Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ปฐมกาล 35-36

ยาโคบกลับไปเบธเอล

35 แล้วพระเจ้าตรัสกับยาโคบว่า “จงขึ้นไปยังเบธเอล แล้วตั้งถิ่นฐานที่นั่น และจงสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่นถวายพระเจ้าผู้ทรงปรากฏแก่เจ้าเมื่อเจ้าหนีจากเอซาวพี่ชายของเจ้า”

ดังนั้นยาโคบจึงกล่าวกับครอบครัวของเขาและทุกคนที่อยู่กับเขาว่า “จงกำจัดเทวรูปทั้งหลายที่พวกเจ้ามีอยู่ แล้วชำระตัวให้บริสุทธิ์ และเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วให้เราขึ้นไปยังเบธเอลที่เราจะสร้างแท่นบูชาขึ้นถวายแด่พระเจ้าผู้ทรงตอบคำอธิษฐานของเราในคราวทุกข์ยาก และได้สถิตกับเราตลอดมาในทุกหนทุกแห่งที่เราไป” คนเหล่านั้นจึงเอาเทวรูปทั้งหมดของตนและตุ้มหูมามอบให้ยาโคบ และยาโคบก็ฝังมันไว้ใต้สถานบูชาต้นไม้ใหญ่ที่เชเคม จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางต่อ และชาวเมืองที่อยู่รอบๆ พวกเขาก็เกิดหวาดกลัวพระเจ้า จึงไม่มีใครไล่ตามพวกเขาไป

ยาโคบกับคนทั้งหมดที่ร่วมทางได้มาถึงเมืองลูส (คือเบธเอล) ในแผ่นดินคานาอัน เขาสร้างแท่นบูชาขึ้นและเรียกที่นั่นว่าเอลเบธเอล[a] เพราะพระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์แก่เขาที่นั่นเมื่อครั้งที่เขาหนีจากพี่ชายของเขา

ครั้งนั้นเดโบราห์พี่เลี้ยงของเรเบคาห์สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ทางใต้ของเบธเอล ที่นั่นจึงได้ชื่อว่าอัลโลนบาคูท[b]

หลังจากยาโคบกลับมาจากจากปัดดานอารัม พระเจ้าทรงปรากฏแก่ยาโคบอีกครั้งหนึ่งและทรงอวยพรเขา 10 พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “เจ้าชื่อยาโคบ[c] แต่คนจะไม่เรียกเจ้าว่ายาโคบอีกต่อไป เจ้าจะได้ชื่อว่าอิสราเอล[d]” ดังนั้นพระองค์จึงตั้งชื่อเขาว่าอิสราเอล

11 แล้วพระเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ เจ้าจงมีลูกมีหลานมากมายและทวีจำนวนขึ้น จะมีชนชาติหนึ่งและหมู่ประชาชาติเกิดมาจากเจ้า และกษัตริย์หลายองค์จะมาจากกายของเจ้า 12 ดินแดนนี้ซึ่งเรายกให้แก่อับราฮัมและอิสอัค เราจะยกให้แก่เจ้าด้วย และเราจะให้ดินแดนนี้แก่ลูกหลานของเจ้าที่จะมาภายหลัง” 13 แล้วพระเจ้าเสด็จขึ้นไปจากสถานที่ที่พระองค์ตรัสกับเขา

14 ยาโคบจึงตั้งเสาหินตรงสถานที่ซึ่งพระเจ้าตรัสกับเขา แล้วเทเครื่องดื่มบูชาลงบนเสาและเทน้ำมันลงบนนั้นด้วย 15 ยาโคบเรียกสถานที่ซึ่งพระเจ้าตรัสกับเขาว่าเบธเอล[e]

ราเชลและอิสอัคสิ้นชีวิต(A)

16 จากนั้นพวกเขาเดินทางออกจากเบธเอล ขณะที่พวกเขาใกล้จะถึงเอฟราธาห์ ราเชลเริ่มเจ็บท้องคลอดและทรมานมาก 17 ขณะที่กำลังทุรนทุรายอยู่นั้น นางผดุงครรภ์ก็ปลอบว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเธอกำลังจะได้ลูกชายอีกคน” 18 ขณะที่ราเชลกำลังจะสิ้นลมหายใจ นางตั้งชื่อลูกว่าเบนโอนี[f] แต่ยาโคบเรียกเขาว่าเบนยามิน[g]

19 ราเชลก็สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้บนเส้นทางที่จะไปเอฟราธาห์ (คือเบธเลเฮม) 20 ยาโคบปักเสาหินเหนือหลุมฝังศพของนางเป็นอนุสรณ์ซึ่งยังคงอยู่จนทุกวันนี้

21 แล้วอิสราเอลก็เดินทางต่อไปอีกครั้ง และได้ตั้งเต็นท์ถัดจากมิกดัลเอเดอร์ 22 ขณะอิสราเอลพักอยู่ในละแวกนั้น รูเบนก็ไปหลับนอนกับบิลฮาห์ภรรยาน้อยของบิดา และอิสราเอลก็ได้ทราบเรื่องนี้

ยาโคบมีบุตรชายสิบสองคน

23 บุตรชายที่เกิดจากเลอาห์ ได้แก่

รูเบนบุตรชายหัวปีของยาโคบ สิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน

24 บุตรชายที่เกิดจากราเชล ได้แก่

โยเซฟและเบนยามิน

25 บุตรชายที่เกิดจากบิลฮาห์สาวใช้ของราเชลได้แก่

ดานและนัฟทาลี

26 บุตรชายที่เกิดจากศิลปาห์ สาวใช้ของเลอาห์ ได้แก่

กาดและอาเชอร์

ทั้งหมดนี้คือบุตรชายของยาโคบที่เกิดในปัดดานอารัม

27 ยาโคบกลับบ้านมาหาอิสอัคบิดาของเขาที่มัมเรใกล้คีริยาทอารบา (คือเมืองเฮโบรน) ที่ซึ่งอับราฮัมกับอิสอัคได้อาศัยอยู่ 28 อิสอัคมีอายุจนถึง 180 ปี 29 แล้วอิสอัคก็สิ้นลมหายใจและถูกรวมไว้กับบรรพบุรุษของเขา เขาสิ้นชีวิตเมื่อชรามากแล้ว เอซาวกับยาโคบผู้เป็นบุตรก็จัดการฝังศพบิดา

วงศ์วานของเอซาว(B)

36 นี่คือเรื่องราวเชื้อสายของเอซาว (คือเอโดม)

เอซาวแต่งงานกับหญิงชาวคานาอันคือ อาดาห์บุตรสาวของเอโลนชาวฮิตไทต์ และโอโฮลีบามาห์เป็นบุตรสาวของอานาห์ และเป็นหลานสาวของศิเบโอนชาวฮีไวต์ และบาเสมัทบุตรสาวของอิชมาเอล น้องสาวของเนบาโยท

อาดาห์ให้กำเนิดเอลีฟัสแก่เอซาว บาเสมัทให้กำเนิดเรอูเอล และโอโฮลีบามาห์ให้กำเนิดเยอูช ยาลาม และโคราห์ ทั้งหมดนี้คือบุตรชายของเอซาวที่เกิดในดินแดนคานาอัน

เอซาวพาภรรยาทั้งหลาย บุตรชายหญิง คนทั้งปวงในครัวเรือน ฝูงสัตว์ สัตว์อื่นๆ รวมทั้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่หามาได้ในดินแดนคานาอันย้ายไปยังอีกดินแดนหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากยาโคบน้องชายของเขา ทรัพย์สมบัติที่ทั้งสองฝ่ายมีนั้นมากเกินกว่าที่เขาทั้งสองจะอาศัยอยู่ร่วมกันได้ ดินแดนนั้นไม่สามารถรองรับฝูงสัตว์ของเขาทั้งสอง ดังนั้นเอซาว (คือเอโดม) จึงไปตั้งถิ่นฐานในแดนเทือกเขาเสอีร์

นี่คือเรื่องราวเชื้อสายของเอซาวบิดาของชนชาติเอโดมในแดนเทือกเขาเสอีร์

10 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อบุตรชายของเอซาว

เอลีฟัสซึ่งเกิดจากนางอาดาห์ภรรยาของเอซาว และเรอูเอลซึ่งเกิดจากบาเสมัทภรรยาของเอซาว

11 บุตรชายของเอลีฟัสได้แก่

เทมาน โอมาห์ เศโฟ กาทาม และเคนัส

12 เอลีฟัสบุตรเอซาวมีภรรยาน้อยชื่อทิมนา ผู้ให้กำเนิดอามาเลขแก่เขา คนเหล่านี้เป็นหลานชายของนางอาดาห์ภรรยาของเอซาว

13 บุตรชายของเรอูเอลได้แก่

นาหาท เศราห์ ชัมมาห์ และมิสซาห์ คนเหล่านี้เป็นหลานชายของนางบาเสมัทภรรยาของเอซาว

14 บุตรชายของเอซาวซึ่งเกิดจากนางโอโฮลีบามาห์ภรรยาของเอซาว ซึ่งเป็นบุตรสาวของอานาห์และเป็นหลานสาวของศิเบโอน ได้แก่

เยอูช ยาลาม และโคราห์

15 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อหัวหน้าตระกูลในหมู่ลูกหลานของเอซาว

บุตรของเอลีฟัส ผู้เป็นบุตรหัวปีของเอซาวได้แก่

หัวหน้าเทมาน โอมาร์ เศโฟ เคนัส 16 โคราห์[h] กาทาม และอามาเลข คนเหล่านี้คือหัวหน้าซึ่งสืบเชื้อสายจากเอลีฟัสแห่งเอโดม พวกเขาเป็นหลานชายของนางอาดาห์

17 บุตรชายของเรอูเอลผู้เป็นบุตรของเอซาวได้แก่

หัวหน้านาหาท เศราห์ ชัมมาห์ และมิสซาห์ คนเหล่านี้คือหัวหน้าซึ่งสืบเชื้อสายจากเรอูเอลแห่งเอโดม พวกเขาเป็น หลานชายของนางบาเสมัทภรรยาของเอซาว

18 บุตรชายของนางโอโฮลีบามาห์ภรรยาของเอซาวได้แก่

หัวหน้าเยอูช ยาลาม และโคราห์ คนเหล่านี้คือหัวหน้าซึ่งสืบเชื้อสายจากนางโอโฮลีบามาห์บุตรสาวของอานาห์ภรรยาของเอซาว

19 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายของเอซาว (คือเอโดม) และคนเหล่านี้เป็นหัวหน้าของพวกเขา

20 ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของเสอีร์ชาวโฮรีซึ่งอาศัยอยู่ในท้องถิ่นนั้น

โลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์ 21 ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน คนเหล่านี้เป็นบุตรชายของเสอีร์แห่งเอโดม ซึ่งเป็นหัวหน้าของชาวโฮรี

22 บุตรชายของโลทานได้แก่

โฮรีและโฮมาม[i] ทิมนาเป็นน้องสาวของโลทาน

23 บุตรชายของโชบาลได้เแก่

อัลวาน มานาฮาท เอบาล เชโฟ และโอนัม

24 บุตรชายของศิเบโอนได้แก่

อัยยาห์และอานาห์ อานาห์คือผู้ค้นพบบ่อน้ำพุร้อน[j]ในทะเลทรายขณะที่เลี้ยงฝูงลาของศิเบโอนผู้เป็นบิดา

25 บุตรของอานาห์ได้แก่

ดีโชนและโอโฮลีบามาห์ ซึ่งเป็นบุตรสาวของอานาห์

26 บุตรชายของดีโชน[k]ได้แก่

เฮมดาน เอชบาน อิธราน และเคราน

27 บุตรชายเอเซอร์ได้แก่

บิลฮาน ศาอาวาน และอาขาน

28 บุตรชายของดีชานได้แก่

อูศและอารัน

29 ต่อไปนี้เป็นหัวหน้าของชาวโฮรี ได้แก่

โลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์ 30 ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน ซึ่งแบ่งตามส่วนการปกครองของพวกเขาในดินแดนเสอีร์

กษัตริย์ของเอโดม(C)

31 ต่อไปนี้เป็นบรรดากษัตริย์ที่ครองราชย์ในเอโดมก่อนที่ชนอิสราเอลจะมีกษัตริย์ปกครอง[l]

32 เบลา บุตรเบโอร์ ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเอโดม เมืองของพระองค์ชื่อดินฮาบาห์

33 เมื่อเบลาสิ้นพระชนม์ โยบับบุตรเศราห์จากโบสราห์ได้ขึ้นปกครองแทน

34 เมื่อโยบับสิ้นพระชนม์ หุชามจากดินแดนของชาวเทมานได้ขึ้นปกครองแทน

35 เมื่อหุชามสิ้นพระชนม์ ฮาดัดบุตรเบดัดผู้มีชัยเหนือกองทัพมีเดียนในดินแดนโมอับได้ขึ้นปกครองแทน เมืองของพระองค์ชื่ออาวีท

36 เมื่อฮาดัดสิ้นพระชนม์ สัมลาห์จากมัสเรคาห์ได้ขึ้นปกครองแทน

37 เมื่อสัมลาห์สิ้นพระชนม์ ชาอูลจากเรโหโบทที่อยู่ริมแม่น้ำ[m]ได้ขึ้นปกครองแทน

38 เมื่อชาอูลสิ้นพระชนม์ บาอัลฮานันบุตรชายอัคโบร์ได้ขึ้นปกครองแทน

39 เมื่อบาอัลฮานันสิ้นพระชนม์ ฮาดัด[n]ได้ขึ้นปกครองแทน เมืองของพระองค์ชื่อปาอู มเหสีของพระองค์ชื่อเมเหทาเบล บุตรีของมัทเรดผู้เป็นบุตรีของเมซาหับ

40 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อหัวหน้าที่สืบเชื้อสายจากเอซาว แบ่งตามตระกูลและถิ่นฐานที่ปกครอง ได้แก่

ทิมนา อัลวาห์ เยเธท 41 โอโฮลีบามาห์ เอลาห์ ปิโนน 42 เคนัส เทมาน มิบซาร์ 43 มักดีเอล และอิราม คนเหล่านี้คือหัวหน้าของเอโดม แบ่งตามถิ่นฐานในดินแดนที่ปกครอง

นี่คือเอซาว บิดาของชาวเอโดม

มาระโก 6

ผู้เผยพระวจนะซึ่งไม่มีใครนับถือ(A)

พระเยซูเสด็จจากที่นั่นไปยังบ้านเกิดของพระองค์โดยมีเหล่าสาวกติดตามไปด้วย เมื่อถึงวันสะบาโตพระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลา หลายคนที่ได้ฟังพระองค์ก็ประหลาดใจ

พวกเขาถามว่า “คนนี้ได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? สติปัญญาที่เขาได้รับเป็นสติปัญญาอย่างไหนกัน? ถึงกับทำการอัศจรรย์ได้! เขาเป็นช่างไม้มิใช่หรือ? เขาเป็นลูกนางมารีย์ เป็นพี่ชายของยากอบ โยเซฟ[a] ยูดาส กับซีโมนไม่ใช่หรือ? พวกน้องสาวของเขาก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ?” เขาทั้งหลายจึงไม่พอใจพระองค์

พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระวจนะจะขาดคนนับถือก็แต่เฉพาะในบ้านเกิด ในหมู่ญาติ และในบ้านของตนเอง” พระองค์ไม่อาจทำการอัศจรรย์ใดๆ ที่นั่นเว้นแต่ทรงวางมือบนคนป่วยบางคนและรักษาพวกเขาให้หาย และพระองค์ทรงแปลกใจที่พวกเขาขาดความเชื่อ

พระเยซูทรงส่งสาวกทั้งสิบสองคนออกไป(B)

จากนั้นพระเยซูเสด็จไปสั่งสอนตามหมู่บ้านโดยรอบ ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา ส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ๆพร้อมทั้งประทานฤทธิ์อำนาจเหนือวิญญาณชั่ว[b]ให้แก่พวกเขา

พระองค์ทรงกำชับว่า “ไม่ต้องนำสิ่งใดติดตัวไปในการเดินทางนอกจากไม้เท้า ไม่ต้องเอาอาหาร ย่าม หรือเงินติดตัวไป ให้สวมรองเท้าแต่ไม่ต้องเตรียมเสื้ออีกตัวหนึ่ง 10 เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงพักที่บ้านนั้นจนกว่าจะไปจากเมืองนั้น 11 หากที่ไหนไม่ต้อนรับหรือไม่รับฟัง เมื่อจะไปจากที่นั่นก็จงสะบัดฝุ่นออกจากเท้าเพื่อเป็นพยานปรักปรำเขา”

12 เหล่าสาวกจึงออกไปและเทศนาให้ประชาชนกลับใจใหม่ 13 พวกเขาขับผีออกหลายตนและเจิมคนป่วยมากมายด้วยน้ำมันและรักษาพวกเขาให้หาย

ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกประหาร(C)

14 กษัตริย์เฮโรดได้ยินเรื่องของพระเยซูเพราะชื่อเสียงของพระองค์เลื่องลือไปทั่ว บางคนพูดว่า[c]พระเยซูคือยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งเป็นขึ้นจากตาย ดังนั้นเขาจึงมีฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์ต่างๆ ได้

15 บางคนก็ว่า “เขาคือเอลียาห์” และยังมีคนอื่นๆ ที่อ้างว่า “เขาคือผู้เผยพระวจนะเหมือนเหล่าผู้เผยพระวจนะในอดีต”

16 แต่เมื่อเฮโรดได้ยินก็กล่าวว่า “นี่คือยอห์นที่เราสั่งให้ตัดศีรษะไป เขาเป็นขึ้นจากตายแล้ว!”

17 เพราะเฮโรดเองสั่งให้จับยอห์นมาล่ามโซ่ขังไว้ในคุกด้วยสาเหตุจากนางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตนซึ่งเฮโรดได้นางมาเป็นภรรยา 18 เนื่องจากยอห์นเคยพูดกับเฮโรดว่า “ท่านทำผิดบัญญัติที่เอาน้องสะใภ้มาเป็นภรรยา” 19 ดังนั้นนางเฮโรเดียสจึงอาฆาตยอห์นและอยากจะฆ่าเขาแต่ก็ทำไม่ได้ 20 เพราะเฮโรดยำเกรงยอห์นและคอยปกป้องเขาเพราะรู้ว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมและบริสุทธิ์ เมื่อเฮโรดได้ฟังยอห์นพูดก็งุนงงสงสัยยิ่งนัก[d]แต่ก็ยังอยากฟัง

21 ในที่สุดโอกาสก็มาถึง ในงานฉลองวันเกิดเฮโรดจัดงานเลี้ยงขุนนาง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และบรรดาคนสำคัญๆ ในแคว้นกาลิลี 22 เมื่อบุตรีของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำก็เป็นที่ถูกใจเฮโรดกับแขกเหรื่อยิ่งนัก

กษัตริย์จึงกล่าวกับหญิงสาวนั้นว่า “จงขอสิ่งที่เจ้าต้องการแล้วเราจะให้ตามที่เจ้าขอ” 23 และสัญญาโดยปฏิญาณว่า “ไม่ว่าเจ้าจะขออะไร เราก็จะให้ทั้งนั้นจนถึงครึ่งหนึ่งของอาณาจักร”

24 นางจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขออะไรดี?”

มารดาบอกว่า “ขอศีรษะยอห์นผู้ให้บัพติศมาสิ”

25 นางรีบมาทูลกษัตริย์ทันทีว่า “ขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เดี๋ยวนี้เถิด”

26 กษัตริย์เฮโรดเป็นทุกข์ยิ่งนักแต่ก็ขัดไม่ได้เพราะได้ปฏิญาณไว้และเพราะเห็นแก่หน้าแขกเหรื่อ 27 จึงบัญชาในทันทีทันใดให้เพชฌฆาตนำศีรษะของยอห์นมา เขาก็ไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก 28 แล้วนำศีรษะใส่ถาดมาให้หญิงนั้นและนางเอาไปให้มารดา 29 เมื่อศิษย์ของยอห์นทราบข่าวจึงมารับศพเขาไปฝังในอุโมงค์

พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน(D)

30 ฝ่ายอัครทูตมาเข้าเฝ้าพระเยซูและทูลรายงานสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาได้ทำและสั่งสอน 31 เนื่องจากขณะนั้นมีผู้คนไปๆ มาๆ กันแน่นขนัดจนพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะรับประทานอาหาร พระองค์จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงตามเราไปหาที่สงบพักกันสักหน่อยเถิด”

32 ดังนั้นพระองค์กับเหล่าสาวกจึงลงเรือไปยังที่สงบเงียบ 33 แต่หลายคนเห็นพวกเขาก็จำได้และพากันวิ่งจากเมืองต่างๆ ไปถึงที่นั่นก่อน 34 เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือและเห็นคนหมู่ใหญ่ก็ทรงสงสารเพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง ดังนั้นพระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง

35 พอตกเย็นเหล่าสาวกจึงมาทูลว่า “ที่นี่ห่างไกลนักและตกเย็นแล้ว 36 ขอทรงให้ประชาชนเหล่านี้ไปเสียเถิดเพื่อเขาจะได้ซื้อหาอาหารกินกันเองตามหมู่บ้านรอบๆ”

37 แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด”

เหล่าสาวกทูลว่า “นี่ต้องใช้เงินเท่ากับค่าจ้างคนงานคนหนึ่งถึงแปดเดือน[e]ทีเดียว! เราต้องใช้เงินมากขนาดนั้นไปซื้อหาอาหารมาให้เขากินหรือ?”

38 พระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน? ไปดูซิ”

เมื่อรู้แล้วพวกเขาจึงกลับมาทูลว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว”

39 แล้วพระเยซูตรัสสั่งสาวกให้ไปบอกประชาชนให้นั่งกันเป็นกลุ่มบนพื้นหญ้าเขียวขจี 40 พวกเขาก็นั่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง 41 พระเยซูทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวนั้นมา ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมองฟ้าสวรรค์แล้วขอบพระคุณพระเจ้าและหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวก พวกเขาก็แจกจ่ายให้ประชาชน พระองค์ยังทรงแบ่งปลาสองตัวให้คนทั้งปวงโดยทั่วกันด้วย 42 พวกเขาทุกคนได้กินอิ่มหนำ 43 เหล่าสาวกเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้สิบสองตะกร้าเต็ม 44 จำนวนผู้ชายที่รับประทานอาหารนั้นมีห้าพันคน

พระเยซูทรงดำเนินบนน้ำ(E)

45 แล้วพระเยซูทรงให้เหล่าสาวกลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปยังเมืองเบธไซดาทันทีขณะที่พระองค์ทรงรอส่งฝูงชน 46 หลังจากแยกจากพวกเขาแล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐาน

47 เมื่อค่ำลง เรือของเหล่าสาวกอยู่กลางทะเลสาบและพระองค์ประทับอยู่ที่ริมฝั่งแต่ผู้เดียว 48 ทรงเห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงทวนลมที่ปะทะอยู่ ในช่วงใกล้รุ่ง[f]พระเยซูก็ทรงดำเนินบนน้ำไปหาพวกเขา พระองค์กำลังจะเสด็จเลยพวกเขาไป 49 แต่เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ดำเนินมาบนทะเลสาบก็คิดว่าเป็นผีจึงร้องลั่น 50 เพราะทุกคนเห็นพระองค์และตกใจกลัว

ทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เข้มแข็งไว้! นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 51 แล้วเสด็จขึ้นเรือของพวกเขา ลมก็สงบ พวกเขาประหลาดใจยิ่งนัก 52 เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง จิตใจของพวกเขาแข็งกระด้าง

53 เมื่อข้ามฟากมาแล้วพวกเขาก็จอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเรท 54 ทันทีที่พวกเขาขึ้นจากเรือประชาชนก็จำพระเยซูได้ 55 คนเหล่านั้นจึงวิ่งไปทั่วแคว้นนำบรรดาคนเจ็บป่วยวางบนที่นอนและหามไปยังทุกที่ที่ได้ยินว่าพระองค์เสด็จไป 56 ไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ไหน ทั้งในหมู่บ้าน ในเมือง หรือในชนบท พวกเขาจะหามคนป่วยมาที่ย่านชุมชน แล้วทูลขอให้คนป่วยนั้นได้แตะต้องแม้แต่เพียงชายฉลองพระองค์ก็พอและทุกคนที่ได้แตะต้องพระองค์ก็หายป่วย

โยบ 2

การทดสอบโยบครั้งที่สอง

อีกวันหนึ่งเมื่อบรรดาทูตสวรรค์[a]มาชุมนุมกันต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและซาตานก็มาร่วมชุมนุมต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามซาตานว่า “เจ้ามาจากที่ไหน?”

ซาตานกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ท่องเที่ยวไปมาในโลกพระเจ้าข้า”

องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับซาตานว่า “เจ้าสังเกตดูโยบผู้รับใช้ของเราบ้างหรือไม่? ทั่วโลกนี้ไม่มีใครเหมือนเขา เขาเป็นคนดีเพียบพร้อม เที่ยงธรรม ยำเกรงพระเจ้า และหลีกห่างจากความชั่ว เขายังคงซื่อสัตย์ภักดีต่อเราทั้งๆ ที่เจ้าท้าทายให้เรายอมให้เจ้าทำลายเขาโดยไม่มีสาเหตุ”

ซาตานกราบทูลว่า “หนังแทนหนัง! คนเรายอมเสียอะไรก็ได้เพื่อแลกชีวิตของตน ลองพระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกทำลายเลือดเนื้อร่างกายของเขาสิ รับรองว่าเขาจะแช่งด่าพระองค์ต่อหน้าเลยทีเดียว”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาเถิด เจ้าจะทำอะไรเขาก็ได้ แต่ต้องไว้ชีวิตเขา”

ซาตานจึงทูลลาองค์พระผู้เป็นเจ้าไป แล้วทรมานโยบด้วยฝีร้ายซึ่งลามตั้งแต่ฝ่าเท้าถึงกลางกระหม่อม โยบจึงเอาเศษหม้อแตกขูดเนื้อของเขาขณะนั่งอยู่ในกองขี้เถ้า

ภรรยาของโยบกล่าวกับเขาว่า “ท่านยังจะซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าอยู่อีกหรือ? จงแช่งด่าพระเจ้าแล้วก็ตายเสียเถอะ!”

10 โยบตอบว่า “เธอพูดเหมือนคนโง่เขลา[b] เราจะรับแต่สิ่งดีๆ จากพระเจ้าโดยไม่ยอมรับความทุกข์ร้อนบ้างเลยหรือ?”

ในเหตุการณ์ทั้งหมดนี้โยบไม่ได้ทำบาปในสิ่งที่เขาพูดเลย

เพื่อนสามคนของโยบ

11 เมื่อเพื่อนสามคนของโยบ คือเอลีฟัสชาวเทมาน บิลดัดชาวชูอาห์ และโศฟาร์ชาวนาอามาห์ ได้ข่าวเรื่องความทุกข์ร้อนทั้งสิ้นที่เกิดกับเขา ก็นัดกันเดินทางจากบ้านมาเพื่อร่วมทุกข์และให้กำลังใจโยบ 12 เมื่อพวกเขาเห็นโยบแต่ไกลก็จำเขาแทบไม่ได้ พวกเขาจึงพากันร้องไห้เสียงดัง ฉีกเสื้อผ้า และโปรยฝุ่นใส่ศีรษะ 13 แล้วนั่งอยู่ที่พื้นเป็นเพื่อนโยบตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน ไม่มีใครเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียวเพราะเห็นว่าโยบทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงใด

โรม 6

ตายต่อบาป แต่มีชีวิตในพระคริสต์

เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? เราควรจะทำบาปต่อไปเพื่อพระคุณจะได้มีมากยิ่งขึ้นหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย! เราได้ตายต่อบาปแล้ว เราจะดำเนินชีวิตในบาปต่อไปได้อย่างไร? ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์? ฉะนั้นเราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายโดยพระเกียรติสิริของพระบิดา

ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้วเพื่อกายบาปนั้นจะถูกขจัดไป[a] เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้วก็เป็นอิสระจากบาป

ถ้าเราตายกับพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย เพราะเรารู้ว่าในเมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายแล้ว พระองค์จะไม่มีวันตายอีก ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป 10 ที่พระองค์ทรงตายนั้นทรงตายต่อบาปครั้งเดียวเป็นพอ แต่ที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่นั้นทรงมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า

11 ในทำนองเดียวกันจงถือว่าตัวท่านเองตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ 12 เหตุฉะนั้นอย่าให้บาปครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของกายนั้น 13 อย่ายกส่วนต่างๆ ในกายของท่านให้แก่บาปเป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้าในฐานะผู้ที่ทรงให้มีชีวิต เป็นขึ้นจากตาย และถวายส่วนต่างๆ ในกายของท่านแด่พระองค์ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม 14 เพราะบาปจะไม่เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติแต่อยู่ใต้พระคุณ

ทาสของความชอบธรรม

15 เช่นนี้แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป? เราจะทำบาปเพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติแต่อยู่ใต้พระคุณ

หรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย! 16 ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น? ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม 17 แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอนซึ่งทรงมอบหมายแก่ท่านนั้นอย่างสุดใจ 18 ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปและได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว

19 ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ตามประสามนุษย์ก็เพราะท่านอ่อนแอตามปกติวิสัยของท่าน เมื่อก่อนท่านเคยให้ส่วนต่างๆ ในกายของท่านเป็นทาสของความโสโครกและความชั่วร้ายที่เพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุดอย่างไร บัดนี้ก็จงให้ส่วนต่างๆ นั้นเป็นทาสของความชอบธรรมซึ่งนำมาสู่ความบริสุทธิ์อย่างนั้น 20 เมื่อท่านเป็นทาสของบาป ท่านก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของความชอบธรรม 21 ครั้งนั้นท่านได้เก็บเกี่ยวประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านั้นซึ่งบัดนี้ท่านก็ละอายแก่ใจ? ผลลัพธ์ของสิ่งเหล่านั้นคือความตาย! 22 แต่บัดนี้ท่านเป็นอิสระจากบาปและได้กลายมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ประโยชน์ที่ท่านได้เก็บเกี่ยวนำไปสู่ความบริสุทธิ์ และผลลัพธ์คือชีวิตนิรันดร์ 23 เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือความตาย แต่ของขวัญจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ใน[b]พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.