Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ปฐมกาล 17

พันธสัญญาแห่งการเข้าสุหนัต

17 เมื่ออับรามอายุ 99 ปี องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่เขาและตรัสว่า “เราคือพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ จงดำเนินชีวิตอยู่ในทางของเราและเป็นคนดีพร้อม เราจะทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า และจะทวีจำนวนพงศ์พันธุ์ของเจ้าอย่างมากมาย”

อับรามจึงหมอบกราบซบหน้าลงและพระเจ้าตรัสกับเขาว่า “สำหรับเรา นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้า คือเจ้าจะเป็นบิดาของชนชาติต่างๆ เขาจะไม่เรียกเจ้าว่าอับราม[a]อีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อว่าอับราฮัม[b] เพราะเราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของชนชาติต่างๆ เราจะให้เจ้ามีลูกมีหลานมากมาย เราจะให้หลายชนชาติเกิดขึ้นมาจากเจ้า และกษัตริย์หลายองค์จะสืบเชื้อสายจากเจ้า เราจะสถาปนาพันธสัญญาของเราไว้ เป็นพันธสัญญานิรันดร์ระหว่างเรากับเจ้า และกับลูกหลานของเจ้าทุกชั่วอายุที่จะตามมา เป็นพันธสัญญาว่าเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า และจะเป็นพระเจ้าของลูกหลานของเจ้าที่จะเกิดมาภายหลัง เราจะยกดินแดนคานาอันทั้งหมด คือที่เจ้าอาศัยอยู่อย่างคนต่างด้าวในขณะนี้ ให้เป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ของเจ้ากับลูกหลานสืบไป และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา”

แล้วพระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “สำหรับเจ้า เจ้าต้องรักษาพันธสัญญาของเรา คือทั้งตัวเจ้าและลูกหลานตลอดทุกชั่วอายุสืบไป 10 นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้าและกับลูกหลานที่จะมาภายหลังเจ้า เป็นพันธสัญญาที่เจ้าต้องรักษา คือชายทุกคนในพวกเจ้าจะต้องเข้าสุหนัต 11 เจ้าต้องเข้าสุหนัต นี่จะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า 12 ผู้ชายทุกคนในพวกเจ้าทุกชั่วอายุที่มีอายุแปดวันจะต้องเข้าสุหนัต รวมทั้งคนที่เกิดในครัวเรือนของเจ้าหรือซื้อมาจากคนต่างชาติซึ่งไม่ใช่วงศ์วานของเจ้า 13 ไม่ว่าจะเป็นคนที่เกิดในครัวเรือนของเจ้าหรือเจ้าซื้อตัวมาก็ต้องเข้าสุหนัต พันธสัญญาของเราที่กายของเจ้าจะเป็นพันธสัญญานิรันดร์ 14 ชายใดที่ไม่เข้าสุหนัต คือผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตฝ่ายกาย จะถูกตัดออกจากชนชาติของตน เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา”

15 พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมด้วยว่า “ส่วนซารายภรรยาของเจ้า เจ้าจะไม่เรียกนางว่าซารายอีกต่อไป นางจะชื่อว่าซาราห์ 16 เราจะอวยพรนางและจะให้นางกำเนิดลูกชายคนหนึ่งแก่เจ้าอย่างแน่นอน เราจะอวยพรให้นางเป็นมารดาของชาติต่างๆ กษัตริย์ของชนชาติต่างๆ จะมาจากนาง”

17 อับราฮัมหมอบกราบซบหน้าลง เขาหัวเราะและพูดกับตนเองว่า “ชายอายุร้อยปีจะมีลูกได้หรือ? และซาราห์จะให้กำเนิดลูกเมื่ออายุเก้าสิบหรือ?” 18 และอับราฮัมทูลพระเจ้าว่า “ขอเพียงแต่พระองค์ทรงอวยพรชีวิตของอิชมาเอล!”

19 แล้วพระเจ้าตรัสว่า “แต่ซาราห์จะคลอดลูกชายคนหนึ่งให้เจ้า และเจ้าจะเรียกเขาว่าอิสอัค[c] เราจะสถาปนาพันธสัญญาของเรากับเขา เป็นพันธสัญญานิรันดร์แก่ลูกหลานของเขาที่จะมาภายหลัง 20 สำหรับอิชมาเอล เราได้ฟังเจ้า เราจะอวยพรเขาอย่างแน่นอน เราจะทำให้เขามีลูกมีหลานและจะให้เขาทวีจำนวนขึ้นมากมาย เขาจะเป็นบิดาของเจ้านายสิบสองคน และเราจะทำให้เขาเป็นชนชาติยิ่งใหญ่ 21 แต่พันธสัญญาของเรานั้น เราจะทำกับอิสอัคซึ่งซาราห์จะคลอดให้เจ้าปีหน้าในช่วงเวลานี้” 22 เมื่อตรัสกับอับราฮัมจบแล้ว พระเจ้าก็เสด็จขึ้นไปจากเขา

23 วันเดียวกันนั้นเอง อับราฮัมก็นำอิชมาเอลและชายทุกคนทั้งที่เกิดในครัวเรือนหรือซื้อมาด้วยเงินของเขามาเข้าสุหนัตตามที่พระเจ้าตรัสสั่งไว้ 24 เวลานั้นอับราฮัมอายุ 99 ปีเมื่อเข้าสุหนัต 25 และอิชมาเอลบุตรชายของเขาอายุ 13 ปี 26 อับราฮัมกับอิชมาเอลบุตรชายของเขาเข้าสุหนัตในวันเดียวกัน 27 และผู้ชายทุกคนในครัวเรือนของอับราฮัม ทั้งคนที่เกิดมาในครัวเรือนหรือซื้อมาจากคนต่างชาติได้เข้าสุหนัตด้วยกันกับเขา

มัทธิว 16

ขอหมายสำคัญ(A)

16 พวกฟาริสีและสะดูสีมาหาพระเยซูและทดสอบพระองค์โดยขอให้ทรงแสดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์

พระเยซูทรงตอบว่า[a] “ตอนเย็นท่านพูดว่า ‘อากาศจะปลอดโปร่งเพราะฟ้าแดง’ และตอนเช้าท่านพูดว่า ‘วันนี้จะเกิดพายุเพราะฟ้าแดงและครึ้มฝน’ ท่านยังพยากรณ์อากาศได้จากลักษณะของท้องฟ้า แต่หมายสำคัญของวาระต่างๆ ท่านกลับตีความไม่ออก คนในยุคที่ชั่วร้ายและทรยศต่อพระเจ้ามองหาหมายสำคัญ แต่จะไม่ได้รับหมายสำคัญใดๆ ยกเว้นหมายสำคัญของโยนาห์” แล้วพระเยซูทรงละจากพวกเขาไป

เชื้อของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี(B)

เมื่อข้ามฟากเหล่าสาวกลืมเอาขนมปังมาด้วย พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงระวังเชื้อของพวกฟาริสีและสะดูสี”

เขาจึงหารือกันว่า “เป็นเพราะเราลืมเอาขนมปังมาด้วย”

พระเยซูทรงทราบสิ่งที่พวกเขาพูดกันจึงตรัสถามว่า “ผู้มีความเชื่อน้อย ทำไมพวกท่านจึงพูดกันเรื่องไม่มีขนมปัง? ท่านยังไม่เข้าใจหรือ? จำไม่ได้หรือว่าขนมปังห้าก้อนเลี้ยงคนห้าพันคนแล้วท่านเก็บที่เหลือได้กี่ตะกร้า? 10 หรือขนมปังเจ็ดก้อนเลี้ยงคนสี่พันคนแล้วท่านก็เก็บที่เหลือได้กี่ตะกร้า? 11 เหตุใดท่านจึงไม่เข้าใจว่าเราไม่ได้พูดถึงขนมปัง? แต่พวกท่านจงระวังเชื้อของพวกฟาริสีและสะดูสี” 12 แล้วพวกเขาจึงเข้าใจว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเตือนให้ระวังเชื้อที่ใช้ในขนมปัง แต่ให้ระวังคำสอนของพวกฟาริสีและสะดูสี

เปโตรรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์(C)

13 เมื่อมาถึงเขตซีซารียาฟีลิปปี พระองค์ตรัสถามเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ผู้คนพูดกันว่าบุตรมนุษย์เป็นใคร?”

14 สาวกทูลว่า “บางคนก็ว่าเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ ยังมีบางคนว่าเป็นเยเรมีย์หรือผู้เผยพระวจนะคนใดคนหนึ่ง”

15 พระองค์ทรงถามว่า “แล้วพวกท่านเล่า พวกท่านว่าเราเป็นใคร?”

16 ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์[b] พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”

17 พระเยซูตรัสว่า “ความสุขมีแก่ท่าน ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย เพราะมนุษย์ไม่ได้สำแดงเรื่องนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราในสวรรค์ทรงสำแดง 18 เราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร[c] และบนศิลานี้เราจะสร้างคริสตจักรของเราและประตูแดนมรณา[d]จะเอาชนะคริสตจักรนั้นไม่ได้เลย[e] 19 เราจะมอบกุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์แก่ท่าน ท่านผูกมัดสิ่งใดในโลกสิ่งนั้นจะ[f]ถูกผูกมัดในสวรรค์ ท่านปลดปล่อยสิ่งใดในโลกสิ่งนั้นจะ[g]ถูกปลดปล่อยในสวรรค์” 20 แล้วพระองค์ทรงเตือนเหล่าสาวกของพระองค์ไม่ให้บอกใครว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์

พระเยซูทรงทำนายถึงการสิ้นพระชนม์(D)

21 นับแต่นั้นมาพระเยซูทรงเริ่มชี้แจงแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่าพระองค์จะต้องไปยังเยรูซาเล็ม ต้องทนทุกข์หลายประการด้วยน้ำมือของบรรดาผู้อาวุโสและพวกหัวหน้าปุโรหิตกับเหล่าธรรมาจารย์ พระองค์จะต้องถูกประหาร และในวันที่สามจะทรงมีชีวิตกลับเป็นขึ้นมาใหม่

22 เปโตรดึงพระองค์เลี่ยงไปอีกทางหนึ่งและทูลติติงพระองค์ว่า “ไม่มีทางพระองค์เจ้าข้า! สิ่งนี้ไม่มีทางจะเกิดขึ้นกับพระองค์!”

23 พระเยซูทรงหันมาตรัสกับเปโตรว่า “ถอยไปเจ้าซาตาน! เจ้าเป็นหินให้เราสะดุด เจ้าไม่ได้คิดอย่างพระเจ้าแต่คิดอย่างมนุษย์”

24 แล้วพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะเป็นสาวกของเราให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบก และตามเรามา 25 เพราะผู้ใดต้องการเอาชีวิต[h]รอดผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเราผู้นั้นจะได้ชีวิต 26 จะมีประโยชน์อะไรถ้าคนๆ หนึ่งจะได้โลกนี้ทั้งโลกแต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน? หรือใครจะเอาอะไรมาแลกกับจิตวิญญาณของตนได้? 27 เพราะบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยพระเกียรติสิริของพระบิดาพร้อมกับทูตสวรรค์ของพระองค์ เมื่อนั้นพระองค์จะปูนบำเหน็จแก่แต่ละคนตามการกระทำของเขา 28 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าบางคนซึ่งยืนอยู่ที่นี่จะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในอาณาจักรของพระองค์ก่อนที่จะลิ้มรสความตาย”

เนหะมีย์ 6

ศัตรูยังขัดขวางไม่เลิก

เมื่อสันบาลลัท โทบียาห์ เกเชมชาวอาหรับ และศัตรูอื่นๆ ของพวกเราได้ข่าวว่าข้าพเจ้าสร้างกำแพงเสร็จแล้ว ไม่มีช่องโหว่ใดๆ เหลืออยู่ แม้ว่าข้าพเจ้ายังไม่ได้ติดตั้งประตู สันบาลลัทกับเกเชมก็ส่งจดหมายมาถึงข้าพเจ้าความว่า “ขอเชิญท่านมาพบพวกเราที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง[a]ในเขตที่ราบโอโน”

แต่พวกเขากำลังคบคิดกันจะกำจัดข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงส่งคนไปตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้ากำลังทำงานใหญ่และไปพบพวกท่านไม่ได้ ทำไมงานจะต้องชะงักในขณะที่ข้าพเจ้าไปหาท่าน?” เขาส่งข้อความอย่างเดียวกันมาถึงสี่ครั้ง และข้าพเจ้าก็ตอบกลับไปอย่างเดิมทุกครั้ง

ครั้งที่ห้าคนรับใช้ของสันบาลลัทถือจดหมายเปิดผนึกมามอบให้ข้าพเจ้า มีใจความว่า

“ชาติต่างๆ ลือกันเกี่ยวกับพวกท่าน และเกเชม[b]ก็บอกว่าเป็นความจริง พวกเขาลือกันว่าท่านกับชาวยิวกำลังวางแผนกบฏ ฉะนั้นท่านจึงก่อกำแพง ทั้งลือกันว่าท่านจะเป็นกษัตริย์ของคนเหล่านั้น ท่านถึงกับแต่งตั้งผู้เผยพระวจนะให้ประกาศเรื่องของท่านที่เยรูซาเล็มว่า ‘มีกษัตริย์อยู่ในยูดาห์!’ เรื่องทั้งหมดนี้จะถูกนำขึ้นทูลกษัตริย์ ฉะนั้นเรามาคุยกันดีกว่า”

คำตอบจากข้าพเจ้าคือ “เรื่องที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดนั้นไม่มีมูลความจริงเลย ท่านกุขึ้นมาเองทั้งนั้น”

พวกเขาพยายามข่มขวัญเราและคิดว่า “มือของพวกเขาจะได้อ่อนแรงเกินกว่าที่จะทำงาน งานจะได้ไม่สำเร็จ”

แต่ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า “บัดนี้ขอทรงประทานกำลังแก่มือของข้าพระองค์ด้วยเถิด”

10 วันหนึ่งข้าพเจ้าไปที่บ้านของเชไมอาห์บุตรเดไลยาห์บุตรของเมเหทาเบล เขาเก็บตัวอยู่ในบ้าน เขากล่าวว่า “ให้เราไปพบกันที่พระนิเวศของพระเจ้า คือภายในพระวิหารและลั่นดาลประตู เพราะตอนกลางคืนพวกเขาจะบุกมาฆ่าท่าน”

11 แต่ข้าพเจ้าตอบว่า “คนอย่างข้าพเจ้ามีหรือจะหนี? คนอย่างข้าพเจ้าหรือจะหนีเข้าไปในพระวิหารเพื่อเอาชีวิตรอด? ข้าพเจ้าไม่ไป!” 12 ข้าพเจ้าตระหนักว่าพระเจ้าไม่ได้ส่งเขามา แต่เขาทำทีเผยพระวจนะต่อต้านข้าพเจ้าเพราะโทบียาห์กับสันบาลลัทจ้างเขา 13 ให้มาข่มขวัญข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้ทำบาปโดยหนีเข้าไปในพระวิหาร พวกเขาจะได้ปรักปรำและให้ร้ายข้าพเจ้า

14 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงจดจำการกระทำของโทบียาห์กับสันบาลลัท และขอทรงจดจำผู้เผยพระวจนะหญิงโนอัดยาห์กับผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ที่พยายามจะข่มขู่ข้าพระองค์ 15 ในที่สุดกำแพงก็เสร็จในวันที่ยี่สิบห้าเดือนเอลูล ใช้เวลาเพียง 52 วัน

สร้างกำแพงเสร็จ

16 เมื่อบรรดาศัตรูของเราได้ยินเช่นนี้ ชนชาติโดยรอบก็กลัวและเสียขวัญเพราะตระหนักว่างานนี้สำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้าของเรา

17 ในช่วงนั้นมีจดหมายโต้ตอบไปมาหลายฉบับระหว่างโทบียาห์กับขุนนางยูดาห์บางคน 18 หลายคนในยูดาห์ร่วมสัตย์สาบานกับเขา เพราะพ่อตาของเขาคือเชคานิยาห์บุตรอาราห์ และเยโฮฮานันบุตรชายของเขาก็แต่งงานกับบุตรสาวของเมชุลลามบุตรเบเรคิยาห์ 19 มิหนำซ้ำพวกเขาพร่ำพูดให้ข้าพเจ้าฟังถึงคุณงามความดีของโทบียาห์ แล้วนำถ้อยคำของข้าพเจ้าไปบอกเขา และโทบียาห์ก็ส่งจดหมายหลายฉบับมาข่มขู่ข้าพเจ้า

กิจการของอัครทูต 16

ทิโมธีสมทบกับเปาโลและสิลาส

16 เขามาถึงเมืองเดอร์บี จากนั้นไปยังเมืองลิสตรา ที่นั่นมีสาวกคนหนึ่งชื่อทิโมธีอาศัยอยู่ มารดาของเขาเป็นผู้เชื่อชาวยิวแต่บิดาของเขาเป็นชาวกรีก ทิโมธีมีชื่อเสียงดีในหมู่พี่น้องที่เมืองลิสตราและเมืองอิโคนียูม เปาโลต้องการจะพาทิโมธีไปด้วยจึงให้เขาเข้าสุหนัตเพราะเห็นแก่ชาวยิวที่อยู่แถบนั้นเนื่องจากใครๆ ก็รู้ว่าบิดาของเขาเป็นคนกรีก ขณะเดินทางไปยังเมืองต่างๆ พวกเขาก็ถ่ายทอดมติของเหล่าอัครทูตและพวกผู้ปกครองที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อให้คนทั้งหลายปฏิบัติตาม ดังนั้นคริสตจักรต่างๆ จึงได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งในความเชื่อและสมาชิกก็เพิ่มขึ้นทุกวัน

ชาวมาซิโดเนียในนิมิตของเปาโล

เนื่องจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ให้ประกาศพระวจนะในแคว้นเอเชียเปาโลกับคณะจึงเดินทางไปทั่วภูมิภาคฟรีเจียและกาลาเทีย เมื่อมาถึงชายแดนแคว้นมิเซียพวกเขาก็พยายามจะเข้าไปในแคว้นบิธีเนียแต่พระวิญญาณของพระเยซูไม่ทรงอนุญาต พวกเขาจึงผ่านแคว้นมิเซียลงไปยังเมืองโตรอัส ในเวลากลางคืนเปาโลได้รับนิมิตเห็นชาวมาซิโดเนียคนหนึ่งยืนอ้อนวอนว่า “โปรดมาช่วยพวกข้าพเจ้าที่แคว้นมาซิโดเนียด้วยเถิด” 10 หลังจากเปาโลเห็นนิมิตเราก็เตรียมพร้อมทันทีที่จะไปยังแคว้นมาซิโดเนียเพราะเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกเราให้ไปประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา

นางลิเดียกลับใจในฟีลิปปี

11 จากเมืองโตรอัสเราลงเรือแล่นตรงไปยังเกาะสาโมธรัสและรุ่งขึ้นก็ถึงเมืองเนอาโปลิส 12 เราเดินทางจากที่นั่นไปยังเมืองฟีลิปปีซึ่งเป็นอาณานิคมของโรมันและเป็นเมืองเอกเมืองหนึ่งของแคว้นมาซิโดเนีย เราพักอยู่ที่นั่นหลายวัน

13 ในวันสะบาโตเราออกนอกประตูเมืองไปที่แม่น้ำคาดว่าจะพบที่สำหรับอธิษฐาน เรานั่งลงพูดคุยกับพวกผู้หญิงที่ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น 14 มีหญิงคนหนึ่งในพวกที่ฟังอยู่ชื่อลิเดีย เป็นคนค้าผ้าสีม่วงมาจากเมืองธิยาทิรา นางเป็นผู้นมัสการพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดใจนางให้ตอบรับถ้อยคำของเปาโล 15 เมื่อนางกับสมาชิกในครัวเรือนของนางได้รับบัพติศมานางก็เชิญเราเข้าไปในบ้าน โดยกล่าวว่า “หากท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เชิญมาพักที่บ้านของข้าพเจ้าเถิด” นางพูดชักชวนจนเราตกลง

เปาโลกับสิลาสในคุก

16 ครั้งหนึ่งขณะเรากำลังจะไปยังที่อธิษฐานทาสหญิงคนหนึ่งซึ่งมีผีหมอดูสิงอยู่มาพบเรา หญิงนี้ทำเงินให้นายมากมายจากการทำนายโชคชะตา 17 นางตามเปาโลกับพวกเรามาและร้องว่า “คนเหล่านี้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุด พวกเขามาบอกทางรอดให้ท่านทั้งหลาย” 18 นางทำเช่นนี้อยู่หลายวันเป็นการรบกวนเปาโลอย่างมากจนในที่สุดเขาหันไปสั่งผีนั้นว่า “ในพระนามพระเยซูคริสต์ เราสั่งให้เจ้าออกมาจากนาง!” ผีนั้นก็ออกมาจากนางทันที

19 เมื่อเจ้าของทาสนั้นเห็นว่าหมดหวังที่จะหาเงินแล้วก็จับเปาโลกับสิลาสและลากตัวมาที่ย่านชุมชนเพื่อพบเจ้าหน้าที่ 20 พวกเขานำคนทั้งสองมาต่อหน้าคณะผู้ปกครองเมืองแล้วเรียนว่า “คนเหล่านี้เป็นยิวและกำลังก่อกวนบ้านเมืองให้วุ่นวาย 21 โดยแนะนำสั่งสอนธรรมเนียมอันผิดกฎหมายที่เราชาวโรมันไม่อาจยอมรับหรือปฏิบัติตาม”

22 ฝูงชนเข้าร่วมเล่นงานเปาโลกับสิลาส คณะผู้ปกครองเมืองสั่งให้กระชากเสื้อผ้าของพวกเขาออกและโบยตีพวกเขา 23 หลังจากโบยตีอย่างหนักแล้วก็โยนพวกเขาเข้าห้องขังและกำชับพัศดีให้ดูแลอย่างเข้มงวด 24 เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนั้นพัศดีก็จองจำพวกเขาไว้ในห้องขังชั้นในและใส่ขื่อที่เท้าของพวกเขา

25 ราวเที่ยงคืนเปาโลกับสิลาสกำลังอธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าและนักโทษอื่นๆ ฟังอยู่ 26 ทันใดนั้นเกิดแผ่นดินไหวใหญ่จนฐานรากของคุกสั่นคลอน ประตูคุกทุกบานเปิดออกทันทีและโซ่ตรวนหลุดจากทุกคน 27 พัศดีตื่นขึ้นมาและเห็นประตูคุกเปิดก็ชักดาบออกมาจะฆ่าตัวตายเพราะคิดว่านักโทษหนีไปแล้ว 28 แต่เปาโลตะโกนว่า “อย่าทำร้ายตัวเอง! เราทุกคนอยู่ที่นี่!”

29 พัศดีเรียกให้จุดไฟแล้ววิ่งเข้ามาหมอบลงตัวสั่นต่อหน้าเปาโลกับสิลาส 30 จากนั้นก็พาพวกเขาออกมาแล้วถามว่า “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าต้องทำอย่างไรจึงจะได้รับความรอด?”

31 พวกเขาตอบว่า “จงเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า แล้วท่านกับครัวเรือนของท่านจะได้รับความรอด” 32 แล้วพวกเขาก็ประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแก่พัศดีและแก่คนทั้งปวงที่อยู่ในบ้านของเขา 33 กลางดึกชั่วโมงเดียวกันนั้นเองพัศดีก็พาพวกเขาไปล้างแผล แล้วพัศดีกับทั้งครอบครัวก็รับบัพติศมาทันที 34 พัศดีพาพวกเขาเข้าไปในบ้านและจัดอาหารมาเลี้ยงพวกเขา พัศดีชื่นชมยินดียิ่งนักที่ตัวเขาและทุกคนในครอบครัวของเขาได้มาเชื่อพระเจ้า

35 พอรุ่งเช้าคณะผู้ปกครองเมืองส่งเจ้าหน้าที่มาหาพัศดีสั่งว่า “ปล่อยตัวคนเหล่านั้นไป” 36 พัศดีบอกเปาโลว่า “คณะผู้ปกครองเมืองได้สั่งให้ปล่อยตัวท่านกับสิลาส บัดนี้เชิญท่านออกไปอย่างมีสันติสุขเถิด”

37 แต่เปาโลกล่าวกับเจ้าหน้าที่พวกนั้นว่า “พวกเขาโบยเราต่อหน้าประชาชนโดยไม่มีการไต่สวนทั้งๆ ที่เราเป็นพลเมืองโรมันและโยนเราเข้าคุก แล้วบัดนี้พวกเขาจะมาเสือกไสเราออกไปอย่างเงียบๆ หรือ? ไม่ได้! ให้พวกเขาเองนั่นแหละมาพาเราออกไป”

38 พวกเจ้าหน้าที่กลับไปรายงานเรื่องนี้แก่คณะผู้ปกครองเมือง เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเปาโลกับสิลาสเป็นพลเมืองโรมันก็ตกใจ 39 พวกเขามาเอาใจเปาโลกับสิลาสและพาออกจากคุกแล้วขอร้องให้ออกไปจากเมืองนั้น 40 หลังจากเปาโลและสิลาสออกจากคุกแล้วก็มาที่บ้านของนางลิเดีย เขาทั้งสองได้พบกับพวกพี่น้องและให้กำลังใจพวกเขาแล้วลาจากไป

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.