Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ปฐมกาล 2

ดังนั้นสวรรค์และโลกพร้อมกับสรรพสิ่งทั้งปวงจึงถูกสร้างขึ้นสำเร็จครบถ้วน

เมื่อถึงวันที่เจ็ดพระเจ้าก็ทรงเสร็จสิ้นจากพระราชกิจที่ทรงกระทำ ดังนั้นในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงหยุดพักจากพระราชกิจทั้งปวงของพระองค์ และพระเจ้าทรงอวยพรวันที่เจ็ดและทรงตั้งขึ้นเป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในวันนั้นพระองค์ทรงหยุดพักจากพระราชกิจในการทรงสร้างที่พระองค์ทรงกระทำ

อาดัมและเอวา

นี่คือเรื่องราวการทรงสร้างสวรรค์และโลก เมื่อพระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงสร้างโลกและสวรรค์

ขณะนี้ยังไม่มีต้นไม้และพืชพันธุ์ในท้องทุ่งปรากฏขึ้นในโลก[a]เลย เพราะว่าพระเจ้าพระยาห์เวห์ยังไม่ได้ประทานฝนลงมา ทั้งยังไม่มีมนุษย์ที่จะไถพรวนดิน แต่ก็มีน้ำ[b]พลุ่งขึ้นจากพื้นโลกและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวดินทั้งหมด แล้วพระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงปั้นมนุษย์[c]จากธุลีดินและทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิตเข้าไปทางจมูกของเขา มนุษย์จึงมีชีวิต

พระเจ้าพระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างสวนแห่งหนึ่งไว้ในเอเดนทางทิศตะวันออก และให้ชายที่ทรงสร้างขึ้นอาศัยอยู่ในสวนนั้น พระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดทั้งที่งดงามน่าดูและที่เหมาะเป็นอาหารงอกขึ้นในสวน ที่กลางสวนนั้นมีต้นไม้แห่งชีวิตและต้นไม้แห่งการรู้ดีรู้ชั่ว

10 มีแม่น้ำสายหนึ่งจากเอเดนไหลมาหล่อเลี้ยงสวนนั้นแล้วแยกออกเป็นต้นน้ำสี่สาย 11 สายที่หนึ่งชื่อปิโชน ไหลผ่านดินแดนฮาวิลาห์ที่ซึ่งมีแร่ทองคำ 12 (ดินแดนนี้มีแร่ทองคำคุณภาพดี ยางไม้หอม[d] และพลอยด้วย) 13 สายที่สองชื่อกิโฮน ไหลผ่านทั่วดินแดนคูช 14 สายที่สามคือไทกริส ซึ่งไหลไปทางทิศตะวันออกของอัสชูร์ และสายที่สี่คือยูเฟรติส

15 พระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงกำหนดให้ชายผู้นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้เขาทำงานและดูแลรักษาสวนแห่งนั้น 16 และพระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขาไว้ว่า “เจ้ามีอิสระที่จะกินผลจากต้นใดๆ ในสวนก็ได้ 17 แต่เจ้าต้องไม่กินผลจากต้นแห่งการรู้ดีรู้ชั่ว เพราะถ้าเจ้ากินผลของมันเมื่อใด เจ้าจะตายแน่นอน”

18 แล้วพระเจ้าพระยาห์เวห์ตรัสว่า “ไม่ควรให้ชายผู้นี้อยู่คนเดียว เราจะสร้างผู้อุปถัมภ์ที่เหมาะสมเท่าเทียมกับเขา”

19 พระเจ้าพระยาห์เวห์ได้ทรงปั้นสัตว์และนกทุกชนิดขึ้นจากดิน พระองค์ทรงนำมายังชายผู้นั้นเพื่อดูว่าเขาจะเรียกมันว่าอย่างไร สัตว์เหล่านั้นก็ได้ชื่อตามที่เขาเรียก 20 ดังนั้นชายผู้นั้นจึงตั้งชื่อให้กับสัตว์เลี้ยงทั้งปวง นกในอากาศ และสัตว์ในท้องทุ่งทั้งสิ้น

แต่อาดัม[e]ยังไม่พบผู้อุปถัมภ์ที่เหมาะสมเท่าเทียมสำหรับเขา 21 พระเจ้าพระยาห์เวห์จึงทรงบันดาลให้ชายนั้นหลับสนิท จากนั้นทรงชักกระดูกซี่โครงของเขาออกมาซี่หนึ่ง[f]และทรงปิดเนื้อให้สนิทเข้าดังเดิม 22 แล้วพระเจ้าทรงสร้างผู้หญิงขึ้นจากกระดูกซี่โครง[g]ที่พระองค์ทรงนำออกมาจากชายนั้น และพานางมาหาเขา

23 ชายผู้นั้นกล่าวว่า

“นี่คือกระดูกจากกระดูกของเรา
และเนื้อจากเนื้อของเรา
นางจะได้ชื่อว่า ‘หญิง[h]
เพราะนางมาจากชาย”

24 เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และพวกเขาจะเป็นเนื้อเดียวกัน

25 ชายนั้นกับภรรยาต่างเปลือยกายอยู่ และพวกเขาไม่รู้สึกละอายเลย

มัทธิว 2

โหราจารย์มาเข้าเฝ้าพระกุมารเยซู

หลังจากพระเยซูประสูติที่เบธเลเฮมแคว้นยูเดียในสมัยของกษัตริย์เฮโรด มีโหราจารย์[a]จากตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม และถามว่า “ผู้ที่มาบังเกิดเป็นกษัตริย์ของชาวยิวนั้นอยู่ที่ไหน? เราได้เห็นดาวของพระองค์เมื่อเราอยู่ที่ตะวันออก[b]จึงมาเพื่อนมัสการพระองค์”

เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นก็ว้าวุ่นพระทัย ทั่วทั้งเยรูซาเล็มก็พลอยว้าวุ่นไปด้วย เฮโรดทรงเรียกประชุมหัวหน้าปุโรหิตทั้งปวงและบรรดาธรรมาจารย์ของประชาชน และตรัสถามพวกเขาว่าพระคริสต์[c]จะประสูติที่ใด คนเหล่านั้นกราบทูลว่า “ที่เบธเลเฮมในแคว้นยูเดียเพราะผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้ว่า

“ ‘ส่วนเจ้า เบธเลเฮมในดินแดนยูดาห์
ไม่ได้ต่ำต้อยในหมู่ผู้ปกครองแห่งยูดาห์
เพราะจะมีผู้ปกครองผู้หนึ่งออกมาจากเจ้า
ซึ่งจะเป็นผู้เลี้ยงประชากรอิสราเอลของเรา’[d]

แล้วเฮโรดจึงเรียกพวกโหราจารย์มาพบอย่างลับๆ ไต่ถามจนทราบถึงเวลาที่แน่นอนที่ดาวนั้นปรากฏขึ้น แล้วส่งพวกเขาไปยังเบธเลเฮมพร้อมทั้งรับสั่งว่า “จงไปค้นหาพระกุมารนั้น เมื่อพบแล้วจงแจ้งเราทันทีเพื่อเราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย”

เมื่อได้ฟังรับสั่งของกษัตริย์แล้ว โหราจารย์เหล่านั้นก็เดินทางต่อไป และดวงดาวที่พวกเขาได้เห็นเมื่ออยู่ที่ตะวันออก[e]นำทางพวกเขาไปจนมาหยุดอยู่เหนือที่ประทับของพระกุมาร 10 เมื่อพวกเขาเห็นดาวดวงนั้นก็ปีติยินดียิ่งนัก 11 เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นพระกุมารกับมารีย์มารดาของพระองค์ จึงกราบนมัสการพระองค์แล้วเปิดหีบนำเครื่องบรรณาการออกมาถวาย คือทองคำ กำยาน และมดยอบ 12 พวกเขาได้รับคำเตือนในความฝันไม่ให้กลับไปพบเฮโรด พวกเขาจึงกลับประเทศของตนโดยใช้เส้นทางอื่น

หนีไปอียิปต์

13 เมื่อพวกโหราจารย์กลับไปแล้ว ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันและสั่งว่า “จงลุกขึ้น พาพระกุมารและมารดาหนีไปยังอียิปต์และอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกให้กลับมา เพราะเฮโรดกำลังจะค้นหาพระกุมารเพื่อประหาร”

14 ในคืนนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้นพามารีย์กับพระกุมารเดินทางไปยังอียิปต์ 15 และอยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เป็นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “เราเรียกบุตรของเราออกจากอียิปต์”[f]

16 เมื่อเฮโรดตระหนักว่าพวกโหราจารย์หลอกพระองค์ พระองค์ก็กริ้วนัก จึงบัญชาให้ประหารเด็กผู้ชายทั้งปวงในเบธเลเฮมและละแวกใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา คะเนตามระยะเวลาที่ทราบจากพวกโหราจารย์ 17 ทั้งนี้จึงเป็นจริงตามที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าวไว้ว่า

18 “ได้ยินเสียงหนึ่งในรามาห์
เสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ
ราเชลร่ำไห้ถึงบรรดาบุตรของนาง
และไม่ยอมรับคำปลอบโยนใดๆ
เพราะบุตรทั้งหลายจากไปเสียแล้ว”[g]

กลับมานาซาเร็ธ

19 เมื่อเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟที่อียิปต์ 20 และกล่าวว่า “จงลุกขึ้นพาพระกุมารและมารดากลับไปยังอิสราเอลเถิด เพราะบรรดาผู้ที่พยายามเอาชีวิตพระกุมารนั้นตายแล้ว”

21 ดังนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้นพาพระกุมารกับมารดามายังดินแดนอิสราเอล 22 แต่เมื่อเขาได้ยินว่าอารเคลาอัสขึ้นครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดาเขาก็กลัวและไม่กล้าไปที่นั่น เมื่อได้รับคำเตือนในความฝันจึงเลยไปยังแคว้นกาลิลี 23 และอาศัยอยู่ที่เมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ จึงเป็นจริงตามที่ได้กล่าวไว้ผ่านทางบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า “เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ”

เอสรา 2

รายชื่อเชลยที่กลับมา(A)

ต่อไปนี้เป็นรายชื่อผู้ที่กลับมาหลังจากที่ถูกกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนกวาดต้อนไปยังบาบิโลน (พวกเขากลับมาบ้านเกิดเมืองนอนของตนในเยรูซาเล็มและยูดาห์ พร้อมกับเศรุบบาเบล เยชูอา เนหะมีย์ เสไรอาห์ เรเอไลยาห์ โมรเดคัย บิลชาน มิสปาร์ บิกวัย เรฮูม และบาอานาห์)

จำนวนประชากรอิสราเอลได้แก่

วงศ์วานของปาโรช2,172 คน
ของเชฟาทิยาห์372 คน
ของอาราห์775 คน
ของปาหัทโมอับ (ทางสาย เยชูอา และโยอาบ)2,812 คน
ของเอลาม1,254 คน
ของศัทธู945 คน
ของศักคัย760 คน
10 ของบานี642 คน
11 ของเบบัย623 คน
12 ของอัสกาด1,222 คน
13 ของอาโดนีคัม666 คน
14 ของบิกวัย2,056 คน
15 ของอาดีน454 คน
16 ของอาเทอร์ (ทางสายเฮเซคียาห์)98 คน
17 ของเบไซ323 คน
18 ของโยราห์112 คน
19 ของฮาชูม223 คน
20 ของกิบบาร์95 คน
21 ชายชาวเบธเลเฮม123 คน
22 ชาวเนโทฟาห์56 คน
23 ชาวอานาโธท128 คน
24 ชาวอัสมาเวท42 คน
25 ชาวคีริยาทเยอาริม[a] ชาวเคฟีราห์ และชาวเบเอโรท743 คน
26 ชาวรามาห์และเกบา621 คน
27 ชาวมิคมาช122 คน
28 ชาวเบธเอลและชาวอัย223 คน
29 ชาวเนโบ52 คน
30 ชาวมักบีช156 คน
31 ชาวเอลามอีกพวกหนึ่ง1,254 คน
32 ชาวฮาริม320 คน
33 ชาวโลด ชาวฮาดิด และชาวโอโน725 คน
34 ชาวเยรีโค345 คน
35 ชาวเสนาอาห์3,630 คน

36 ปุโรหิตได้แก่

วงศ์วานของเยดายาห์ (ทางครอบครัว ของเยชูอา)973 คน
37 ของอิมเมอร์1,052 คน
38 ของปาชเฮอร์1,247 คน
39 ของฮาริม1,017 คน

40 คนเลวีได้แก่

วงศ์วานของเยชูอาและขัดมีเอล (ทางสายโฮดาวิยาห์)74 คน

41 คณะนักร้องได้แก่

วงศ์วานของอาสาฟ128 คน

42 ยามเฝ้าประตูพระวิหารได้แก่

วงศ์วานของ
ชัลลูม อาเทอร์ ทัลโมน
อักขูบ ฮาทิทาและโชบัย139 คน

43 ผู้ช่วยงานในพระวิหารได้แก่

วงศ์วานของ

ศีหะ ฮาสูฟา ทับบาโอท

44 เคโรส สีอาฮา พาโดน

45 เลบานาห์ ฮากาบาห์ อักขูบ

46 ฮากาบ ชัลมัย ฮานัน

47 กิดเดล กาฮาร์ เรอายาห์

48 เรซีน เนโคดา กัสซาม

49 อุสซา ปาเสอาห์ เบสัย

50 อัสนาห์ เมอูนิม เนฟัสสิม

51 บัคบูค ฮาคูฟา ฮารฮูร์

52 บัสลูท เมหิดา ฮารชา

53 บารโขส สิเสรา เทมาห์

54 เนซิยาห์ และฮาทิฟา

55 วงศ์วานของข้าราชบริพารของโซโลมอน ได้แก่

วงศ์วานของ

โสทัย หัสโสเฟเรท เปรุดา

56 ยาอาลา ดารโคน กิดเดล

57 เชฟาทิยาห์ ฮัททิล โปเคเรทหัสเซบาอิม และอามี

58 บรรดาผู้ช่วยงานในพระวิหารและวงศ์วานของข้าราชบริพารของโซโลมอนมี392 คน

59 อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเดินทางมาจากเมืองเทลเมลาห์ เทลหารชา เครูบ อัดโดน และอิมเมอร์ แต่พวกเขาไม่มีหลักฐานว่าครอบครัวของพวกเขาสืบเชื้อสายจากอิสราเอลได้แก

60 วงศ์วานของเดไลยาห์ โทบียาห์ และเนโคดา รวม652 คน

61 และจากพวกปุโรหิตได้แก่

วงศ์วานของ

โฮบายาห์ ฮักโขส และบารซิลลัย (ซึ่งแต่งงานกับบุตรสาวคนหนึ่งของบารซิลลัยชาวกิเลอาด และได้ชื่อตามนั้น)

62 คนเหล่านี้ได้ค้นหาบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลแต่ไม่พบ จึงไม่ถูกรวมอยู่ในกลุ่มปุโรหิตเพราะถือว่าเป็นมลทิน 63 ผู้ว่าการสั่งห้ามพวกเขารับประทานอาหารบริสุทธิ์ที่สุด จนกว่าจะมีปุโรหิตทูลถามเรื่องนี้ผ่านทางอูริมและทูมมิม

64 คนกลุ่มนี้มีทั้งหมด 42,360 คน 65 ไม่รวมคนรับใช้ชายหญิง 7,337 คน และคณะนักร้องชายหญิง 200 คน 66 พวกเขามีม้า 736 ตัว ล่อ 245 ตัว 67 อูฐ 435 ตัว และลา 6,720 ตัว

68 เมื่อพวกเขามาถึงพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าในเยรูซาเล็ม หัวหน้าครอบครัวบางคนได้ถวายเครื่องบูชาตามความสมัครใจเพื่อสร้างพระนิเวศของพระเจ้าขึ้นใหม่ในที่เดิม 69 แต่ละคนถวายเข้าคลังเพื่องานนี้ตามกำลังความสามารถ รวมแล้วได้ทองคำประมาณ 500 กิโลกรัม[b]กับเงินประมาณ 2.9 ตัน[c] และเครื่องแต่งกายปุโรหิต 100 ชุด

70 ปุโรหิต คนเลวี คณะนักร้อง ยามเฝ้าประตูพระวิหาร และผู้ช่วยงานในพระวิหาร เข้าอาศัยในเมืองของตนพร้อมกับประชาชนอีกจำนวนหนึ่งและชนอิสราเอลที่เหลือตั้งถิ่นฐานในเมืองของตน

กิจการของอัครทูต 2

พระวิญญาณเสด็จมาในวันเพ็นเทคอสต์

เมื่อถึงวันเพ็นเทคอสต์ พวกเขาทั้งหมดมารวมอยู่ในที่เดียวกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงจากฟ้าสวรรค์เหมือนเสียงพายุกล้าดังก้องไปทั่วทั้งบ้านที่เขานั่งอยู่ พวกเขาเห็นสิ่งที่ดูเหมือนเปลวไฟรูปร่างคล้ายลิ้นกระจายออกและมาอยู่เหนือพวกเขาแต่ละคน ทุกคนเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และเริ่มพูดภาษาต่างๆ[a] ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พวกเขาสามารถพูดได้

ขณะนั้นมีพวกยิวผู้ยำเกรงพระเจ้าจากทุกชาติทั่วใต้ฟ้าสวรรค์มาพักอยู่ที่เยรูซาเล็ม เมื่อได้ยินเสียงนี้ฝูงชนก็มาชุมนุมกันด้วยความงุนงงสงสัยเพราะแต่ละคนต่างก็ได้ยินพวกเขาพูดภาษาของตน พวกเขาจึงถามด้วยความอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งว่า “คนเหล่านี้ที่กำลังพูดอยู่ล้วนเป็นชาวกาลิลีไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดเราแต่ละคนจึงได้ยินพวกเขาพูดภาษาท้องถิ่นของเรา? ไม่ว่าชาวปารเธีย ชาวมีเดีย และชาวเอลาม คนที่อยู่ในแถบเมโสโปเตเมีย ยูเดีย คัปปาโดเซีย ปอนทัสและเอเชีย 10 ฟรีเจียและปัมฟีเลีย อียิปต์และส่วนต่างๆ ของลิเบียแถวไซรีน ผู้มาเยือนจากกรุงโรม 11 (ทั้งชาวยิวกับผู้เข้าจารีตยิว) ชาวเกาะครีต และชาวอาหรับ พวกเราได้ยินเขาประกาศความอัศจรรย์ของพระเจ้าด้วยภาษาของเราเอง!” 12 เขาทั้งหลายล้วนอัศจรรย์ใจและฉงนสนเท่ห์จึงถามกันว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร?”

13 แต่บางคนก็ล้อเลียนพวกเขาว่า “พวกนั้นดื่มเหล้าองุ่น[b]มากเกินไป”

เปโตรกล่าวกับฝูงชน

14 แล้วเปโตรจึงยืนขึ้นกับอัครทูตสิบเอ็ดคนและกล่าวกับฝูงชนด้วยเสียงอันดังว่า “พี่น้องชาวยิวและท่านทั้งปวงที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าขอชี้แจงเรื่องนี้แก่ท่านทั้งหลาย โปรดตั้งใจฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าจะกล่าว 15 คนเหล่านี้ไม่ได้เมาเหล้าอย่างที่ท่านคิด นี่เพิ่งเก้าโมงเช้า! 16 แต่ทั้งนี้เป็นไปตามที่ผู้เผยพระวจนะโยเอลกล่าวไว้ว่า

17 “ ‘พระเจ้าตรัสว่า ในวาระสุดท้าย
เราจะเทพระวิญญาณของเราลงเหนือประชากรทั้งปวง
บุตรชายบุตรสาวของเจ้าจะเผยพระวจนะ
คนหนุ่มของเจ้าจะเห็นนิมิต
คนชราของเจ้าจะฝันเห็น
18 เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเทวิญญาณของเรา
ลงมาเหนือผู้รับใช้ของเราทั้งชายและหญิง
และพวกเขาจะเผยพระวจนะ
19 เราจะสำแดงการอัศจรรย์ในฟ้าสวรรค์เบื้องบน
และหมายสำคัญที่แผ่นดินโลกเบื้องล่าง
มีเลือด ไฟ และกลุ่มควัน
20 ดวงอาทิตย์จะถูกเปลี่ยนเป็นความมืด
และดวงจันทร์จะกลายเป็นเลือด
ก่อนวันอันยิ่งใหญ่และเปี่ยมด้วยพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึง
21 และทุกคนที่ร้อง
ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับ
การช่วยให้รอด’[c]

22 “ชนอิสราเอลเอ๋ย ขอจงฟังสิ่งนี้ พระเยซูแห่งนาซาเร็ธคือผู้ที่พระเจ้าทรงรับรองโดยปาฏิหาริย์ การอัศจรรย์ และหมายสำคัญต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำผ่านพระองค์ท่ามกลางพวกท่านตามที่ท่านเองทราบอยู่แล้ว 23 พระเยซูผู้นี้ทรงถูกมอบให้พวกท่าน ตามที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้และทรงทราบล่วงหน้า และโดยความช่วยเหลือของเหล่าคนอธรรม[d] ท่านได้จับพระองค์ไปประหารด้วยการตอกตรึงที่ไม้กางเขน 24 แต่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย พ้นจากความทุกข์ทรมานแห่งความตาย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ความตายจะยึดครองพระองค์ไว้ 25 ดาวิดได้กล่าวถึงพระองค์ว่า

“ ‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ
เพราะพระองค์ประทับอยู่ที่ด้านขวามือของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว
26 ฉะนั้น จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดีและลิ้นของข้าพเจ้าก็ปรีดา
กายของข้าพเจ้าก็จะอยู่ด้วยความหวังเช่นกัน
27 เพราะพระองค์จะไม่ทรงทิ้งข้าพระองค์ไว้กับหลุมฝังศพ
ทั้งจะไม่ทรงปล่อยให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์เน่าเปื่อย
28 พระองค์ได้ทรงสำแดงหนทางแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์
พระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีต่อหน้าพระองค์’[e]

29 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าบอกท่านได้อย่างมั่นใจว่าดาวิดบรรพบุรุษของเราสิ้นชีพและถูกฝังไปแล้ว สุสานของเขาก็อยู่ที่นี่ตราบจนทุกวันนี้ 30 แต่เขาเป็นผู้เผยพระวจนะและรู้ว่าพระเจ้าทรงสัญญากับเขาด้วยคำปฏิญาณว่าพระองค์จะทรงตั้งผู้หนึ่งในวงศ์วานของเขาให้ขึ้นครองบัลลังก์ของเขา 31 เขาทราบล่วงหน้าจึงได้กล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์[f]ว่า พระเจ้าจะไม่ทรงทิ้งพระองค์ไว้ในหลุมฝังศพ ทั้งไม่ให้กายของพระองค์ต้องเน่าเปื่อย 32 พระเจ้าทรงให้พระเยซูผู้นี้คืนพระชนม์และพวกเราทั้งหมดเป็นพยานในความจริงข้อนี้ 33 เมื่อทรงรับการเชิดชูสู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามพระสัญญาและได้ทรงเทลงมาตามที่ท่านเห็นและได้ยินอยู่นี้ 34 เพราะดาวิดไม่ได้ขึ้นสู่สวรรค์แต่ยังกล่าวว่า

“ ‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
“จงนั่งที่ขวามือของเรา
35 จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้า
เป็นแท่นวางเท้าของเจ้า” ’[g]

36 “ฉะนั้นให้ชนอิสราเอลทั้งปวงแน่ใจในข้อนี้ คือพระเจ้าทรงตั้งพระเยซูผู้นี้ซึ่งพวกท่านได้ตรึงที่ไม้กางเขนให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์”

37 เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเสียดแทงใจยิ่งนักและกล่าวกับเปโตรและอัครทูตคนอื่นๆ ว่า “พี่น้องเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดี?”

38 เปโตรตอบว่า “พวกท่านทุกคนจงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์เพื่อรับการทรงอภัยโทษบาปของท่าน และพวกท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของประทาน 39 พระสัญญานั้นมีแก่ท่านทั้งหลายและลูกหลานของพวกท่านตลอดจนคนทั้งปวงที่อยู่ไกล คือคนทั้งปวงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราจะทรงเรียก”

40 เปโตรกล่าวเตือนและวิงวอนพวกเขาอีกหลายคำว่า “จงรักษาตัวท่านให้พ้นจากคนในยุคที่เสื่อมทรามนี้เถิด” 41 บรรดาผู้ที่ยอมรับถ้อยคำของเปโตรได้รับบัพติศมาและในวันนั้นมีคนราวสามพันคนเข้าร่วมเป็นสาวก

การสามัคคีธรรมของผู้เชื่อ

42 เขาทั้งหลายอุทิศตนในคำสอนของเหล่าอัครทูตและในการร่วมสามัคคีธรรม ในการหักขนมปัง และในการอธิษฐาน 43 และเหล่าอัครทูตทำหมายสำคัญและปาฏิหาริย์หลายอย่าง ทุกคนจึงเต็มไปด้วยความยำเกรง 44 ผู้เชื่อทั้งปวงอยู่รวมกันและถือครองทุกอย่างร่วมกัน 45 พวกเขาขายทรัพย์สิ่งของและนำมาแบ่งปันให้แต่ละคนตามความต้องการ 46 ทุกๆ วันพวกเขามาประชุมกันที่ลานพระวิหาร หักขนมปังตามบ้านของตน และรับประทานร่วมกันด้วยความยินดีและจริงใจ 47 พวกเขาพากันสรรเสริญพระเจ้าและเป็นที่ชื่นชมของคนทั้งปวง ในแต่ละวันองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้คนทั้งหลายที่กำลังจะได้รับความรอดมาเข้ากับพวกเขา

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.