าอย่างไร?’ หรือ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสอะไร?’ 36 แต่เจ้าอย่าพูดว่า ‘นี่คือพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ อีกเลย เพราะเมื่อเจ้าเอาคำพูดของตัวเองมาแอบอ้างเป็นพระดำรัสของพระองค์ เจ้าก็บิดเบือนพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์พระเจ้าของเรา 37 เจ้าทั้งหลายมักพูดกับผู้เผยพระวจนะว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระดำรัสตอบท่านว่าอย่างไร?’ หรือ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสอะไร?’ 38 ถึงแม้เจ้าอ้างว่า ‘นี่คือพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าใช้คำพูดว่า ‘นี่คือพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ ทั้งๆ ที่เราห้ามไม่ให้เจ้าอ้างว่า ‘นี่คือพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ 39 ฉะนั้นเราจะลืมเจ้าและเหวี่ยงเจ้าออกไปให้พ้นหน้าเราอย่างแน่นอน พร้อมทั้งกรุงนี้ซึ่งเราได้ยกให้เจ้าและบรรพบุรุษของเจ้า 40 เราจะนำความอัปยศอดสูตลอดกาลมาสู่เจ้า ความอับอายเนืองนิตย์ซึ่งไม่มีวันลืม”
9 และพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าบางคนซึ่งยืนอยู่ที่นี่ยังไม่ทันจะได้ลิ้มรสความตายก็ได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงพร้อมด้วยฤทธิ์อำนาจแล้ว”
ทรงจำแลงพระกาย(A)
2 หกวันต่อมาพระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูงตามลำพัง พระวรกายก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขาที่นั่น 3 ฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จะหาใครในโลกฟอกให้ขาวปานนั้นไม่มีเลย 4 และโมเสสกับเอลียาห์ก็ปรากฏกายต่อหน้าพวกเขาและสนทนากับพระเยซู
5 เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงที่พวกข้าพระองค์ได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราสร้างเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์อีกหลังหนึ่ง” 6 (เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเพราะพวกเขาตกใจกลัวมาก)
7 แล้วก็มีเมฆปรากฏขึ้นปกคลุมพวกเขาและมีพระสุรเสียงจากเมฆว่า “คนนี้คือลูกที่รักของเรา จงเชื่อฟังเขาเถิด!”
8 ทันใดนั้นพวกเขามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นใครอื่นนอกจากพระเยซู
9 ขณะลงจากภูเขาพระเยซูทรงกำชับพวกเขาไม่ให้เล่าเหตุการณ์ที่ได้เห็นให้ใครฟังจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นจากตายแล้ว 10 ทั้งสามเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวโดยหารือกันถึงความหมายของคำว่า “เป็นขึ้นจากตาย”
11 และพวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกธรรมาจารย์จึงบอกว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน?”
12 พระเยซูทรงตอบว่า “ถูกแล้ว เอลียาห์มาก่อนจริงๆ และทำให้ทุกอย่างคืนสู่สภาพเดิม แล้วเหตุใดจึงมีเขียนไว้ว่าบุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์แสนสาหัสและถูกปฏิเสธ? 13 แต่เราบอกพวกท่านว่าเอลียาห์มาแล้วและคนเหล่านั้นทำกับเขาตามใจชอบทุกอย่างเหมือนที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับเขา”
ทรงรักษาเด็กผู้ชายที่ถูกวิญญาณชั่วสิง(B)
14 เมื่อพระเยซูกับสาวกทั้งสามคนมาหาสาวกคนอื่นๆ ก็เห็นฝูงชนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมคนเหล่านั้นอยู่และกลุ่มธรรมาจารย์กำลังถกเถียงกับเหล่าสาวก 15 ทันทีที่ประชาชนทั้งปวงเห็นพระเยซู พวกเขาก็แปลกใจยิ่งนักและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์
16 พระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านกำลังถกเถียงเรื่องอะไรกันหรือ?”
17 คนหนึ่งในฝูงชนทูลว่า “พระอาจารย์ข้าพระองค์พาลูกชายมาหาพระองค์ เขาถูกผีสิงทำให้เป็นใบ้ 18 เวลาผีเข้าสิงมันก็ทำให้ล้มลงที่พื้น น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแน่น ตัวแข็ง ข้าพระองค์ขอให้สาวกของพระองค์ขับผีนี้ออกแต่พวกเขาก็ทำไม่ได้”
19 พระเยซูตรัสตอบว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะอยู่กับพวกท่านนานเท่าใด? เราจะทนพวกท่านนานเท่าใด? จงพาเด็กนั้นมาหาเรา”
20 พวกเขาจึงพามา เมื่อผีที่สิงอยู่เห็นพระเยซู ทันใดนั้นมันก็ทำให้เด็กชัก ล้มลงกลิ้งไปมาที่พื้น น้ำลายฟูมปาก
21 พระเยซูตรัสถามพ่อของเด็กว่า “เขาเป็นอย่างนี้มานานเท่าใด?”
เขาทูลว่า “ตั้งแต่เด็ก 22 มันทำให้เขาตกน้ำตกไฟบ่อยๆ เพื่อฆ่าเขา แต่ถ้าพระองค์ทรงช่วยได้ขอโปรดสงสารเราและช่วยเราด้วยเถิด”
23 พระเยซูตรัสว่า “ ‘ถ้าช่วยได้’ น่ะหรือ? ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ”
24 พ่อของเด็กร้องทูลทันทีว่า “ข้าพระองค์เชื่อ ที่ยังขาดความเชื่ออยู่นั้นขอทรงช่วยให้เชื่อด้วยเถิด!”
25 พระเยซูทรงเห็นฝูงชนกรูกันเข้ามาจึงตรัสสำทับวิญญาณชั่ว[a]ว่า “เจ้าผีใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกมาจากเขาและอย่ากลับเข้าไปสิงเขาอีก”
26 ผีนั้นก็หวีดร้องทำให้เด็กชักดิ้นอย่างรุนแรงแล้วออกมา เด็กนั้นแน่นิ่งเหมือนคนตายจนหลายคนพูดว่า “เขาตายแล้ว” 27 แต่พระเยซูทรงจับมือของเขาและพยุงขึ้น เขาก็ลุกขึ้นยืน
28 หลังจากพระเยซูทรงเข้าไปในบ้าน เหล่าสาวกมาเข้าเฝ้าพระองค์เป็นการส่วนตัวและทูลถามว่า “เหตุใดพวกข้าพระองค์จึงไม่สามารถขับผีนั้นได้?”
29 พระองค์ตรัสว่า “ผีแบบนี้จะขับออกได้ก็โดยการอธิษฐานเท่านั้น[b]”
30 พระเยซูกับสาวกออกจากที่นั่นผ่านไปทางแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครรู้ว่าทรงอยู่ที่ไหน 31 เพราะทรงสั่งสอนพวกสาวกอยู่ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “บุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือมนุษย์ พวกเขาจะฆ่าพระองค์ และหลังจากนั้นสามวันพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย” 32 แต่เหล่าสาวกไม่เข้าใจว่าทรงหมายความว่าอย่างไรและไม่กล้าทูลถามพระองค์
ผู้ใดเป็นใหญ่ที่สุด(C)
33 เมื่อพวกเขามาถึงเมืองคาเปอรนาอุม ขณะพระองค์อยู่ในบ้านพระองค์ทรงถามพวกเขาว่า “ระหว่างทางพวกท่านถกเถียงกันเรื่องอะไร?” 34 แต่พวกเขานิ่งอยู่เพราะระหว่างทางพวกเขาเถียงกันเรื่องใครเป็นใหญ่ที่สุด
35 พระเยซูประทับนั่งแล้วทรงเรียกสาวกทั้งสิบสองคนมาและตรัสว่า “หากผู้ใดอยากเป็นที่หนึ่งเขาต้องเป็นคนสุดท้ายและเป็นคนรับใช้ของคนทั้งปวง”
36 พระองค์ทรงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขา ทรงอุ้มเด็กนั้นไว้แล้วตรัสกับพวกเขาว่า 37 “ผู้ใดต้อนรับเด็กน้อยเช่นนี้ในนามของเราก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเราก็ไม่ได้ต้อนรับเราเท่านั้นแต่ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาด้วย”
ผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านเราก็อยู่ฝ่ายเรา(D)
38 ยอห์นทูลว่า “พระอาจารย์ พวกข้าพระองค์เห็นชายคนหนึ่งขับผีออกในพระนามของพระองค์ พวกข้าพระองค์จึงห้ามเขาเพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มของเรา”
39 พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามเขาเลย ไม่มีใครหรอกที่ทำการอัศจรรย์ในนามของเราแล้วครู่ต่อมาก็พูดไม่ดีเกี่ยวกับเรา 40 เพราะผู้ใดไม่ได้ต่อต้านเราก็อยู่ฝ่ายเรา 41 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดเอาน้ำเย็นถ้วยหนึ่งให้ท่านในนามของเราเนื่องจากท่านเป็นคนของพระคริสต์ ผู้นั้นจะไม่ขาดบำเหน็จอย่างแน่นอน”
ต้นเหตุให้ทำบาป
42 “และหากผู้ใดเป็นเหตุให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้ที่เชื่อในเราสักคนหนึ่งทำบาป ให้เอาหินโม่ผูกคอผู้นั้นแล้วโยนเขาลงทะเลก็ยังจะดีกว่า 43 หากมือของท่านเป็นเหตุให้ทำบาปจงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตทั้งๆ ที่มือด้วนก็ยังดีกว่ามีสองมือครบแต่ต้องตกนรกซึ่งมีไฟไม่รู้ดับ[c] 45 และหากเท้าของท่านเป็นเหตุให้ทำบาปจงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตทั้งๆ ที่ขาพิการยังดีกว่ามีสองเท้าครบแต่ต้องถูกโยนลงนรก[d] 47 และหากตาของท่านเป็นเหตุให้ทำบาปจงควักทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าโดยมีตาข้างเดียวก็ยังดีกว่ามีสองตาแต่ต้องถูกโยนลงนรก 48 ที่ซึ่ง
“ ‘หนอนของคนเหล่านั้นไม่มีวันตาย
และไฟก็ไม่รู้ดับ’[e]
49 ทุกคนจะถูกเคล้าเกลือชำระด้วยไฟ
50 “เกลือเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามันหมดความเค็มแล้วจะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร? ท่านจงมีเกลืออยู่ในตัวและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.