Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
อพยพ 6

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “บัดนี้เจ้าจะได้เห็นสิ่งที่เราจะทำแก่ฟาโรห์ เขาจะปล่อยประชากรของเราไปเพราะมืออันทรงฤทธิ์ของเรา และเขาจะขับไล่คนของเราออกจากประเทศของเขาเพราะมืออันทรงฤทธิ์ของเรา”

พระเจ้าตรัสกับโมเสสด้วยว่า “เราคือพระยาห์เวห์ เราปรากฏแก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบในฐานะพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ แต่เราไม่ได้สำแดงตัวเราเองให้เขารู้จักเราในนามพระยาห์เวห์[a][b] เรายังได้ทำพันธสัญญาอันมั่นคงกับพวกเขาว่า เราจะยกดินแดนคานาอันซึ่งพวกเขาเคยอาศัยอยู่ในฐานะคนต่างด้าวนั้นให้แก่พวกเขา ยิ่งกว่านั้นเราได้ยินเสียงคร่ำครวญจากชนอิสราเอลซึ่งตกเป็นทาสของชาวอียิปต์ และเราระลึกถึงพันธสัญญาของเรา

“ฉะนั้นจงไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า ‘เราคือพระยาห์เวห์ เราจะปลดปล่อยพวกเจ้าให้พ้นจากแอกของชาวอียิปต์ ให้พ้นจากการเป็นทาสของพวกเขา เราจะไถ่พวกเจ้าด้วยแขนที่เหยียดออกและด้วยการพิพากษาลงโทษอย่างหนัก เราจะรับพวกเจ้าเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าผู้นำพวกเจ้าให้พ้นจากแอกของชาวอียิปต์ เราจะนำพวกเจ้าไปยังดินแดนซึ่งเราได้ยกมือสาบานไว้ว่าจะยกให้แก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เราจะยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า เราคือพระยาห์เวห์’ ”

โมเสสจึงนำความนี้ไปแจ้งแก่ชนอิสราเอล แต่พวกเขาไม่ฟัง เพราะหมดอาลัยตายอยากและทนการใช้แรงงานทาสอย่างทารุณแทบไม่ไหว

10 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 11 “จงไปบอกฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ให้ปล่อยชนอิสราเอลออกจากประเทศของเขา”

12 แต่โมเสสทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ถ้าแม้แต่ชนอิสราเอลยังไม่ฟังข้าพระองค์ แล้วฟาโรห์จะฟังหรือ ในเมื่อข้าพระองค์พูดไม่เก่ง[c]?”

พงศ์พันธุ์ของโมเสสและอาโรน

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนเกี่ยวกับชนอิสราเอลและฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และพระองค์ทรงบัญชาให้เขาทั้งสองนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์

14 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อหัวหน้าครอบครัว[d]ต่างๆ ของพวกเขา

รูเบนบุตรชายหัวปีของอิสราเอลมีบุตรชายชื่อ ฮาโนค ปัลลู เฮสโรน และคารมี คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลรูเบน

15 สิเมโอนมีบุตรชายชื่อ เยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน โศหาร์ และชาอูล ซึ่งมารดาเป็นหญิงชาวคานาอัน คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลสิเมโอน

16 ต่อไปนี้คือรายชื่อบุตรชายของเลวีตามลำดับวงศ์ของเขาได้แก่ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี เลวีมีอายุได้ 137 ปี

17 บุตรของเกอร์โชนตามตระกูลได้แก่ ลิบนีและชิเมอี

18 บุตรของโคฮาทได้แก่ อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล โคฮาทมีอายุได้ 133 ปี

19 บุตรของเมรารีได้แก่ มาห์ลีและมูชี

ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นตระกูลของเลวีตามบันทึกวงศ์ของเขา

20 อัมรามแต่งงานกับโยเคเบดน้องสาวของบิดา มีบุตรชายชื่ออาโรนกับโมเสส อัมรามมีอายุได้ 137 ปี

21 บุตรของอิสฮาร์ได้แก่ โคราห์ เนเฟก และศิครี

22 บุตรของอุสซีเอลได้แก่ มิชาเอล เอลซาฟาน และสิธรี

23 อาโรนแต่งงานกับเอลีเชบาบุตรสาวของอัมมีนาดับและเป็นน้องสาวของนาห์โชน มีบุตรด้วยกันคือ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์

24 บุตรของโคราห์ได้แก่ อัสสีร์ เอลคานาห์ และอาบียาสาฟ คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลโคราห์

25 เอเลอาซาร์บุตรอาโรนแต่งงานกับบุตรสาวคนหนึ่งของปูทิเอล มีบุตรด้วยกันคนหนึ่งชื่อ ฟีเนหัส

ที่กล่าวมาแล้วล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัวเลวีตามตระกูลของเขา

26 อาโรนและโมเสสนี้เองที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงนำประชากรอิสราเอลออกจากดินแดนอียิปต์ตามหมู่เหล่าของเขา” 27 และทั้งสองคนนี้เป็นผู้ที่ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์เพื่อขออนุญาตนำชนอิสราเอลออกจากอียิปต์

อาโรนกล่าวแทนโมเสส

28 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสในอียิปต์ 29 พระองค์ตรัสว่า “เราคือพระยาห์เวห์ จงไปบอกฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ทุกสิ่งตามที่เราได้บอกเจ้าแล้ว”

30 แต่โมเสสกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ในเมื่อข้าพระองค์พูดไม่เก่ง เหตุใดฟาโรห์จึงต้องฟังข้าพระองค์?”

ลูกา 9

พระเยซูทรงส่งสาวกสิบสองคนออกไป(A)

พระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนมาพร้อมกัน พระองค์ประทานฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจที่จะขับไล่ผีทั้งปวงและรักษาโรคต่างๆ ให้แก่พวกเขา และพระองค์ทรงส่งพวกเขาออกไปประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าและรักษาคนเจ็บคนป่วย พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “ไม่ต้องนำสิ่งใดติดตัวไปในการเดินทางไม่ว่าจะเป็นไม้เท้า ย่าม อาหาร เงิน หรือเสื้ออีกตัวหนึ่ง เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงพักที่บ้านนั้นจนกว่าจะออกจากเมืองนั้น หากผู้คนไม่ต้อนรับท่าน เมื่อออกจากเมืองนั้นจงสะบัดฝุ่นออกจากเท้าเพื่อเป็นพยานกล่าวโทษเขา” เหล่าสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อประกาศข่าวประเสริฐและรักษาผู้คนทุกหนทุกแห่ง

ฝ่ายเฮโรดผู้ครองแคว้นได้ยินเรื่องราวทั้งปวงที่เกิดขึ้นก็สับสนว้าวุ่นเพราะบางคนก็พูดกันว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นขึ้นจากตาย บางคนก็พูดว่าเอลียาห์มาปรากฏตัว ทั้งยังมีคนอื่นๆ ที่บอกว่าผู้เผยพระวจนะสมัยก่อนคนหนึ่งได้เป็นขึ้นจากตาย แต่เฮโรดกล่าวว่า “เราตัดศีรษะยอห์นไปแล้ว แล้วคนที่เราได้ยินกิตติศัพท์นี่เป็นใครกัน?” เฮโรดจึงพยายามที่จะพบพระองค์

พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน(B)

10 เมื่ออัครทูตกลับมาก็ทูลรายงานพระเยซูถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำ พระองค์จึงทรงพาพวกเขาปลีกตัวไปยังเมืองเบธไซดา 11 แต่ประชาชนรู้เข้าก็ติดตามพระองค์มา พระองค์ทรงต้อนรับพวกเขา ตรัสกับเขาเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และทรงรักษาโรคให้บรรดาผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา

12 เมื่อบ่ายคล้อยสาวกทั้งสิบสองคนจึงมาทูลว่า “ขอทรงให้ประชาชนกลับไปเพื่อพวกเขาจะได้หาอาหารและหาที่พักตามหมู่บ้านและตามชนบทแถบนี้ เพราะเราอยู่ในที่ห่างไกล”

13 พระองค์ตรัสตอบว่า “พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด”

เหล่าสาวกทูลว่า “เรามีเพียงขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว เว้นแต่เราจะไปซื้ออาหารมาให้ฝูงชนทั้งหมดนี้” 14 (ที่นั่นมีผู้ชายประมาณห้าพันคน)

แต่พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ให้พวกเขานั่งกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณห้าสิบคน” 15 เหล่าสาวกก็ทำตามนั้น ทุกคนจึงนั่งลง 16 พระเยซูทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวมา แล้วเงยพระพักตร์ขึ้นมองฟ้าสวรรค์ ทรงขอบพระคุณพระเจ้า และหักส่งให้เหล่าสาวกแจกจ่ายแก่ประชาชน 17 พวกเขาทุกคนได้กินอิ่มหนำและเหล่าสาวกเก็บเศษที่เหลือได้ถึงสิบสองตะกร้าเต็ม

เปโตรรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์(C)

18 ครั้งหนึ่งขณะพระเยซูทรงกำลังอธิษฐานเป็นการส่วนพระองค์และเหล่าสาวกอยู่ด้วย พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ผู้คนพูดกันว่าเราเป็นใคร?”

19 พวกเขาทูลตอบว่า “บางคนก็ว่าเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ และยังมีบางคนว่าเป็นผู้เผยพระวจนะในสมัยเก่าก่อนคนหนึ่งที่ได้เป็นขึ้นมาจากตาย”

20 พระองค์ตรัสถามว่า “แล้วพวกท่านเล่า? พวกท่านว่าเราเป็นใคร?”

เปโตรทูลตอบว่า “ทรงเป็นพระคริสต์[a]ของพระเจ้า”

21 พระเยซูทรงกำชับพวกเขาอย่างเคร่งครัดไม่ให้บอกเรื่องนี้แก่ใคร 22 และตรัสว่า “บุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์หลายประการ ถูกบรรดาผู้อาวุโสและพวกหัวหน้าปุโรหิตกับธรรมาจารย์ปฏิเสธ พระองค์จะต้องถูกประหาร และในวันที่สามจะทรงมีชีวิตกลับเป็นขึ้นมาใหม่”

23 จากนั้นพระองค์ตรัสกับเขาทั้งปวงว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะตามเรามา เขาต้องปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา 24 เพราะผู้ใดต้องการเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเรา ผู้นั้นจะมีชีวิตรอด 25 จะมีประโยชน์อะไรที่คนๆ หนึ่งจะได้โลกนี้ทั้งโลกแต่ต้องสูญเสียตัวของเขาเอง? 26 ถ้าผู้ใดอับอายในตัวเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะอับอายในตัวเขาเมื่อพระองค์เสด็จมาด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์และพระเกียรติสิริของพระบิดา พร้อมทั้งศักดิ์ศรีของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์ 27 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าบางคนซึ่งยืนอยู่ที่นี่จะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้าก่อนที่จะลิ้มรสความตาย”

ทรงจำแลงพระกาย(D)

28 ราวแปดวันหลังจากที่พระเยซูตรัสดังนั้น พระองค์ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน 29 ขณะพระองค์ทรงกำลังอธิษฐาน พระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไปและฉลองพระองค์สว่างสุกใสดังแสงฟ้าแลบ 30 มีชายสองคนคือโมเสสกับเอลียาห์ 31 มาปรากฏกายอย่างเปี่ยมด้วยสง่าราศีและสนทนากับพระเยซู พวกเขาพูดถึงการจากไปของพระองค์ซึ่งพระองค์กำลังจะทำให้สำเร็จที่กรุงเยรูซาเล็ม 32 เปโตรกับเพื่อนๆ ง่วงมาก แต่เมื่อตาสว่างเต็มที่พวกเขาก็เห็นพระเกียรติสิริของพระองค์และเห็นชายสองคนยืนอยู่กับพระองค์ 33 ขณะคนทั้งสองกำลังจะจากไป เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงที่พวกข้าพระองค์ได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราสร้างเพิงขึ้นสามหลังสำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” (เขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่)

34 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เมฆก็ปรากฏขึ้นปกคลุมพวกเขา เมื่ออยู่ในเมฆพวกเขากลัวมาก 35 มีพระสุรเสียงดังจากเมฆว่า “คนนี้คือลูกของเราซึ่งเราได้เลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังเขาเถิด” 36 เมื่อสิ้นเสียงนั้น พวกเขาเห็นว่ามีพระเยซูอยู่เพียงผู้เดียว สาวกทั้งสามเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัว และในเวลานั้นพวกเขาไม่เล่าสิ่งที่ตนเห็นให้ใครฟัง

ทรงรักษาเด็กผู้ชายที่ถูกวิญญาณชั่วสิง(E)

37 วันรุ่งขึ้น เมื่อพวกเขาลงมาจากภูเขาแล้ว มีฝูงชนกลุ่มใหญ่มาพบพระเยซู 38 ชายคนหนึ่งในฝูงชนร้องทูลว่า “พระอาจารย์ ขอพระองค์โปรดมาทอดพระเนตรลูกชายของข้าพระองค์ด้วยเถิด เพราะเขาเป็นลูกคนเดียวของข้าพระองค์ 39 มีวิญญาณเข้าสิงเขาและเขาจะกรีดร้องทันที มันทำให้เขาชักทุรนทุราย น้ำลายฟูมปาก มันแทบจะไม่เคยออกจากตัวเขาเลย และมันกำลังทำลายเขา 40 ข้าพระองค์ขอร้องสาวกของพระองค์ให้ขับมันออก แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้”

41 พระเยซูตรัสว่า “คนในยุคที่ขาดความเชื่อและวิปริต เราจะอยู่กับพวกท่านและต้องทนพวกท่านไปนานเท่าใด? พาลูกของท่านมาที่นี่เถิด”

42 แม้ขณะที่เด็กกำลังมา ผีก็ยังทำให้เขาล้มชักบนพื้น แต่พระเยซูทรงกำราบวิญญาณชั่ว[b] และรักษาเด็กคนนั้นแล้วส่งคืนให้บิดา 43 เขาทั้งหลายล้วนศรัทธาในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจในการทั้งปวงที่พระเยซูได้ทรงกระทำ พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า 44 “จงตั้งใจฟังสิ่งที่เราจะบอกท่านให้ดี คือบุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือมนุษย์” 45 แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าทรงหมายความว่าอะไร เพราะความข้อนี้ถูกเก็บงำจากเขาเพื่อเขาจะไม่เข้าใจ และเขาก็ไม่กล้าทูลถามพระองค์เรื่องนี้

ผู้ใดจะเป็นใหญ่ที่สุด(F)

46 เกิดการโต้เถียงกันในหมู่สาวกว่าใครจะเป็นใหญ่ที่สุด 47 พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขา จึงทรงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนอยู่ข้างพระองค์ 48 แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้ใดต้อนรับเด็กน้อยนี้ในนามของเรา ก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา เพราะผู้เล็กน้อยที่สุดในหมู่พวกท่านทั้งปวง ก็คือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

49 ยอห์นทูลว่า “พระอาจารย์ พวกข้าพระองค์เห็นชายคนหนึ่งขับผีออกในพระนามของพระองค์และพวกเราพยายามห้ามเขา เพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มของเรา”

50 พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามเขาเลย เพราะผู้ใดก็ตามที่ไม่ได้ต่อต้านท่าน ก็อยู่ฝ่ายท่าน”

ชาวสะมาเรียต่อต้านพระเยซู

51 เมื่อใกล้ถึงเวลาที่พระเยซูจะทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 52 และพระองค์ทรงส่งคนไปล่วงหน้า พวกเขาก็เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรีย เพื่อเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อมสำหรับพระองค์ 53 แต่ผู้คนที่นั่นไม่ต้อนรับพระองค์ เพราะทรงมุ่งหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 54 เมื่อยากอบกับยอห์นสาวกของพระองค์เห็นเช่นนี้ก็ทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงต้องการให้พวกข้าพระองค์ขอไฟจากสวรรค์ลงมาทำลายพวกเขาหรือไม่[c]?” 55 แต่พระเยซูทรงหันมาตำหนิพวกเขา 56 แล้ว[d] พวกเขาพากันไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง

การติดตามพระเยซู(G)

57 ขณะที่พวกเขาเดินไปตามทาง มีชายคนหนึ่งมาทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์จะติดตามพระองค์ไม่ว่าจะทรงไปยังที่ใด”

58 พระเยซูตรัสตอบว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ”

59 พระองค์ตรัสกับชายอีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามา”

แต่เขาทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาก่อน”

60 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้คนตายฝังผู้ตายของพวกเขาเองเถิด ส่วนท่านจงไปประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า”

61 อีกคนทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะติดตามพระองค์ แต่ขอกลับไปร่ำลาครอบครัวของข้าพระองค์ก่อน”

62 พระเยซูตรัสว่า “ผู้ที่มือจับคันไถแล้วยังเหลียวมองข้างหลังก็ไม่เหมาะกับการรับใช้ในอาณาจักรของพระเจ้า”

โยบ 23

โยบ

23 แล้วโยบจึงตอบว่า

“คำร้องทุกข์ของข้าวันนี้ยังคงเป็นคำที่ขมขื่น
พระหัตถ์ของพระองค์[a]ก็หนักหน่วงทั้งๆ ที่[b]ข้าร้องครวญคราง
ถ้าเพียงแต่ข้ารู้ว่าจะหาพระเจ้าได้ที่ไหน
ถ้าเพียงแต่ข้าสามารถไปถึงที่ประทับของพระองค์!
ข้าจะทูลแถลงคดีของข้าต่อหน้าพระองค์
และขอโต้แย้งอย่างเต็มที่
แล้วข้าจะรู้ว่าพระองค์จะทรงตอบข้าว่าอย่างไร
และข้าจะใคร่ครวญสิ่งที่พระองค์ตรัส
พระองค์จะทรงใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่ต่อต้านข้าหรือ?
หามิได้ พระองค์จะไม่ทรงตั้งข้อหาข้า
ที่นั่นคนชอบธรรมสามารถชี้แจงเหตุผลต่อพระองค์ได้
และข้าจะได้รับการปลดปล่อยโดยองค์ตุลาการของข้าให้พ้นมลทินตลอดไป

“แต่ถึงข้าไปทางตะวันออก พระองค์ก็ไม่อยู่ที่นั่น
ถ้าข้าไปทางตะวันตก ก็ไม่พบพระองค์
เมื่อพระองค์ทรงกระทำพระราชกิจอยู่ทางทิศเหนือ ข้าไม่เห็นพระองค์
เมื่อพระองค์หันมาทางใต้ ข้าหาพระองค์ไม่พบ
10 แต่พระองค์ทรงทราบทางที่ข้าไป
เมื่อพระองค์ทรงทดสอบข้าแล้ว ข้าจะเป็นดั่งทองคำ
11 ข้าดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์อย่างใกล้ชิด
ข้าอยู่ในทางของพระองค์โดยไม่หันเห
12 ข้าไม่ได้พรากจากพระบัญชาของพระองค์
ข้าเห็นว่าพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระองค์ล้ำค่ายิ่งกว่าอาหารประจำวัน

13 “แต่พระองค์ก็ยังทรงยืนกรานเด็ดเดี่ยว และใครเล่าจะต่อต้านพระองค์ได้?
พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งตามชอบพระทัย
14 พระองค์ทรงกระทำแก่ข้าตามที่ทรงมีประกาศิตไว้
และพระองค์ยังมีแผนการอื่นๆ เก็บไว้อีกมากมาย
15 ด้วยเหตุนี้ข้าจึงครั่นคร้ามต่อหน้าพระองค์
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ข้าก็ยำเกรงพระองค์
16 พระเจ้าทรงกระทำให้จิตใจของข้าอ่อนระโหย
องค์ทรงฤทธิ์ทรงเขย่าขวัญข้า
17 ถึงกระนั้นความมืดทึบที่กลบหน้าข้า
ก็ไม่ทำให้ข้าเงียบลง

1 โครินธ์ 10

ข้อเตือนใจจากประวัติศาสตร์อิสราเอล

10 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าบรรพบุรุษของเราล้วนได้อยู่ใต้เมฆและได้ผ่านทะเลไปทุกคน พวกเขาล้วนได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในโมเสส ในเมฆและในทะเล พวกเขาล้วนได้รับประทานอาหารทิพย์เหมือนกัน และได้ดื่มน้ำทิพย์เหมือนกัน พวกเขาได้ดื่มน้ำจากศิลาทิพย์ ซึ่งร่วมทางมากับพวกเขา และศิลานั้นคือพระคริสต์ อย่างไรก็ตามพระเจ้าไม่พอพระทัยพวกเขาเกือบทั้งหมด บรรพบุรุษเหล่านั้นจึงล้มตายเกลื่อนกลาดในถิ่นกันดาร

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่าง[a] ไม่ให้จิตใจของเราฝักใฝ่ในสิ่งชั่วร้ายเหมือนที่คนเหล่านั้นได้ทำ อย่านับถือรูปเคารพเหมือนบางคน ดังที่มีเขียนไว้ว่า “ประชากรนั่งล้อมวงกินดื่มและลุกขึ้นระเริงในงานเลี้ยงอย่างคนนอกศาสนา”[b] เราไม่ควรทำผิดศีลธรรมทางเพศเหมือนที่บางคนได้ทำแล้วล้มตายถึง 23,100 คนในวันเดียว เราไม่ควรลองดีกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนที่พวกเขาบางคนได้ทำแล้วถูกงูกัดตาย 10 และอย่าพร่ำบ่นเหมือนที่พวกเขาบางคนได้ทำแล้วถูกทูตมรณะประหาร

11 สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแก่พวกเขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และบันทึกไว้เพื่อเตือนใจเราผู้ซึ่งอยู่ในยุคที่พระราชกิจของพระเจ้าจะสำเร็จ 12 ดังนั้นถ้าท่านคิดว่าตนยืนหยัดมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดีเพื่อท่านจะไม่ล้มลง! 13 ไม่มีการทดลองใดๆ มาถึงท่านนอกจากการทดลองที่เกิดกับมนุษย์ทั่วไป และพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ แต่เมื่อท่านถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้ท่านมีทางออกด้วยเพื่อท่านจะยืนหยัดได้ภายใต้การทดลอง

งานเลี้ยงของรูปเคารพกับพิธีมหาสนิท

14 เหตุฉะนั้นท่านที่รัก จงหลีกห่างการนับถือรูปเคารพ 15 ข้าพเจ้าพูดกับคนที่มีสามัญสำนึก ท่านจงวินิจฉัยคำพูดของข้าพเจ้าเอาเองเถิด 16 ถ้วยน้ำองุ่นซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณคือการเข้าร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? และขนมปังซึ่งเราหักนั้นคือการเข้าร่วมในพระกายของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? 17 เนื่องจากมีขนมปังก้อนเดียว เราหลายคนจึงเป็นกายเดียวกัน เพราะทุกคนร่วมรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน

18 จงพิจารณาชนชาติอิสราเอลผู้ที่กินของถวายบูชาก็มีส่วนร่วมในแท่นบูชาไม่ใช่หรือ? 19 นี่ข้าพเจ้าหมายความว่ารูปเคารพกับของที่เซ่นไหว้มีความสำคัญอย่างนั้นหรือ? 20 เปล่าเลย แต่หมายความว่าของเซ่นไหว้ของคนนอกศาสนานั้นสังเวยแก่ผีมาร ไม่ใช่ถวายแด่พระเจ้า และข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไปเข้าร่วมกับพวกผีมาร 21 ท่านจะดื่มทั้งจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและถ้วยของผีมารไม่ได้ จะร่วมโต๊ะทั้งขององค์พระผู้เป็นเจ้าและของพวกผีมารด้วยไม่ได้ 22 เรากำลังพยายามยั่วยุองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงริษยาหรือ? เราเข้มแข็งกว่าพระองค์หรือ?

เสรีภาพของผู้เชื่อ

23 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้” แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้” แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น 24 ทุกคนไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น

25 สิ่งใดที่วางขายตามตลาดเนื้อก็ให้รับประทานไปเถิดโดยไม่ต้องถามตนเองว่าผิดหรือไม่ 26 เพราะ “แผ่นดินโลกและทุกสิ่งในโลกเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า”[c]

27 หากผู้ไม่เชื่อบางคนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหารและท่านประสงค์จะไป จงรับประทานสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าท่านไปเถิดโดยไม่ต้องถามว่าผิดหรือไม่ 28 แต่ถ้ามีใครมาบอกว่า “ของนี้ได้นำไปเซ่นไหว้แล้ว” ก็อย่ารับประทานเพื่อเห็นแก่ทั้งคนที่บอกและจิตสำนึกผิดชอบ[d] 29 ข้าพเจ้าหมายถึงจิตสำนึกของคนนั้นไม่ใช่ของท่าน ทำไมเสรีภาพของข้าพเจ้าจึงถูกตัดสินโดยจิตสำนึกของคนอื่นเล่า? 30 ถ้าข้าพเจ้ารับประทานโดยขอบพระคุณพระเจ้า ทำไมข้าพเจ้าจึงถูกตำหนิเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว? 31 ดังนั้นไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่มหรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่งเพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า 32 อย่าเป็นต้นเหตุให้ใครสะดุดไม่ว่าจะเป็นคนยิว คนกรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้า 33 เหมือนที่ข้าพเจ้าเองพยายามทำให้ทุกคนพอใจในทุกด้านเพราะข้าพเจ้าไม่ได้แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว แต่แสวงหาประโยชน์ของคนทั้งหลายเพื่อให้พวกเขารอด

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.