Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ปฐมกาล 49

ยาโคบอวยพรบรรดาบุตรชาย(A)

49 ยาโคบจึงเรียกบุตรชายทั้งหมดมากล่าวว่า “ล้อมวงกันเข้ามาเถิด เราจะบอกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเจ้าในภายภาคหน้า

“จงล้อมวงกันเข้ามาฟังเรา ลูกๆ ของยาโคบเอ๋ย
มาฟังอิสราเอลพ่อของเจ้าเถิด

“รูเบน เจ้าเป็นลูกหัวปีของเรา
เจ้าเป็นอำนาจและเป็นผลแรกแห่งพละกำลังของเรา
เจ้าเป็นยอดแห่งเกียรติยศและพลังอำนาจ
แต่เจ้าบ้าระห่ำเหมือนน้ำเชี่ยว เจ้าจะไม่ได้เป็นยอดอีกต่อไป
เพราะเจ้าล่วงล้ำเข้าไปถึงเตียงของพ่อ
เข้าไปถึงที่นอนของเรา และทำให้ที่นั่นแปดเปื้อนมลทิน

“สิเมโอนกับเลวีเป็นพี่น้องกัน
ดาบ[a]ของพวกเขาเป็นอาวุธเพื่อทำการอำมหิต
อย่าให้เราเป็นพวกเดียวกันกับเขา
อย่าให้เราเข้าร่วมในที่ชุมนุมของพวกเขา
เพราะพวกเขาฆ่าคนเมื่อพวกเขาโกรธ
และตัดเอ็นขาวัวผู้เล่นตามความพอใจของเขา
คำสาปแช่งจะตกอยู่แก่ความโกรธกริ้วอันเหี้ยมเกรียมของเขา
และตกอยู่แก่ความเดือดดาลอันโหดร้ายของเขา!
เราจะทำให้พวกเขาปะปนไปทั่วดินแดนของยาโคบ
และให้พวกเขากระจัดกระจายไปทั่วอิสราเอล

“ยูดาห์[b]เอ๋ย พี่น้องของเจ้าจะสรรเสริญเจ้า
มือของเจ้าจะขย้ำที่คอของศัตรู
พี่น้องร่วมสายโลหิตจะก้มกราบเจ้า
ยูดาห์เอ๋ย เจ้าคือลูกสิงโต
ลูกของเราเอ๋ย เจ้ากลับมาจากกินเหยื่อ
เขาหมอบลงเหมือนราชสีห์
เขาเอนลงอย่างนางสิงห์ ใครจะกล้าไปแหย่เขาได้?
10 คทาจะไม่พ้นจากมือของยูดาห์
อำนาจปกครองจะไม่ขาดไปจากเชื้อสายของเขา
จนกว่าบุคคลผู้เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงจะมาถึง[c]
บรรดาชนชาติจะเชื่อฟังผู้นั้น
11 เขาจะผูกลาไว้ที่เถาองุ่น
ผูกลูกลาไว้ที่กิ่งที่ดีที่สุด
เขาจะซักล้างอาภรณ์ของตนในเหล้าองุ่น
ซักเสื้อผ้าในน้ำองุ่นสีเลือด
12 ตาของเขาแวววาวกว่าเหล้าองุ่น
ฟันของเขาขาวยิ่งกว่าน้ำนม[d]

13 “เศบูลุนจะอาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล
และกลายเป็นท่าเทียบเรือ
ชายแดนของเขาจะขยายไปจนจดไซดอน

14 “อิสสาคาร์เป็นเหมือนลาที่แข็งแรง
นอนลงทั้งที่แบกถุงสัมภาระทั้งสองอยู่[e]
15 เมื่อเขาเห็นว่าที่พักพิงดี
และแผ่นดินน่าอภิรมย์เพียงไร
เขาก็จะย่อบ่าของตนลงแบกภาระ
และยอมเป็นทาสรับใช้

16 “ดาน[f]จะให้ความเป็นธรรมแก่พลเมืองของตน
เหมือนให้แก่เผ่าอื่นๆ ในอิสราเอล
17 เขาจะเป็นเหมือนงูตามริมทาง
เหมือนงูพิษที่อยู่ตามถนน
มันจะฉกส้นเท้าม้า
ให้คนขี่ตกจากหลังม้า

18 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าข้าพระองค์รอคอยการช่วยกู้ของพระองค์

19 “กองโจรจะเข้าโจมตีกาด[g]
แต่กาดจะโต้ตอบและดักตีส้นเท้าคนเหล่านั้น

20 “อาหารของอาเชอร์อุดมสมบูรณ์
เขาจะเป็นแหล่งอาหารชั้นเลิศที่คู่ควรกับกษัตริย์

21 “นัฟทาลีเป็นกวางตัวเมียที่ถูกปล่อยเป็นอิสระ
ตกลูกอ่อนน่ารักมากมาย[h]

22 “โยเซฟเป็นเถาองุ่นที่ผลิดอกออกผล
เป็นเถาองุ่นที่ผลิดอกออกผลอยู่ใกล้น้ำพุ
กิ่งเถาของมันเลื้อยข้ามกำแพง[i]
23 พลธนูโจมตีเขาด้วยความเคียดแค้น
ยิงเข้าใส่เขาด้วยใจเกลียดชัง
24 แต่ธนูของเขานิ่งไม่สั่นไหว
แขนของเขาแข็งแรงไม่อ่อนล้า[j]
เนื่องด้วยพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรงฤทธิ์ของยาโคบ
เนื่องด้วยพระผู้เลี้ยง พระศิลาของอิสราเอล
25 เนื่องด้วยพระเจ้าของบิดาเจ้าผู้ทรงช่วยเจ้า
เนื่องด้วยองค์ทรงฤทธิ์ผู้ทรงอวยพรเจ้า
ด้วยพรแห่งสวรรค์เบื้องบน
พรแห่งที่ลึกเบื้องล่าง
พรแห่งอ้อมอกและครรภ์
26 พรจากบิดาของเจ้ายิ่งใหญ่
กว่าพรแห่งภูเขาดึกดำบรรพ์
กว่า[k]ความอุดมแห่งเนินเขาเก่าแก่
ขอพระพรเหล่านี้จงอยู่บนศีรษะของโยเซฟ
อยู่บนกระหม่อมของเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ท่ามกลาง[l]พี่น้องของเจ้า

27 “เบนยามินเป็นสุนัขป่าที่หิวโซ
ในตอนเช้าเขาขย้ำเหยื่อ
ในตอนเย็นเขาแบ่งของที่ยึดมาได้”

28 ทั้งหมดนี้คืออิสราเอลสิบสองเผ่า และนี่เป็นคำพูดของยาโคบบิดาของพวกเขาเมื่ออวยพรลูกๆ โดยให้พรแต่ละคนตามที่เขาเห็นควร

ยาโคบสิ้นชีวิต

29 แล้วยาโคบก็สั่งพวกเขาว่า “เรากำลังจะถูกรวบไปอยู่กับคนของเรา จงฝังเราไว้ร่วมกับบรรพบุรุษในถ้ำซึ่งอยู่ในทุ่งของเอโฟรนชาวฮิตไทต์ 30 ถ้ำนี้อยู่ในทุ่งมัคเปลาห์ใกล้มัมเรในคานาอัน ที่อับราฮัมได้ซื้อพร้อมกับทุ่งนาจากเอโฟรนชาวฮิตไทต์เพื่อเป็นสุสาน 31 ที่นั่นเป็นที่ฝังอับราฮัมกับซาราห์ภรรยาของเขา เป็นที่ฝังอิสอัคกับเรเบคาห์ภรรยาของเขา และเป็นที่ซึ่งเราได้ฝังเลอาห์ไว้ 32 ทุ่งนาและถ้ำนั้นซื้อมาจากคนฮิตไทต์[m]

33 เมื่อยาโคบสั่งเสียลูกชายทั้งหลายของเขาจบแล้วก็ยกเท้าขึ้นนอนลงบนที่นอน แล้วเขาก็สิ้นใจ ถูกรวมไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา

ลูกา 2

การประสูติของพระเยซูคริสต์

ครั้งนั้นซีซาร์ออกัสตัสทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ทำทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งจักรวรรดิโรมัน (นี่เป็นการขึ้นทะเบียนครั้งแรกในสมัยที่คีรินิอัสเป็นผู้ว่าการแคว้นซีเรีย) ทุกคนต่างไปยังเมืองของตนเพื่อขึ้นทะเบียน

ดังนั้นโยเซฟจึงเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลีขึ้นไปยังเบธเลเฮมเมืองของดาวิดในแคว้นยูเดีย เพราะเขาสืบเชื้อสายมาจากดาวิด เขาไปขึ้นทะเบียนที่นั่นกับมารีย์คู่หมั้นซึ่งกำลังตั้งครรภ์ ขณะพวกเขาอยู่ที่นั่นก็ถึงกำหนดที่มารีย์จะคลอดบุตร นางให้กำเนิดบุตรชายหัวปี นางเอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้าเพราะในบ้านไม่มีที่ว่างให้พวกเขา

คนเลี้ยงแกะกับทูตสวรรค์

และในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่กลางทุ่งเฝ้าฝูงแกะของเขายามค่ำคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏ และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่องล้อมรอบพวกเขาทำให้คนเหล่านั้นตกใจกลัวยิ่งนัก 10 แต่ทูตนั้นกล่าวแก่พวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เรานำข่าวดีมา เป็นความเปรมปรีดิ์ใหญ่หลวงสำหรับคนทั้งปวง 11 ในวันนี้ที่เมืองของดาวิดองค์พระผู้ช่วยให้รอดได้มาบังเกิดเพื่อท่าน พระองค์คือพระคริสต์[a]ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า 12 นี่เป็นหมายสำคัญแก่ท่าน คือท่านจะพบพระกุมารพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า”

13 ทันใดนั้นมีชาวสวรรค์หมู่ใหญ่มาปรากฏพร้อมกับทูตสวรรค์องค์นั้นร่วมกันสรรเสริญพระเจ้าและกล่าวว่า

14 “ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด
และสันติสุขจงมีแก่มวลมนุษย์บนโลก
ผู้ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปราน”

15 เมื่อเหล่าทูตสวรรค์จากพวกเขากลับสู่สวรรค์แล้ว คนเลี้ยงแกะก็พูดกันว่า “ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮมและดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งแก่เรา”

16 ดังนั้นพวกเขาจึงรีบรุดมาและพบมารีย์ โยเซฟ กับพระกุมารซึ่งนอนอยู่ในรางหญ้า 17 เมื่อพวกเขาได้เห็นพระองค์แล้วก็กระจายข่าวเรื่องที่ทูตสวรรค์นั้นมาบอกเกี่ยวกับพระกุมาร 18 และคนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจในสิ่งที่คนเลี้ยงแกะกล่าวแก่พวกเขา 19 ส่วนมารีย์เก็บเรื่องทั้งหมดนี้ใคร่ครวญอยู่ในใจ 20 คนเลี้ยงแกะกลับไปและยกย่องสรรเสริญพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาได้ยินและได้เห็นซึ่งเป็นเหมือนที่ทูตสวรรค์ได้แจ้งพวกเขาทุกประการ

ถวายพระกุมารในพระวิหาร

21 เมื่อครบแปดวันก็ได้เวลาที่พระกุมารต้องเข้าสุหนัต พวกเขาตั้งชื่อพระองค์ว่า เยซู ซึ่งเป็นชื่อที่ทูตสวรรค์ได้บอกไว้ตั้งแต่ยังไม่ทรงปฏิสนธิ

22 เมื่อครบกำหนดเวลาการชำระตัวของมารีย์ตามบทบัญญัติของโมเสสแล้ว โยเซฟกับมารีย์ก็นำพระกุมารมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 23 (ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “บุตรชายหัวปีทุกคนต้องถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า”[b]) 24 และถวายเครื่องบูชาตามที่กล่าวไว้ในหนังสือบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือ “นกเขาหรือนกพิราบรุ่นสองตัว”[c]

25 มีชายคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มชื่อสิเมโอน เขาเป็นคนชอบธรรมและยำเกรงพระเจ้า เขากำลังรอคอยเวลาที่ชนอิสราเอลจะได้รับการปลอบประโลมและพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับเขา 26 พระวิญญาณได้ทรงสำแดงแก่เขาว่าเขาจะได้เห็นพระคริสต์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าส่งมาก่อนที่เขาจะตาย 27 พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเขามายังลานพระวิหาร เมื่อบิดามารดานำพระกุมารเยซูมาประกอบพิธีให้แก่พระองค์ตามธรรมเนียมที่บทบัญญัติกำหนดไว้ 28 สิเมโอนก็อุ้มพระกุมารและสรรเสริญพระเจ้าว่า

29 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เจ้าชีวิต ดังที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้
บัดนี้พระองค์ทรงให้[d]ผู้รับใช้ของพระองค์ไปอย่างเป็นสุข
30 เพราะตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์
31 ความรอดซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าประชากรทั้งปวง
32 เป็นแสงสว่างเพื่อสำแดงแก่คนต่างชาติ
และเพื่อเป็นศักดิ์ศรีแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์”

33 บิดามารดาของพระกุมารก็ประหลาดใจในถ้อยคำที่เขากล่าวเกี่ยวกับพระกุมาร 34 จากนั้นสิเมโอนอวยพรพวกเขาและกล่าวกับมารีย์มารดาของพระองค์ว่า “พระกุมารนี้ถูกกำหนดไว้ให้เป็นสาเหตุของการล้มลงหรือลุกขึ้นของชาวอิสราเอลจำนวนมากและถูกกำหนดให้เป็นหมายสำคัญที่จะถูกต่อต้าน 35 เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะถูกเปิดเผยและดาบจะแทงทะลุจิตใจของท่านเองด้วย”

36 ยังมีผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่งชื่ออันนา บุตรีฟานูเอลตระกูลอาเชอร์ นางชรามาก นางอยู่กินกับสามีได้เจ็ดปี 37 แล้วเป็นม่ายมาจนถึงอายุ 84 ปี[e] นางไม่เคยออกจากพระวิหารเลยทุกวันคืน เฝ้านมัสการ อดอาหาร และอธิษฐาน 38 ขณะนั้นนางเข้ามาหาพวกเขาแล้วขอบพระคุณพระเจ้าและกล่าวถึงพระกุมารให้บรรดาผู้ที่รอคอยการไถ่กรุงเยรูซาเล็มฟัง

39 เมื่อโยเซฟกับมารีย์ได้ทำทุกอย่างครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในหนังสือบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาทั้งสองก็กลับมายังนาซาเร็ธเมืองของตนในแคว้นกาลิลี 40 และพระกุมารทรงเติบโตแข็งแรง เปี่ยมด้วยสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้าอยู่เหนือพระองค์

พระกุมารเยซูที่พระวิหาร

41 บิดามารดาของพระองค์จะไปกรุงเยรูซาเล็มทุกปีเพื่อร่วมเทศกาลปัสกา 42 เมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุสิบสองพรรษา พวกเขาก็มาร่วมเทศกาลตามธรรมเนียม 43 เมื่อเทศกาลสิ้นสุดลงแล้ว ขณะบิดามารดาของพระองค์กำลังเดินทางกลับบ้านพระกุมารเยซูยังอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม แต่พวกเขาไม่รู้ 44 คิดว่าทรงอยู่ในกลุ่มคนที่มาด้วยกัน เมื่อเดินทางมาได้หนึ่งวันเขาก็เริ่มหาพระกุมารในหมู่ญาติมิตร 45 เมื่อไม่พบพระองค์ พวกเขาก็กลับไปค้นหาที่กรุงเยรูซาเล็ม 46 สามวันต่อมาจึงพบพระกุมารที่ลานพระวิหาร พระองค์ทรงนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ กำลังฟังและซักถามอาจารย์เหล่านั้น 47 ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ล้วนประหลาดใจในความเข้าใจและคำตอบของพระองค์ 48 เมื่อบิดามารดาเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจ มารดาจึงกล่าวแก่พระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมทำกับเราอย่างนี้? พ่อกับแม่ร้อนใจเที่ยวตามหาลูกอยู่”

49 พระกุมารตรัสว่า “ตามหาเราทำไม? ไม่รู้หรือว่าเราต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดาของเรา?” 50 แต่พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสกับพวกเขา

51 แล้วพระกุมารก็กลับมายังเมืองนาซาเร็ธกับพวกเขาและทรงอยู่ในโอวาทของพวกเขา ส่วนมารดาเก็บเรื่องทั้งหมดนี้ไว้ในใจ 52 และพระเยซูทรงเติบโตขึ้นทั้งในด้านสติปัญญาและด้านร่างกายและทรงเป็นที่ชื่นชมทั้งของพระเจ้าและของคนทั้งหลาย

โยบ 15

เอลีฟัส

15 เอลีฟัสชาวเทมานโต้ตอบว่า

“ควรหรือที่คนฉลาดจะตอบอย่างไร้ความคิด
หรืออัดลมตะวันออกที่ร้อนระอุไว้เต็มท้อง?
ควรหรือที่เขาจะโต้แย้งด้วยถ้อยคำที่ไร้ประโยชน์
ด้วยวาจาที่ไร้แก่นสาร?
ท่านได้บ่อนทำลายความยำเกรงพระเจ้า
และหยุดยั้งการยอมจำนนต่อพระองค์
บาปของท่านยุให้ปากท่านพูด
ท่านรับเอาลิ้นของคนเจ้าเล่ห์
ปากของท่านกล่าวโทษท่านเอง ไม่ใช่ปากของข้า
ริมฝีปากของท่านปรักปรำท่านเอง

“ท่านเป็นมนุษย์คนแรกที่เกิดมาหรือ?
ท่านเกิดก่อนที่ภูเขาถูกสร้างขึ้นหรือ?
ท่านนั่งฟังอยู่ในสภาของพระเจ้าหรือ?
ท่านผูกขาดสติปัญญาไว้คนเดียวหรือ?
อะไรบ้างที่ท่านรู้แล้วเราไม่รู้?
อะไรบ้างที่ท่านเข้าใจโดยที่เราไม่เข้าใจ?
10 บรรดาผู้อาวุโสก็อยู่ฝ่ายเรา
คนเหล่านั้นแก่ยิ่งกว่าบิดาของท่านเสียอีก
11 คำปลอบโยนจากพระเจ้าไม่เพียงพอสำหรับท่านหรือ?
ถ้อยคำอ่อนหวานไม่เพียงพอหรือ?
12 เหตุใดจิตใจของท่านพาท่านเตลิดไปเช่นนี้?
ทำไมตาของท่านจึงลุกเป็นไฟ?
13 ท่านถึงได้เกรี้ยวกราดต่อพระเจ้า
และให้ถ้อยคำอย่างนี้พรั่งพรูออกมาจากปากของท่าน

14 “มนุษย์เป็นอะไรเล่าที่จะบริสุทธิ์ได้?
ผู้ถือกำเนิดจากสตรีเป็นใครเล่าที่จะชอบธรรมได้?
15 หากพระเจ้ายังไม่ทรงวางพระทัยในบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์
ถ้าแม้แต่ฟ้าสวรรค์ก็ยังไม่บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระองค์
16 แล้วมนุษย์ผู้ชั่วช้าและเสื่อมทราม
ผู้เสพความชั่วร้ายเหมือนดื่มน้ำจะยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด!

17 “ฟังนะ แล้วข้าจะสาธยายให้ท่านฟัง
ถึงประสบการณ์ที่เห็นมา
18 ซึ่งปราชญ์ได้แจ้งไว้
ไม่ปิดบังสิ่งใดๆ ที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดให้
19 (ผู้ได้รับมอบดินแดนแต่พวกเดียว
ไม่มีคนต่างด้าวแปลกปนในหมู่พวกเขา)
20 คนชั่วร้ายทนทุกข์ทรมานตลอดชีวิต
คนอำมหิตทุกข์ทนตลอดอายุขัยของเขา
21 เสียงข่มขวัญดังเต็มหูของเขา
และเมื่อเหตุการณ์ดูราบรื่นดี ผู้ทำลายก็บุกจู่โจมเขา
22 เขาหมดหวังที่จะหนีให้พ้นความมืดมน
เขาถูกหมายหัวให้เป็นเหยื่อคมดาบ
23 เขาร่อนเร่หาอาหารเหมือนแร้ง[a]
รู้ว่าวันอันมืดมนอยู่แค่เอื้อม
24 ความทุกข์ระทมทำให้เขาหวาดหวั่น
มันถาโถมใส่เขาเหมือนกษัตริย์บุกเข้าโจมตี
25 เพราะเขาชูกำปั้นใส่พระเจ้า
และหยิ่งอหังการต่อองค์ทรงฤทธิ์
26 เขาถือโล่หนาใหญ่ตรงเข้ามา
ร้องท้าทายพระองค์

27 “แม้ว่าหน้าของเขาอวบด้วยไขมัน
และเอวหนาอ้วนพี
28 เขาก็จะอาศัยในเมืองที่ปรักหักพัง
ในบ้านร้าง
บ้านซึ่งกลายเป็นกองขยะ
29 เขาจะไม่ร่ำรวยอีกต่อไป ทรัพย์สมบัติของเขาไม่คงอยู่
และไม่ได้เพิ่มพูนขึ้นในแผ่นดิน
30 เขาจะหนีไม่พ้นความมืดมน
เปลวไฟทำให้หน่อของเขาเหี่ยวแห้งไป
ลมพระโอษฐ์ของพระเจ้าจะพัดเขาปลิวไป
31 อย่าให้เขาหลอกตัวเองโดยไว้วางใจสิ่งที่ไร้ค่า
เพราะจะไม่ได้อะไรตอบแทน
32 ก่อนสิ้นอายุขัยเขาจะได้รับการคืนสนองอย่างเต็มที่
กิ่งก้านสาขาของเขาจะไม่งอกงาม
33 เขาจะเหมือนเถาองุ่นที่ผลร่วงกราวตั้งแต่ยังดิบ
เหมือนต้นมะกอกที่ดอกร่วงหล่นตั้งแต่เพิ่งผลิบาน
34 เพราะหมู่คนอธรรมนั้นจะเริศร้าง
และไฟจะเผาผลาญเต็นท์ของผู้ที่รักสินบน
35 พวกเขาตั้งท้องความเดือดร้อนและคลอดความชั่วออกมา
ท้องของเขามีแต่การหลอกลวง”

1 โครินธ์ 3

เรื่องความแตกแยกในคริสตจักร

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจพูดกับท่านแบบผู้ที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ต้องพูดกับท่านแบบผู้ที่อยู่ฝ่ายโลก คือเป็นเพียงทารกในพระคริสต์ ข้าพเจ้าได้ป้อนนมให้ท่าน ไม่ใช่อาหารแข็ง เพราะท่านยังไม่พร้อมจะรับ อันที่จริงจนเดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่พร้อม ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก เพราะยังมีการอิจฉาริษยาและการทุ่มเถียงกันในหมู่พวกท่าน เช่นนี้แล้วท่านก็อยู่ฝ่ายโลกไม่ใช่หรือ? ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดาไม่ใช่หรือ? ในเมื่อคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามเปาโล” และอีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามอปอลโล” พวกท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดาไม่ใช่หรือ?

อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใครกัน? ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่นำท่านมาเชื่อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต ดังนั้นไม่ว่าคนปลูกหรือคนรดน้ำก็ไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตต่างหากที่สำคัญ คนปลูกและคนรดน้ำมีเป้าหมายเดียวกัน และต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของตน ด้วยว่าเราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นตึกของพระเจ้า

10 โดยพระคุณซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างผู้ชำนาญและคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น กระนั้นแต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร 11 เพราะใครจะมาวางฐานรากอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์ 12 ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟางก่อขึ้นบนฐานรากนั้น 13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้นสิ่งนี้จะถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น

16 ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้าและพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตภายในท่าน? 17 ผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้นเพราะวิหารของพระเจ้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านคือวิหารนั้น

18 อย่าหลอกตัวเอง หากใครในพวกท่านคิดว่าตนฉลาดตามมาตรฐานของยุคนี้ เขาควรจะเป็น “คนโง่” เพื่อจะได้เป็นคนฉลาด 19 เพราะสติปัญญาของโลกนี้เป็นความโง่เขลาในสายพระเนตรพระเจ้า ตามที่มีเขียนไว้ว่า “พระองค์ทรงจับคนฉลาดด้วยเล่ห์เหลี่ยมของเขาเอง”[a] 20 และมีเขียนอีกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบว่าความคิดของคนฉลาดนั้นเปล่าประโยชน์”[b] 21 ดังนั้นแล้วอย่ายกมนุษย์มาโอ้อวดอีกเลย! สิ่งสารพัดล้วนเป็นของพวกท่าน 22 ไม่ว่าเปาโล หรืออปอลโล หรือเคฟาส[c] หรือโลก หรือชีวิต หรือความตาย หรือปัจจุบัน หรืออนาคต ทั้งหมดล้วนเป็นของพวกท่าน 23 และพวกท่านเป็นของพระคริสต์ และพระคริสต์ทรงเป็นของพระเจ้า

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.