M’Cheyne Bible Reading Plan
เอลียาห์กับโอบาดีห์
18 หลังจากนั้นเป็นเวลานาน พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเอลียาห์ในปีที่สามว่า “จงไปแสดงตัวต่ออาหับ เราจะให้ฝนตกลงมา” 2 เอลียาห์จึงไปแสดงตัวต่ออาหับ
ในเวลานั้นการกันดารอาหารในสะมาเรียรุนแรงมาก 3 อาหับรับสั่งให้เรียกโอบาดีห์เจ้ากรมวังมาหา (โอบาดีห์เป็นผู้เชื่อที่เข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า 4 เมื่อครั้งพระนางเยเซเบลเข่นฆ่าผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า โอบาดีห์ช่วยเหลือผู้เผยพระวจนะหนึ่งร้อยคนให้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำสองแห่ง แห่งละห้าสิบคนและจัดส่งอาหารกับน้ำให้) 5 อาหับตรัสกับโอบาดีห์ว่า “จงไปยังตาน้ำหุบเขาทุกแห่งทั่วดินแดน เราอาจจะพบหญ้าพอประทังชีวิตม้าและล่อ จะได้ไม่ต้องฆ่าสัตว์ของเรา” 6 ทั้งสองจึงแบ่งกันออกไปสำรวจดู อาหับเสด็จไปทางหนึ่ง โอบาดีห์ไปอีกทางหนึ่ง
7 ขณะเดินไปตามทาง เอลียาห์ก็มาพบเขา โอบาดีห์จำเอลียาห์ได้ จึงหมอบคำนับลงกับพื้นและกล่าวว่า “นี่เป็นท่านเอลียาห์นายของข้าพเจ้าจริงๆ หรือ?”
8 เอลียาห์ตอบว่า “ถูกแล้ว ไปทูลกษัตริย์เถิดว่า ‘เอลียาห์อยู่ที่นี่’”
9 โอบาดีห์ถามว่า “ข้าพเจ้าทำอะไรผิดหรือ ท่านจึงจะส่งข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านไปให้อาหับประหาร? 10 พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ก็ไม่มีชาติใดหรืออาณาจักรใดที่นายของข้าพเจ้าไม่ได้ส่งคนไปค้นหาตัวท่านฉันนั้น และทุกครั้งที่มีชาติใดหรืออาณาจักรใดบอกว่าท่านไม่ได้อยู่ที่นั่น กษัตริย์ก็จะให้พวกเขาสาบานว่าไม่พบท่าน 11 มาตอนนี้ท่านบอกให้ข้าพเจ้าไปทูลเจ้านายว่า ‘เอลียาห์อยู่ที่นี่’ 12 แต่เมื่อข้าพเจ้าไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมารับตัวท่านไปไหน หากข้าพเจ้าไปทูลแล้วอาหับเสด็จมาไม่พบท่าน ก็จะทรงประหารข้าพเจ้า ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านได้ปรนนิบัตินมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้ามาตั้งแต่ยังหนุ่มๆ 13 ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่า เมื่อครั้งพระนางเยเซเบลเข่นฆ่าผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้ซ่อนตัวผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าร้อยคนในถ้ำสองแห่ง แห่งละห้าสิบคน และจัดส่งอาหารกับน้ำให้ 14 มาตอนนี้ท่านบอกให้ไปทูลว่า ‘เอลียาห์อยู่ที่นี่’ กษัตริย์จะประหารชีวิตข้าพเจ้าแน่!”
15 เอลียาห์กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ที่เรารับใช้ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เราก็จะแสดงตัวต่ออาหับในวันนี้อย่างแน่นอนฉันนั้น”
เอลียาห์บนภูเขาคารเมล
16 โอบาดีห์จึงไปเข้าเฝ้าอาหับและกราบทูลพระองค์ อาหับก็เสด็จออกมาพบเอลียาห์ 17 เมื่ออาหับเห็นเอลียาห์ก็ตรัสว่า “นี่หรือเจ้าคนที่นำความเดือดร้อนมาสู่อิสราเอล?”
18 เอลียาห์ตอบว่า “ไม่ใช่ข้าพเจ้า ท่านกับวงศ์วานของบิดาของท่านต่างหากที่นำความเดือดร้อนมาสู่อิสราเอล ท่านได้ละทิ้งพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไปติดตามพระบาอัล 19 บัดนี้จงรวมประชากรจากทั่วอิสราเอลมาพบข้าพเจ้าบนภูเขาคารเมล พร้อมทั้งผู้ทำนายของพระบาอัล 450 คน และผู้ทำนายของเจ้าแม่อาเชราห์ 400 คน ซึ่งร่วมโต๊ะเสวยของพระนางเยเซเบล”
20 อาหับจึงส่งข่าวไปทั่วทั้งอิสราเอล และเรียกบรรดาผู้ทำนายมาชุมนุมบนภูเขาคารเมล 21 เอลียาห์มาอยู่ต่อหน้าประชาชนและกล่าวว่า “พวกท่านจะเหยียบเรือสองแคมไปนานสักเท่าใด? หากพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า จงติดตามพระองค์ แต่หากบาอัลเป็นพระเจ้า ก็ไปติดตามเขาเถิด”
แต่ประชาชนไม่พูดอะไร
22 เอลียาห์จึงกล่าวว่า “เราเป็นผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ แต่ฝ่ายบาอัลมีผู้ทำนายถึง 450 คน 23 จงนำวัวหนุ่มมาสองตัว ให้ผู้ทำนายของพระบาอัลเลือกไปตัวหนึ่ง สับเป็นท่อนๆ วางบนฟืนที่แท่นบูชา แต่ไม่ต้องจุดไฟ แล้วเราจะเตรียมวัวอีกตัว นำมาวางบนฟืนโดยไม่จุดไฟเช่นกัน 24 จากนั้นพวกเจ้าจงร้องออกนามพระของพวกเจ้า ส่วนเราจะร้องออกนามพระยาห์เวห์ พระเจ้าองค์ที่ตอบโดยส่งไฟมานั่นแหละคือพระเจ้าที่แท้จริง”
และคนทั้งปวงก็กล่าวว่า “สิ่งที่ท่านพูดนั้นดีแล้ว”
25 เอลียาห์กล่าวกับผู้ทำนายของพระบาอัลว่า “พวกเจ้าลงมือก่อนสิเพราะมีกันหลายคน จงเลือกวัวไปตัวหนึ่ง จัดเตรียมแล้วร้องเรียกพระของเจ้า แต่อย่าจุดไฟ” 26 พวกเขาจึงรับวัวไปจัดเตรียม
แล้วพวกเขาร้องเรียกพระบาอัลตั้งแต่เช้าจนเที่ยง ร้องตะโกนว่า “ข้าแต่พระบาอัล โปรดตอบเถิด!” แต่ไม่มีใครตอบอะไรเลย พวกเขาก็ร่ายรำไปรอบๆ แท่นที่สร้างขึ้น
27 ตอนเที่ยงเอลียาห์ก็เริ่มถากถางพวกเขาว่า “ตะโกนดังขึ้นอีกหน่อย! ก็บาอัลเป็นพระเจ้านี่! บางทีอาจจะกำลังเข้าสมาธิ หรือเข้าห้องน้ำอยู่ หรือกำลังเดินทาง ไม่ก็หลับไป ต้องช่วยกันปลุกให้ตื่น” 28 ฉะนั้นพวกเขายิ่งร้องตะโกนดังขึ้น เอาดาบและหอกมาเชือดเนื้อตัวเองตามพิธีจนเลือดไหล 29 เที่ยงวันผ่านไป พวกเขาส่งเสียงตลอดบ่ายจนถึงเวลาถวายเครื่องบูชาในตอนเย็น แต่ไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มีคำตอบอะไรเลย ไม่มีใครสนใจ
30 เอลียาห์จึงกล่าวแก่เหล่าประชากรว่า “มาที่นี่เถิด” พวกเขาก็มา เอลียาห์ซ่อมแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งอยู่ในสภาพหักพัง 31 เอลียาห์นำหินมาสิบสองก้อน แต่ละก้อนแทนแต่ละเผ่าซึ่งสืบเชื้อสายมาจากยาโคบ ผู้ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “อิสราเอลจะเป็นนามของเจ้า” 32 เขาใช้หินสร้างแท่นบูชาในพระนามพระยาห์เวห์และขุดร่องรอบแท่นพอที่จะใส่เมล็ดพืชได้ประมาณ 15 ลิตร[a] 33 เขาเรียงฟืนบนแท่น และสับวัวหนุ่มตัวนั้นเป็นท่อนๆ วางบนฟืน แล้วสั่งว่า “จงตักน้ำให้เต็มสี่ถัง เทลงบนเครื่องบูชากับฟืน”
34 เขากล่าวว่า “จงทำอีกครั้ง” พวกเขาก็ปฏิบัติตาม
แล้วเขาสั่งว่า “ทำเป็นครั้งที่สาม” พวกเขาก็ทำตามเป็นครั้งที่สาม 35 น้ำนั้นไหลรอบแท่นเต็มร่องที่ขุดไว้
36 พอถึงเวลาถวายเครื่องบูชา ผู้เผยพระวจนะเอลียาห์เดินมาข้างหน้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอล ขอให้เป็นที่ทราบทั่วกันในวันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งอิสราเอล และข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ และกระทำทั้งหมดนี้ตามพระบัญชาของพระองค์ 37 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงตอบข้าพระองค์ โปรดตอบเถิดเพื่อประชากรเหล่านี้จะได้รู้ว่าพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าและพระองค์ทรงนำจิตใจของพวกเขากลับมาหาพระองค์”
38 ทันใดนั้นเองไฟขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตกลงมา และเผาเครื่องบูชา ฟืน หิน และพื้นดินตรงนั้น และแม้แต่น้ำในร่องรอบแท่นก็แห้งไปหมด
39 เมื่อประชากรเห็นดังนั้น ก็ซบหน้าลงร้องว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า! พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า!”
40 แล้วเอลียาห์ก็สั่งพวกเขาว่า “จงจับกุมตัวผู้ทำนายของบาอัลไว้ อย่าให้หนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว” แล้วพวกเขาก็เข้าจับกุม เอลียาห์นำตัวบรรดาผู้ทำนายไปประหารที่หุบเขาคีโชน
41 จากนั้นเอลียาห์ทูลอาหับว่า “เชิญไปรับประทานและดื่มเถิด เพราะมีเสียงฝนห่าใหญ่” 42 อาหับจึงเสด็จไปเสวยและดื่ม แต่เอลียาห์ปีนขึ้นบนยอดเขาคารเมล แล้วเขาโน้มตัวลงถึงพื้นดิน และซบหน้าลงระหว่างเข่า
43 เขาสั่งคนรับใช้ว่า “จงไปและมองไปทางทะเล”
เขาก็ไปและกลับมาบอกเอลียาห์ว่า “ข้าพเจ้าไม่เห็นอะไรเลย”
เอลียาห์สั่งให้เขากลับไปดูจนครบเจ็ดครั้ง
44 ในครั้งที่เจ็ด คนใช้นั้นรายงานว่า “มีเมฆเล็กๆ ขนาดราวฝ่ามือเคลื่อนขึ้นมาจากทะเล”
เอลียาห์จึงกล่าวว่า “จงไปบอกอาหับว่า ‘จงเตรียมราชรถแล้วลงจากภูเขา ไม่อย่างนั้นจะติดฝนแล้วไปไม่ได้’ ”
45 ไม่ช้าท้องฟ้าก็มืดทะมึนด้วยเมฆ ลมกล้าพาพายุฝนโหมกระหน่ำ อาหับรีบเสด็จไปยังยิสเรเอล 46 ฤทธิ์อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเหนือเอลียาห์ เขาก็คาดเอวทับเสื้อคลุมให้กระชับ แล้ววิ่งนำหน้าอาหับมาตลอดทางจนถึงเมืองยิสเรเอล
1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโล สิลาส[a] และทิโมธี
ถึงคริสตจักรของชาวเธสะโลนิกาในพระเจ้าพระบิดาและองค์พระเยซูคริสต์เจ้า
ขอพระคุณและสันติสุขมีแก่ท่านทั้งหลาย[b]
ขอบพระคุณและทูลขอ
2 เราขอบพระคุณพระเจ้าเนื่องด้วยพวกท่านทั้งปวงและอธิษฐานเผื่อท่านเสมอ 3 ต่อหน้าพระเจ้าพระบิดาของเรา เราระลึกอยู่เสมอไม่ได้ขาดถึงการงานของท่านที่เกิดจากความเชื่อ ถึงการลงแรงทำงานหนักของท่านที่เป็นผลจากความรัก และถึงการสู้ทนของท่านที่รับแรงบันดาลใจจากความหวังในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
4 พี่น้องทั้งหลายผู้เป็นที่รักของพระเจ้า เรารู้ว่าพระองค์ทรงเลือกสรรท่าน 5 เพราะข่าวประเสริฐของเรามาถึงท่านไม่ใช่เพียงด้วยถ้อยคำเท่านั้น แต่ด้วยฤทธิ์อำนาจ ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยความเชื่อมั่นอันลึกซึ้ง ท่านทราบว่าเราใช้ชีวิตอย่างไรในหมู่พวกท่านเพื่อเห็นแก่ท่าน 6 ท่านได้ทำตามอย่างเราและองค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งๆ ที่ต้องทนทุกข์อย่างหนักท่านก็รับข่าวประเสริฐด้วยความชื่นชมยินดีซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทาน 7 ดังนั้นท่านจึงเป็นแบบอย่างแก่ผู้เชื่อทั้งปวงในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายา 8 ข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้าเลื่องลือจากพวกท่านออกไป ไม่เฉพาะในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายา ความเชื่อในพระเจ้าของท่านยังโด่งดังไปทั่วทุกหนแห่ง ฉะนั้นเราจึงไม่ต้องพูดถึงอีก 9 เพราะเขาเหล่านั้นเองเล่าขานว่าพวกท่านต้อนรับเราอย่างไร และยังบอกว่าท่านได้หันจากรูปเคารพมาหาพระเจ้าเพื่อรับใช้พระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงพระชนม์อยู่ 10 และรอคอยพระบุตรของพระองค์จากสวรรค์ผู้ซึ่งพระองค์ทรงให้เป็นขึ้นจากตาย คือพระเยซูผู้ทรงช่วยเราทั้งหลายจากพระพิโรธที่จะมาถึง
การแบ่งดินแดน
48 “นี่คือรายชื่อของเผ่าต่างๆ คือที่ชายแดนด้านเหนือ ดานจะได้รับส่วนหนึ่งตามเส้นทางเฮทโลนถึงเลโบฮามัท[a] และฮาซาร์เอนัน และพรมแดนด้านเหนือของดามัสกัส ถัดจากฮามัทจะเป็นส่วนของเขตแดนจากด้านตะวันออกไปด้านตะวันตก
2 “อาเชอร์จะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของดานจากตะวันออกถึงตะวันตก
3 “นัฟทาลีจะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของอาเชอร์จากตะวันออกถึงตะวันตก
4 “มนัสเสห์จะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของนัฟทาลีจากตะวันออกถึงตะวันตก
5 “เอฟราอิมจะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของมนัสเสห์จากตะวันออกถึงตะวันตก
6 “รูเบนจะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของเอฟราอิมจากตะวันออกถึงตะวันตก
7 “ยูดาห์จะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของรูเบนจากตะวันออกถึงตะวันตก
8 “ถัดจากเขตแดนของยูดาห์จากตะวันออกถึงตะวันตกจะเป็นส่วนพิเศษที่เจ้าต้องถวาย ซึ่งมีความกว้าง 25,000 คิวบิท[b]ความยาวจากตะวันออกถึงตะวันตกจะเท่ากับส่วนของแต่ละเผ่า สถานนมัสการจะอยู่ที่ศูนย์กลางของส่วนนี้
9 “ส่วนพิเศษซึ่งเจ้าจะต้องถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้านี้ยาว 25,000 คิวบิทและกว้าง 10,000 คิวบิท[c] 10 ต่อไปนี้เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์สำหรับบรรดาปุโรหิต มีความยาววัดขึ้นไปทางเหนือ 25,000 คิวบิท ความกว้างด้านตะวันตก 10,000 คิวบิท ความกว้างด้านตะวันออก 10,000 คิวบิท และความยาวทางทิศใต้ 25,000 คิวบิท โดยมีสถานนมัสการขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นศูนย์กลาง 11 ที่ส่วนนี้สำหรับปุโรหิตเชื้อสายศาโดกที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ซึ่งซื่อสัตย์ในการปรนนิบัติรับใช้เรา ไม่ได้หลงผิดไปเหมือนชนเลวีอื่นๆ เมื่อครั้งชนอิสราเอลหลงไปจากพระเจ้า 12 ที่ส่วนนี้เป็นของขวัญพิเศษซึ่งยกให้แก่พวกเขา เป็นส่วนที่บริสุทธิ์ที่สุดในเขตศักดิ์สิทธิ์ติดกับเขตแดนของชนเลวี
13 “ใกล้กับเขตปุโรหิตนั้น เป็นที่ดินส่วนของชนเลวียาว 25,000 คิวบิท และกว้าง 10,000 คิวบิท ความยาวทั้งหมดของมันจะเป็น 25,000 คิวบิทและกว้าง 10,000 คิวบิท 14 ที่ดินนั้นห้ามซื้อขายหรือแลกเปลี่ยน เป็นผืนดินที่ดีเยี่ยม อย่าให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นเลย เพราะเป็นที่บริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
15 “ส่วนที่เหลือซึ่งกว้าง 5,000 คิวบิท[d] ยาว 25,000 คิวบิท เป็นที่สาธารณประโยชน์ของเมืองนั้น เป็นที่สำหรับบ้านเรือนและทุ่งหญ้า ตัวเมืองอยู่ใจกลาง 16 เมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสคือกว้างยาวด้านละ 4,500 คิวบิท[e] 17 ที่โล่งสำหรับเป็นทุ่งหญ้าอยู่รอบเมือง แต่ละด้านทั้งสี่ทิศมีระยะด้านละ 250 คิวบิท[f] 18 เนื้อที่ที่เหลือติดกับเขตศักดิ์สิทธิ์ ความยาวคู่ขนานกัน วัดทางตะวันออกได้ 10,000 คิวบิท วัดทางตะวันตกได้ 10,000 คิวบิท ผลผลิตที่ได้จากแผ่นดินนี้ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ทำงานในตัวเมือง 19 คนงานจากตัวเมืองที่ทำไร่ไถนาบนที่ดินผืนนี้มาจากอิสราเอลทุกเผ่า 20 ที่ดินส่วนนี้ทั้งหมดจะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละ 25,000 คิวบิท นี่เป็นของถวายพิเศษที่เจ้าจะกันไว้เป็นส่วนศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับที่ดินของเมืองนี้ด้วย
21 “ส่วนที่เหลืออยู่สองด้านของเขตศักดิ์สิทธิ์และบริเวณของตัวเมืองจะเป็นของเจ้านาย กินเนื้อที่ไปทางตะวันออกจากระยะ 25,000 คิวบิทของเขตศักดิ์สิทธิ์ไปถึงชายแดนตะวันออก และไปทางตะวันตกจากระยะ 25,000 คิวบิทไปยังชายแดนด้านตะวันตก ทั้งสองบริเวณนี้ซึ่งความยาวคู่ขนานกับที่ดินของเผ่าต่างๆ เป็นของเจ้านาย โดยมีเขตศักดิ์สิทธิ์กับสถานนมัสการของพระวิหารอยู่ที่ใจกลาง 22 ฉะนั้นที่ดินของชนเลวี และบริเวณของตัวเมืองจะอยู่ตรงกลางพื้นที่ซึ่งเป็นของเจ้านาย ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเขตแดนของยูดาห์กับของเบนยามิน
23 “สำหรับเผ่าต่างๆ ที่เหลือ เบนยามินจะได้รับส่วนหนึ่ง ที่ดินของเขาจะทอดยาวจากด้านตะวันออกถึงด้านตะวันตก
24 “สิเมโอนจะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของเบนยามินจากตะวันออกถึงตะวันตก
25 “อิสสาคาร์จะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของสิเมโอนจากตะวันออกถึงตะวันตก
26 “เศบูลุนจะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของอิสสาคาร์จากตะวันออกถึงตะวันตก
27 “กาดจะได้รับส่วนหนึ่ง จะมีเขตแดนติดกับดินแดนของเศบูลุนจากตะวันออกถึงตะวันตก
28 “อาณาเขตด้านใต้ของกาด คือจากทามาร์มุ่งลงทางใต้ ถึงห้วงน้ำเมรีบาห์คาเดช แล้วไปตามลำน้ำแห่งอียิปต์ถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
29 “จงแบ่งสรรปันส่วนดินแดนตามนี้แก่เผ่าต่างๆ ของอิสราเอล เพื่อเป็นมรดกตกทอดของเขา และนี่เป็นส่วนของพวกเขา” พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น
ประตูเมือง
30 “ต่อไปนี้เป็นประตูเมืองของนครนั้น เริ่มจากทางเหนือซึ่งยาว 4,500 คิวบิท[g] 31 ประตูต่างๆ ของเมืองนี้ตั้งชื่อตามเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล สามประตูทางด้านเหนือได้แก่ ประตูรูเบน ประตูยูดาห์ และประตูเลวี
32 “ทางด้านตะวันออกซึ่งยาว 4,500 คิวบิท มีสามประตูคือ ประตูโยเซฟ ประตูเบนยามิน และประตูดาน
33 “ทางด้านใต้ซึ่งวัดได้ 4,500 คิวบิท มีสามประตูคือ ประตูสิเมโอน ประตูอิสสาคาร์ และประตูเศบูลุน
34 “ด้านตะวันตกซึ่งยาว 4,500 คิวบิท มีสามประตูคือ ประตูกาด ประตูอาเชอร์ และประตูนัฟทาลี
35 “วัดระยะรอบเมืองได้ 18,000 คิวบิท[h]
“และนับแต่นี้ไปนครนั้นจะได้ชื่อว่า
‘องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตที่นี่’[i]”
104 จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่นัก
พระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วยสง่าราศีและพระบารมี
2 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงคลุมพระองค์ด้วยแสงสว่างเหมือนเป็นฉลองพระองค์
พระองค์ทรงขึงฟ้าสวรรค์ดั่งขึงเต็นท์
3 และทรงวางคานของที่ประทับของพระองค์ไว้เหนือน้ำ
พระองค์ทรงใช้เมฆเป็นรถม้าศึก
และเสด็จมาบนปีกของกระแสลม
4 พระองค์ทรงใช้ลมเป็นผู้สื่อสาร[a]
และเปลวไฟเป็นผู้รับใช้ของพระองค์
5 พระองค์ทรงตั้งโลกไว้บนฐาน
โลกจะไม่มีวันเคลื่อนย้าย
6 พระองค์ทรงห่อหุ้มโลกด้วยห้วงลึกเหมือนห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์
น้ำบ่าท่วมมิดภูเขา
7 แต่เมื่อพระองค์ทรงกำราบ น้ำก็หนีไป
เมื่อทรงเปล่งพระสุรเสียงดุจฟ้าร้อง มันก็เตลิดไป
8 น้ำไหลท่วมภูเขา
ไหลลงหุบเขา
ไปยังที่ซึ่งทรงกำหนดไว้ให้
9 พระองค์ทรงวางเขตกั้นไม่ให้น้ำข้ามไป
เพื่อไม่ให้น้ำท่วมแผ่นดินโลกอีก
10 พระองค์ทรงให้น้ำพุหลั่งน้ำให้แก่ลำห้วย
ซึ่งไหลไประหว่างภูเขา
11 ให้สัตว์ทั้งปวงในท้องทุ่งได้ดื่มกิน
ให้ลาป่าได้ดับกระหาย
12 นกจึงสร้างรังริมธารน้ำ
และร้องเพลงอยู่กลางแมกไม้
13 พระองค์ทรงรดน้ำภูเขาจากที่ประทับเบื้องบน
แผ่นดินโลกอิ่มเอมด้วยผลแห่งพระราชกิจของพระองค์
14 พระองค์ทรงให้หญ้างอกงามขึ้นเพื่อฝูงสัตว์
และทรงให้พืชพันธุ์แก่มนุษย์สำหรับเพาะปลูก
ทรงให้ธัญญาหารงอกงามจากผืนแผ่นดิน
15 ทรงประทานเหล้าองุ่นที่ทำให้จิตใจมนุษย์ชื่นบาน
น้ำมันมะกอกที่ทำให้ใบหน้าผ่องใส
และขนมปังเพื่อค้ำชูใจเขา
16 ต้นไม้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้น้ำอุดม
คือสนซีดาร์แห่งเลบานอนซึ่งทรงปลูกไว้
17 นกสร้างรังของพวกมันที่นั่น
นกกระสาอาศัยในบริเวณป่าสน
18 ภูเขาสูงเป็นของเลียงผา
โตรกหินเป็นที่ลี้ภัยของตัวตุ่นผา
19 พระองค์ทรงให้ดวงจันทร์ชี้บ่งฤดูกาล
และให้ดวงอาทิตย์รู้เวลาลับฟ้า
20 เมื่อพระองค์ทรงนำความมืดมา กลางวันกลับกลายเป็นค่ำคืน
สัตว์ป่าทั้งปวงคืบคลานออกมา
21 สิงโตคำรามหาเหยื่อ
ร้องหาอาหารจากพระเจ้า
22 พอดวงอาทิตย์ขึ้น เหล่าสิงโตลับหาย
กลับไปนอนในถ้ำของมัน
23 และมนุษย์ก็ออกมาทำงาน
ประกอบภารกิจของตนจนถึงยามเย็น
24 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระราชกิจของพระองค์มากมายนัก!
พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งเหล่านี้ขึ้นโดยพระปัญญา
โลกเต็มไปด้วยสิ่งที่ทรงสร้าง
25 โน่นแน่ะ ทะเลแสนกว้างใหญ่
คลาคล่ำไปด้วยสรรพสิ่งเกินกว่าจะนับไหว
คือสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่
26 โน่นเรือแล่นไปมา
นั่นเลวีอาธานที่ทรงสร้างให้เริงเล่นน้ำอยู่
27 ทุกชีวิตเหล่านี้ชะแง้คอยพระองค์
ให้ประทานอาหารตามกำหนดเวลา
28 เมื่อพระองค์ประทาน
พวกมันก็เก็บรวบรวม
เมื่อพระองค์ทรงแบพระหัตถ์ออก
พวกมันก็อิ่มหนำด้วยสิ่งดี
29 เมื่อพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์
พวกมันก็หวาดหวั่นพรั่นพรึง
เมื่อพระองค์ทรงริบลมหายใจ
พวกมันก็ตายและกลับสู่ธุลีดิน
30 เมื่อพระองค์ประทานพระวิญญาณของพระองค์
พวกมันก็ถูกสร้างขึ้น
และพระองค์ทรงพลิกโฉมแผ่นดินเสียใหม่
31 ขอพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าดำรงอยู่นิรันดร์
ขอพระองค์ทรงปีติยินดีในพระราชกิจของพระองค์
32 เมื่อพระองค์ทอดพระเนตร โลกก็สั่นสะท้าน
เมื่อทรงแตะต้องภูเขา ควันก็พวยพุ่งขึ้น
33 ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิต
ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของข้าพเจ้าตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่
34 ขอให้ความคิดใคร่ครวญของข้าพเจ้าเป็นที่พอพระทัยพระองค์
เพราะข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
35 แต่ขอให้คนบาปหมดสิ้นไปจากโลก
และไม่มีคนชั่วร้ายอีกต่อไป
จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า[b]
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.