M’Cheyne Bible Reading Plan
ความฝันของโยเซฟ
37 ยาโคบตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่บิดาของเขาเคยพักอยู่ คือดินแดนคานาอัน
2 นี่คือเรื่องราวเชื้อสายของยาโคบ
ขณะที่โยเซฟอายุสิบเจ็ดปี เขาไปเลี้ยงสัตว์กับพวกพี่ชายต่างมารดา บุตรของนางบิลฮาห์และนางศิลปาห์ผู้เป็นภรรยาของบิดา โยเซฟเอาความผิดของพี่ชายมาเล่าให้บิดาฟัง
3 อิสราเอลนั้นรักโยเซฟมากกว่าบุตรชายคนอื่นๆ เพราะโยเซฟเกิดเมื่อเขาอายุมากแล้ว เขาให้เสื้อคลุมที่ตกแต่งอย่างงดงาม[a]แก่โยเซฟ 4 เมื่อพวกพี่ๆ เห็นว่าพ่อรักโยเซฟมากกว่า พวกเขาจึงเกลียดชังโยเซฟและไม่ยอมพูดดีด้วย
5 โยเซฟฝัน และเมื่อเขาเล่าความฝันให้พี่น้องฟัง พวกเขาก็ยิ่งเกลียดโยเซฟมากขึ้น 6 โยเซฟกล่าวว่า “มา ฉันจะเล่าความฝันให้ฟัง 7 ในฝันนั้น พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ด้วยกันในทุ่งนา ทันใดนั้นฟ่อนข้าวของฉันก็ตั้งขึ้น ส่วนฟ่อนข้าวของพี่ๆ มาห้อมล้อมคำนับฟ่อนข้าวของฉัน”
8 พวกพี่ชายจึงพูดว่า “เจ้าคิดจะปกครองพวกเราอย่างนั้นหรือ? เจ้าจะปกครองพวกเราจริงๆ หรือ?” พวกเขาจึงเกลียดชังโยเซฟมากขึ้นเพราะความฝันและเพราะคำพูดของโยเซฟ
9 ต่อมาโยเซฟก็ฝันอีกและเล่าให้พี่น้องของเขาฟังว่า “ฟังสิ ฉันฝันอีกแล้ว ฉันฝันเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กับดาวสิบเอ็ดดวงมาน้อมคำนับฉัน”
10 เมื่อเขาเล่าให้ทั้งพ่อและพี่น้องฟัง พ่อตำหนิเขาว่า “ที่เจ้าฝันนั้นหมายความว่าอย่างไร? แม่ของเจ้า ตัวข้า และพี่น้องของเจ้าจะต้องกราบคำนับเจ้าถึงดินอย่างนั้นหรือ?” 11 พวกพี่ชายอิจฉาโยเซฟ แต่บิดาของเขาเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ
พวกพี่ชายขายโยเซฟ
12 วันหนึ่งพี่ๆ ของโยเซฟต้อนฝูงสัตว์ไปเลี้ยงใกล้เมืองเชเคม 13 อิสราเอลเรียกโยเซฟมาสั่งว่า “เจ้าก็รู้แล้วว่าพวกพี่ชายของเจ้าออกไปเลี้ยงสัตว์ใกล้เมืองเชเคม มาเถิด เราจะส่งเจ้าไปหาพวกเขา”
เขาตอบว่า “ได้ขอรับ”
14 ดังนั้นอิสราเอลจึงกล่าวกับโยเซฟว่า “เจ้าจงไปดูว่าพวกพี่ชายของเจ้าและฝูงสัตว์เป็นอย่างไรกันบ้าง แล้วจงกลับมาบอกพ่อ” แล้วอิสราเอลจึงส่งเขาออกจากหุบเขาเฮโบรน
เมื่อโยเซฟมาถึงเมืองเชเคม 15 ชายคนหนึ่งสังเกตเห็นเขาวนเวียนอยู่ในท้องทุ่งจึงถามว่า “เจ้ากำลังหาอะไร?”
16 เขาตอบว่า “ฉันกำลังหาพวกพี่ชายของฉัน ท่านทราบไหมว่าพวกเขาเลี้ยงสัตว์อยู่ที่ไหน?”
17 ชายคนนั้นตอบว่า “พวกเขาไปจากที่นี่แล้ว ข้าได้ยินพวกเขาพูดกันว่า ‘ให้เราไปเมืองโดธานกันเถิด’ ”
โยเซฟจึงตามพวกพี่ชายไปและพบพวกเขาใกล้เมืองโดธาน 18 แต่พวกเขาเห็นโยเซฟแต่ไกล และก่อนที่โยเซฟจะมาถึง พวกพี่ชายก็คบคิดกันจะฆ่าโยเซฟ
19 พวกพี่ๆ ก็พูดกันว่า “เจ้าคนช่างฝันมานั่นแล้วไง! 20 เร็วเข้า ให้เราฆ่ามันและโยนศพมันทิ้งลงไปในบ่อสักบ่อหนึ่ง แล้วบอกว่ามันถูกสัตว์ร้ายขย้ำกินไปแล้ว ทีนี้เราจะได้เห็นกันว่าฝันของมันจะเป็นจริงได้อย่างไร”
21 เมื่อรูเบนได้ยินเช่นนี้ก็พยายามช่วยโยเซฟให้พ้นเงื้อมมือของพวกเขา รูเบนจึงกล่าวว่า “อย่าเอาชีวิตเขาเลย” 22 รูเบนกล่าวอีกว่า “อย่าลงมือฆ่าเขาเลย ให้เราโยนเขาลงไปในบ่อ ทิ้งไว้ในถิ่นกันดารนี้ อย่าลงมือทำอะไรเขาเลย” รูเบนพูดเช่นนี้เพราะเขาต้องการช่วยโยเซฟและพากลับไปหาพ่อ
23 ดังนั้นเมื่อโยเซฟมาถึง พวกพี่ๆ จึงกระชากเสื้อคลุมที่ตกแต่งอย่างงดงามของเขาออก 24 แล้วจับเขาโยนลงไปในบ่อร้างซึ่งไม่มีน้ำ
25 ขณะที่พวกพี่ๆ นั่งลงกินอาหารอยู่นั้น พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองไปเห็นขบวนคาราวานของคนอิชมาเอลที่มาจากกิเลอาด ฝูงอูฐของพวกเขาบรรทุก เครื่องเทศ ยางไม้ และมดยอบ กำลังมุ่งหน้าไปยังอียิปต์
26 ยูดาห์จึงพูดกับพี่น้องของเขาว่า “เราจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าเราฆ่าน้องของเราแล้วกลบเกลื่อนเรื่องนี้? 27 ให้เราขายโยเซฟให้พวกอิชมาเอลเถิด อย่าทำอะไรเขาเลย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพี่น้องของเรา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับเรา” พี่น้องก็เห็นด้วย
28 ฉะนั้นเมื่อพวกพ่อค้าชาวมีเดียนมาถึง พวกพี่ๆ จึงดึงโยเซฟขึ้นจากบ่อ แล้วขายโยเซฟให้คนอิชมาเอลไปเป็นเงิน 20 เชเขล[b] และเขาก็พาโยเซฟไปอียิปต์
29 ฝ่ายรูเบนกลับมาที่บ่อน้ำแล้วไม่พบโยเซฟจึงฉีกเสื้อผ้าของตน 30 เขากลับมาหาน้องๆ และพูดว่า “เด็กนั้นไม่อยู่เสียแล้ว! พี่จะทำอย่างไรดี?”
31 พวกเขาจึงฆ่าแพะแล้วเอาเสื้อคลุมของโยเซฟจุ่มลงในเลือด 32 จากนั้นพวกเขาก็นำเสื้อคลุมที่ประดับประดาอย่างสวยงามตัวนั้นกลับไปให้บิดา และกล่าวว่า “พวกเราพบเสื้อตัวนี้ ขอให้พ่อตรวจดูว่าใช่เสื้อคลุมของลูกชายของพ่อหรือไม่”
33 ยาโคบจำเสื้อตัวนี้ได้จึงกล่าวว่า “นี่เป็นเสื้อคลุมของลูกเรา! สัตว์ร้ายได้ขย้ำเขาเสียแล้ว โยเซฟถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ แน่”
34 ยาโคบจึงฉีกเสื้อผ้าของตน นุ่งห่มผ้ากระสอบ และคร่ำครวญอาลัยถึงบุตรชายของเขาอยู่หลายวัน 35 บุตรชายหญิงทุกคนได้มาปลอบโยนเขา แต่เขาก็ไม่ฟังคำปลอบโยนและกล่าวว่า “อย่าเลย เราจะคร่ำครวญจนกว่าเราจะลงไปหาลูกของเราในแดนคนตาย” ดังนั้นพ่อของโยเซฟก็ร้องไห้อาลัยถึงเขา
36 ในขณะเดียวกัน ที่อียิปต์ คนมีเดียน[c]ได้ขายโยเซฟให้แก่โปทิฟาร์ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นขุนนางคนหนึ่งของฟาโรห์
สิ่งที่เป็นมลทิน(A)
7 ฝ่ายพวกฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาห้อมล้อมพระเยซู 2 และเห็นสาวกบางคนของพระองค์รับประทานอาหารโดยไม่ได้ล้างมือซึ่งถือว่า “เป็นมลทิน” 3 (พวกฟาริสีและชาวยิวทั้งปวงถือตามประเพณีที่สืบทอดจากบรรพบุรุษว่าจะไม่รับประทานอาหารจนกว่าจะได้ล้างมือตามระเบียบพิธีก่อน 4 เมื่อกลับจากตลาดต้องล้างมือก่อนจะรับประทานอาหาร และยังมีธรรมเนียมอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่นการล้างถ้วย เหยือก และภาชนะต่างๆ[a])
5 ฉะนั้นพวกฟาริสีและธรรมาจารย์จึงทูลถามพระเยซูว่า “เหตุใดสาวกของท่านจึงไม่ทำตามธรรมเนียมของผู้อาวุโส แต่กลับรับประทานอาหารด้วยมือที่ ‘เป็นมลทิน’?”
6 พระองค์ตรัสตอบว่า “อิสยาห์พูดถูกแล้วเมื่อเผยพระวจนะเกี่ยวกับคนหน้าซื่อใจคดอย่างพวกเจ้าดังที่มีคำเขียนไว้ว่า
“ ‘ประชากรเหล่านี้ยกย่องเราแต่ปาก
แต่ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา
7 พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์
คำสอนของเขาเป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สอนกันมา’[b]
8 พวกท่านละเลยพระบัญชาของพระเจ้าและไปยึดถือธรรมเนียมของมนุษย์”
9 และพระองค์ตรัสว่า “พวกท่านมีวิธีเลี่ยงพระบัญชาของพระเจ้าไปทำตาม[c]ธรรมเนียมของตนได้ดีจริงนะ! 10 เพราะโมเสสกล่าวว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’[d] และ ‘ผู้ใดแช่งด่าบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย’[e] 11 แต่พวกท่านบอกว่าหากใครพูดกับบิดามารดาว่า ‘สิ่งใดๆ จากข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่านก็คือโกระบาน’ (คือของที่ได้ถวายแด่พระเจ้าแล้ว) 12 แล้วท่านจึงไม่ให้เขาทำสิ่งใดให้บิดามารดาอีกต่อไป 13 ด้วยเหตุนี้ท่านจึงทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะไปโดยการยึดธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาและพวกท่านยังทำอีกหลายอย่างในทำนองนี้”
14 แล้วพระเยซูทรงเรียกฝูงชนเข้ามาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่งและตรัสว่า “ทุกคนจงฟังและเข้าใจข้อนี้ 15 ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในมนุษย์แล้วทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’ แต่สิ่งที่ออกจากตัวเขาต่างหากที่ทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’[f]”
17 เมื่อละจากฝูงชนเข้ามาในบ้านแล้ว เหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์เกี่ยวกับคำอุปมานี้ 18 พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ท่านไม่เห็นหรือว่าไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในตัวคนแล้วทำให้คน ‘เป็นมลทิน’ ได้? 19 เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วออกจากร่างกาย” (ที่พระเยซูตรัสเช่นนี้เป็นการประกาศว่าอาหารทั้งปวง “ปราศจากมลทิน”)
20 พระองค์ตรัสต่อไปว่า “สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์ต่างหากที่ทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’ 21 เพราะที่ออกมาจากภายในจากใจคนเราคือ ความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การเข่นฆ่า การล่วงประเวณี 22 ความโลภ การมุ่งร้าย การฉ้อฉล ราคะตัณหา ความอิจฉา การนินทาว่าร้าย ความหยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา 23 สารพัดความชั่วนี้มาจากภายในและทำให้มนุษย์ ‘เป็นมลทิน’ ”
ความเชื่อของหญิงชาวซีเรียฟีนิเซีย(B)
24 จากที่นั่นพระเยซูเสด็จเข้าสู่เขตเมืองไทระ[g] ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งและไม่ประสงค์ให้ใครรู้แต่ก็ปิดไว้ไม่อยู่ 25 หญิงคนหนึ่งซึ่งลูกสาวเล็กๆ ของนางมีวิญญาณชั่ว[h]สิง เมื่อได้ทราบข่าวเกี่ยวกับพระองค์ก็มาหมอบกราบแทบพระบาทของพระองค์ 26 หญิงผู้นี้เป็นชาวกรีกเกิดในซีเรียฟีนิเซีย นางมาทูลอ้อนวอนพระเยซูให้ทรงช่วยขับผีออกจากลูกสาวของนาง
27 พระองค์ตรัสบอกนางว่า “ต้องให้ลูกๆ กินอิ่มก่อน เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัข”
28 หญิงนั้นทูลว่า “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขใต้โต๊ะยังได้กินเศษอาหารที่เหลือจากลูก”
29 แล้วพระองค์จึงตรัสบอกนางว่า “ไปเถิด เพราะคำตอบของเจ้า ผีนั้นออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว”
30 หญิงนั้นก็กลับไปบ้านและพบว่าลูกสาวนอนอยู่บนเตียงและผีนั้นได้ออกไปแล้ว
ทรงรักษาคนหูหนวกและเป็นใบ้(C)
31 แล้วพระเยซูเสด็จจากเขตเมืองไทระผ่านเมืองไซดอนไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลีเข้าสู่แคว้นเดคาโปลิส[i] 32 ที่นั่นมีคนพาชายผู้หนึ่งซึ่งหูหนวกพูดเกือบไม่ได้เลย มาทูลอ้อนวอนให้ทรงวางมือบนชายผู้นั้น
33 พระเยซูทรงพาเขาเลี่ยงออกไปจากฝูงชน เอานิ้วพระหัตถ์สอดเข้าไปในหูของชายผู้นั้น แล้วทรงบ้วนน้ำลายเอาไปแตะที่ลิ้นของเขา 34 พระองค์ทรงเงยพระพักตร์มองฟ้าสวรรค์ ถอนพระทัยยาว และตรัสกับเขาว่า “เอฟฟาธา!” (ซึ่งแปลว่า “จงเปิดออก!”) 35 แล้วหูของชายคนนั้นก็หายหนวก ลิ้นของเขาก็หายขัด เขาเริ่มพูดได้ชัดเจน
36 พระเยซูทรงกำชับพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องนี้แก่ใคร แต่ยิ่งพระองค์ทรงห้ามพวกเขาก็ยิ่งเล่าลือเรื่องนี้ไปทั่ว 37 ประชาชนประหลาดใจยิ่งนักและพูดว่า “พระองค์ทรงกระทำแต่สิ่งดีๆ ทั้งนั้น พระองค์ถึงกับทรงกระทำให้คนหูหนวกได้ยินและคนใบ้พูดได้”
คำกล่าวของโยบ
3 ต่อมาโยบเอ่ยปากสาปแช่งวันที่เขาเกิดมา 2 เขากล่าวว่า
3 “หากเป็นไปได้ ขอให้วันที่ข้าเกิดมาและคืนที่พวกเขาพูดกันว่า
‘เด็กชายคนหนึ่งเกิดมาแล้ว!’ พินาศเถิด
4 ขอให้วันนั้นกลับกลายเป็นความมืด
ขอพระเจ้าเบื้องบนอย่าใส่พระทัยกับวันนั้น
อย่าให้มีแสงใดๆ ส่องในวันนั้น
5 ขอให้ความมืดและเงาดำ[a]ครอบคลุมมันไว้
ขอให้เมฆปกคลุมเหนือมัน
ขอให้ความมืดบดบังแสงสว่างของวันนั้น
6 ขอให้ความมืดกลืนค่ำคืนที่ข้าได้เกิดมานั้น
ขอให้ลบวันนั้นออกจากปฏิทิน
อย่านับมันเข้ากับวันหรือเดือนใดๆ อีกเลย
7 ขอให้คืนนั้นเป็นหมัน
อย่าให้ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดี
8 ขอให้ผู้มีอาคมสาปแช่งวันทั้งหลาย[b]
ผู้พร้อมจะปลุกเรียกเลวีอาธาน[c]
ขึ้นมาสาปแช่งวันนั้น
9 ขอให้ดาวรุ่งในเช้านั้นอับแสงไป
ขอให้ความหวังที่จะได้เห็นแสงสว่างนั้นสูญเปล่า
และไม่มีวันได้เห็นแสงอรุณ
10 จงสาปแช่งวันนั้น เพราะมันไม่ยอมปิดครรภ์มารดาของข้า
ปล่อยให้ข้าเกิดมารู้เห็นความทุกข์นี้
11 “ทำไมหนอข้าจึงไม่ตายตั้งแต่เกิด?
ทำไมไม่สิ้นลมตั้งแต่คลอด?
12 ทำไมหนอจึงมีตักที่รองรับข้าไว้
มีอ้อมอกที่เลี้ยงดู?
13 ไม่เช่นนั้นป่านนี้ข้าคงได้นอนอย่างสงบ
ข้าคงได้หลับและพักอย่างสบาย
14 กับบรรดากษัตริย์และที่ปรึกษาของโลก
ผู้สร้างสถานที่สำหรับตนซึ่งบัดนี้ปรักหักพัง
15 กับบรรดาผู้ครอบครอง
ซึ่งมีเงินทองเต็มบ้าน
16 ทำไมหนอข้าจึงไม่ถูกดินกลบหน้าเหมือนทารกที่ตายตั้งแต่ยังไม่คลอด
ที่ไม่เคยเห็นเดือนเห็นตะวัน?
17 ที่นั่นคนชั่วหยุดวุ่นวาย
และคนเหนื่อยอ่อนก็ได้พักสงบ
18 เชลยอยู่อย่างสบาย
ไม่ได้ยินเสียงตะคอกจากนายทาสอีกต่อไป
19 ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยอยู่ที่นั่น
และทาสก็เป็นอิสระจากนาย
20 “ทำไมหนอจึงยังให้แสงสว่างแก่ผู้ที่ทุกข์ลำเค็ญ
และให้ชีวิตแก่ผู้ที่ขมขื่นในดวงวิญญาณ?
21 แก่ผู้ที่กระหายหาความตายแต่ไม่พบ
ทั้งๆ ที่เขาเสาะหามันยิ่งกว่าขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่
22 ผู้เต็มไปด้วยความเปรมปรีดิ์
และชื่นชมยินดีเมื่อพวกเขาได้ไปถึงหลุมฝังศพ
23 ทำไมยังให้ชีวิต
กับชายจนตรอก
ผู้ที่พระเจ้าทรงปิดทางออกของชีวิตไว้?
24 เพราะการทอดถอนใจมาถึงข้าแทนข้าวปลาอาหาร
เสียงครวญครางของข้าพรั่งพรูออกมาเหมือนสายน้ำ
25 สิ่งที่ข้ากลัวได้มาถึงข้า
สิ่งที่ข้าหวาดหวั่นเกิดขึ้นกับข้าแล้ว
26 ข้าไม่มีสันติสุข ไม่มีความสงบ
ข้าไม่ได้พักผ่อน มีแต่ความวุ่นวายเท่านั้น”
ตัวอย่างจากชีวิตสมรส
7 พี่น้องทั้งหลายท่านไม่รู้หรือว่าบทบัญญัตินั้นมีอำนาจเหนือมนุษย์ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น? ที่ข้าพเจ้าถามเช่นนี้เพราะข้าพเจ้ากำลังพูดกับผู้ที่รู้บทบัญญัติ 2 ตัวอย่างเช่น ตามบทบัญญัติผู้หญิงที่แต่งงานแล้วย่อมมีข้อผูกมัดกับสามีของนางตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสามีของนางตายไป นางก็พ้นจากกฎของการสมรสนี้ 3 ดังนั้นถ้านางไปแต่งงานกับชายอื่นขณะที่สามี ของนางยังมีชีวิตอยู่ นางก็ได้ชื่อว่าเป็นหญิงล่วงประเวณี แต่ถ้าสามีของนางตายไป นางก็พ้นจากกฎนั้น แม้นางไปแต่งงานกับชายอื่นก็ไม่เป็นการล่วงประเวณี
4 ดังนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าท่านเองก็ตายจากบทบัญญัติแล้วโดยทางพระกายของพระคริสต์ เพื่อท่านจะเป็นของอีกผู้หนึ่ง คือเป็นของพระองค์ผู้ทรงเป็นขึ้นจากตาย เพื่อเราจะเกิดผลถวายแด่พระเจ้า 5 เพราะเมื่อก่อนเราถูกวิสัยบาป[a]ควบคุมอยู่จึงถูกบทบัญญัติกระตุ้นตัณหาชั่วให้ออกฤทธิ์ในกายของเรา เพื่อให้เราเกิดผลอันนำไปสู่ความตาย 6 แต่บัดนี้โดยการตายต่อสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยผูกมัดเรา เราก็ได้รับการปลดปล่อยจากบทบัญญัติแล้ว เพื่อรับใช้ตามแนวทางใหม่คือตามพระวิญญาณ ไม่ใช่ตามแนวทางเดิมคือตามบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร
ต่อสู้กับบาป
7 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? บทบัญญัติคือบาปหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน! อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะบทบัญญัติ ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าอะไรคือบาป เพราะถ้าบทบัญญัติไม่ได้กล่าวว่า “อย่าโลภ”[b] ข้าพเจ้าคงไม่รู้ว่าอะไรคือความโลภ 8 แต่บาปฉวยโอกาสจากพระบัญญัติมาก่อความโลภทุกชนิดขึ้นในตัวข้าพเจ้า เพราะถ้าไม่มีบทบัญญัติ บาปก็ตายแล้ว 9 ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าดำเนินชีวิตโดยไม่มีบทบัญญัติ แต่พอมีพระบัญญัติ บาปก็มีชีวิตขึ้นมาและข้าพเจ้าก็ตาย 10 ข้าพเจ้าพบว่าพระบัญญัตินั้นเองที่มุ่งหมายให้นำชีวิตมาแท้จริงกลับนำความตายมา 11 เพราะบาปฉวยโอกาสจากพระบัญญัติมาล่อลวงข้าพเจ้า และบาปทำให้ข้าพเจ้าตายโดยทางพระบัญญัตินั้น 12 ดังนั้นแล้วบทบัญญัติจึงบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และพระบัญญัติก็บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ชอบธรรม และดีงาม
13 ก็แล้วสิ่งที่ดีงามกลับเป็นความตายสำหรับข้าพเจ้าหรือ? เปล่าเลย! แต่เพื่อให้รู้จักว่าบาปคือบาป บาปจึงก่อความตายขึ้นในข้าพเจ้าผ่านทางสิ่งที่ดี เพื่อว่าโดยทางพระบัญญัติจะได้เห็นว่าบาปนั้นเลวร้ายอย่างยิ่ง
14 เรารู้อยู่ว่าบทบัญญัติเป็นเรื่องจิตวิญญาณ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ ข้าพเจ้าถูกขายให้เป็นทาสบาป 15 ข้าพเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ ข้าพเจ้าไม่ทำ แต่ข้าพเจ้ากลับทำสิ่งที่ตนเองเกลียด 16 และถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ข้าพเจ้าก็เห็นด้วยว่าบทบัญญัตินั้นดี 17 ดังที่เป็นอยู่จึงไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่เป็นผู้ทำสิ่งนี้อีกต่อไป แต่เป็นบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าที่ทำ 18 ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่มีสิ่งดีอะไรอยู่ในตัวข้าพเจ้า คือในวิสัยบาป[c]ของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าปรารถนาจะทำสิ่งที่ดีแต่ทำไม่ได้ 19 เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งดีที่ข้าพเจ้าต้องการทำ แต่สิ่งชั่วซึ่งข้าพเจ้าไม่ต้องการทำ ข้าพเจ้ากลับทำเรื่อยไป 20 ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำย่อมไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่ทำ แต่เป็นบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ
21 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพบว่ามีกฎนี้อยู่คือ เมื่อข้าพเจ้าต้องการจะทำดี ความชั่วก็อยู่กับข้าพเจ้าที่นั่นแล้ว 22 เพราะในส่วนลึกข้าพเจ้าชื่นชมในบทบัญญัติของพระเจ้า 23 แต่ข้าพเจ้าเห็นกฎอีกข้อหนึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า กฎนี้ต่อสู้กับกฎภายในจิตใจของข้าพเจ้า และทำให้ข้าพเจ้าเป็นนักโทษของกฎแห่งบาปซึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า 24 ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสังเวชอะไรเช่นนี้! ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากกายแห่งความตายนี้ได้? 25 ขอบพระคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าพ้นได้โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา!
ดังนั้นแล้วในด้านจิตใจข้าพเจ้าเองเป็นทาสของกฎแห่งพระเจ้า แต่ในด้านวิสัยบาปข้าพเจ้าเป็นทาสของกฎแห่งบาป
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.