M’Cheyne Bible Reading Plan
ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตน
10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงกลับไปพบฟาโรห์อีก เพราะเราทำให้เขากับข้าราชการใจแข็งกระด้าง เพื่อเราจะแสดงหมายสำคัญของเราท่ามกลางพวกเขา 2 เพื่อเจ้าจะได้เล่าให้ลูกหลานฟังถึงการที่เราจัดการกับชาวอียิปต์อย่างหนักหน่วง และเราได้แสดงหมายสำคัญของเราท่ามกลางพวกเขาแล้ว พวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์”
3 ดังนั้นโมเสสกับอาโรนจึงไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และทูลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของชนฮีบรูตรัสว่า ‘เจ้าจะไม่ยอมถ่อมตัวลงต่อหน้าเราอีกนานเท่าใด? จงปล่อยประชากรของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา 4 หากเจ้าไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป เราจะนำตั๊กแตนมาสู่ประเทศของเจ้าในวันพรุ่งนี้ 5 ตั๊กแตนจะแห่มามืดฟ้ามัวดินและกัดกินพืชพันธุ์ทุกอย่างที่เหลือรอดจากลูกเห็บ รวมทั้งต้นไม้ทุกต้นในเรือกสวนไร่นาของเจ้า 6 ตั๊กแตนจะเข้ามาเต็มพระราชวัง เต็มบ้านของข้าราชการทุกคนและทุกบ้านในอียิปต์ นี่คือสิ่งที่บรรพบุรุษของเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่พวกเขาตั้งรกรากในแผ่นดินนี้’ ” แล้วโมเสสก็ไปจากฟาโรห์
7 บรรดาข้าราชการทูลฟาโรห์ว่า “ชายคนนี้จะเป็นบ่วงดักเราไปนานเท่าใด? ขอทรงปล่อยชนชาตินี้ไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาเถิด ฝ่าพระบาทยังไม่ทรงตระหนักหรือว่าอียิปต์พินาศแล้ว?”
8 โมเสสและอาโรนจึงถูกนำตัวมาเข้าเฝ้าฟาโรห์อีก ฟาโรห์ตรัสว่า “ไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าเถิด แต่จะมีใครไปบ้าง?”
9 โมเสสทูลตอบว่า “พวกข้าพระบาทจะไปกันทั้งหมด ทั้งคนหนุ่มคนแก่ บุตรชายบุตรสาว และฝูงสัตว์ เพราะพวกเราจะไปเลี้ยงฉลองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า”
10 ฟาโรห์ตรัสว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่กับเจ้าเถิด หากเราปล่อยเจ้าไปพร้อมกับผู้หญิงและเด็กๆ! เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีแผนการร้าย[a] 11 ไม่ได้! ให้เฉพาะพวกผู้ชายไปนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าขอไว้” แล้วโมเสสกับอาโรนก็ถูกไล่ออกไปให้พ้นพระพักตร์ฟาโรห์
12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือขึ้นเหนืออียิปต์เพื่อฝูงตั๊กแตนจะได้มาปกคลุมทั่วดินแดนและกัดกินพืชพันธุ์ทุกอย่างในท้องทุ่งที่เหลือจากการทำลายล้างของลูกเห็บ”
13 โมเสสจึงชูไม้เท้าขึ้นเหนืออียิปต์ และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดผ่านทั่วแผ่นดินตลอดวันตลอดคืน รุ่งเช้าลมก็หอบเอาตั๊กแตนมา 14 ฝูงตั๊กแตนปกคลุมทั่วดินแดนอียิปต์จำนวนมากมายมหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะไม่มีเหมือนครั้งนั้นอีกเลย 15 ฝูงตั๊กแตนปกคลุมแผ่นดินจนดูมืดทึบ มันกัดกินทุกสิ่งที่เหลือจากพายุลูกเห็บ คือพืชพันธุ์ทั้งสิ้นในท้องทุ่งและผลไม้ต่างๆ ไม่มีพืชสีเขียวหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าต้นไม้หรือใบหญ้าทั่วดินแดนอียิปต์
16 ฟาโรห์จึงมีรับสั่งด่วนเรียกโมเสสกับอาโรนมาเข้าเฝ้าและตรัสว่า “เราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าและต่อเจ้า 17 บัดนี้ขอยกโทษบาปให้เราอีกสักครั้งและช่วยทูลวิงวอนพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าให้ขจัดมรณภัยนี้ไปจากเราเถิด”
18 โมเสสจึงทูลลาฟาโรห์ไป แล้วอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า 19 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนทิศทางลมให้เป็นลมตะวันตกที่พัดแรงมาก หอบเอาฝูงตั๊กแตนไปทิ้งในทะเลแดง[b]จนไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียวในอียิปต์ 20 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ฟาโรห์มีพระทัยแข็งกระด้างและไม่ยอมปล่อยชนอิสราเอลไป
ภัยพิบัติจากความมืด
21 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อให้ความมืดมิดจนรู้สึกได้มาครอบคลุมทั่วอียิปต์” 22 ดังนั้นโมเสสก็เหยียดมือขึ้นสู่ท้องฟ้า จึงมีแต่ความมืดสนิทปกคลุมทั่วอียิปต์ตลอดสามวัน 23 ช่วงสามวันนี้ไม่มีใครมองเห็นกันหรือขยับลุกจากที่ แต่คนอิสราเอลมีแสงสว่างในที่พักของเขา
24 แล้วฟาโรห์จึงรับสั่งเรียกโมเสสมาเข้าเฝ้าและตรัสว่า “จงไปนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเอาพวกผู้หญิงและเด็กไปด้วยก็ได้ แต่ฝูงสัตว์ทั้งหลายจงละไว้ที่นี่”
25 แต่โมเสสทูลว่า “ฝ่าพระบาทจะต้องอนุญาตให้พวกข้าพระบาทเอาฝูงสัตว์ไปเป็นของถวายและเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระบาททั้งหลายด้วย 26 ฝูงสัตว์ของข้าพระบาททั้งหลายจะต้องไปด้วย จะไม่มีสัตว์เหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว เพราะข้าพระบาททั้งหลายจำเป็นต้องใช้สัตว์เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเหล่าข้าพระบาท และยังไม่ทราบว่าจะใช้สัตว์ชนิดใดถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพวกข้าพระบาทจะไปถึงที่นั่น”
27 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ฟาโรห์มีพระทัยแข็งกระด้าง ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป 28 ฟาโรห์ตรัสกับโมเสสว่า “ไปให้พ้น! อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีก! วันที่เจ้าเห็นหน้าเรา เจ้าจะต้องตายแน่”
29 โมเสสทูลว่า “แน่นอน ข้าพระบาทจะไม่มาเข้าเฝ้าฝ่าพระบาทอีกเลย”
จงกลับใจใหม่ มิฉะนั้นจะพินาศ
13 ขณะนั้นมีบางคนทูลพระเยซูเรื่องชาวกาลิลีกลุ่มหนึ่งซึ่งปีลาตเอาเลือดของพวกเขาผสมกับเครื่องบูชาของพวกเขา 2 พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านั้นเป็นคนบาปยิ่งกว่าชาวกาลิลีคนอื่นๆ เพราะเขาเผชิญทุกข์ภัยเช่นนี้หรือ? 3 เราบอกท่านว่า ไม่ใช่! แต่หากพวกท่านไม่กลับใจใหม่ พวกท่านก็จะพินาศเช่นกัน 4 หรืออย่างสิบแปดคนนั้นที่ถูกหอสิโลอัมพังลงมาทับตาย ท่านคิดว่าเขามีความผิดมากกว่าคนอื่นๆ ทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ? 5 เราบอกท่านว่า ไม่ใช่! แต่หากท่านไม่กลับใจใหม่ พวกท่านก็จะพินาศเช่นกัน”
6 จากนั้นพระองค์ตรัสคำอุปมาดังนี้ “ชายคนหนึ่งปลูกมะเดื่อต้นหนึ่งไว้ในสวนองุ่น เขาไปหาดูผลแต่ไม่พบ 7 เขาจึงบอกคนดูแลสวนองุ่นว่า ‘เรามาหาผลจากต้นมะเดื่อนี้สามปีแล้ว แต่ไม่เคยพบเลย จงโค่นมันทิ้ง! จะปลูกมันให้ดินจืดไปทำไม?’
8 “แต่คนดูแลสวนตอบว่า ‘นายเจ้าข้า ขอปล่อยมันไว้อีกปีหนึ่ง ข้าพเจ้าจะพรวนดินใส่ปุ๋ย 9 ถ้าปีหน้าให้ผลก็ดีอยู่! แต่ถ้าไม่มีผลก็จะโค่นมันลง’ ”
หญิงหลังโกงหายโรคในวันสะบาโต
10 ในวันสะบาโตหนึ่ง ขณะพระเยซูทรงสั่งสอนอยู่ในธรรมศาลา 11 ที่นั่นมีหญิงคนหนึ่งถูกผีสิงมาสิบแปดปี หลังโกงยืดตัวตรงไม่ได้เลย 12 เมื่อพระเยซูทรงเห็นนางก็ทรงเรียกนางออกมาข้างหน้าและตรัสว่า “หญิงเอ๋ย ท่านหายจากความพิการนี้แล้ว” 13 จากนั้นพระองค์ทรงวางพระหัตถ์ทั้งสองบนนาง ทันใดนั้นนางก็ยืดตัวตรงและสรรเสริญพระเจ้า
14 นายธรรมศาลาไม่พอใจที่พระเยซูทรงรักษาโรคในวันสะบาโตจึงกล่าวกับประชาชนว่า “มีหกวันให้ทำงาน ดังนั้นจงมารับการรักษาในวันเหล่านั้นสิ ไม่ใช่ในวันสะบาโตอย่างนี้”
15 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าแต่ละคนก็ปล่อยวัวหรือลาของเจ้าจากคอกและพามันออกไปกินน้ำในวันสะบาโตไม่ใช่หรือ? 16 ก็แล้วหญิงคนนี้ผู้เป็นลูกหลานของอับราฮัมถูกซาตานผูกมัดมาตลอดสิบแปดปี ไม่ควรหรือที่จะปลดปล่อยนางให้เป็นอิสระในวันสะบาโต?”
17 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ก็ทำให้ปฏิปักษ์ทั้งปวงของพระองค์อับอายขายหน้า แต่ประชาชนยินดีกับสิ่งอัศจรรย์ทั้งปวงที่ทรงกระทำ
คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดและเชื้อขนม(A)
18 แล้วพระเยซูตรัสถามว่า “อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนอะไร? เราจะเปรียบเทียบกับอะไรดี? 19 ก็เหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีคนเอาไปเพาะในสวนของตน มันเติบโตขึ้นเป็นต้นให้นกในอากาศมาเกาะที่กิ่ง”
20 พระองค์ตรัสถามอีกครั้งว่า “เราจะเปรียบอาณาจักรของพระเจ้ากับอะไรดี? 21 ก็เป็นเหมือนเชื้อขนมซึ่งผู้หญิงเอาไปผสมในแป้งกองใหญ่[a] จนแป้งทั้งก้อนฟูขึ้น”
ประตูแคบ
22 จากนั้นพระเยซูเสด็จไปสั่งสอนทั่วหมู่บ้านและเมืองต่างๆ ขณะทรงมุ่งหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 23 บางคนทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรอดหรือ?”
พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า 24 “จงพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าไปทางประตูแคบ เพราะเราบอกท่านว่า คนเป็นอันมากจะพยายามเข้าไป แต่เข้าไม่ได้ 25 เมื่อเจ้าของบ้านตื่นและปิดประตูแล้ว ท่านจะยืนเคาะประตูอยู่ข้างนอกและอ้อนวอนว่า ‘นายเจ้าข้า ขอเปิดประตูให้เราด้วย’
“แต่เขาจะตอบว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า และไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน’
26 “เมื่อนั้นท่านจะกล่าวว่า ‘เราเคยกินดื่มกับท่าน และท่านมาสั่งสอนที่ถนนของพวกเรา’
27 “แต่เขาจะตอบว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า และไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน จงไปให้พ้น เจ้าคนทำชั่วทั้งปวง!’
28 “ที่นั่นจะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อท่านเห็นอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ กับผู้เผยพระวจนะทั้งปวงในอาณาจักรของพระเจ้า แต่ตัวท่านเองถูกโยนออกมา 29 ผู้คนจากทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตก จะเข้ามาประจำที่ของตนที่งานฉลองในอาณาจักรของพระเจ้า 30 อันที่จริงบรรดาผู้ที่เป็นคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย”
พระเยซูทรงสงสารกรุงเยรูซาเล็ม(B)
31 ครั้งนั้นพวกฟาริสีบางคนมาทูลพระเยซูว่า “ท่านจงออกจากที่นี่ไปที่อื่นเถิด เฮโรดต้องการจะฆ่าท่าน”
32 พระองค์ตรัสว่า “ไปบอกเจ้าสุนัขจิ้งจอกนั้นว่า ‘เราจะขับผีและรักษาโรคให้ผู้คนในวันนี้และวันพรุ่งนี้ และในวันที่สามเราจะบรรลุเป้าหมายของเรา’ 33 อย่างไรก็ตามเราต้องดำเนินต่อไปใน วันนี้ วันพรุ่งนี้ และวันถัดไป เพราะย่อมไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดตายนอกกรุงเยรูซาเล็ม!
34 “โอ เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าผู้เข่นฆ่าเหล่าผู้เผยพระวจนะและเอาหินขว้างบรรดาผู้ที่ทรงส่งมาหาเจ้า เราปรารถนาอยู่เนืองๆ ที่จะรวบรวมลูกๆ ของเจ้ามาเหมือนแม่ไก่ที่กกลูกๆ ไว้ใต้ปีก แต่เจ้าไม่ยอมเลย! 35 ดูเถิด นิเวศของเจ้าถูกทิ้งร้าง เราบอกเจ้าว่า เจ้าจะไม่ได้เห็นเราอีกจนกว่าเจ้าจะพูดว่า ‘สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า’[b]”
28 “มีเหมืองเงิน
และแหล่งถลุงทองคำ
2 แร่เหล็กได้มาจากพื้นดิน
และทองแดงถลุงมาจากสินแร่
3 มนุษย์ไล่ความมืดออกไป
ค้นหาแหล่งแร่ที่ลึกลับที่สุด
ในความมืดทึบ
4 เขาขุดปล่องในที่ห่างไกลจากถิ่นที่ผู้คนอาศัย
ในที่ซึ่งเท้าของมนุษย์ไม่ได้เหยียบย่างเข้าไป
เขาไต่เชือกและแกว่งตัวไปมาในที่ห่างไกลจากผู้คน
5 แผ่นดินโลกเป็นแหล่งอาหาร
แต่เบื้องล่างหลอมตัวราวกับถูกไฟเผา
6 แก้วไพฑูรย์มาจากหินของมัน
และที่นั่นก็มีผงทองคำ
7 ไม่มีนกล่าเหยื่อตัวใดรู้เส้นทางที่ซ่อนอยู่นั้น
ไม่มีตาของเหยี่ยวตัวใดสังเกตเห็น
8 สัตว์ป่าที่สง่างามไม่ย่างกรายไปที่นั่น
ไม่มีราชสีห์ตัวใดผ่านไปที่นั่น
9 มือมนุษย์ทำลายหินที่แข็งแกร่ง
และทลายภูเขาลงถึงราก
10 เขาขุดอุโมงค์ทะลุหินผา
และตาของเขามองเห็นของมีค่าในนั้น
11 เขาเสาะหา[a]ต้นน้ำลำธาร
และนำสิ่งที่ซ่อนเร้นมาสู่ความสว่าง
12 “แต่จะพบสติปัญญาได้จากที่ไหน?
ความเข้าใจอยู่ที่ไหน?
13 มนุษย์ไม่เข้าใจถึงคุณค่าของสติปัญญา
หาไม่พบในดินแดนของผู้มีชีวิต
14 ห้วงลึกกล่าวว่า ‘มันไม่ได้อยู่ในนี้’
ทะเลกล่าวว่า ‘มันไม่ได้อยู่ที่นี่’
15 เราไม่สามารถซื้อปัญญาด้วยทองเนื้อดีที่สุด
หรือตีราคาเป็นเงิน
16 หรือแลกซื้อด้วยทองคำแห่งเมืองโอฟีร์
หรือด้วยโกเมนล้ำค่าหรือไพฑูรย์
17 ไม่ว่าทองคำหรือแก้วมณีก็ไม่อาจเทียบปัญญาได้
อีกทั้งเพชรพลอยหรือเครื่องทองก็ไม่อาจแลกได้
18 หินปะการังและแก้วผลึกยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
ค่าของสติปัญญาสูงกว่าทับทิม
19 บุษราคัมแห่งเอธิโอเปียไม่อาจเทียบเคียง
แม้แต่ทองคำบริสุทธิ์ก็ไม่อาจแลกซื้อได้
20 “ถ้าเช่นนั้นสติปัญญามาจากที่ไหน?
ความเข้าใจอยู่ที่ไหน?
21 มันถูกซ่อนจากสายตาของทุกชีวิต
และถูกปิดบังไว้จากนกในอากาศ
22 หายนะและความตายกล่าวว่า
‘เราเพียงแต่ได้ยินข่าวเล่าลือมา’
23 พระเจ้าทรงเข้าใจหนทางสู่สติปัญญา
และพระองค์เพียงผู้เดียวทรงทราบว่ามันอยู่ที่ไหน
24 เพราะพระองค์ทรงแลเห็นถึงสุดปลายแผ่นดินโลก
เห็นทุกสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์
25 เมื่อพระเจ้าทรงกำหนดแรงลม
และชั่งตวงห้วงน้ำ
26 เมื่อทรงตั้งกฎเกณฑ์ของสายฝน
และจัดทางให้แก่พายุฟ้าคำรน
27 แล้วพระองค์ทรงทอดพระเนตรสติปัญญาและทรงประเมินค่า
พระองค์ทรงยืนยันและทดสอบ
28 และพระองค์ตรัสแก่มนุษย์ว่า
‘ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าคือสติปัญญา
การหลีกหนีจากความชั่วคือความเข้าใจ’ ”
ของประทานในการเผยพระวจนะและการพูดภาษาแปลกๆ
14 จงดำเนินในวิถีแห่งความรักและใฝ่หาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณอย่างกระตือรือร้น โดยเฉพาะการเผยพระวจนะ 2 เพราะผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ[a]ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า อันที่จริงไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลย เขากล่าวข้อล้ำลึกด้วยจิตวิญญาณของเขา[b] 3 แต่ทุกคนที่เผยพระวจนะนั้นกล่าวแก่คนทั้งหลายเพื่อทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้กำลังใจและเพื่อปลอบโยน 4 ผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ เสริมสร้างตัวเอง ส่วนผู้ที่เผยพระวจนะเสริมสร้างคริสตจักร 5 ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทุกคนพูดภาษาแปลกๆ[c] ได้ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าอยากให้ท่านเผยพระวจนะได้ ผู้ที่เผยพระวจนะนั้นยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ เว้นแต่เขาแปลภาษานั้นๆ ได้เพื่อคริสตจักรจะได้รับเสริมสร้าง
6 พี่น้องทั้งหลาย หากข้าพเจ้ามาหาท่านพร้อมกับพูดภาษาแปลกๆ ข้าพเจ้าจะอำนวยประโยชน์อันใดแก่ท่าน? นอกจากว่าข้าพเจ้าจะนำการทรงสำแดง หรือความรู้ หรือการเผยพระวจนะ หรือถ้อยคำสั่งสอนมาให้ 7 แม้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็เปล่งเสียงได้ ตัวอย่างเช่นขลุ่ยหรือพิณ ใครจะรู้ว่าเขากำลังบรรเลงทำนองอะไรหากไม่เล่นตามโน้ตให้ชัดเจน? 8 และถ้าแตรศึกเป่าเรียกไม่ชัดเจนใครจะเตรียมพร้อมออกรบ? 9 ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน หากท่านพูดด้วยถ้อยคำที่คนไม่เข้าใจ ใครจะรู้ว่าท่านกำลังพูดอะไร? ท่านก็ได้แต่พูดลมๆ แล้งๆ 10 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในโลกย่อมมีภาษาสารพัดแบบ แต่ไม่มีภาษาไหนที่ปราศจากความหมาย 11 หากข้าพเจ้าจับใจความที่เขาพูดอยู่ไม่ได้ ข้าพเจ้ากับผู้พูดก็เป็นคนต่างภาษากัน 12 ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน ในเมื่อท่านใฝ่หาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ ก็จงพยายามที่จะเป็นเลิศในของประทานซึ่งเสริมสร้างคริสตจักร
13 ด้วยเหตุนี้ผู้ใดพูดภาษาแปลกๆ ได้ ควรอธิษฐานขอให้เขาแปลสิ่งที่เขาพูดได้ด้วย 14 เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าอธิษฐาน แต่ไม่มีผลต่อความคิดของข้าพเจ้า 15 ฉะนั้นข้าพเจ้าควรทำอย่างไร? ข้าพเจ้าจะอธิษฐานด้วยจิตวิญญาณ แต่ข้าพเจ้าก็จะอธิษฐานด้วยความคิดเช่นกัน ข้าพเจ้าจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณ แต่ข้าพเจ้าก็จะร้องเพลงด้วยความคิดเช่นกัน 16 ถ้าท่านสรรเสริญพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณของท่าน คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ[d]จะกล่าว “อาเมน” ขานรับการขอบพระคุณของท่านได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร? 17 ท่านอาจจะขอบพระคุณได้อย่างดีเยี่ยม แต่ไม่ได้เสริมสร้างคนอื่น
18 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ มากกว่าพวกท่านทั้งหมด 19 แต่ในคริสตจักรข้าพเจ้าขอพูดสักห้าคำที่คนฟังเข้าใจได้เพื่อสอนคนอื่น ดีกว่าพูดหมื่นคำเป็นภาษาแปลกๆ
20 พี่น้องทั้งหลาย เลิกคิดแบบเด็กๆ เสียเถิด ในเรื่องความชั่วจงเป็นทารก แต่ในด้านความคิดจงเป็นผู้ใหญ่ 21 ตามที่มีเขียนไว้ในบทบัญญัติว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“เราจะพูดกับชนชาตินี้ผ่านทางคนต่างภาษา
ผ่านริมฝีปากของคนต่างชาติ
แต่กระนั้นเขาก็ยังจะไม่ฟังเรา”[e]
22 ฉะนั้นการพูดภาษาแปลกๆ จึงเป็นหมายสำคัญไม่ใช่สำหรับผู้เชื่อ แต่สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ แต่การเผยพระวจนะนั้นสำหรับผู้เชื่อ ไม่ใช่ผู้ที่ไม่เชื่อ 23 ด้วยเหตุนี้หากทั้งคริสตจักรมาประชุมกันและทุกคนพูดภาษาแปลกๆ แล้วคนที่ไม่เข้าใจ[f] หรือผู้ที่ไม่เชื่อเข้ามา จะไม่หาว่าท่านเสียสติไปหรือ? 24 แต่ถ้าหากผู้ที่ไม่เชื่อหรือคนที่ไม่เข้าใจเข้ามาขณะที่ทุกคนกำลังเผยพระวจนะ ทั้งหมดนี้ก็จะทำให้เขาสำนึกว่าเขาเป็นคนบาปและทั้งหมดนี้จะพิพากษาเขา 25 และความลับต่างๆ ในใจเขาจะถูกตีแผ่ ดังนั้นเขาจะกราบลงนมัสการพระเจ้าและร้องว่า “พระเจ้าสถิตท่ามกลางพวกท่านจริงๆ!”
การนมัสการอย่างมีระเบียบ
26 พี่น้องทั้งหลาย แล้วเราจะว่าอย่างไรดี? เมื่อพวกท่านมาประชุมกัน ทุกคนมีเพลงสดุดี หรือคำสั่งสอน การทรงสำแดง ภาษาแปลกๆ หรือการแปลภาษาแปลกๆ ทั้งหมดนี้ต้องทำเพื่อให้คริสตจักรเข้มแข็งขึ้น 27 หากใครจะพูดภาษาแปลกๆ จงพูดแค่สองคนหรืออย่างมากที่สุดสามคน โดยพูดทีละคนและต้องมีคนแปลความ 28 หากไม่มีคนแปล ผู้พูดควรอยู่เงียบๆ ในคริสตจักร พูดกับตัวเองและทูลต่อพระเจ้า
29 ส่วนผู้เผยพระวจนะควรพูดสักสองหรือสามคน และให้คนอื่นๆ ไตร่ตรองสิ่งที่เขาพูดให้ดี 30 หากมีการทรงสำแดงแก่บางคนที่นั่งอยู่ ให้ผู้พูดคนแรกนิ่งก่อน 31 เพราะว่าพวกท่านทั้งหมดจะได้เผยพระวจนะทีละคน เพื่อให้ทุกคนได้รับคำสอนและคำให้กำลังใจ 32 จิตวิญญาณของผู้เผยพระวจนะย่อมอยู่ในบังคับของผู้เผยพระวจนะ 33 เพราะพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความสงบสุข
ตามที่ปฏิบัติกันในที่ประชุมทั้งปวงของประชากรของพระเจ้า 34 ผู้หญิงควรนิ่งเสียในคริสตจักร ไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ต้องนอบน้อมยอมจำนนตามที่บทบัญญัติระบุ 35 ถ้าอยากถามเรื่องใด ควรถามสามีที่บ้าน เป็นเรื่องน่าอายที่ผู้หญิงจะพูดขึ้นมาในคริสตจักร
36 พระวจนะของพระเจ้าเกิดมาจากพวกท่านหรือ? พระวจนะมีมาถึงท่านพวกเดียวหรือ? 37 ถ้าใครคิดว่าตนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือมีของประทานฝ่ายจิตวิญญาณก็ให้เขายอมรับว่าข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนี้เป็นพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า 38 ถ้าเขาละเลยเรื่องนี้ ตัวเขาเองจะถูกละเลย[g]
39 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า จงกระตือรือร้นในการเผยพระวจนะ และอย่าห้ามการพูดภาษาแปลกๆ เลย 40 แต่ควรทำทุกสิ่งอย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบ
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.