Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ปฐมกาล 29

ยาโคบมาถึงปัดดานอารัม

29 แล้วยาโคบเดินทางต่อไปจนถึงดินแดนของชนชาวตะวันออก ที่นั่น เขามองเห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่งในท้องทุ่ง มีแกะสามฝูงนอนอยู่ใกล้ๆ บ่อ เพราะฝูงแกะกินน้ำจากบ่อนี้ ก้อนหินที่ปิดปากบ่อนั้นใหญ่มาก เมื่อฝูงแกะทั้งหมดมาพร้อมกันแล้ว บรรดาคนเลี้ยงแกะจะช่วยกันเลื่อนก้อนหินออกจากปากบ่อและตักน้ำให้ฝูงแกะ แล้วพวกเขาก็จะเอาหินปิดปากบ่อดังเดิม

ยาโคบถามคนเลี้ยงแกะเหล่านั้นว่า “พี่น้อง พวกท่านมาจากไหน?”

พวกเขาตอบว่า “มาจากฮาราน”

ยาโคบจึงถามว่า “ท่านรู้จักลาบันหลานชายของนาโฮร์หรือไม่?”

พวกเขาตอบว่า “รู้จัก”

แล้วยาโคบถามพวกเขาอีกว่า “ลาบันสบายดีหรือ?”

คนเลี้ยงแกะตอบว่า “เขาสบายดี โน่นไงราเชล ลูกสาวของเขากำลังเดินมาพร้อมกับฝูงแกะ”

ยาโคบกล่าวว่า “ดูสิ แดดยังจ้าอยู่เลย ยังไม่ถึงเวลาที่จะรวมฝูงแกะ จงให้น้ำฝูงแกะดื่ม แล้วนำกลับไปกินหญ้า”

พวกเขาตอบว่า “ทำไม่ได้ ต้องรอจนกว่าฝูงแกะทั้งหมดมาถึงที่นี่ เราจึงจะเลื่อนหินจากปากบ่อ แล้วจึงให้น้ำแก่ฝูงแกะ”

ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ราเชลก็มาถึงพร้อมกับฝูงแกะของบิดา เพราะว่านางเป็นคนเลี้ยงแกะ 10 เมื่อยาโคบเห็นราเชลลูกสาวของลาบันพี่ชายของแม่และเห็นฝูงแกะของลาบัน เขาจึงไปที่บ่อน้ำ เลื่อนหินออกจากปากบ่อ และให้น้ำแก่ฝูงแกะของลุง 11 แล้วยาโคบก็จูบทักทายราเชลและเริ่มร้องไห้เสียงดัง 12 เขาบอกราเชลว่าเขาเป็นญาติของบิดาของนาง เป็นลูกชายของเรเบคาห์ ดังนั้นนางจึงวิ่งไปบอกบิดาของนาง

13 ทันทีที่ลาบันได้ยินเรื่องยาโคบบุตรชายของน้องสาวก็รีบออกมาพบ ลาบันสวมกอดและจูบทักทายยาโคบ พาเขาไปบ้าน และยาโคบก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง 14 ลาบันกล่าวกับยาโคบว่า “เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเราเอง”

ยาโคบแต่งงานกับเลอาห์และราเชล

หลังจากยาโคบพักอยู่กับลาบันได้หนึ่งเดือนเต็ม 15 ลาบันพูดกับเขาว่า “ควรหรือที่เจ้าจะทำงานให้เราโดยไม่มีค่าตอบแทนเพียงเพราะเจ้าเป็นญาติของเรา? บอกมาเถิดว่าเราควรจะให้ค่าจ้างเจ้าสักเท่าไร”

16 ลาบันมีบุตรสาวสองคน คนพี่ชื่อเลอาห์ คนน้องชื่อราเชล 17 เลอาห์มีนัยน์ตาหมอง ส่วนราเชลมีรูปร่างงาม เป็นคนสวย 18 ยาโคบหลงรักราเชลจึงกล่าวว่า “ฉันจะทำงานให้ท่านเจ็ดปีเพื่อแลกกับราเชลลูกสาวคนเล็กเป็นค่าตอบแทน”

19 ลาบันจึงว่า “ที่จะยกนางให้เจ้าก็ดีกว่ายกให้ชายอื่น จงอยู่กับเราที่นี่เถิด” 20 ดังนั้นยาโคบจึงทำงานเจ็ดปีเพื่อจะได้ราเชล แต่ด้วยความรักที่มีต่อนาง เขาจึงรู้สึกเหมือนผ่านไปไม่กี่วัน

21 แล้วยาโคบพูดกับลาบันว่า “ฉันทำงานครบตามสัญญาแล้ว โปรดมอบภรรยาของฉันให้ฉันเถิด ฉันต้องการจะร่วมหลับนอนกับนาง”

22 ดังนั้นลาบันจึงเชิญคนในละแวกนั้นทั้งหมดมาร่วมกินดื่มในงานเลี้ยง 23 แต่เมื่อค่ำลงแล้ว ลาบันก็พาเลอาห์บุตรสาวมาให้ยาโคบ เขาก็หลับนอนกับนาง 24 ลาบันได้ยกสาวใช้ชื่อศิลปาห์ให้เป็นสาวใช้ของเลอาห์

25 เมื่อสว่างก็เห็นว่าเป็นเลอาห์! ยาโคบจึงกล่าวกับลาบันว่า “ทำไมท่านทำกับฉันอย่างนี้? ฉันรับใช้ท่านเพื่อราเชลไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านจึงหลอกฉัน?”

26 ลาบันจึงตอบว่า “มันผิดธรรมเนียมของเราที่จะให้น้องสาวออกเรือนไปก่อนพี่สาว 27 ขอให้งานเลี้ยงแต่งงานของเลอาห์สัปดาห์นี้จบลงก่อน แล้วเราจะยกลูกสาวคนเล็กให้ด้วย แลกกับการทำงานอีกเจ็ดปี”

28 และยาโคบก็ยินยอม เขารอจนครบหนึ่งสัปดาห์ ลาบันก็ยกราเชลบุตรสาวของเขาให้เป็นภรรยายาโคบด้วย 29 ลาบันได้ยกสาวใช้ชื่อบิลฮาห์ให้เป็นสาวใช้ของราเชล 30 ยาโคบได้ร่วมหลับนอนกับราเชลด้วย เขารักราเชลมากกว่าเลอาห์ และเขาทำงานให้ลาบันต่อไปอีกเจ็ดปี

บรรดาบุตรของยาโคบ

31 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นว่ายาโคบไม่ได้รักเลอาห์ พระองค์จึงทรงให้นางมีบุตร แต่ราเชลเป็นหมัน 32 เลอาห์ก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง นางตั้งชื่อให้เขาว่ารูเบน[a] เนื่องจากนางกล่าวว่า “เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นความทุกข์ยากของฉัน บัดนี้สามีจะรักฉันแน่”

33 แล้วนางก็ตั้งครรภ์อีก และเมื่อนางคลอดบุตรชายคนหนึ่ง นางกล่าวว่า “เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินว่าฉันไม่เป็นที่รัก พระองค์จึงประทานลูกชายคนนี้ให้ฉันด้วย” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่าสิเมโอน[b]

34 นางได้ตั้งครรภ์อีก และเมื่อนางคลอดบุตรชายคนหนึ่ง นางกล่าวว่า “ในที่สุดสามีจะมาผูกพันอยู่กับฉัน เพราะฉันได้คลอดลูกชายสามคนให้แก่เขา” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่าเลวี[c]

35 นางได้ตั้งครรภ์อีก และเมื่อนางคลอดบุตรชายคนหนึ่ง นางกล่าวว่า “คราวนี้ฉันจะสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่ายูดาห์[d] แล้วนางก็หยุดให้กำเนิดบุตร

มัทธิว 28

การคืนพระชนม์(A)

28 หลังวันสะบาโตตอนรุ่งสางวันต้นสัปดาห์มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งไปดูที่อุโมงค์

เกิดแผ่นดินไหวใหญ่เพราะทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาจากสวรรค์ กลิ้งหินออกจากปากอุโมงค์แล้วนั่งบนหินนั้น ลักษณะของทูตนั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ เสื้อผ้าขาวเหมือนหิมะ ยามที่เฝ้าอยู่กลัวทูตนั้นจนตัวสั่นและเป็นเหมือนคนตาย

ทูตนั้นกล่าวแก่หญิงทั้งสองว่า “อย่ากลัวเลยเพราะเรารู้ว่าพวกเจ้ามาหาพระเยซูผู้ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ พระองค์ทรงเป็นขึ้นแล้วดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ มาดูที่ซึ่งเขาวางร่างของพระองค์เถิด แล้วรีบไปบอกเหล่าสาวกของพระองค์ว่า ‘พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากตายแล้วและกำลังเสด็จไปกาลิลีล่วงหน้าพวกท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น’ บัดนี้เราได้บอกเจ้าแล้ว”

หญิงนั้นก็ไปจากอุโมงค์โดยเร็ว พวกนางกลัวแต่ก็ดีใจยิ่งนักและวิ่งไปบอกเหล่าสาวกของพระองค์ ทันใดนั้นพระเยซูมาพบพวกเขาและตรัสทักทายพวกเขา พวกเขาก็เข้ามากอดพระบาทของพระองค์และกราบนมัสการพระองค์ 10 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี พวกเขาจะพบเราที่นั่น”

คำรายงานของยาม

11 เมื่อหญิงเหล่านั้นกำลังเดินทางไป ยามบางคนเข้าเมืองไปรายงานทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต่อพวกหัวหน้าปุโรหิต 12 เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตได้หารือและวางแผนกับเหล่าผู้อาวุโสแล้ว เขาก็มอบเงินก้อนใหญ่ให้พวกทหาร 13 พร้อมทั้งสั่งว่า “พวกเจ้าจงพูดว่า ‘ตอนกลางคืนขณะที่เรานอนหลับอยู่ เหล่าสาวกมาขโมยศพไป’ 14 หากความนี้รู้ไปถึงผู้ว่าการเราจะพูดแก้ต่างไม่ให้เจ้าเดือดร้อน” 15 ดังนั้นพวกทหารจึงรับเงินและทำตามที่พวกเขาสั่ง เรื่องนี้ลือกระฉ่อนไปในหมู่ชาวยิวจนถึงทุกวันนี้

พระมหาบัญชา

16 สาวกทั้งสิบเอ็ดคนจึงไปยังกาลิลี ไปที่ภูเขาซึ่งพระเยซูทรงบอกไว้ 17 เมื่อเห็นพระองค์พวกเขาก็กราบลงนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่ 18 พระเยซูทรงเข้ามาหาพวกเขาและตรัสว่า “สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และในแผ่นดินโลกทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 ดังนั้นจงไปสร้างสาวกจากมวลประชาชาติ ให้เขารับบัพติศมาใน[a] พระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ และแน่นอน เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปตราบจนสิ้นยุค”

เอสเธอร์ 5

เอสเธอร์ทูลขอจากกษัตริย์

ในวันที่สามเอสเธอร์ทรงฉลองพระองค์ตามยศ เสด็จเข้ามายืนที่ลานชั้นในหน้าท้องพระโรงขณะที่กษัตริย์ประทับเหนือพระราชบัลลังก์ เมื่อกษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นพระนางเอสเธอร์ทรงยืนอยู่ที่ลานชั้นใน ก็ทรงพอพระทัยในตัวพระนางและทรงยื่นคทาทองคำให้เอสเธอร์ พระนางจึงเสด็จเข้ามาใกล้และแตะยอดคทา

แล้วกษัตริย์ตรัสถามว่า “มีอะไรหรือพระราชินีเอสเธอร์? เจ้าต้องการอะไรหรือ? แม้กึ่งราชสมบัติเราก็จะให้”

เอสเธอร์ทูลว่า “หากฝ่าพระบาทจะทรงกรุณา หม่อมฉันใคร่ขอกราบทูลเชิญฝ่าพระบาทเสด็จมายังงานเลี้ยงซึ่งหม่อมฉันจัดถวายในวันนี้ โดยให้ฮามานตามเสด็จมาด้วย”

กษัตริย์ตรัสว่า “ไปเรียกฮามานมาทันที เราจะได้ทำตามที่เอสเธอร์ขอ”

กษัตริย์จึงเสด็จมายังงานเลี้ยงซึ่งเอสเธอร์จัดถวายโดยมีฮามานตามเสด็จ ขณะกำลังเสวยเหล้าองุ่นกษัตริย์ตรัสถามเอสเธอร์อีกครั้งว่า “ตอนนี้บอกสิว่าเจ้าต้องการสิ่งใด? เราจะยกให้แม้กึ่งราชสมบัติ”

เอสเธอร์ทูลว่า “คำทูลวิงวอนของหม่อมฉันคือ หากฝ่าพระบาทจะทรงกรุณาหม่อมฉันและประทานตามที่ทูลขอ ก็โปรดเสด็จมายังงานเลี้ยงที่หม่อมฉันจะจัดถวายอีกในวันพรุ่งนี้และให้ฮามานตามเสด็จ แล้วหม่อมฉันจะทูลให้ทรงทราบทั้งหมด”

ฮามานวางแผนจะแขวนคอโมรเดคัย

วันนั้นฮามานกลับออกไปด้วยความสุขและเบิกบานใจ แต่ครั้นเห็นโมรเดคัยที่ประตูพระราชวัง และสังเกตว่าโมรเดคัยไม่ได้ยืนขึ้นหรือพินอบพิเทาก็โกรธแค้นโมรเดคัยมาก 10 แต่ฮามานควบคุมอารมณ์ไว้และกลับไปบ้าน

เมื่อฮามานเรียกเพื่อนพ้องกับเศเรชภรรยาของเขามาแล้ว 11 เขาก็คุยโอ่ถึงความมั่งคั่ง ถึงบุตรชายทั้งหลายของตน และถึงการที่กษัตริย์ทรงเลื่อนยศตำแหน่งแก่ตนและที่ตนได้รับการยกย่องเหนือกว่าขุนนางและข้าราชบริพารทั้งปวง 12 ฮามานกล่าวอีกว่า “ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เราคนเดียวเท่านั้นที่พระราชินีเอสเธอร์ทรงเชิญให้ตามเสด็จกษัตริย์ไปในงานเลี้ยงที่พระนางทรงเตรียมไว้ แล้วพรุ่งนี้พระนางก็ได้เชิญให้เราตามเสด็จกษัตริย์อีก 13 แต่ทั้งหมดนี้ไม่ทำให้เราอิ่มใจเลยตราบใดที่ยังเห็นเจ้ายิวโมรเดคัยนั่งอยู่ที่ประตูพระราชวัง”

14 เศเรชภรรยาของฮามานและเพื่อนๆ ของเขาจึงแนะนำว่า “ท่านจงให้คนทำตะแลงแกงสูง 50 ศอก[a] แล้วเช้าวันพรุ่งนี้ท่านจงทูลขออนุญาตกษัตริย์แขวนคอโมรเดคัยบนตะแลงแกง จากนั้นท่านก็จะตามเสด็จไปงานเลี้ยงนั้นด้วยความสบายใจ” ฮามานชอบใจในความคิดนี้มาก และสั่งให้สร้างตะแลงแกงไว้

กิจการของอัครทูต 28

บนเกาะมอลตา

28 เมื่อขึ้นฝั่งโดยปลอดภัยแล้วเราจึงรู้ว่าเกาะนั้นชื่อเกาะมอลตา ชาวเกาะกรุณาเราเป็นพิเศษพวกเขาก่อไฟต้อนรับเราทุกคนเพราะฝนตกและหนาว เปาโลเก็บกิ่งไม้มาหอบหนึ่งขณะเขากำลังเอาไม้หอบนั้นใส่ไฟมีงูพิษตัวหนึ่งถูกความร้อนจึงพุ่งออกมากัดติดที่มือของเขา เมื่อชาวเกาะเห็นงูห้อยอยู่ที่มือของเปาโลก็พูดกันว่า “คนนี้ต้องเป็นฆาตกรแน่ๆ เพราะถึงแม้ว่าเขารอดตายจากทะเลเจ้าแห่งความยุติธรรมก็ยังไม่ปล่อยให้มีชีวิต” แต่เปาโลสะบัดงูทิ้งลงในไฟและไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด พวกเขาคาดว่าเปาโลจะบวมขึ้นหรือล้มตายทันทีแต่หลังจากคอยดูอยู่นานและไม่เห็นเขาเป็นอะไรจึงเปลี่ยนความคิดและพูดว่าเปาโลเป็นเทพเจ้า

มีที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ใกล้ๆ ที่นั่นเป็นของปูบลิอัสหัวหน้าชาวเกาะ เขาต้อนรับขับสู้เราอย่างดีตลอดสามวัน บิดาของปูบลิอัสป่วยมีไข้และเป็นบิดนอนซมอยู่ เปาโลเข้าไปเยี่ยม หลังจากอธิษฐานแล้วก็วางมือบนเขา รักษาเขาให้หาย เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นคนป่วยอื่นๆ ที่เกาะนั้นก็มาและรับการรักษาให้หาย 10 พวกเขาให้เกียรติเราหลายๆ ด้านและเมื่อเราพร้อมที่จะออกเรือเขาก็นำสิ่งของที่จำเป็นมาให้เรา

ถึงกรุงโรม

11 สามเดือนต่อมาเราลงเรือซึ่งมาพักหนาวอยู่ที่เกาะนี้ เรือนั้นมาจากเมืองอเล็กซานเดรีย มีรูปแกะสลักเทพเจ้าแฝด คือคาสเตอร์และพอลลักซ์ที่หัวเรือ 12 เราจอดแวะที่เมืองไซราคิวส์สามวัน 13 จากที่นั่นเราแล่นเรือมาถึงเมืองเรยีอูม วันรุ่งขึ้นลมใต้พัดมาและในวันต่อมาก็ถึงเมืองโปทิโอลี 14 เราพบพี่น้องบางคนที่นั่น เขาเชิญให้เราพักอยู่ด้วยหนึ่งสัปดาห์แล้วเราก็มากรุงโรม 15 พวกพี่น้องที่กรุงโรมได้ข่าวว่าเราจะมาจึงออกมารับเราไกลถึงย่านอัปปีอัสและบ้านสามโรงแรม เมื่อได้เห็นคนเหล่านี้เปาโลก็ขอบพระคุณพระเจ้าและมีกำลังใจขึ้น 16 เมื่อเรามาถึงกรุงโรมเปาโลได้รับอนุญาตให้อยู่ตามลำพังโดยมีทหารคนหนึ่งคอยคุมเขาไว้

เปาโลเทศนาในกรุงโรม

17 สามวันต่อมาเปาโลเชิญบรรดาผู้นำชาวยิวมาประชุม เมื่อพวกเขามาพร้อมหน้ากันเปาโลก็กล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้ทำผิดอะไรต่อพี่น้องร่วมชาติของเราหรือผิดธรรมเนียมของเหล่าบรรพบุรุษ ข้าพเจ้าก็ถูกจับกุมในกรุงเยรูซาเล็มและส่งตัวให้พวกโรมัน 18 พวกเขาไต่สวนข้าพเจ้าแล้วก็ต้องการจะปล่อยตัวไปเพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดสมควรแก่โทษประหาร 19 แต่เมื่อพวกยิวคัดค้านข้าพเจ้าจึงจำต้องถวายฎีกาถึงซีซาร์ไม่ใช่ว่ามีข้อหาอะไรจะฟ้องร้องพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้า 20 ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงเชิญท่านทั้งหลายมาพูดคุยกันเพราะที่ข้าพเจ้าถูกล่ามโซ่อยู่นี้ก็เนื่องด้วยความหวังของชนชาติอิสราเอล”

21 พวกเขาตอบว่า “เราไม่ได้รับจดหมายใดๆ จากแคว้นยูเดียพาดพิงถึงท่านและก็ไม่มีพี่น้องคนใดที่มาจากที่นั่นได้รายงานหรือพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับท่าน 22 แต่เราอยากฟังความคิดเห็นของท่านเพราะเรารู้อยู่ว่าผู้คนทุกแห่งหนพูดติเตียนนิกายนี้”

23 พวกเขานัดหมายวันที่จะพบกับเปาโลและคนเป็นอันมากพากันมายังที่พักของเขา ตั้งแต่เช้าจดเย็นเปาโลอธิบายและประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าแก่พวกเขาและพยายามยกเหตุผลจากหนังสือบทบัญญัติของโมเสสและหนังสือผู้เผยพระวจนะมาทำให้พวกเขาเชื่อพระเยซู 24 สิ่งที่เขากล่าวทำให้บางคนเชื่อแต่บางคนก็ไม่เชื่อ 25 พวกเขาไม่เห็นพ้องกันและเริ่มจากไปหลังจากที่เปาโลกล่าวทิ้งท้ายว่า “เป็นจริงตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับบรรพบุรุษของพวกท่านผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า

26 “ ‘จงไปหาชนชาตินี้และบอกพวกเขาว่า
“เจ้าจะฟังแล้วฟังเล่าแต่จะไม่มีวันเข้าใจ
เจ้าจะดูแล้วดูเล่าแต่จะไม่มีวันประจักษ์”
27 เพราะจิตใจของชนชาตินี้ดื้อด้านไป
พวกเขาแทบจะไม่เอียงหูฟัง
และพวกเขาได้ปิดตาตนเองเสีย
มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะได้เห็นกับตา
ได้ยินกับหู
เข้าใจด้วยจิตใจ
และหันกลับมา แล้วเราจะรักษาพวกเขา
ให้หาย’[a]

28 “ฉะนั้นข้าพเจ้าอยากให้ท่านรู้ว่าความรอดของพระเจ้าได้แผ่ไปถึงชาวต่างชาติแล้วและพวกเขาจะฟัง!”[b]

30 ตลอดสองปีเต็มเปาโลพักอยู่ในบ้านซึ่งเขาเช่าไว้และต้อนรับคนทั้งปวงที่มาหาเขา 31 เขาประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าและสอนเรื่ององค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างกล้าหาญโดยไม่ถูกขัดขวาง

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.