M’Cheyne Bible Reading Plan
อับรามช่วยโลท
14 ครั้งนั้นกษัตริย์อัมราเฟลแห่งชินาร์[a] กษัตริย์อารีโอคแห่งเอลลาสาร์ กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์แห่งเอลาม และกษัตริย์ทิดาลแห่งโกยิม 2 รวมทัพไปรบกับกษัตริย์เบราแห่งโสโดม กษัตริย์บิรชาแห่งโกโมราห์ กษัตริย์ชินาบแห่งอัดมาห์ กษัตริย์เชเมเบอร์แห่งเศโบยิม และกษัตริย์แห่งเบลา (คือเมืองโศอาร์) 3 กษัตริย์ทั้งห้าองค์หลังนี้รวมกำลังกันที่หุบเขาสิดดิม (คือทะเลตาย) 4 กษัตริย์ห้าองค์นี้ยอมขึ้นกับกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์เป็นเวลาสิบสองปี แต่ในปีที่สิบสามก็กบฏ
5 ในปีที่สิบสี่ กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์กับกษัตริย์พันธมิตรจึงยกทัพมารบและชนะชาวเรฟาอิมในอัชเทโรทคารนาอิม ชาวศูซิมในเขตฮาม ชาวเอมิมในชาเวห์คีริยาธาอิม 6 ชาวโฮรีในแถบภูเขาเสอีร์ ไกลถึงเอลปารานใกล้ทะเลทราย 7 แล้ววกกลับมาเอนมิชปัท (คือคาเดช) พวกเขาพิชิตดินแดนทั้งหมดของชาวอามาเลขกับชาวอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่ในฮาซาโซนทามาร์
8 แล้วกษัตริย์ทั้งห้า คือกษัตริย์แห่งโสโดม กษัตริย์แห่งโกโมราห์ กษัตริย์แห่งอัดมาห์ กษัตริย์แห่งเศโบยิม และกษัตริย์แห่งเบลา (คือโศอาร์) ยกออกไปตั้งแนวรบที่หุบเขาสิดดิม 9 สู้กับกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์แห่งเอลาม กษัตริย์ทิดาลแห่งโกยิม กษัตริย์อัมราเฟลแห่งชินาร์ และกษัตริย์อารีโอคแห่งเอลลาสาร์ กษัตริย์สี่องค์รบกับกษัตริย์ห้าองค์ 10 ขณะนั้นหุบเขาสิดดิมมีบ่อยางมะตอยหลายแห่ง เมื่อกองทัพของกษัตริย์แห่งโสโดมและกษัตริย์แห่งโกโมราห์แตกหนีมา บางคนตกลงไปในบ่อนั้น และที่เหลือก็หนีไปยังเนินเขา 11 ฝ่ายกษัตริย์ทั้งสี่ริบเอาทรัพย์สมบัติและเสบียงทั้งหมดของโสโดมและโกโมราห์ แล้วยกทัพกลับไป 12 พวกเขาจับตัวโลทหลานชายของอับรามซึ่งอาศัยในโสโดม พร้อมทั้งทรัพย์สมบัติของเขาไปด้วย
13 มีคนหนึ่งหนีรอดมาได้และนำความมาบอกอับรามชาวฮีบรู ขณะนั้นเขาอาศัยอยู่ใกล้หมู่ต้นไม้ใหญ่ของมัมเรชาวอาโมไรต์ผู้เป็นพี่น้อง[b] อับรามได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับมัมเรและพี่น้องของเขาคือเอชโคล์และอาเนอร์ 14 เมื่ออับรามได้ยินว่าพี่น้องของเขาถูกจับไปเป็นเชลย จึงระดมบ่าวไพร่ชำนาญศึกที่เกิดในครัวเรือนของเขา 318 คน ไล่ตามพวกเขาไปถึงเมืองดาน 15 คืนวันนั้นอับรามจึงแบ่งบ่าวไพร่เข้าโจมตีจนได้ชัยชนะ และรุกไล่ข้าศึกไปถึงเมืองโฮบาห์ทางเหนือของเมืองดามัสกัส 16 เขาตามเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกริบไปกลับคืนมาได้ รวมทั้งนำโลทผู้เป็นญาติ ทรัพย์สมบัติของโลท พวกผู้หญิงและคนอื่นๆ กลับมาด้วย
17 เมื่ออับรามกลับจากการทำศึกชนะเคโดร์ลาโอเมอร์และกษัตริย์พันธมิตร กษัตริย์แห่งโสโดมออกมาพบเขาที่หุบเขาชาเวห์ (คือหุบเขากษัตริย์)
18 และกษัตริย์เมลคีเซเดคแห่งซาเลม[c] ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าสูงสุด ได้นำอาหารและเหล้าองุ่นออกมาให้ 19 แล้วอวยพรอับรามว่า
“ขอให้อับรามได้รับพรจากพระเจ้าสูงสุด
พระผู้สร้างสวรรค์และโลก
20 สาธุการ[d]แด่พระเจ้าผู้สูงสุด
ผู้ทรงมอบศัตรูทั้งหลายไว้ในมือของท่าน”
แล้วอับรามจึงมอบหนึ่งในสิบของทุกสิ่งที่ริบมาแด่เมลคีเซเดค
21 กษัตริย์แห่งโสโดมกล่าวกับอับรามว่า “ขอมอบประชาชนคืนให้เรา ส่วนข้าวของนั้น ท่านจงเก็บไว้เองเถิด”
22 แต่อับรามตอบกษัตริย์แห่งโสโดมว่า “ข้าพเจ้าได้ยกมือขึ้นสาบานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าสูงสุด พระผู้สร้างสวรรค์และโลกไว้ว่า 23 ข้าพเจ้าจะไม่รับสิ่งใดๆ ที่เป็นของท่าน แม้แต่ด้ายหรือสายรัดรองเท้าสักเส้นเดียว เพื่อท่านจะไม่สามารถพูดได้เลยว่า ‘เราทำให้อับรามร่ำรวย’ 24 ข้าพเจ้าไม่ขอรับสิ่งใดเว้นแต่เสบียงที่คนของข้าพเจ้าได้รับประทานไป กับส่วนแบ่งสำหรับอาเนอร์ เอชโคล์ และมัมเรซึ่งไปกับข้าพเจ้า ให้เขารับส่วนแบ่งของเขาเถิด”
คำอุปมาเรื่องผู้หว่าน(A)
13 ในวันเดียวกันนั้นพระเยซูเสด็จจากบ้านไปประทับที่ริมทะเลสาบ 2 มีฝูงชนมากมายยิ่งนักมารุมล้อมพระองค์ พระองค์จึงทรงลงไปประทับในเรือขณะที่ประชาชนทั้งปวงยืนอยู่บนฝั่ง 3 แล้วพระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขาเป็นคำอุปมาเช่น “ชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทางและนกมาจิกกินไปหมด 5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อยจึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก 6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไปเพราะไม่มีราก 7 บางเมล็ดตกกลางพงหนามโดนหนามงอกคลุม 8 แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดีซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน 9 ใครมีหู จงฟังเถิด”
10 เหล่าสาวกมาหาพระองค์และทูลถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงตรัสกับประชาชนเป็นคำอุปมา?”
11 พระเยซูทรงตอบว่า “ความลับของอาณาจักรสวรรค์ทรงให้พวกท่านรู้ แต่ไม่ทรงให้พวกเขารู้ 12 ผู้ใดมีอยู่แล้วจะได้รับเพิ่มขึ้นจนมีล้นเหลือ ส่วนผู้ที่ไม่มีแม้ซึ่งเขามีอยู่ก็จะถูกริบไปจากเขา 13 ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวกับพวกเขาเป็นคำอุปมาคือ
“แม้ได้ดู แต่พวกเขาก็ไม่เห็น
แม้ได้ฟัง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยินหรือไม่เข้าใจ
14 เป็นจริงตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า
“ ‘เจ้าจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่มีวันเข้าใจ
เจ้าจะดูแล้วดูเล่า แต่จะไม่มีวันประจักษ์
15 เพราะจิตใจของชนชาตินี้ดื้อด้านไป
พวกเขาไม่ยอมเปิดหูเปิดตา
มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะได้เห็นกับตา
ได้ยินกับหู
เข้าใจด้วยจิตใจ
และหันกลับมา แล้วเราจะรักษาพวกเขาให้หาย’[a]
16 แต่ตาของท่านเป็นสุขเพราะได้เห็น หูของท่านเป็นสุขเพราะได้ยิน 17 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมมากมายปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นแต่ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยินแต่ก็ไม่ได้ยิน
18 “จงฟังความหมายของคำอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ 19 เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป นี่คือเมล็ดพืชที่หว่านตามทาง 20 เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมากคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21 แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้นก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว 22 เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนามคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสียทำให้ไม่เกิดผล 23 ส่วนเมล็ดพืชซึ่งตกในดินดีนั้นคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะและเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป”
คำอุปมาเรื่องวัชพืช
24 พระเยซูทรงยกคำอุปมาอีกว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนคนหว่านเมล็ดพันธุ์ดีในนาของตน 25 แต่ขณะที่ทุกคนหลับอยู่ศัตรูของเขามาหว่านวัชพืช[b]แทรกปนกับข้าวสาลีแล้วก็จากไป 26 เมื่อข้าวสาลีงอกและออกรวง วัชพืชก็ปรากฏขึ้นด้วย
27 “คนรับใช้มาบอกเจ้าของนาว่า ‘นายขอรับ ท่านหว่านข้าวดีในนาไม่ใช่หรือ? ก็แล้ววัชพืชมาจากไหน?
28 “นายตอบว่า ‘ฝีมือของศัตรู’
“คนรับใช้ถามว่า ‘ให้พวกเราไปถอนทิ้งดีไหม?’
29 “นายตอบว่า ‘อย่าเลย เพราะขณะถอนวัชพืชเจ้าอาจจะถอนข้าวสาลีขึ้นมาด้วย 30 ให้ทั้งคู่งอกขึ้นไปด้วยกันจนถึงเวลาเกี่ยว ถึงตอนนั้นเราจะบอกคนเกี่ยวให้เก็บวัชพืชก่อนและมัดเป็นฟ่อนนำไปเผาไฟ แล้วเก็บข้าวสาลีนำมาไว้ในยุ้งฉางของเรา’”
คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดและเชื้อขนม(B)
31 พระองค์ทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีคนเอาไปเพาะในทุ่งของตน 32 แม้เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นก็ใหญ่ที่สุดในสวนและกลายเป็นต้นให้นกในอากาศมาเกาะกิ่ง”
33 แล้วทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อขนมซึ่งผู้หญิงเอาไปผสมในแป้งกองใหญ่[c]จนแป้งทั้งก้อนฟูขึ้น”
34 ทั้งหมดนี้พระเยซูตรัสแก่ฝูงชนเป็นคำอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งใดกับพวกเขาเลยนอกจากคำอุปมา 35 ทั้งนี้เป็นจริงตามที่กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า
“ข้าพเจ้าจะเอื้อนเอ่ยคำอุปมา
จะเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ตั้งแต่ครั้งทรงสร้างโลก”[d]
ทรงอธิบายคำอุปมาเรื่องวัชพืช
36 จากนั้นทรงละฝูงชนเข้าไปในบ้าน เหล่าสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ขอทรงอธิบายคำอุปมาเรื่องวัชพืชด้วยเถิด”
37 พระเยซูตรัสตอบว่า “ผู้ที่หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรมนุษย์ 38 นาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีหมายถึงพลเมืองของอาณาจักรของพระเจ้า ส่วนวัชพืชหมายถึงพลเมืองของมาร 39 ศัตรูที่หว่านวัชพืชนั้นคือมาร เวลาเก็บเกี่ยวคือเมื่อสิ้นยุค และผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์
40 “วัชพืชถูกถอนมาเผาไฟอย่างไร เมื่อสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น 41 บุตรมนุษย์จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มากำจัดทุกสิ่งอันเป็นต้นเหตุของบาปและกำจัดทุกคนที่ทำชั่วออกจากอาณาจักรของพระองค์ 42 แล้วโยนลงในเตาไฟลุกโชนที่ซึ่งจะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 43 แล้วผู้ชอบธรรมจะส่องสว่างเหมือนดวงตะวันในอาณาจักรของพระบิดาของพวกเขา ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด”
คำอุปมาเรื่องขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่และไข่มุกล้ำค่า
44 “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา เมื่อมีผู้พบเข้าก็กลับซ่อนไว้และด้วยความตื่นเต้นยินดีจึงไปขายทุกสิ่งที่มีแล้วมาซื้อทุ่งนานั้น
45 “อนึ่งอาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม 46 เมื่อเขาได้พบไข่มุกล้ำค่าเม็ดหนึ่งจึงไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อไข่มุกนั้น
คำอุปมาเรื่องอวน
47 “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับอวนซึ่งทอดลงในทะเลและจับปลาได้สารพัดชนิด 48 พอเต็มแล้วชาวประมงก็ลากอวนขึ้นฝั่งแล้วคัดเอาแต่ปลาที่ดีใส่ตะกร้า ส่วนที่ไม่ดีก็ทิ้งไป 49 เมื่อสิ้นยุคก็จะเป็นเช่นนี้ คือทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วช้าออกจากคนชอบธรรม 50 และนำไปทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโชนที่ซึ่งจะมีการร่ำไห้และการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
51 พระเยซูตรัสถามว่า “ทั้งหมดนี้พวกท่านเข้าใจหรือไม่?”
พวกเขาทูลตอบว่า “เข้าใจพระเจ้าข้า”
52 พระองค์ตรัสว่า “เพราะฉะนั้นธรรมาจารย์ทุกคนที่รับคำสอนเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านซึ่งนำสมบัติใหม่และสมบัติเก่าออกมาจากคลังของตน”
ผู้เผยพระวจนะซึ่งไม่มีใครนับถือ(C)
53 เมื่อพระเยซูตรัสคำอุปมาเหล่านี้จบแล้วก็เสด็จออกจากที่นั่น 54 เมื่อมาถึงบ้านเกิดของพระองค์ พระองค์ทรงสั่งสอนประชาชนในธรรมศาลาและพวกเขาก็ประหลาดใจและพูดกันว่า “คนนี้ได้สติปัญญาและฤทธิ์อำนาจอัศจรรย์เหล่านี้มาจากไหน? 55 เขาเป็นลูกช่างไม้ไม่ใช่หรือ? แม่ของเขาชื่อมารีย์และน้องชายของเขาคือยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาส ไม่ใช่หรือ?” 56 น้องสาวของเขาทุกคนก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ? แล้วเขาได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหนกัน? 57 เขาทั้งหลายจึงไม่พอใจพระองค์
ฝ่ายพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระวจนะขาดคนนับถือก็แต่เฉพาะในบ้านเดิมและในครอบครัวของตนเอง”
58 และพระองค์ไม่ได้ทรงกระทำการอัศจรรย์ที่นั่นมากนักเนื่องจากพวกเขาไม่มีความเชื่อ
ผู้สร้างกำแพงเมือง
3 มหาปุโรหิตเอลียาชีบและปุโรหิตอื่นๆ จึงลงมือซ่อมแซมประตูแกะ ทำพิธีถวายและติดตั้งประตู ซ่อมไปจนถึงหอคอยหนึ่งร้อยซึ่งพวกเขาทำพิธีถวาย และซ่อมไปจนถึงหอคอยฮานันเอล 2 ชาวเมืองเยรีโคสร้างส่วนถัดไป และศักเกอร์บุตรอิมรีก็สร้างส่วนถัดไป
3 บุตรทั้งหลายของหัสเสนาอาห์ซ่อมแซมประตูปลา เขาวางไม้คาน ติดตั้งประตู สลัก และดาล 4 เมเรโมทบุตรอุรียาห์บุตรของฮักโขสซ่อมช่วงถัดไป เมชุลลามบุตรเบเรคิยาห์บุตรของเมเชซาเบลซ่อมแซมช่วงถัดจากเขา และศาโดกบุตรบาอานาซ่อมแซมช่วงถัดไป 5 ถัดไปได้แก่ชาวเมืองเทโคอา แต่บรรดาขุนนางของเขาไม่ยอมทำงานตามคำสั่งของผู้ดูแล[a]
6 โยยาดาบุตรปาเสอาห์กับเมชุลลามบุตรเบโสไดอาห์ซ่อมแซมประตูเยชานาห์[b] พวกเขาวางคาน ติดตั้งประตู สลัก และดาล 7 ถัดไปคืองานซ่อมแซมของเมลาติยาห์จากกิเบโอนกับของยาโดนจากเมโรโนท คนจากกิเบโอนและมิสปาห์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ว่าการอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติส 8 อุสซีเอลบุตรฮารฮายาห์ซึ่งเป็นช่างทองซ่อมแซมส่วนถัดไป ถัดจากนั้นคือฮานันยาห์ผู้ปรุงน้ำหอม พวกเขาซ่อมแซม[c]เยรูซาเล็มไปถึงกำแพงกว้าง 9 เรไฟยาห์บุตรเฮอร์ผู้ปกครองเยรูซาเล็มครึ่งหนึ่งซ่อมแซมส่วนถัดไป 10 ถัดไปคือเยดายาห์บุตรฮารุมัฟซ่อมส่วนที่อยู่ตรงข้ามบ้านของเขา ถัดไปคือฮัททัชบุตรฮาชับเนยาห์ 11 มัลคียาห์บุตรฮาริมกับหัสชูบบุตรปาหัทโมอับซ่อมแซมอีกช่วงหนึ่งพร้อมทั้งหอคอยเตาอบ 12 ชัลลูมบุตรฮัลโลเหชกับบรรดาบุตรสาวของเขาซ่อมแซมส่วนถัดไป เขาเป็นผู้ปกครองเยรูซาเล็มอีกครึ่งหนึ่ง
13 ฮานูนกับชาวศาโนอาห์ซ่อมแซมประตูหุบเขา ติดตั้งประตู สลัก และดาล และซ่อมกำแพงยาว 1,000 ศอก[d] ไปจนถึงประตูกองขยะ
14 ผู้ที่ซ่อมประตูกองขยะคือ มัลคียาห์บุตรเรคาบผู้ปกครองเขตเบธฮัคเคเรม เขาซ่อมแซมและติดตั้งประตู สลัก และดาล
15 ชัลลูมบุตรโคลโฮเซห์ผู้ปกครองเขตมิสปาห์ ซ่อมแซมประตูน้ำพุ และติดหลังคา ติดประตู สลัก และดาล และซ่อมกำแพงจากสระสิโลอัม[e]ข้างอุทยานหลวงถึงขั้นบันไดจากเมืองดาวิด 16 ถัดจากเขาคือเนหะมีย์บุตรอัสบูกผู้ปกครองเขตเบธซูร์ครึ่งหนึ่ง สร้างไปถึงจุดตรงข้ามสุสานของ[f]ดาวิดไปจนถึงอ่างเก็บน้ำและโรงทหาร
17 ถัดไปเป็นกลุ่มคนเลวีภายใต้การกำกับดูแลของเรฮูมบุตรบานี ข้างๆ เขาคือฮาชาบิยาห์ผู้ปกครองเขตเคอีลาห์ครึ่งหนึ่ง ซึ่งซ่อมแซมส่วนที่อยู่ในเขตของเขา 18 ถัดมาคือพี่น้องร่วมวงศ์ของเขานำโดยบินนุย[g]บุตรเฮนาดัดผู้ปกครองเขตเคอีลาห์อีกครึ่งหนึ่ง 19 ถัดจากเขาคือเอเซอร์บุตรเยชูอาผู้ปกครองเขตมิสปาห์ ซ่อมจากจุดที่หันหน้าไปทางขึ้นคลังอาวุธถึงมุมกำแพง 20 ถัดมาคือบารุคบุตรศับบัยได้ซ่อมแซมอย่างแข็งขันจากมุมกำแพงไปถึงทางเข้าบ้านมหาปุโรหิตเอลียาชีบ 21 ถัดมาคือเมเรโมทบุตรอุรียาห์บุตรของฮักโขส ซ่อมกำแพงจากทางเข้าบ้านของเอลียาชีบถึงริมสุดบ้าน
22 ถัดมาซ่อมแซมโดยบรรดาปุโรหิตจากภูมิภาครอบๆ 23 ถัดขึ้นไปเบนยามินกับหัสชูบซ่อมส่วนหน้าบ้านของเขา ถัดจากนั้นอาซาริยาห์บุตรมาอาเสอาห์ บุตรของอานานิยาห์ ซ่อมส่วนที่อยู่ข้างบ้านของเขา 24 ถัดไปคือบินนุยบุตรเฮนาดัด ซ่อมอีกส่วนหนึ่งจากบ้านของอาซาริยาห์จนถึงมุมกำแพง 25 ปาลาลบุตรอุซัยรับช่วงงานจากตรงข้ามมุมกำแพงและหอคอยที่ยื่นจากตำหนักบนซึ่งใกล้ลานทหารรักษาพระองค์ ถัดไปคือเปดายาห์บุตรปาโรช 26 และผู้ช่วยงานในพระวิหารซึ่งอาศัยอยู่บนเนินเขาโอเฟล ซ่อมกำแพงไปจนถึงจุดตรงข้ามประตูน้ำไปทางตะวันออกและหอคอยที่ยื่นออกไป 27 ถัดมาคือชาวเทโคอาซึ่งซ่อมกำแพงอีกช่วงหนึ่งจากหอคอยใหญ่ที่ยื่นออกไปจนถึงกำแพงโอเฟล
28 บรรดาปุโรหิตซ่อมกำแพงเหนือประตูม้า แต่ละคนซ่อมส่วนที่อยู่หน้าบ้านของตน 29 ถัดจากนั้นศาโดกบุตรอิมเมอร์ซ่อมส่วนที่อยู่ตรงข้ามบ้านของเขา ถัดไปคือเชไมอาห์บุตรเชคานิยาห์ยามประตูตะวันออกเป็นผู้ซ่อมแซม 30 ถัดจากเขาคือฮานันยาห์บุตรเชเลมิยาห์ ฮานูนบุตรคนที่หกของศาลาฟซ่อมอีกส่วนหนึ่ง ถัดไปเมชุลลามบุตรเบเรคิยาห์ซ่อมแซมส่วนที่ตรงข้ามที่พักของเขา 31 ถัดไปมัลคียาห์ช่างทองซ่อมแซมไปจนถึงเรือนผู้ช่วยงานในพระวิหารและเรือนพ่อค้า ตรงข้ามประตูตรวจตราไปจนถึงห้องชั้นบนตรงหัวมุม 32 ช่างทองและพ่อค้าอื่นๆ ซ่อมส่วนที่อยู่ระหว่างห้องชั้นบนตรงหัวมุมนี้ไปจนถึงประตูแกะ
ส่งบารนาบัสกับเซาโลออกไป
13 คริสตจักรที่เมืองอันทิโอกมีผู้เผยพระวจนะและอาจารย์ได้แก่ บารนาบัส สิเมโอนที่เรียกกันว่านิเกอร์ ลูสิอัสชาวไซรีน มานาเอน (ผู้เติบโตมากับเฮโรดผู้ครองแคว้น) และเซาโล 2 ขณะเขาทั้งหลายกำลังนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและอดอาหารพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตรัสว่า “จงตั้งบารนาบัสกับเซาโลไว้สำหรับเราเพื่องานซึ่งเราได้เรียกให้พวกเขาทำ” 3 ดังนั้นหลังจากอดอาหารและอธิษฐานแล้วพวกเขาจึงวางมือบนเขาทั้งสองแล้วส่งออกไป
บนเกาะไซปรัส
4 พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงส่งเขาทั้งสองลงมาที่เมืองเซลูเคียและนั่งเรือจากที่นั่นมายังเกาะไซปรัส 5 เมื่อมาถึงเมืองซาลามิสพวกเขาก็ประกาศพระวจนะของพระเจ้าในธรรมศาลาของพวกยิว ยอห์นก็อยู่เป็นผู้ช่วยของพวกเขาด้วย
6 พวกเขาเดินทางไปทั่วเกาะจนมาถึงเมืองปาโฟส ที่นั่นพวกเขาพบนักคาถาอาคมชาวยิว ซึ่งเป็นผู้พยากรณ์เท็จชื่อบารเยซู 7 เขาเป็นคนของผู้ตรวจการเสอร์จีอัสพอลัส ผู้ตรวจการคนนี้เป็นคนเฉลียวฉลาด เขาส่งคนมาตามบารนาบัสกับเซาโลไปพบเพราะต้องการฟังพระวจนะของพระเจ้า 8 แต่เอลีมาสนักคาถาอาคม (เพราะชื่อของเขาหมายความว่าอย่างนั้น) ขัดขวางและพยายามดึงผู้ตรวจการให้หันเหจากความเชื่อ 9 แล้วเซาโลผู้มีอีกชื่อหนึ่งว่าเปาโลเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์มองตรงไปที่เอลีมาสและกล่าวว่า 10 “เจ้าเป็นลูกของมารร้ายเป็นศัตรูต่อทุกสิ่งที่ถูกต้อง! เจ้ามีแต่ความหลอกลวงและเล่ห์เพทุบาย เจ้าจะไม่หยุดบิดเบือนวิถีอันถูกต้องขององค์พระผู้เป็นเจ้าเลยหรือ? 11 บัดนี้พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะจัดการกับเจ้า เจ้าจะตาบอดมองไม่เห็นแสงตะวันตลอดช่วงหนึ่ง”
ทันใดนั้นความมืดมัวเกิดแก่เอลีมาสและเขาต้องคลำหาคนให้จูงมือไป 12 เมื่อผู้ตรวจการเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เชื่อเพราะอัศจรรย์ใจในคำสอนเกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
ในเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสิเดีย
13 เปาโลกับพวกนั่งเรือจากเมืองปาโฟสไปยังเมืองเปอร์กาในแคว้นปัมฟีเลีย ที่นั่นยอห์นจากพวกเขากลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 14 จากเมืองเปอร์กาพวกเขาเดินทางต่อมายังเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสิเดีย ในวันสะบาโตก็เข้ามานั่งในธรรมศาลา 15 หลังจากอ่านหนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะแล้วเหล่านายธรรมศาลาก็ให้คนมาบอกพวกเขาว่า “พี่น้องเอ๋ย หากมีอะไรจะให้กำลังใจแก่ที่ประชุมก็เชิญกล่าวเถิด”
16 เปาโลยืนขึ้นโบกมือและกล่าวว่า “ชนอิสราเอลและท่านชาวต่างชาติผู้นมัสการพระเจ้าโปรดฟังข้าพเจ้า! 17 พระเจ้าของชนชาติอิสราเอลทรงเลือกสรรบรรพบุรุษของเรา ทรงให้เหล่าประชากรเจริญรุ่งเรืองขณะอยู่ในอียิปต์ ทรงนำพวกเขาออกมาจากประเทศนั้นด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ 18 พระองค์ทรงอดทนต่อความประพฤติของเหล่าบรรพบุรุษ[a]เป็นเวลาสี่สิบปีในถิ่นกันดาร 19 ทรงโค่นล้มเจ็ดประชาชาติในคานาอัน และประทานดินแดนของพวกเขาให้เป็นกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระองค์ 20 เหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ในช่วง 450 ปี
“หลังจากนั้นพระเจ้าได้ประทานเหล่าผู้วินิจฉัยให้เขาจนถึงสมัยของผู้เผยพระวจนะซามูเอล 21 จากนั้นเหล่าประชากรขอมีกษัตริย์และพระองค์ประทานซาอูลบุตรของคีชแห่งตระกูลเบนยามินซึ่งปกครองอยู่สี่สิบปี 22 หลังจากพระเจ้าทรงปลดซาอูลพระองค์ก็ทรงตั้งดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์และทรงเป็นพยานเกี่ยวกับดาวิดว่า ‘เราพบว่าดาวิดบุตรเจสซีเป็นผู้ที่เราชอบใจยิ่งนัก เขาจะทำทุกสิ่งที่เราต้องการให้เขาทำ’
23 “จากวงศ์วานของดาวิดนี้เองพระเจ้าทรงนำพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดตามที่ทรงสัญญาไว้มาสู่อิสราเอล 24 ก่อนพระเยซูเสด็จมายอห์นประกาศเรื่องการกลับใจใหม่และการรับบัพติศมาแก่ปวงชนอิสราเอล 25 เมื่อยอห์นทำงานของตนใกล้จะเสร็จแล้วเขากล่าวว่า ‘พวกท่านคิดว่าข้าพเจ้าเป็นใคร? ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ที่พวกท่านกำลังมองหาอยู่ แต่มีผู้หนึ่งกำลังจะมาภายหลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์’
26 “พี่น้องทั้งหลายผู้เป็นลูกหลานของอับราฮัมและท่านชาวต่างชาติผู้ยำเกรงพระเจ้า พวกเรานี่แหละคือผู้ที่เรื่องราวแห่งความรอดนี้มีมาถึง 27 ชาวกรุงเยรูซาเล็มกับพวกผู้นำของเขาไม่รู้ว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ใด ถึงกระนั้นที่เขาตัดสินลงโทษพระองค์ก็เป็นไปตามคำของผู้เผยพระวจนะซึ่งอ่านกันอยู่ทุกวันสะบาโต 28 ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่พบมูลเหตุใดที่จะเอาผิดถึงตายก็ยังขอให้ปีลาตประหารพระองค์ 29 เมื่อเขาทั้งหลายได้ทำตามสิ่งทั้งปวงที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์แล้วก็นำพระศพลงจากต้นไม้ไปวางไว้ในอุโมงค์ 30 แต่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย 31 และบรรดาผู้ที่ได้ตามเสด็จพระองค์จากแคว้นกาลิลีมายังกรุงเยรูซาเล็มได้เห็นพระองค์เป็นเวลาหลายวัน บัดนี้พวกเขาเป็นพยานเรื่องพระองค์แก่ประชาชนของเรา
32 “พวกเราแจ้งข่าวประเสริฐนี้แก่ท่าน คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับเหล่าบรรพบุรุษของเรา 33 พระองค์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้วเพื่อพวกเราผู้เป็นลูกหลานของคนเหล่านั้นโดยทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นตามที่เขียนไว้ในสดุดีบทที่สองว่า
34 ความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ไม่ต้องเน่าเปื่อยเลย ระบุไว้ในข้อความที่ว่า
“ ‘เราจะให้พรอันบริสุทธิ์และแน่นอนแก่เจ้าตามที่ได้สัญญาไว้กับดาวิด’[d]
35 และอีกตอนหนึ่งที่ว่า
“ ‘พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์เน่าเปื่อย’[e]
36 “เพราะเมื่อดาวิดได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าในชั่วอายุของเขาแล้วเขาก็ล่วงลับไปและถูกฝังไว้กับเหล่าบรรพบุรุษและร่างกายของเขาก็เน่าเปื่อยไป 37 แต่พระองค์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นจากตายนั้นไม่เคยเน่าเปื่อย
38 “ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรู้ว่าโดยทางพระเยซูนี้จึงมีการประกาศการอภัยโทษบาปแก่ท่านทั้งหลาย 39 โดยทางพระองค์ทุกคนที่เชื่อก็ถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากโทษทุกอย่างซึ่งไม่อาจพ้นได้โดยอาศัยบทบัญญัติของโมเสส 40 จงระวังให้ดี อย่าให้สิ่งที่บรรดาผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้เกิดขึ้นแก่ท่าน คือที่ว่า
41 “ ‘ดูเถิด เจ้าพวกคนชอบเยาะเย้ย
จงฉงนสนเท่ห์และพินาศไป
เพราะเรากำลังจะทำบางสิ่งในสมัยของเจ้า
ซึ่งถึงแม้มีใครบอกเจ้า
เจ้าก็จะไม่มีวันเชื่อ’[f]”
42 ขณะเปาโลกับบารนาบัสออกจากธรรมศาลาคนทั้งหลายก็เชื้อเชิญเขาให้กล่าวเรื่องเหล่านี้ต่อไปในวันสะบาโตหน้า 43 เมื่อเลิกประชุมแล้วชาวยิวและคนเข้าจารีตยิวซึ่งเคร่งศาสนาหลายคนก็ติดตามเปาโลกับบารนาบัสไป คนทั้งสองพูดคุยและกำชับพวกเขาให้อยู่ในพระคุณของพระเจ้าต่อไป
44 ในวันสะบาโตต่อมาคนเกือบทั้งเมืองมาชุมนุมกันเพื่อฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า 45 เมื่อพวกยิวเห็นผู้คนมากมายก็อิจฉาริษยายิ่งนักจึงพูดให้ร้ายต่อต้านสิ่งที่เปาโลกำลังกล่าว
46 แล้วเปาโลกับบารนาบัสจึงโต้ตอบพวกเขาด้วยใจกล้าว่า “เราต้องประกาศพระวจนะของพระเจ้าแก่พวกท่านก่อน ในเมื่อท่านปฏิเสธและไม่เห็นว่าตัวเองคู่ควรกับชีวิตนิรันดร์บัดนี้เราก็จะหันไปหาพวกต่างชาติ 47 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาเราไว้ว่า
“ ‘เราได้ทำให้เจ้าเป็นแสงสว่างสำหรับชนต่างชาติ
เพื่อเจ้าจะนำความรอดไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก’[g]”
48 ฝ่ายคนต่างชาติเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจและยกย่องพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า และบรรดาผู้ที่ถูกกำหนดไว้ให้มีชีวิตนิรันดร์ก็เชื่อ 49 พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแพร่ไปทั่วภูมิภาคนั้น 50 แต่พวกยิวยุยงสตรีสูงศักดิ์ผู้ยำเกรงพระเจ้าและเหล่าบุรุษที่เป็นผู้นำในเมืองนั้น พวกเขาปลุกปั่นให้คนเหล่านี้ข่มเหงเปาโลกับบารนาบัสและขับไล่คนทั้งสองออกจากภูมิภาคนั้น 51 ดังนั้นทั้งสองจึงสะบัดฝุ่นจากเท้าเป็นการประท้วงพวกเขาแล้วไปยังเมืองอิโคนียูม 52 และเหล่าสาวกก็เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีและพระวิญญาณบริสุทธิ์
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.