M’Cheyne Bible Reading Plan
เยฮูได้รับการเจิมตั้งเป็นกษัตริย์อิสราเอล
9 เอลีชาเรียกผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งมาสั่งว่า “จงคาดเอวทับเสื้อคลุมให้ทะมัดทะแมง ถือน้ำมันขวดนี้ไปราโมทกิเลอาด 2 เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ให้ถามหาเยฮูบุตรเยโฮชาฟัทหลานนิมชี นำเขาออกจากกลุ่มเพื่อนและพาเข้าไปในห้องชั้นใน 3 แล้วรินน้ำมันลงบนศีรษะของเขาและประกาศว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล’ จากนั้นเจ้าจงเปิดประตูและวิ่งไป อย่าชักช้า!”
4 ฉะนั้นผู้เผยพระวจนะหนุ่มจึงไปที่ราโมทกิเลอาด 5 เมื่อเขาไปถึงที่นั่นก็พบนายทัพทั้งหลายนั่งอยู่ด้วยกัน จึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีเรื่องจะเรียนท่านแม่ทัพ”
เยฮูถามว่า “แม่ทัพคนไหนล่ะ?”
เขาตอบว่า “ท่านนี่แหละ ท่านแม่ทัพ”
6 เยฮูจึงลุกขึ้นเข้าไปในบ้าน แล้วผู้เผยพระวจนะรินน้ำมันลงบนศีรษะของเยฮูและประกาศว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้า 7 เจ้าจงทำลายล้างราชวงศ์อาหับนายของเจ้า เราจะแก้แค้นให้กับโลหิตของผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรา และบรรดาผู้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งถูกเยเซเบลสังหาร 8 ทั้งราชวงศ์ของอาหับจะพินาศ เราจะประหารผู้ชายทุกคนในวงศ์วานของอาหับทั้งที่เป็นทาสหรือเป็นไทในอิสราเอล 9 เราจะให้วงศ์วานของอาหับเป็นเหมือนวงศ์วานของเยโรโบอัมบุตรเนบัทและเหมือนวงศ์วานของบาอาชาบุตรอาหิยาห์ 10 ส่วนเยเซเบลจะถูกสุนัขกัดกินบนที่ดินผืนนั้นในยิสเรเอล และจะไม่มีใครฝังศพพระนาง’ ” แล้วผู้เผยพระวจนะคนนั้นก็เปิดประตูวิ่งออกไป
11 เมื่อเยฮูกลับไปหาเพื่อนพ้อง เพื่อนคนหนึ่งถามเขาว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ? เจ้าคนบ้านั่นมาหาท่านทำไม?”
เยฮูตอบว่า “พวกท่านก็รู้ว่าเขาเป็นใครและมาพูดเรื่องอะไร”
12 พวกเขาตอบว่า “อย่าบ่ายเบี่ยงเลย! จงบอกมาเถิด”
เยฮูจึงกล่าวว่า “เขาบอกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่าเราได้เจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล’ ”
13 พวกเขาจึงกุลีกุจอเอาเสื้อคลุมของตนปูบนบันไดให้เยฮูยืน พวกเขาเป่าแตรและร้องประกาศว่า “เยฮูเป็นกษัตริย์!”
เยฮูปลงพระชนม์โยรัมและอาหัสยาห์(A)
14 ฉะนั้นเยฮูบุตรเยโฮชาฟัทหลานนิมชีได้กบฏต่อโยรัม (โยรัมกับกองทัพอิสราเอลสู้รบป้องกันเมืองราโมทกิเลอาดกับกษัตริย์ฮาซาเอลแห่งอารัม 15 แต่กษัตริย์โยรัม[a]เสด็จกลับมายังยิสเรเอลเพื่อพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บเพราะน้ำมือของชาวอารัมในการสู้รบกับกษัตริย์ฮาซาเอลแห่งอารัม) เยฮูกล่าวว่า “ในเมื่อพวกท่านเห็นชอบดังนี้ก็อย่าให้ใครเล็ดลอดไปแจ้งข่าวนี้ที่ยิสเรเอล” 16 แล้วเยฮูก็ขับรถม้าศึกมาที่ยิสเรเอลเพราะโยรัมประทับพักฟื้นอยู่ที่นั่น กษัตริย์อาหัสยาห์แห่งยูดาห์ก็ได้เสด็จมาเยี่ยมโยรัมด้วย
17 ยามรักษาการณ์บนหอคอยของยิสเรเอลเห็นเยฮูกับกองทหารของเยฮูเข้ามาใกล้ก็ร้องตะโกนว่า “ข้าพเจ้าเห็นกองทหารกำลังตรงมาทางนี้”
โยรัมตรัสสั่งว่า “ส่งพลม้าไปพบพวกเขาและถามว่า ‘ท่านมาอย่างสันติหรือ?’ ”
18 พลม้านั้นออกไปพบเยฮูและกล่าวว่า “กษัตริย์ให้มาถามว่า ‘ท่านมาอย่างสันติหรือ?’ ”
เยฮูตอบว่า “ท่านจะมาพูดอะไรเรื่องสันติภาพ? จงตามเรามาเถิด”
ยามรักษาการณ์ทูลกษัตริย์ว่า “ผู้สื่อสารออกไปพบพวกเขาแล้ว แต่ไม่ได้กลับมา”
19 กษัตริย์จึงส่งพลม้าออกไปเป็นครั้งที่สอง เมื่อเขามาถึงก็แจ้งว่า “กษัตริย์ให้มาถามว่า ‘ท่านมาอย่างสันติหรือ?’ ”
เยฮูตอบว่า “ท่านจะมาพูดอะไรเรื่องสันติภาพ? จงตามเรามาเถิด”
20 ยามรายงานว่า “ผู้สื่อสารไปพบพวกนั้นแล้วก็ไม่กลับมาอีก ดูจากการขับรถน่าจะเป็นเยฮูบุตรนิมชี เขาขับมาเร็วอย่างบ้าคลั่ง”
21 โยรัมตรัสสั่งว่า “เตรียมรถม้าศึกของเราให้พร้อม” จากนั้นกษัตริย์โยรัมแห่งอิสราเอลและกษัตริย์อาหัสยาห์แห่งยูดาห์ต่างก็เสด็จขึ้นรถม้าศึกของตนออกมาพบเยฮู และประจันหน้ากันที่ทุ่งนาของนาโบทชาวยิสเรเอล 22 เมื่อโยรัมเห็นเยฮูก็ตรัสถามว่า “เจ้ามาอย่างสันติหรือเยฮู?”
เยฮูตอบว่า “จะสันติได้อย่างไรในเมื่อยังมีการกราบไหว้รูปเคารพ และการเล่นคาถาอาคมของเยเซเบลราชมารดาของฝ่าพระบาทอยู่มากมายเช่นนี้?”
23 โยรัมทรงหันกลับและหนีไป พลางตรัสบอกอาหัสยาห์ว่า “อาหัสยาห์! พวกนี้เป็นกบฏ!”
24 เยฮูจึงโก่งธนูยิงออกไปเต็มแรง ถูกโยรัมที่กลางหลัง ลูกธนูเสียบทะลุหัวใจโยรัมล้มลงในรถม้าศึก 25 เยฮูกล่าวกับบิดคาร์พลรถรบของเขาว่า “เอาศพของโยรัมโยนลงไปบนที่ดินของนาโบทชาวยิสเรเอล จำได้ไหมเมื่อครั้งเราสองคนขี่ม้าติดตามอาหับบิดาของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงคำพยากรณ์แก่เราเกี่ยวกับเขาว่า 26 ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่า เมื่อวานนี้เราได้เห็นเลือดของนาโบทกับลูกๆ และเราจะให้เจ้าชดใช้บนที่ดินนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น’[b] บัดนี้จงทิ้งร่างของเขาไว้บนที่ผืนนั้นตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้”
27 เมื่อกษัตริย์อาหัสยาห์แห่งยูดาห์เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เสด็จหนีไปตามเส้นทางสู่เบธฮักกาน[c] เยฮูขี่ม้าไล่ตามและร้องตะโกนว่า “ฆ่าคนนี้ด้วย!” พวกทหารจึงทำให้อาหัสยาห์บาดเจ็บอยู่ในรถม้าศึกระหว่างทางขึ้นไปยังกูรใกล้อิบเลอัม แต่อาหัสยาห์หนีไปไกลถึงเมกิดโดและสิ้นพระชนม์ที่นั่น 28 ข้าราชบริพารรับพระศพขึ้นรถม้าศึกกลับมายังเยรูซาเล็ม และฝังไว้กับบรรพบุรุษในอุโมงค์ของพระองค์ที่เมืองดาวิด 29 (กษัตริย์อาหัสยาห์ขึ้นครองราชย์เหนือยูดาห์ ตรงกับปีที่สิบเอ็ดของรัชกาลกษัตริย์โยรัมโอรสของอาหับ)
เยเซเบลถูกปลงพระชนม์
30 เมื่อเยเซเบลได้ยินว่าเยฮูมาที่ยิสเรเอล ก็เขียนตาแต่งผมและมองออกมานอกหน้าต่าง 31 เมื่อเยฮูผ่านประตูวังเข้ามา พระนางก็ร้องถามว่า “มาดีหรือเปล่า เจ้าฆาตกรศิมรีผู้ฆ่านายของตัวเอง?”[d]
32 เยฮูมองขึ้นไปที่หน้าต่างและร้องตะโกนว่า “มีใครอยู่ฝ่ายเราบ้าง? มีใครบ้าง?” ขันทีสองสามคนก็มองลงมา 33 เยฮูจึงกล่าวว่า “โยนนางลงมา!” พวกเขาก็ช่วยกันจับพระนางทิ้งลงมาทางหน้าต่าง โลหิตกระเซ็นเปรอะกำแพงและม้า ขณะที่พระนางถูกม้าเหยียบ
34 เยฮูเข้าไปในวังรับประทานอาหารและดื่ม แล้วเขากล่าวว่า “ให้ใครออกไปฝังผู้หญิงที่ถูกสาปแช่งคนนั้นเถิด เพราะนางเป็นธิดากษัตริย์” 35 แต่เมื่อพวกเขาออกไปจะฝังศพพระนาง ก็พบแต่หัวกะโหลก กระดูกมือ และกระดูกเท้า 36 จึงกลับมาบอกเยฮู เยฮูจึงกล่าวว่า “นี่แหละเป็นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ผ่านทางเอลียาห์ชาวทิชบีผู้รับใช้ของพระองค์ว่าสุนัขจะกัดกินเนื้อเยเซเบล[e]บนที่ดินผืนนั้นในยิสเรเอล 37 ร่างของนางจะกระจัดกระจายเหมือนขยะบนท้องทุ่งของยิสเรเอล จนไม่มีใครบอกได้ว่า ‘นี่คือเยเซเบล’ ”
6 คนทั้งปวงที่อยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาส พึงถือว่าเจ้านายของตนสมควรได้รับความเคารพนับถืออย่างเต็มที่ เพื่อจะไม่มีใครมาว่าร้ายพระนามของพระเจ้าและคำสอนของเราได้ 2 ส่วนคนที่มีเจ้านายเป็นผู้เชื่อ ก็ไม่ควรจะแสดงความนับถือต่อเจ้านายน้อยลงเพราะเหตุที่เป็นพี่น้องกัน ตรงกันข้ามเขาควรจะรับใช้เจ้านายให้ดียิ่งขึ้น เพราะคนที่ได้ประโยชน์จากการรับใช้ของเขานั้นเป็นผู้เชื่อและเป็นที่รักของเขา
การรักเงิน
ท่านจงสั่งสอนและกำชับให้เขาทำเช่นนี้ 3 ถ้าผู้ใดสอนหลักข้อเชื่อเท็จและขัดกับคำสอนอันมีหลักขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราและคำสอนในทางพระเจ้า 4 ผู้นั้นก็จองหองลืมตัวและไม่เข้าใจอะไรเลย เขามัวแต่หมกมุ่นกับการถกเถียงโต้แย้งเรื่องคำต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดการอิจฉา การแก่งแย่งชิงดี การใส่ร้าย การระแวงกันอันร้ายกาจ 5 และการบาดหมางแตกร้าวระหว่างผู้มีใจเสื่อมทรามซึ่งถูกฉกชิงความจริงไป และคิดว่าทางพระเจ้าเป็นช่องทางหาเงินทองทำกำไร
6 แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมีย่อมเป็นกำไรงาม 7 เพราะเราเข้ามาในโลกตัวเปล่า เมื่อออกจากโลกก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ 8 แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้าก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น 9 คนที่อยากรวยก็ตกหล่มเย้ายวนให้ทำบาป ติดกับและตกในความปรารถนาต่างๆ อันโง่เขลาและอันตราย ซึ่งดึงมนุษย์ดิ่งลงในห้วงแห่งความพินาศย่อยยับ 10 เพราะการรักเงินเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละบางคนจึงเตลิดจากความเชื่อและทำให้ตัวเองต้องปวดร้าวด้วยความทุกข์โศกนานา
เปาโลกำชับทิโมธี
11 ส่วนท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดและใฝ่หาความชอบธรรม ใฝ่หาทางพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทนและความสุภาพอ่อนโยน 12 จงต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อความเชื่อนี้ จงยึดมั่นชีวิตนิรันดร์ซึ่งทรงเรียกท่านมารับเมื่อท่านประกาศตนรับเชื่อต่อหน้าพยานหลายคน 13 ในสายพระเนตรของพระเจ้าผู้ประทานชีวิตแก่สรรพสิ่ง และในสายพระเนตรของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงประกาศความเชื่ออย่างหนักแน่นขณะให้การต่อปอนทัสปีลาต ข้าพเจ้าขอกำชับท่าน 14 ให้ถือรักษาคำสั่งนี้ไว้อย่าให้ด่างพร้อยหรือมีที่ติจนกว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราจะมาปรากฏ 15 พระเจ้าจะทรงให้การมาปรากฏเป็นไปในวาระของพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงเป็นที่เทิดทูนสรรเสริญ ทรงเป็นผู้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว จอมราชันเหนือมวลราชา จอมเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งปวง 16 พระองค์แต่ผู้เดียวทรงเป็นอมตะและประทับอยู่ในความสว่างอันไม่อาจเข้าถึง เป็นผู้ที่ไม่มีใครเคยเห็นหรือสามารถเห็นพระองค์ได้ ขอพระเกียรติและเดชานุภาพมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดร์ อาเมน
17 จงกำชับบรรดาผู้ร่ำรวยในโลกปัจจุบันนี้ไม่ให้หยิ่งทะนงหรือฝากความหวังไว้กับทรัพย์สมบัติซึ่งไม่จีรังยั่งยืน แต่จงหวังใจในพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งให้เราอย่างบริบูรณ์เพื่อความเบิกบานใจของเรา 18 จงกำชับเขาเหล่านั้นให้ทำดี ร่ำรวยในการทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เต็มใจแบ่งปัน 19 การทำเช่นนี้จะเป็นการสะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้ตนเอง เป็นรากฐานมั่นคงสำหรับยุคหน้า เพื่อเขาจะได้รับชีวิตอันเป็นชีวิตแท้
20 ทิโมธีเอ๋ย จงพิทักษ์รักษาสิ่งที่ท่านได้รับมอบหมาย จงหลีกหนีจากการพูดคุยอันไร้สาระ และความคิดขัดแย้งที่สำคัญผิดว่าเป็นความรู้ 21 ซึ่งบางคนได้รับไว้จึงหลงเตลิดไปจากความเชื่อ
ขอพระคุณดำรงอยู่กับพวกท่าน
1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งมีมาถึงโฮเชยาบุตรเบเออรีในรัชกาลอุสซียาห์ โยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ และในรัชกาลเยโรโบอัมบุตรกษัตริย์เยโฮอาช[a]แห่งอิสราเอล
ภรรยากับลูกๆ ของโฮเชยา
2 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเริ่มตรัสผ่านโฮเชยานั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงไปรับหญิงเจ้าชู้มาเป็นภรรยา และรับลูกๆ ที่เกิดจากความไม่ซื่อสัตย์ของนางมาด้วย เพราะว่าดินแดนนี้มีความผิดฐานล่วงประเวณีอย่างร้ายแรงที่สุดโดยการละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า” 3 ฉะนั้นโฮเชยาจึงแต่งงานกับโกเมอร์ธิดาของดิบลาอิม นางก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่งให้แก่เขา
4 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโฮเชยาว่า “จงเรียกชื่อเด็กคนนี้ว่ายิสเรเอล เพราะในไม่ช้าเราจะลงโทษวงศ์วานของเยฮูเนื่องด้วยการประหารครั้งใหญ่ที่ยิสเรเอล และเราจะปิดฉากอาณาจักรอิสราเอลลง 5 ในวันนั้นเราจะหักธนูของอิสราเอลในหุบเขายิสเรเอล”
6 โกเมอร์ก็ตั้งครรภ์อีกและคลอดบุตรสาว แล้วพระองค์ตรัสกับโฮเชยาว่า “จงเรียกเด็กคนนี้ว่าโลรุหะมาห์[b] เพราะเราจะไม่แสดงความรักต่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลอีกต่อไป เราจะไม่อภัยให้พวกเขา 7 แต่เราจะแสดงความรักต่อพงศ์พันธุ์ยูดาห์และจะช่วยพวกเขา ไม่ใช่ด้วยธนู ดาบ สงคราม หรือด้วยม้าและพลม้า แต่โดยพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา”
8 หลังจากที่ให้โลรุหะมาห์หย่านมแล้ว โกเมอร์ก็มีบุตรชายอีกคนหนึ่ง 9 แล้วพระองค์ตรัสว่า “จงเรียกเขาว่าโลอัมมี[c] เพราะพวกเจ้าไม่ใช่ประชากรของเราและเราไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า
10 “ถึงกระนั้นชนชาติอิสราเอลจะเป็นเหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเลซึ่งตวงนับไม่ได้ ในที่ซึ่งพระเจ้าตรัสแก่เขาว่า ‘เจ้าไม่ใช่ประชากรของเรา’ พวกเขาจะได้ชื่อว่า ‘บุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่’ 11 ประชากรยูดาห์และอิสราเอลจะถูกรวมเข้าด้วยกันอีก และพวกเขาจะแต่งตั้งผู้นำคนหนึ่งและจะพากันออกมาจากแผ่นดินนั้น เพราะวันแห่งยิสเรเอลจะยิ่งใหญ่
โยดห์
73 พระหัตถ์ของพระองค์ได้สร้างและปั้นแต่งข้าพระองค์ขึ้น
โปรดให้ข้าพระองค์มีความเข้าใจ เพื่อจะเรียนรู้พระบัญชาของพระองค์
74 ขอให้ผู้ที่ยำเกรงพระองค์ชื่นชมยินดีเมื่อเห็นข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์ฝากความหวังไว้ที่พระวจนะของพระองค์
75 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าบทบัญญัติของพระองค์นั้นชอบธรรม
และรู้ว่าที่พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์เป็นทุกข์นั้นก็เพราะพระองค์ทรงซื่อสัตย์
76 ขอให้ความรักมั่นคงของพระองค์ปลอบประโลมข้าพระองค์
ตามที่ทรงสัญญาไว้กับผู้รับใช้ของพระองค์
77 ขอทรงเอ็นดูสงสาร เพื่อข้าพระองค์จะมีชีวิตอยู่
เพราะข้าพระองค์ปีติยินดีในบทบัญญัติของพระองค์
78 ขอให้คนหยิ่งยโสอับอาย เพราะพวกเขาทำผิดต่อข้าพระองค์โดยไม่มีสาเหตุ
ส่วนข้าพระองค์จะใคร่ครวญข้อบังคับของพระองค์
79 ขอให้ผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ผู้ที่เข้าใจกฎเกณฑ์ของพระองค์
หันมาหาข้าพระองค์
80 ขอให้จิตใจของข้าพระองค์ปราศจากที่ติต่อกฎหมายของพระองค์
เพื่อข้าพระองค์จะไม่ต้องอับอาย
คาฟ
81 จิตวิญญาณของข้าพระองค์อ่อนล้าเพราะโหยหา
ความรอดของพระองค์
แต่ข้าพระองค์ฝากความหวังไว้ที่พระวจนะของพระองค์
82 ดวงตาของข้าพระองค์อ่อนล้า เพราะรอคอยพระสัญญาของพระองค์
ข้าพระองค์กล่าวว่า “เมื่อใดหนอพระองค์จะทรงปลอบประโลมข้าพระองค์?”
83 แม้ข้าพระองค์แห้งเหี่ยวเหมือนถุงหนังเหล้าองุ่นที่ถูกรมควัน
ข้าพระองค์ก็ไม่ลืมกฎหมายของพระองค์
84 ผู้รับใช้ของพระองค์จะต้องรอคอยไปนานสักเท่าใด?
เมื่อใดพระองค์จะทรงลงโทษบรรดาผู้ที่ข่มเหงข้าพระองค์?
85 คนหยิ่งจองหองขุดหลุมพรางดักข้าพระองค์
ซึ่งขัดกับบทบัญญัติของพระองค์
86 พระบัญชาของพระองค์ล้วนแต่เชื่อถือได้
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ เพราะผู้คนกดขี่ข่มเหงข้าพระองค์โดยไม่มีสาเหตุ
87 พวกเขาเกือบจะกำจัดข้าพระองค์ไปจากแผ่นดินโลกแล้ว
แต่ข้าพระองค์ไม่ยอมละทิ้งข้อบังคับของพระองค์
88 ขอทรงรักษาชีวิตของข้าพระองค์ตามความรักมั่นคงของพระองค์
แล้วข้าพระองค์จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์จากพระโอษฐ์ของพระองค์
ลาเมดห์
89 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระวจนะของพระองค์คงอยู่ตลอดไป
มั่นคงนิรันดร์ในสวรรค์
90 ความซื่อสัตย์ของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วอายุ
พระองค์ทรงสถาปนาโลก โลกก็ตั้งมั่นอยู่
91 บทบัญญัติของพระองค์ยั่งยืนตราบเท่าทุกวันนี้
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างปรนนิบัติพระองค์
92 หากบทบัญญัติของพระองค์ไม่ได้เป็นความปีติยินดีของข้าพระองค์
ข้าพระองค์คงมอดม้วยในความทุกข์ยากไปแล้ว
93 ข้าพระองค์จะไม่ลืมข้อบังคับของพระองค์
เพราะพระองค์ทรงรักษาชีวิตของข้าพระองค์ไว้ด้วยข้อบังคับเหล่านั้น
94 ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์เป็นของพระองค์
ข้าพระองค์แสวงหาข้อบังคับของพระองค์
95 คนชั่วรอทำลายข้าพระองค์
แต่ข้าพระองค์จะใคร่ครวญกฎเกณฑ์ของพระองค์
96 ข้าพระองค์เห็นว่าทุกสิ่งที่ดีพร้อมก็ยังมีขีดจำกัด
แต่พระบัญชาของพระองค์ไร้ขอบเขต
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.