M’Cheyne Bible Reading Plan
พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับอับราม
15 ต่อมาองค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระดำรัสมาถึงอับรามทางนิมิตว่า
2 แต่อับรามทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์จะประทานบำเหน็จให้แก่ข้าพระองค์ไปทำไมในเมื่อข้าพระองค์ยังไม่มีลูกเลย และผู้ที่จะรับมรดกของข้าพระองค์[c]ก็คือเอลีเยเซอร์แห่งดามัสกัส?” 3 และอับรามทูลว่า “พระองค์ไม่ได้ประทานลูกให้ข้าพระองค์เลย ฉะนั้นคนรับใช้ในครัวเรือนจะเป็นผู้รับมรดกของข้าพระองค์”
4 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระดำรัสมาถึงอับรามว่า “ชายผู้นี้จะไม่ได้เป็นผู้รับมรดกของเจ้า แต่ลูกที่เกิดจากตัวเจ้าเองจะเป็นผู้รับมรดกของเจ้า” 5 พระองค์ทรงนำเขาออกมาข้างนอกและตรัสว่า “จงเงยหน้าขึ้นดูฟ้าแล้วนับดวงดาว หากเจ้าสามารถนับได้” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เผ่าพันธุ์[d]ของเจ้าจะเป็นเช่นนั้นแหละ”
6 อับรามเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ทรงนับว่าเขาเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อนี้
7 พระองค์ตรัสกับเขาด้วยว่า “เราคือพระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้นำเจ้าออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย เพื่อจะยกดินแดนนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า”
8 แต่อับรามทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต ข้าพระองค์จะรู้ได้อย่างไรว่าดินแดนนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของข้าพระองค์?”
9 ดังนั้นพระยาห์เวห์ จึงตรัสกับเขาว่า “จงนำวัวตัวเมีย แพะ และแกะผู้ ซึ่งแต่ละอย่างมีอายุสามปี พร้อมกับนกเขาและนกพิราบรุ่นอย่างละตัวมาให้เรา”
10 อับรามนำสัตว์เหล่านี้มาถวาย โดยผ่าเป็นสองซีก แต่ละซีกวางไว้ตรงข้ามกัน ส่วนนกนั้นเขาไม่ได้ผ่า 11 แล้วฝูงเหยี่ยวโฉบมาที่ซากสัตว์เหล่านั้น แต่อับรามไล่มันไปเสีย
12 ขณะดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า อับรามหลับสนิท ความมืดทึบอันน่าหวาดกลัวแผ่ปกคลุมเขา 13 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับรามว่า “จงรู้แน่เถิดว่า ลูกหลานของเจ้าจะเป็นคนต่างด้าวในต่างแดน และจะตกเป็นทาสถูกกดขี่ข่มเหงสี่ร้อยปี 14 แต่เราจะลงโทษชนชาติที่เขาเป็นทาสรับใช้ และหลังจากนั้นเขาจะออกมาพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย 15 ส่วนเจ้าจะตามบรรพบุรุษไปอย่างสงบสุขและถูกฝังเมื่อชรามากแล้ว 16 ในชั่วอายุที่สี่ ลูกหลานของเจ้าจะกลับมาที่นี่ เพราะขณะนี้บาปของชาวอาโมไรต์ยังไม่ถึงที่สุดที่เราจะลงโทษพวกเขา”
17 เมื่อดวงอาทิตย์ลับไปและความมืดเข้ามาปกคลุม ก็มีกระถางไฟควันโขมงและคบเพลิงที่ลุกโชติช่วงปรากฏขึ้น และเคลื่อนผ่านสัตว์เหล่านั้น 18 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำพันธสัญญากับอับรามว่า “เราจะมอบดินแดนนี้แก่ลูกหลานของเจ้า ตั้งแต่ลำน้ำแห่งอียิปต์จดแม่น้ำใหญ่คือยูเฟรติส 19 คือดินแดนของชาวเคไนต์ ชาวเคนัส ชาวคัดโมไนต์ 20 ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวเรฟาอิม 21 ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเกอร์กาชี และชาวเยบุส”
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกตัดศีรษะ(A)
14 ครั้งนั้นเฮโรดเจ้าผู้ครองแคว้นได้ยินกิตติศัพท์ของพระเยซู 2 จึงกล่าวแก่บริวารว่า “นี่คือยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งได้เป็นขึ้นจากตาย! จึงทำให้เขามีฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์ต่างๆ ได้”
3 เฮโรดได้จับยอห์นจองจำไว้ในคุก ด้วยสาเหตุจากนางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตน 4 เนื่องจากยอห์นเคยพูดกับเขาว่า “เป็นการผิดธรรมบัญญัติที่ท่านรับนางมาเป็นภรรยา” 5 เฮโรดอยากจะฆ่ายอห์น แต่ก็กลัวประชาชนเพราะพวกเขาถือว่ายอห์นคือผู้เผยพระวจนะ
6 ในงานฉลองวันเกิดของเฮโรด บุตรีของนางเฮโรเดียสได้มาเต้นรำให้ชมและทำให้เฮโรดพอใจมาก 7 เขาจึงสัญญาโดยปฏิญาณว่าจะให้ทุกอย่างที่นางขอ 8 นางจึงทูลตามที่มารดาชี้แนะว่า “ขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เถิด” 9 กษัตริย์ก็เป็นทุกข์ แต่ขัดไม่ได้เพราะได้ปฏิญาณไว้และเห็นแก่หน้าแขกเหรื่อ จึงบัญชาให้เป็นไปตามที่นางขอ 10 ยอห์นจึงถูกตัดศีรษะในคุก 11 เขาเอาศีรษะของยอห์นใส่ถาดแล้วนำมาให้หญิงนั้น นางก็ยกไปให้มารดา 12 สาวกของยอห์นมารับศพไปฝัง แล้วมาทูลพระเยซู
พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน(B)
13 เมื่อพระเยซูทรงทราบสิ่งที่เกิดขึ้นก็ลงเรือเสด็จจากที่นั่นไปยังที่สงบเงียบเป็นการส่วนพระองค์ ประชาชนจากเมืองต่างๆ ได้ยินเช่นนี้ก็เดินไปหาพระองค์ 14 เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือและทรงเห็นคนกลุ่มใหญ่ พระองค์ก็ทรงสงสารเขาและทรงรักษาคนเจ็บป่วยในหมู่พวกเขา
15 พอตกเย็นเหล่าสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่ห่างไกลมากและตกเย็นแล้ว ขอทรงให้ประชาชนไป เขาจะได้ไปซื้อหาอาหารกินตามหมู่บ้านต่างๆ”
16 พระเยซูตรัสตอบว่า “พวกเขาไม่จำเป็นต้องไป พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด”
17 เหล่าสาวกทูลว่า “ที่นี่เรามีเพียงขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว”
18 พระองค์ตรัสว่า “เอามาให้เราที่นี่” 19 แล้วทรงให้คนทั้งหลายนั่งลงบนหญ้า ทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวนั้นมา เงยพระพักตร์ขึ้นมองฟ้าสวรรค์ ขอบพระคุณพระเจ้า และหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวก เหล่าสาวกก็แจกจ่ายให้แก่ประชาชน 20 พวกเขาทุกคนได้กินอิ่มหนำ และเหล่าสาวกเก็บเศษที่เหลือได้สิบสองตะกร้าเต็ม 21 จำนวนคนที่รับประทานอาหารนั้นมีผู้ชายประมาณห้าพันคนไม่นับผู้หญิงและเด็ก
พระเยซูทรงดำเนินบนน้ำ(C)
22 พระเยซูทรงให้เหล่าสาวกลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปทันทีขณะที่พระองค์ทรงรอส่งฝูงชน 23 หลังจากทรงส่งพวกเขาไปหมดแล้ว พระองค์เสด็จขึ้นภูเขาโดยลำพังเพื่ออธิษฐาน เมื่อค่ำลงพระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเพียงผู้เดียว 24 ส่วนเรือออกจากฝั่งมาไกลพอสมควรแล้ว[a]และถูกคลื่นกระหน่ำเพราะลมพัดปะทะเรือ
25 เมื่อใกล้รุ่ง[b]พระเยซูทรงดำเนินบนทะเลสาบไปหาพวกเขา 26 เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ดำเนินมาบนทะเลสาบก็ตระหนกตกใจบอกว่า “ผี” และพากันร้องอึงเพราะความกลัว
27 แต่ทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ทำใจเข้มแข็งไว้! นี่เราเอง อย่ากลัวเลย”
28 เปโตรทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า หากใช่พระองค์ ขอทรงบอกให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์”
29 พระเยซูตรัสว่า “มาเถิด”
เปโตรจึงลงจากเรือแล้วเดินบนน้ำไปหาพระเยซู 30 แต่พอเขาเห็นว่าลมพัดแรงก็กลัวและเมื่อกำลังจะจมก็ร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยด้วย!”
31 พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์จับเขาไว้ทันทีและตรัสว่า “ท่านผู้มีความเชื่อน้อย เหตุใดท่านจึงสงสัย?”
32 เมื่อพระองค์กับเปโตรขึ้นเรือแล้ว ลมก็หยุดพัด 33 แล้วบรรดาผู้ที่อยู่ในเรือจึงกราบนมัสการพระองค์พร้อมทั้งทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ”
34 เมื่อข้ามฟากแล้ว พวกเขาก็มาขึ้นฝั่งที่เยนเนซาเรท 35 และเมื่อคนที่นั่นจำพระเยซูได้ก็ส่งข่าวไปทั่วแคว้น ประชาชนนำบรรดาคนเจ็บป่วยมาหาพระองค์ 36 และทูลขอให้คนป่วยนั้นได้แตะชายฉลองพระองค์ก็พอและทุกคนที่ได้แตะพระองค์ก็หายป่วย
อุปสรรคในการซ่อมแซม
4 สันบาลลัทโกรธจัดเมื่อได้ยินว่าพวกเรากำลังสร้างกำแพงขึ้นใหม่ เขาสบประมาทชาวยิว 2 เขาถากถางพวกเราต่อหน้าเพื่อนพ้องและกองทัพสะมาเรียว่า “เจ้ายิวกระจอกงอกง่อยพวกนี้กำลังทำอะไรอยู่? จะซ่อมกำแพงหรือ? จะถวายเครื่องบูชาหรือ? จะสร้างเสร็จในวันเดียวหรือ? จะเอาหินไหม้ดำจากกองขยะกลับมาใช้อีกหรือ?”
3 โทบียาห์ชาวอัมโมนซึ่งอยู่ข้างๆ เขาเอ่ยขึ้นว่า “ให้สุนัขจิ้งจอกแค่ตัวเดียวปีนขึ้นไปบนกำแพงที่พวกเขากำลังสร้าง มันก็จะพังครืนลงมา!”
4 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายโปรดสดับฟัง เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายถูกเย้ยหยัน ขอให้คำสบประมาทของพวกเขาย้อนตกใส่ศีรษะของพวกเขาเอง ขอให้พวกเขาเป็นเหยื่อของการปล้นและตกไปเป็นเชลย 5 ขออย่าทรงเพิกเฉยต่อความผิดของพวกเขาหรือลบล้างบาปของพวกเขาให้พ้นจากสายพระเนตรของพระองค์ เพราะพวกเขาหยามน้ำหน้า[a]บรรดาผู้สร้างกำแพง
6 ในที่สุดกำแพงก็เสร็จถึงครึ่งหนึ่งของความสูงเดิม เพราะประชาชนทำงานอย่างสุดใจ
7 แต่เมื่อสันบาลลัท โทบียาห์ ชาวอาหรับ ชาวอัมโมน และชาวอัชโดดได้ยินว่างานซ่อมแซมกำแพงเมืองเยรูซาเล็มคืบหน้าไป และช่องโหว่ในกำแพงก็ถูกอุดหมดแล้ว พวกเขาก็โกรธจัด 8 พวกเขาคบคิดกันจะยกพวกมาสู้กับเยรูซาเล็มเพื่อก่อความวุ่นวาย 9 แต่เราอธิษฐานต่อพระเจ้าของเรา และตั้งยามดูแลทั้งวันทั้งคืนเพื่อรับมือกับการคุกคาม
10 ขณะเดียวกันประชาชนในยูดาห์กล่าวว่า “คนงานหมดแรงแล้ว และมีซากปรักหักพังมากมายจนเราไม่อาจสร้างกำแพงขึ้นใหม่ได้”
11 ศัตรูของเราก็กล่าวว่า “เราจะไปอยู่ในหมู่พวกเขาโดยที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัวหรือเห็นเรา เราจะฆ่าพวกเขาและงานจะได้หยุดลง”
12 และชาวยิวที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ มาบอกเราสิบกว่าครั้งว่า “ไม่ว่าพวกท่านจะหันไปทางไหน พวกเขาก็จะโจมตีเรา”
13 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงวางทหารยามจากแต่ละครอบครัวไว้หลังกำแพงตรงจุดต่างๆ ที่ต่ำที่สุด ที่เป็นช่องโหว่ และให้ถือดาบ หอก และธนูไว้ 14 หลังจากดูแลตรวจตราแล้ว ข้าพเจ้ายืนขึ้นกล่าวกับพวกขุนนาง ข้าราชการ และประชาชนอื่นๆ ว่า “อย่ากลัวพวกนั้น จงระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม จงต่อสู้เพื่อพี่น้อง บุตรชาย บุตรสาว ภรรยา และบ้านของท่านเถิด”
15 เมื่อศัตรูของเราได้ข่าวว่าเราล่วงรู้แผนการของเขาและรู้ว่าพระเจ้าทรงขัดขวางเขา เราทั้งหมดก็กลับมาทำงานของตนที่กำแพงต่อ
16 นับตั้งแต่วันนั้นคนของข้าพเจ้าครึ่งหนึ่งทำงาน อีกครึ่งหนึ่งถือหอก โล่ ธนู และสวมเสื้อเกราะ พวกนายทหารยืนคุ้มกันอยู่หลังชาวยูดาห์ทั้งปวง 17 ซึ่งก่อกำแพงอยู่ คนงานขนวัสดุทำงานด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งถืออาวุธ 18 ช่างก่อแต่ละคนสะพายดาบอยู่ข้างตัวขณะทำงาน ส่วนคนเป่าเขาสัตว์อยู่ข้างข้าพเจ้า
19 ข้าพเจ้าจึงกล่าวกับพวกขุนนาง ข้าราชการ และประชาชนอื่นๆ ว่า “งานขยายออกไปมาก และพวกเราก็อยู่ห่างกันไปตลอดแนวกำแพง 20 เมื่อใดที่ท่านได้ยินเสียงเป่าแตร ให้รีบมารวมตัวกับพวกเราที่นั่น พระเจ้าของพวกเราจะทรงต่อสู้เพื่อพวกเรา!”
21 ดังนั้นพวกเราจึงทำงานต่อไปตั้งแต่รุ่งสางจนค่ำมืด โดยมีคนครึ่งหนึ่งถือหอกเป็นยามคอยระวังภัย 22 ครั้งนั้นข้าพเจ้าบอกกับประชาชนด้วยว่า “ให้ทุกคนกับผู้ช่วยของเขามาค้างคืนในเยรูซาเล็ม เพื่อจะได้เฝ้ายามในเวลากลางคืน และทำงานในเวลากลางวัน” 23 ไม่ว่าข้าพเจ้าหรือพี่น้อง คนของข้าพเจ้าหรือยามที่อยู่กับข้าพเจ้า ไม่มีใครถอดเสื้อผ้าเลย และทุกคนมีอาวุธติดตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้เวลาไปเอาน้ำ[b]
ในเมืองอิโคนียูม
14 ที่เมืองอิโคนียูมเปาโลกับบารนาบัสเข้าไปในธรรมศาลาของพวกยิวตามปกติ พวกเขาประกาศอย่างเกิดผลจนมีชาวยิวและชาวต่างชาติมากมายมาเชื่อ 2 แต่พวกยิวที่ไม่ยอมเชื่อก็ปลุกปั่นคนต่างชาติและทำให้พวกเขามีใจคิดร้ายต่อพวกพี่น้อง 3 ฝ่ายเปาโลกับบารนาบัสใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานพอสมควร พวกเขาประกาศด้วยใจกล้าเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงยืนยันเรื่องราวแห่งพระคุณของพระองค์โดยให้เขาทั้งสองทำหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ต่างๆ 4 ชาวเมืองนั้นแยกเป็นสองฝ่าย พวกหนึ่งอยู่ฝ่ายพวกยิว อีกพวกอยู่ฝ่ายอัครทูต 5 คนต่างชาติกับพวกยิวและหัวหน้าของพวกเขาคบคิดกันจะทำร้ายและเอาหินขว้างเปาโลกับบารนาบัส 6 แต่เขาทั้งสองล่วงรู้แผนการนี้จึงหนีไปยังแคว้นลิคาโอเนีย ที่เมืองลิสตรา เมืองเดอร์บีกับแถบใกล้เคียงโดยรอบ 7 และได้ประกาศข่าวประเสริฐที่นั่นต่อไป
ในเมืองลิสตราและเมืองเดอร์บี
8 ที่เมืองลิสตรามีชายขาพิการคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาเป็นง่อยมาตั้งแต่เกิด ไม่เคยเดินเลย 9 คนนั้นนั่งฟังเปาโลพูด เปาโลมองตรงไปที่เขาเห็นว่าเขามีความเชื่อที่จะได้รับการรักษาให้หายได้ 10 จึงร้องว่า “จงลุกขึ้นยืน!” คนนั้นก็กระโดดขึ้นยืนและเริ่มเดินไป
11 เมื่อฝูงชนเห็นสิ่งที่เปาโลได้ทำก็ร้องตะโกนเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า “เหล่าเทพเจ้าได้จำแลงเป็นมนุษย์ลงมาหาพวกเราแล้ว!” 12 พวกเขาเรียกบารนาบัสว่าเทพเจ้าซุสและเรียกเปาโลว่าเทพเจ้าเฮอร์เมสเพราะส่วนใหญ่เปาโลเป็นผู้พูด 13 ปุโรหิตของเทพเจ้าซุสซึ่งวิหารอยู่นอกเมืองไปเล็กน้อยได้นำโคและพวงมาลามาที่ประตูเมืองเพราะเขากับฝูงชนประสงค์จะถวายเครื่องบูชาแก่เปาโลกับบารนาบัส
14 แต่เมื่ออัครทูตบารนาบัสกับเปาโลได้ยินเรื่องนี้ก็ฉีกเสื้อผ้าแล้วถลันเข้าไปกลางฝูงชนและตะโกนว่า 15 “ท่านทั้งหลาย เหตุใดจึงทำเช่นนี้? เราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเช่นเดียวกับพวกท่าน เรานำข่าวประเสริฐมาเพื่อให้ท่านหันจากสิ่งไร้ค่าเหล่านี้มาหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และสรรพสิ่งในนั้น 16 ในอดีตพระองค์ทรงปล่อยประชาชาติทั้งปวงไปตามทางของเขา 17 กระนั้นพระองค์โปรดให้มีพยานหลักฐานถึงพระองค์เอง คือทรงสำแดงพระคุณโดยประทานฝนจากฟ้าสวรรค์และพืชผลตามฤดูกาล พระองค์ประทานอาหารอันอุดมสมบูรณ์แก่ท่านและให้จิตใจของท่านเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี” 18 แม้กล่าวเช่นนี้แล้วก็ยังยากที่เขาทั้งสองจะห้ามฝูงชนไม่ให้ถวายเครื่องบูชาแก่พวกเขา
19 แล้วพวกยิวบางคนมาจากเมืองอันทิโอกและเมืองอิโคนียูมและชักจูงฝูงชนให้มาเป็นพวกตนได้สำเร็จ พวกเขาเอาหินขว้างเปาโลและลากออกนอกเมืองเพราะคิดว่าเขาตายแล้ว 20 แต่หลังจากที่เหล่าสาวกเข้ามาห้อมล้อมเขาเปาโลก็ลุกขึ้นและกลับเข้าไปในเมือง วันรุ่งขึ้นเขากับบารนาบัสก็ออกเดินทางไปเมืองเดอร์บี
กลับมายังเมืองอันทิโอกในแคว้นซีเรีย
21 พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐในเมืองนั้นและมีคนมากมายมาเป็นสาวก จากนั้นพวกเขากลับไปยังเมืองลิสตรา เมืองอิโคนียูม และเมืองอันทิโอก 22 เพื่อช่วยให้พวกสาวกเข้มแข็งขึ้นและให้กำลังใจพวกเขาให้สัตย์ซื่อมั่นคงในความเชื่อ พวกเขากล่าวว่า “เราต้องเผชิญความยากลำบากมากมายเพื่อเข้าอาณาจักรของพระเจ้า” 23 เปาโลกับบารนาบัสแต่งตั้งเหล่าผู้ปกครอง[a] ในแต่ละคริสตจักรและอดอาหารอธิษฐานเพื่อมอบพวกเขาไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งพวกเขาเชื่อวางใจ 24 หลังจากไปทั่วแคว้นปิสิเดียแล้วพวกเขามายังแคว้นปัมฟีเลีย 25 และเมื่อประกาศพระวจนะในเมืองเปอร์กาแล้วก็ลงไปที่เมืองอัททาลิยา
26 และจากเมืองอัททาลิยาพวกเขาลงเรือกลับมายังเมืองอันทิโอกที่ซึ่งพวกเขาถูกมอบไว้ในพระคุณของพระเจ้าให้ทำงานซึ่งบัดนี้พวกเขาได้ทำสำเร็จแล้ว 27 เมื่อมาถึงที่นั่นพวกเขาเรียกประชุมคริสตจักรและรายงานสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าได้ทรงกระทำผ่านพวกเขาตลอดจนการที่ทรงเปิดประตูแห่งความเชื่อแก่คนต่างชาติ 28 และพวกเขาอยู่กับเหล่าสาวกที่นั่นเป็นเวลานาน
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.