M’Cheyne Bible Reading Plan
มีคายาห์พยากรณ์เกี่ยวกับอาหับ(A)
22 สงครามระหว่างอารัมกับอิสราเอลว่างเว้นไปสามปี 2 แต่ในปีที่สามกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์เสด็จมาเยือนกษัตริย์อิสราเอล 3 กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับข้าราชบริพารว่า “พวกเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าราโมทกิเลอาดเป็นของเรา แต่เราก็ไม่ทำอะไรเพื่อชิงคืนจากกษัตริย์อารัมเลย?”
4 อาหับจึงตรัสถามเยโฮชาฟัทว่า “ท่านจะช่วยข้าพเจ้ารบกับราโมทกิเลอาดไหม?”
เยโฮชาฟัทตรัสตอบกษัตริย์อิสราเอลว่า “เราสองคนเป็นพวกเดียวกัน คนของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นคนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นม้าของท่าน” 5 แต่เยโฮชาฟัทตรัสกับกษัตริย์อิสราเอลอีกว่า “เราควรทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน”
6 กษัตริย์อิสราเอลจึงทรงเรียกผู้เผยพระวจนะราวสี่ร้อยคนมาเข้าเฝ้า และตรัสถามว่า “เราควรจะไปรบกับราโมทกิเลอาด หรือเราควรจะยับยั้งไว้?”
เขาเหล่านั้นทูลว่า “ไปเลยพระเจ้าข้า เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบดินแดนนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”
7 แต่เยโฮชาฟัทตรัสถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ถามเลยหรือ?”
8 กษัตริย์อิสราเอลตรัสตอบเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีอยู่คนหนึ่งซึ่งเราจะทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าผ่านทางเขาได้ แต่ข้าพเจ้าเกลียดเขา เพราะเขาไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย มีแต่เรื่องร้ายๆ เขาคือมีคายาห์บุตรอิมลาห์”
เยโฮชาฟัทตรัสว่า “พระองค์อย่าตรัสเช่นนั้นเลย”
9 ดังนั้นกษัตริย์อิสราเอลจึงทรงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งมาและสั่งว่า “จงนำตัวมีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเดี๋ยวนี้”
10 ทั้งกษัตริย์อิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ทรงฉลองพระองค์เต็มยศประทับอยู่บนพระที่นั่งในลานนวดข้าวใกล้ประตูเมืองสะมาเรีย ในขณะที่กลุ่มผู้เผยพระวจนะก็กล่าวพยากรณ์ไปต่อหน้า 11 ฝ่ายเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ได้ทำเขาเหล็กขึ้นมาและประกาศว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าจะขวิดพวกอารัมด้วยเขาเหล็กนี้จนพวกเขาย่อยยับไป’ ”
12 ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ทั้งหมดก็กำลังพยากรณ์อย่างเดียวกันว่า “จงบุกเข้าโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยชนะเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”
13 คนที่ไปตามตัวมีคายาห์ได้กล่าวกับเขาว่า “ดูเถิด ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ล้วนแต่ทำนายเป็นเสียงเดียวกันว่ากษัตริย์จะชนะ ขอให้ท่านกล่าวไปในทางที่ดีเช่นเดียวกับพวกเขา”
14 แต่มีคายาห์กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะพูดแต่สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสฉันนั้น”
15 เมื่อเขามาถึง กษัตริย์ตรัสถามว่า “มีคายาห์เอ๋ย เราควรจะไปรบกับราโมทกิเลอาดหรือเราควรจะยับยั้งไว้?”
มีคายาห์ทูลว่า “จงบุกเข้าโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยชนะเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”
16 กษัตริย์ตรัสว่า “เราจะต้องให้เจ้าสาบานกี่ครั้งกี่หนว่าจะบอกแต่ความจริงแก่เราในพระนามพระยาห์เวห์?”
17 มีคายาห์จึงทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายไปตามภูเขาต่างๆ เหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้ทุกคนกลับบ้านโดยสวัสดิภาพเถิด’ ”
18 กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่าเขาไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย มีแต่เรื่องร้ายทั้งนั้น?”
19 มีคายาห์กล่าวต่อไปว่า “ฉะนั้นจงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ ทูตสวรรค์ทั้งปวงยืนเฝ้าอยู่รอบพระองค์ทั้งซ้ายและขวา 20 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘ใครจะหลอกล่ออาหับให้ไปโจมตีราโมทกิเลอาดและตายที่นั่น?’
“มีผู้ทูลเสนอต่างๆ นานา 21 ในที่สุดมีวิญญาณดวงหนึ่งก้าวออกมายืนต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและกราบทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะหลอกล่อเขา’
22 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามว่า ‘ทำอย่างไร?’
“วิญญาณนั้นทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะไปเป็นวิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของอาหับ’
“พระองค์จึงตรัสว่า ‘เจ้าจะหลอกล่อเขาสำเร็จ ไปทำตามนั้นเถิด’
23 “ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงใส่วิญญาณมุสาในปากผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ของฝ่าพระบาท องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีประกาศิตให้ฝ่าพระบาทถึงแก่หายนะแล้ว”
24 แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์จึงเข้ามาตบหน้ามีคายาห์และถามว่า “พระวิญญาณจาก[a]องค์พระผู้เป็นเจ้าออกจากข้าไปพูดกับเจ้าได้อย่างไร?”
25 มีคายาห์ตอบว่า “ท่านจะรู้คำตอบในวันที่ท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องชั้นใน”
26 กษัตริย์อิสราเอลจึงตรัสสั่งว่า “จงคุมตัวมีคายาห์กลับไปหาอาโมนผู้ว่าการของเมืองนี้และโยอาชบุตรของเรา 27 บอกสองคนนั้นว่า ‘กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า จงขังชายผู้นี้ไว้ในคุก ให้แต่ขนมปังกับน้ำประทังชีวิตจนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย’ ”
28 มีคายาห์ประกาศว่า “หากฝ่าพระบาทกลับมาอย่างปลอดภัย ก็แสดงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านทางข้าพเจ้า” แล้วเขากล่าวอีกว่า “ทุกคนจงจำคำพูดของข้าพเจ้าไว้!”
อาหับถูกสังหารที่ราโมทกิเลอาด(B)
29 ดังนั้นกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์จึงเสด็จไปยังราโมทกิเลอาด 30 กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ข้าพเจ้าจะปลอมตัวไปออกรบ ส่วนท่านแต่งเครื่องทรงกษัตริย์ของท่านเถิด” แล้วกษัตริย์อิสราเอลก็ทรงปลอมพระองค์และเสด็จออกรบ
31 ฝ่ายกษัตริย์อารัมได้ทรงบัญชาผู้บัญชาการรถรบ 32 คนของพระองค์ว่า “อย่าต่อสู้กับใคร ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือผู้น้อย แต่จงต่อสู้กับกษัตริย์อิสราเอลเพียงองค์เดียวเท่านั้น” 32 เมื่อผู้บัญชาการรถรบเหล่านั้นเห็นเยโฮชาฟัท พวกเขาก็คิดว่า “นี่เป็นกษัตริย์อิสราเอลแน่ๆ” จึงหันมาโจมตี แต่เมื่อเยโฮชาฟัทร้องตะโกนออกมา 33 ผู้บัญชาการรถรบเหล่านั้นเห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์อิสราเอล ก็เลิกไล่ล่าพระองค์
34 แต่มีคนหนึ่งยิงธนูสุ่มไปถูกกษัตริย์อิสราเอลตรงช่วงรอยต่อของเสื้อเกราะ พระองค์จึงตรัสกับพลขับว่า “จงกลับรถพาเราออกจากสนามรบ เราบาดเจ็บแล้ว” 35 สงครามดำเนินไปอย่างดุเดือดตลอดทั้งวัน กษัตริย์ทรงประคองตัวไว้ในรถม้าศึกให้ประจันหน้ากับชาวอารัม พระโลหิตจากบาดแผลไหลนองพื้นรถ ครั้นตกเย็นก็สิ้นพระชนม์ 36 ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับไป มีเสียงร้องบอกไปทั่วกองทัพว่า “ทุกคนกลับบ้านเมืองของตนเถิด!”
37 ดังนั้นกษัตริย์อาหับก็สิ้นพระชนม์ และพระศพถูกนำกลับมาฝังไว้ที่สะมาเรีย 38 เมื่อพวกเขาล้างรถม้าศึกที่สระในสะมาเรีย (ซึ่งพวกหญิงโสเภณีมาอาบน้ำ) สุนัขก็มาเลียพระโลหิตของกษัตริย์ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลั่นวาจาไว้แล้ว
39 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลของอาหับ พระราชกิจทุกอย่าง พระราชวังที่ทรงสร้างและตกแต่งด้วยงาช้าง และเมืองต่างๆ ที่ทรงเสริมปราการ มีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? 40 อาหับทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและอาหัสยาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน
กษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์(C)
41 เยโฮชาฟัทโอรสของอาสาขึ้นครองราชย์ในยูดาห์ ตรงกับปีที่สี่ของรัชกาลกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอล 42 เยโฮชาฟัทมีพระชนมายุ 35 พรรษาเมื่อขึ้นครองราชย์ และทรงปกครองในกรุงเยรูซาเล็มอยู่ 25 ปี ราชมารดาคืออาซูบาห์ธิดาของชิลหิ 43 เยโฮชาฟัททรงดำเนินตามแบบอย่างของอาสาราชบิดาทุกประการโดยไม่หันเห ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ได้ทรงทำลายสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย ประชากรจึงยังคงถวายเครื่องบูชาและเผาเครื่องหอมที่นั่น 44 เยโฮชาฟัทได้ทรงมีสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์อิสราเอลด้วย
45 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลเยโฮชาฟัท พระราชกิจและวีรกรรมในการสงครามมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 46 เยโฮชาฟัททรงกำจัดโสเภณีชายในเทวสถานซึ่งยังหลงเหลืออยู่จากสมัยของอาสาราชบิดาให้หมดไปจากแผ่นดิน 47 ในสมัยนั้นเอโดมไม่มีกษัตริย์ปกครอง มีแต่ผู้สำเร็จราชการ
48 เยโฮชาฟัททรงสร้างกองเรือพาณิชย์[b] เพื่อไปขนทองคำจากเมืองโอฟีร์ แต่เรือเหล่านั้นไม่ได้ไป เพราะอับปางลงที่เอซีโอนเกเบอร์ 49 ครั้งนั้นอาหัสยาห์โอรสของอาหับกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “ขอให้คนของเราแล่นเรือไปกับคนของท่าน” แต่เยโฮชาฟัททรงปฏิเสธ
50 แล้วเยโฮชาฟัททรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและถูกฝังไว้ด้วยกันในเมืองดาวิด และเยโฮรัมโอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน
กษัตริย์อาหัสยาห์แห่งอิสราเอล
51 อาหัสยาห์โอรสของอาหับขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์อิสราเอลในสะมาเรียตรงกับปีที่สิบเจ็ดของรัชกาลกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ ทรงปกครองอิสราเอลอยู่สองปี 52 อาหัสยาห์ทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะทรงดำเนินตามวิถีทางของราชบิดากับราชมารดา และตามวิถีทางของเยโรโบอัมบุตรเนบัทผู้ได้ชักนำอิสราเอลให้ทำบาป 53 พระองค์ทรงปรนนิบัตินมัสการพระบาอัล และยั่วยุพระพิโรธของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลเหมือนที่ราชบิดาได้ทรงทำ
5 พี่น้องทั้งหลาย เราไม่จำเป็นต้องเขียนบอกท่านว่าเป็นวันเวลาใด 2 เพราะท่านรู้ดีว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึงเหมือนขโมยในยามวิกาล 3 ขณะที่ผู้คนกำลังพูดกันว่า “สงบสุขและปลอดภัย” ขณะนั้นหายนะก็จะมาถึงพวกเขาในฉับพลันเหมือนการเจ็บท้องจะคลอดที่เกิดขึ้นกับหญิงมีครรภ์ และคนเหล่านั้นจะหนีไม่พ้น
4 แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดเพื่อว่าวันนั้นจะไม่ทำให้ท่านประหลาดใจเหมือนขโมยมา 5 พวกท่านล้วนเป็นลูกของความสว่าง เป็นลูกของกลางวัน เราไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของความมืด 6 ฉะนั้นเราอย่าเหมือนคนอื่นๆ ที่หลับใหล แต่จงตื่นตัวและควบคุมตนเอง 7 เพราะผู้ที่หลับก็หลับเวลากลางคืน ผู้ที่เมามายก็เมามายตอนกลางคืน 8 แต่เพราะเราอยู่ฝ่ายกลางวัน ให้เรารู้จักบังคับตน สวมความเชื่อและความรักเป็นเกราะกำบังอก มีความหวังใจในความรอดเป็นหมวกเหล็ก 9 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้เราเผชิญพระพิโรธ แต่ทรงให้รับความรอดโดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 10 พระองค์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อไม่ว่าเราจะอยู่หรือตายก็จะมีชีวิตกับพระองค์ 11 เหตุฉะนั้นจงให้กำลังใจกันและเสริมสร้างซึ่งกันและกันขึ้นเหมือนที่ท่านก็กำลังทำอยู่แล้ว
คำสั่งสอนตอนสุดท้าย
12 พี่น้องทั้งหลาย เราขอให้ท่านนับถือผู้ที่ทำงานหนักในหมู่พวกท่าน ผู้ที่ปกครองดูแลพวกท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้ที่ตักเตือนท่าน 13 จงรักและเคารพเขาเหล่านั้นอย่างสูงเนื่องด้วยการงานที่เขาทำ จงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข 14 พี่น้องทั้งหลาย เราขอให้ท่านตักเตือนคนที่เกียจคร้าน ให้กำลังใจผู้ที่ขลาดอาย ช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอ อดทนกับทุกคน 15 จงสอดส่องดูแลอย่าให้ใครทำชั่วตอบแทนการชั่ว แต่จงพากเพียรทำดีต่อกันและดีต่อคนอื่นๆ ทุกคนเสมอ
16 จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ 17 จงอธิษฐานอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณในทุกสถานการณ์เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์
19 อย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ 20 อย่าลบหลู่คำเผยพระวจนะ 21 จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี 22 จงหลีกห่างความชั่วทุกชนิด
23 ขอพระเจ้าเองผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านให้บริสุทธิ์หมดจด ขอให้ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่านไร้ที่ติเมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสด็จมา 24 พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นทรงสัตย์ซื่อและพระองค์จะทรงกระทำตามที่ตรัสไว้
25 พี่น้องทั้งหลาย โปรดอธิษฐานเผื่อเรา 26 จงทักทายพี่น้องทุกคนด้วยการจุมพิตอันบริสุทธิ์ 27 ข้าพเจ้าขอกำชับท่านต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าให้อ่านจดหมายนี้ให้พี่น้องทั้งปวงฟัง
28 ขอพระคุณขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
นิมิตของเนบูคัดเนสซาร์เรื่องต้นไม้ใหญ่
4 เรากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ถึงท่านทั้งหลายผู้เป็นพลเมืองทุกชาติทุกภาษาทั่วโลก ขอให้ท่านเจริญรุ่งเรือง!
2 เราเห็นควรที่จะแจ้งให้ทราบถึงหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าสูงสุดทรงกระทำเพื่อเรา
3 หมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ
การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก
ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์
ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วอายุ
4 เรา เนบูคัดเนสซาร์ อยู่ในวังอย่างผาสุกและรุ่งเรือง 5 ขณะนอนอยู่บนเตียงเราได้ฝัน ทำให้ตกใจกลัว ภาพและนิมิตต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในความคิดทำให้ตระหนกตกใจ 6 เราจึงสั่งให้นำปราชญ์ของบาบิโลนทั้งหมดมาทำนายฝันให้ 7 เมื่อบรรดานักเล่นอาคม นักเวทมนตร์ โหราจารย์[a] และหมอดูฤกษ์ยามมาแล้วเราก็แจ้งความฝันให้ฟัง แต่พวกเขาไม่สามารถแก้ฝันให้ได้ 8 แล้วดาเนียลก็มาเข้าเฝ้า เราจึงเล่าความฝันให้ฟัง (เขามีอีกชื่อหนึ่งว่า เบลเทชัสซาร์ ตามชื่อเทพเจ้าองค์หนึ่ง วิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเขา)
9 เรากล่าวว่า “เบลเทชัสซาร์ หัวหน้านักเล่นอาคมเอ๋ย เรารู้ว่าวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเจ้า และไม่มีความล้ำลึกใดๆ ยากเกินความเข้าใจของเจ้า เราฝันเช่นนี้ จงแก้ฝันให้เราเถิด 10 ขณะนอนอยู่บนเตียง เราเห็นนิมิตคือเรามองไปเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่ตรงกลางแผ่นดิน มันสูงใหญ่มาก 11 ต้นไม้นั้นเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งจนยอดสูงจรดฟ้า แม้แต่สุดโลกก็ยังมองเห็น 12 ใบของมันงามน่าดู ผลก็ดกเต็มต้น มันให้อาหารแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง บรรดาสัตว์ในท้องทุ่งมาพักพิงใต้ร่มของมัน เหล่านกในอากาศมาอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของมัน บรรดาสิ่งมีชีวิตเลี้ยงชีพด้วยผลของมัน
13 “ขณะนอนอยู่บนเตียง เราเห็นนิมิตคือ เรามองไปเห็นทูตสวรรค์[b]ผู้บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์ 14 เขาประกาศก้องว่า ‘โค่นต้นไม้ลง ลิดกิ่งออก ตัดใบทิ้งให้หมด และสลัดผลให้เกลื่อนกระจาย ไล่สัตว์ทั้งหลายออกจากใต้ร่ม และไล่นกออกจากกิ่งต่างๆ ไป 15 แต่จงทิ้งตอกับรากไว้ เอาโซ่เหล็กและโซ่ทองสัมฤทธิ์ล่ามทิ้งไว้อย่างนั้นกลางดงหญ้าในทุ่ง
“ ‘ให้กายเขาเปียกชุ่มด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ ให้เขาอาศัยอยู่กับสัตว์ท่ามกลางพืชพันธุ์ต่างๆ ของแผ่นดินโลก 16 ให้ความคิดจิตใจของเขาเปลี่ยนจากมนุษย์กลายเป็นเหมือนสัตว์จนครบเจ็ดวาระ[c]
17 “ ‘เหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์เป็นผู้แจ้งคำตัดสินนี้ เพื่อผู้มีชีวิตอยู่จะรู้ว่าพระเจ้าสูงสุดทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ตามแต่ชอบพระทัย ทรงแต่งตั้งผู้ต่ำต้อยที่สุดให้ปกครองพวกเขา’
18 “นี่เป็นความฝันของเรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ บัดนี้เบลเทชัสซาร์เอ๋ย บอกเรามาเถิดว่าฝันนี้หมายความว่าอะไร เพราะไม่มีปราชญ์คนใดในอาณาจักรของเราแก้ฝันให้เราได้ แต่เจ้าทำได้เพราะวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเจ้า”
ดาเนียลทำนายฝัน
19 แล้วดาเนียล (หรือเบลเทชัสซาร์) ก็ตกตะลึงและว้าวุ่นใจอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ความคิดของเขาทำให้เขาหวาดวิตก กษัตริย์จึงตรัสว่า “เบลเทชัสซาร์เอ๋ย อย่าให้ความฝันหรือความหมายของมันทำให้เจ้าตกใจกลัวไปเลย”
เบลเทชัสซาร์ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอให้ความฝันและความหมายของมันตกแก่ศัตรูของฝ่าพระบาทเถิด! 20 ต้นไม้ที่ฝ่าพระบาทเห็นซึ่งเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ยอดสูงจรดฟ้าจนสุดโลกยังมองเห็น 21 ซึ่งมีใบสวยงาม ให้ผลดกเป็นอาหารแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง ให้ร่มเงาแก่บรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง และมีกิ่งก้านให้เหล่านกมาอาศัยทำรัง 22 ข้าแต่กษัตริย์ ต้นไม้นั้นคือฝ่าพระบาท ทรงยิ่งใหญ่เกรียงไกร รุ่งโรจน์เทียมฟ้า และแผ่อำนาจไปถึงสุดโลก
23 “ข้าแต่กษัตริย์ ที่ฝ่าพระบาทเห็นทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์ และป่าวประกาศว่า ‘จงโค่นต้นไม้ลงและทำลายมันเสีย แต่เหลือตอไว้ ล่ามมันไว้กลางทุ่งหญ้าด้วยเหล็กและทองสัมฤทธิ์ ขณะที่รากยังหยั่งลึกอยู่ในดิน ให้เขาตากน้ำค้างและอาศัยอยู่เยี่ยงสัตว์ป่าจนครบเจ็ดวาระ’
24 “ข้าแต่กษัตริย์ นิมิตนั้นมีความหมายดังนี้ประกาศิตขององค์ผู้สูงสุดเกี่ยวกับฝ่าพระบาทคือ 25 ฝ่าพระบาทจะถูกขับไล่จากมวลมนุษย์และให้ไปใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ป่า จะกินหญ้าเหมือนวัวและตากน้ำค้างจนครบเจ็ดวาระจนกว่าฝ่าพระบาทจะเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุดทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ตามแต่ชอบพระทัย 26 พระบัญชาที่ให้เหลือตอและรากไว้หมายความว่า ฝ่าพระบาทจะได้รับอาณาจักรกลับคืนมาอีก หลังจากทรงเรียนรู้แล้วว่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์นั้นครอบครองอยู่ 27 ฉะนั้นข้าแต่กษัตริย์ ขอโปรดยอมรับคำแนะนำของข้าพระบาท ขอทรงละทิ้งบาปด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้อง และขอทรงละทิ้งความชั่วด้วยการเมตตากรุณาผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหง แล้วฝ่าพระบาทจะได้ทรงเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป”
ฝันเป็นจริง
28 เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์คือ 29 สิบสองเดือนต่อมา ขณะที่กษัตริย์ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวังของบาบิโลน 30 พระองค์ตรัสว่า “เราได้สร้างบาบิโลนอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้ขึ้นเป็นราชวังด้วยฤทธิ์อำนาจอันเกรียงไกรของเราและเพื่อเกียรติบารมีของเราไม่ใช่หรือ?”
31 กษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงดังจากฟ้าสวรรค์ว่า “กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เอ๋ย นี่คือประกาศิตสำหรับเจ้า ราชอำนาจถูกพรากไปจากเจ้าแล้ว 32 เจ้าจะถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ให้ไปอาศัยอยู่กับสัตว์ป่า ให้กินหญ้าเหมือนวัวจนครบเจ็ดวาระ ตราบจนเจ้าเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุดทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ตามแต่ชอบพระทัย”
33 ทันใดนั้นเนบูคัดเนสซาร์ก็เป็นไปตามประกาศิตของพระเจ้า พระองค์ทรงถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ และกินหญ้าเหมือนวัว กายนั้นเปียกชุ่มด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนกระทั่งผมยาวเหมือนขนนกอินทรีและมีเล็บยาวเหมือนกรงเล็บของนก
34 เมื่อครบกำหนดแล้ว เรา เนบูคัดเนสซาร์แหงนหน้าขึ้นมองดูฟ้าสวรรค์ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา เราจึงถวายสรรเสริญองค์ผู้สูงสุด เราเทิดพระเกียรติและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์
ราชอำนาจของพระองค์ดำรงนิรันดร์
ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ
35 มวลประชาชาติในโลกนี้ล้วนไร้ค่า
พระองค์ทรงมีอำนาจ
ที่จะทำต่อเหล่าทูตสวรรค์
และต่อมวลประชาชาติตามชอบพระทัยของพระองค์
ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์
หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่า “พระองค์ทำอะไรนี่?”
36 ขณะนั้นสติสัมปชัญญะของเรากลับคืนมา เกียรติและบารมีกลับคืนมาสู่เรา เพื่อสง่าราศีแห่งอาณาจักรของเรา ราชมนตรีและขุนนางทั้งหลายมาตามหาเรา ให้กลับไปครองราชบัลลังก์ดังเดิมและรุ่งเรืองยิ่งกว่าแต่ก่อน 37 บัดนี้ เราเนบูคัดเนสซาร์ขอถวายสรรเสริญและยกย่องเทิดทูนองค์กษัตริย์แห่งฟ้าสวรรค์ เพราะทุกสิ่งที่ทรงกระทำนั้นถูกต้อง และทางทั้งปวงของพระองค์ก็ยุติธรรม บรรดาผู้ดำเนินชีวิตอย่างหยิ่งยโส พระองค์สามารถกระทำให้เขาถ่อมลง
(A)(บทเพลง บทสดุดีของดาวิด)
108 ข้าแต่พระเจ้า จิตใจของข้าพระองค์แน่วแน่
ข้าพระองค์จะขับร้องและบรรเลงดนตรีด้วยสุดจิตสุดใจ
2 พิณใหญ่และพิณเขาคู่ จงบรรเลงเถิด!
ข้าพเจ้าจะปลุกรุ่งอรุณ
3 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ในหมู่ประชาชาติ
ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางชนชาติต่างๆ
4 เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ยิ่งใหญ่สูงส่งเหนือฟ้าสวรรค์
ความซื่อสัตย์ของพระองค์ถึงท้องฟ้า
5 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเป็นที่ยกย่องเทิดทูนเหนือฟ้าสวรรค์
ขอพระเกียรติสิริของพระองค์ครอบคลุมไปทั่วโลก
6 ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
เพื่อบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงรักจะรอดพ้น
7 พระเจ้าตรัสจากสถานนมัสการของพระองค์ว่า
“ในชัยชนะ เราจะแบ่งเชเคม
และกำหนดเขตหุบเขาสุคคท
8 กิเลอาดเป็นของเรา มนัสเสห์เป็นของเรา
เอฟราอิมคือหมวกเกราะของเรา
ยูดาห์คือคทาของเรา
9 โมอับเป็นอ่างชำระของเรา
เราเหวี่ยงรองเท้าของเราลงบนเอโดม
และเราจะโห่ร้องด้วยความมีชัยเหนือฟีลิสเตีย”
10 ใครจะพาข้าพระองค์ไปยังเมืองป้อมปราการ?
ใครจะนำข้าพระองค์ไปยังเอโดม?
11 พระองค์ไม่ใช่หรือ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ผู้ได้ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลาย
และไม่ทรงร่วมทัพกับเหล่าข้าพระองค์อีกต่อไป?
12 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายต่อสู้ข้าศึก
เพราะความช่วยเหลือของมนุษย์นั้นไร้ค่า
13 โดยพระเจ้าเราจะมีชัยชนะ
พระองค์จะทรงเหยียบย่ำศัตรูของเรา
(ถึงหัวหน้านักร้อง บทสดุดีของดาวิด)
109 ข้าแต่พระเจ้าผู้ที่ข้าพระองค์สรรเสริญ
ขออย่าทรงนิ่งเงียบ
2 เพราะคนชั่วและคนหลอกลวง
ได้อ้าปากต่อต้านข้าพระองค์
พวกเขาปรักปรำข้าพระองค์ด้วยวาจามุสา
3 พวกเขารุมด่าข้าพระองค์ด้วยถ้อยคำเกลียดชัง
โจมตีข้าพระองค์โดยไม่มีสาเหตุ
4 ข้าพระองค์เป็นมิตรกับเขา แต่เขากลับกล่าวหาข้าพระองค์
แม้ข้าพระองค์กำลังอธิษฐานเพื่อพวกเขา
5 พวกเขาตอบแทนความดีของข้าพระองค์ด้วยความชั่ว
ตอบแทนมิตรภาพด้วยความเกลียดชัง
6 ขอทรงตั้ง[a]คนชั่ว[b]ให้ต่อต้านเขา
ขอให้ผู้กล่าวโทษ[c]ยืนอยู่ข้างขวาเขา
7 เมื่อถูกไต่สวน ขอให้เขาถูกตัดสินว่าผิดจริง
ขอให้คำอธิษฐานของเขามัดตัวเขา
8 ขอให้เขาอายุสั้น
ให้คนอื่นขึ้นมาเป็นผู้นำแทนตำแหน่ง
ของเขา
9 ขอให้ลูกๆ ของเขากำพร้าพ่อ
และภรรยาของเขาเป็นม่าย
10 ขอให้ลูกหลานของเขาเร่ร่อนขอทาน
ขอให้พวกเขาถูกขับไล่ออกจาก[d]ที่อาศัยอันปรักหักพัง
11 ขอให้เจ้าหนี้ยึดของทุกอย่างที่เขามี
ขอให้คนต่างถิ่นมาปล้นชิงสิ่งที่เขาลงแรงหามา
12 ขออย่าให้ใครเมตตากรุณาเขา
หรือสงสารลูกกำพร้าพ่อของเขา
13 ขอให้วงศ์วานของเขาถูกตัดขาด
ให้เขาสิ้นชื่อภายในชั่วอายุถัดไป
14 ขอให้ความชั่วช้าของบรรพบุรุษของเขาเป็นที่ระลึกอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอให้บาปของมารดาเขาไม่มีวันลบเลือนไป
15 ขอให้บาปเหล่านั้นอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ
เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้เขาถูกลืมไปจากโลก
16 เพราะเขาไม่เคยคิดที่จะเมตตากรุณาใคร
แต่เข่นฆ่าคนยากไร้
คนขัดสนและคนชอกช้ำ
17 เขารักที่จะแช่งด่า
ขอให้คำแช่งด่า[e]ตกอยู่กับเขา
เขาไม่นิยมชมชอบการให้พร
ขอให้พร[f]ห่างไกลจากเขา
18 เขาแช่งด่าจนติดนิสัยเหมือนเสื้อผ้าติดกาย
มันซึมเข้าไปในตัวเขาเหมือนน้ำ
ซึมเข้าไปในกระดูกเหมือนน้ำมัน
19 ขอให้การแช่งด่าเป็นดั่งเสื้อคลุมห่อตัวเขา
เป็นดั่งเข็มขัดรัดรอบเขาไว้ตลอดไป
20 ขอให้ทั้งหมดนี้เป็นการตอบแทนจากองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อบรรดาผู้กล่าวหาข้าพระองค์
ที่มีต่อบรรดาผู้ที่ใส่ร้ายข้าพระองค์
21 ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต
ขอทรงดีต่อข้าพระองค์เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์
ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ด้วยความรักอันประเสริฐของพระองค์
22 เพราะข้าพระองค์ยากจนและขัดสน
จิตใจของข้าพระองค์ร้าวระบมอยู่ภายใน
23 ข้าพระองค์โรยราไปดั่งเงาสนธยา
ข้าพระองค์ถูกสลัดทิ้งเหมือนตั๊กแตน
24 เข่าของข้าพระองค์อ่อนล้าเพราะอดอาหาร
ร่างกายผ่ายผอมซูบซีด
25 ข้าพระองค์ตกเป็นขี้ปากของผู้ที่กล่าวหาข้าพระองค์
เมื่อพวกเขาเห็นข้าพระองค์ก็ส่ายหน้า
26 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด
ช่วยข้าพระองค์ให้รอดตามความรักมั่นคงของพระองค์
27 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ให้พวกเขารู้ว่า นี่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์
ให้รู้ว่าพระองค์เองเป็นผู้กระทำการนี้
28 พวกเขาอาจจะแช่งด่า แต่พระองค์จะทรงอวยพร
เมื่อพวกเขาโจมตี พวกเขาจะถูกทำให้อับอายขายหน้า
แต่ผู้รับใช้ของพระองค์จะชื่นชมยินดี
29 ขอให้บรรดาผู้กล่าวหาข้าพระองค์สวมความอัปยศอดสู
และคลุมด้วยความอับอายขายหน้าดั่งเสื้อคลุม
30 ปากของข้าพเจ้าจะยกย่องเทิดทูนองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างใหญ่หลวง
ท่ามกลางมหาชนข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์
31 เพราะว่าพระองค์ทรงอยู่เบื้องขวาคนขัดสน
เพื่อช่วยชีวิตเขาให้พ้นจากผู้ที่ตัดสินว่าเขาผิด
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.