M’Cheyne Bible Reading Plan
เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ถูกทำลาย
19 ทูตสวรรค์ 2 องค์นั้นมายังโสโดมในเวลาเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นท่านทั้งสอง เขาก็ลุกขึ้นไปหา และก้มตัวลงราบกับพื้น หน้าซบดิน 2 และพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ได้โปรดมายังบ้านของผู้รับใช้ท่านเถิด มาค้างคืนและล้างเท้าของท่าน แล้วท่านจะได้ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ไปตามทางของท่าน” ทั้งสองกล่าวว่า “ไม่หรอก เราจะค้างคืนที่ลานเมือง” 3 แต่เขาก็ยังคงคะยั้นคะยอท่านทั้งสองมิได้หยุด จนท่านต้องยอมไปบ้านของโลท โลททำอาหารเลี้ยงอย่างใหญ่โต และทำขนมปังไร้เชื้อ ท่านทั้งสองก็รับประทาน
4 แต่ก่อนจะเอนกายลง พวกผู้ชายของเมืองโสโดมทั้งคนหนุ่มและคนชราคือ ผู้ชายทั้งเมืองพากันมาล้อมบ้านของโลท 5 พวกเขาร้องเรียกโลทว่า “ผู้ชายที่มาหาเจ้าคืนนี้อยู่ไหน พาพวกเขาออกมาหาเรา เราจะได้หลับนอนกับเขา” 6 โลทจึงออกไปพูดกับพวกเขาข้างนอกพลางปิดประตู 7 เขาพูดว่า “เราขอร้องพวกท่าน พี่น้องทั้งหลาย อย่าทำตัวโฉดชั่วเช่นนี้ 8 ดูเถิด เรามีลูกสาว 2 คนซึ่งไม่เคยสมสู่กับชายใด เราจะพามาให้ท่าน จงทำสิ่งที่ใจท่านชอบ ขอแต่เพียงอย่าทำอะไรกับชายเหล่านี้เลย เพราะเขาอยู่ใต้การดูแลของเรา” 9 แต่พวกเขากลับพูดว่า “หลีกไป เจ้าคนนี้เป็นคนต่างด้าว แล้วยังทำตัวเป็นผู้พิพากษา พวกเราจะทำกับเจ้าเสียยิ่งกว่าจะทำกับคนทั้งสองนั้นอีก” แล้วพวกเขาก็ผลักโลทโดยแรง พลางถลันเข้าใกล้ประตู หวังจะพังประตูเข้าไป 10 แต่ชายทั้งสองเอื้อมมือออกไปดึงโลทกลับเข้าไปในบ้าน และปิดประตู 11 ครั้นแล้วท่านทั้งสองทำให้พวกที่อยู่นอกประตูบ้าน คนหนุ่มและคนชรา ตามัวมองไม่เห็น จนต้องพากันคลำหาประตู
12 แล้วชายทั้งสองพูดกับโลทว่า “เจ้ามีใครอยู่ที่นี่อีกไหม ลูกเขย ลูกชาย ลูกสาว หรือคนอื่นๆ ที่เจ้ามีในเมืองนี้ จงพาพวกเขาออกไปจากที่นี่ 13 เรากำลังจะทำลายเมืองนี้ เพราะเสียงร้องทุกข์ต่อต้านผู้คนของเมืองนี้ดังสนั่นขึ้นไปถึงพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ได้ส่งเรามาทำลายมันเสีย” 14 ดังนั้นโลทจึงออกไปพูดกับบรรดาว่าที่บุตรเขยซึ่งหมายจะแต่งงานกับบุตรหญิงของตนว่า “เร็วๆ ออกไปจากเมืองนี้เสีย เพราะพระผู้เป็นเจ้ากำลังจะทำลายเมืองนี้แล้ว” แต่พวกเขากลับคิดว่าโลทพูดล้อเล่น
15 ครั้นฟ้าสาง ทูตสวรรค์ทั้งสองเร่งโลทว่า “ลุกขึ้น พาภรรยากับลูกสาวอีก 2 คนที่อยู่ที่นี่ออกไป มิฉะนั้นเจ้าจะตายไปด้วยกับคนทั้งเมืองที่ถูกลงโทษ” 16 ขณะที่โลทลังเลใจอยู่ ชายทั้งสองจึงคว้ามือเขาและภรรยากับบุตรหญิง 2 คนออกมา เพราะพระผู้เป็นเจ้ามีเมตตาต่อเขา ท่านทั้งสองได้พาเขาออกไปให้พ้นจากเมือง 17 ทันทีที่พวกเขาพ้นจากเขตเมืองไปแล้ว ท่านกล่าวว่า “หนีเอาชีวิตรอดเถิด อย่าหันกลับไปดูหรือหยุดอยู่ที่ใดในที่ราบ จงหนีไปทางเนินเขา มิฉะนั้นเจ้าจะต้องตาย” 18 โลทพูดกับท่านทั้งสองว่า “โอ อย่าเลย นายท่าน 19 ดูเถิด ผู้รับใช้ของท่านเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ทั้งท่านยังได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นถึงความกรุณาโดยช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ แต่ข้าพเจ้าหนีไปทางเนินเขาไม่ได้ เพราะเกรงว่าความวิบัติจะมาถึงตัวข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็จะตาย 20 ดูเถิด เมืองข้างหน้านี้ก็ใกล้พอที่จะหนีไปถึงได้ ถึงเมืองจะเล็ก ก็ขอให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่นเถิด ขนาดเล็กมากมิใช่หรือ ชีวิตข้าพเจ้าจะได้ปลอดภัย” 21 ท่านกล่าวกับโลทว่า “เอาเถิด เราให้เจ้าทำตามนั้น แล้วเราจะไม่ทำลายเมืองที่เจ้าพูดถึง 22 จงรีบเร่งหนีไปที่นั่น เพราะเรายังทำอะไรไม่ได้จนกว่าเจ้าจะถึงที่นั่น” ฉะนั้นชื่อของเมืองนั้นคือ โศอาร์[a]
23 ขณะที่โลทมาถึงโศอาร์ดวงตะวันก็ขึ้นแล้ว 24 แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็บันดาลให้กำมะถันและไฟตกจากฟ้าสวรรค์ ลงมาที่เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ 25 พระองค์ได้เผาผลาญเมืองทั้งสอง ทั้งในบริเวณที่ราบ และผู้อาศัยทุกคนที่อยู่ในเมืองรวมถึงพืชผลทุกชนิดด้วย 26 แต่ภรรยาของโลทที่กำลังตามมา ได้หันหลังกลับไปมอง นางจึงกลายเป็นเสาเกลือไป
27 เวลาเช้าตรู่อับราฮัมก็ไปยังที่ที่ท่านยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าเมื่อคราวก่อน 28 ท่านมองลงมาทางเมืองโสโดม โกโมราห์ และทางดินแดนทั่วที่ราบ ท่านก็เห็นควันลอยขึ้นจากดินแดนนั้นราวกับกลุ่มควันที่พลุ่งจากเตาเผา
29 เหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้น เมื่อพระเจ้าทำลายเมืองเหล่านั้นในบริเวณที่ราบ พระเจ้าระลึกถึงอับราฮัม จึงได้พาโลทออกไปจากดินแดนที่ถูกเผาซึ่งเป็นเมืองที่โลทเคยอาศัยอยู่
โลทกับบุตรหญิงทั้งสอง
30 มาบัดนี้โลทก็ออกจากเมืองโศอาร์ ขึ้นไปอาศัยอยู่ในแถบเนินเขากับบุตรหญิง 2 คน เพราะไม่กล้าอยู่ที่โศอาร์ จึงได้อาศัยอยู่ในถ้ำรวมกับบุตรหญิงทั้งสอง 31 ลูกคนหัวปีพูดกับคนน้องว่า “พ่อของเราแก่แล้ว และไม่มีชายสักคนในโลกที่จะมาแต่งงานอยู่เคียงคู่กับเราเหมือนกับคนอื่นๆ ในโลกเขาทำกัน 32 มาเถิดนะ มาทำให้พ่อเราเมาเหล้าองุ่น แล้วเราจะอยู่ร่วมกับท่าน เราจะได้สงวนเชื้อสายโดยผ่านทางพ่อของเราไว้” 33 ดังนั้นนางทั้งสองจึงให้พ่อของตนดื่มเหล้าองุ่นในคืนนั้น คนหัวปีเข้าไปนอนกับพ่อของนาง เขาเองไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นางนอนลงหรือลุกขึ้น
34 วันรุ่งขึ้น คนหัวปีพูดกับคนน้องว่า “ดูสิ เมื่อคืนวานฉันนอนกับพ่อของฉัน เรามาให้ท่านดื่มเหล้าองุ่นคืนนี้ด้วย แล้วเธอเข้าไปนอนกับท่าน เราจะได้สงวนเชื้อสายโดยผ่านทางพ่อของเราไว้” 35 ดังนั้นนางทั้งสองจึงให้บิดาของเขาดื่มเหล้าองุ่นในคืนนั้นด้วย และคนน้องลุกขึ้นไปนอนกับเขา และเขาเองไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นางนอนลงหรือลุกขึ้น 36 ฉะนั้นบุตรหญิงทั้งสองของโลทตั้งครรภ์กับบิดาของตน 37 คนหัวปีได้บุตรชาย และตั้งชื่อเขาว่า โมอับ[b] เขาเป็นบิดาต้นตระกูลของชาวโมอับมาจนถึงทุกวันนี้ 38 คนน้องได้บุตรชายเช่นกัน และตั้งชื่อเขาว่า เบนอัมมี[c] เขาเป็นบิดาต้นตระกูลของชาวอัมโมนมาจนถึงทุกวันนี้
ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์
18 ไม่นานหลังจากนั้น เหล่าสาวกมาหาพระเยซูเพื่อถามว่า “ใครเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์” 2 พระองค์เรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนต่อหน้าพวกเขา 3 แล้วกล่าวว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ถ้าพวกเจ้าไม่เปลี่ยนมาเป็นเหมือนเด็กๆ พวกเจ้าจะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่ได้ 4 ถ้าผู้ใดก็ตามที่ถ่อมตนดังเช่นเด็กคนนี้ เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์
5 และใครก็ตามรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเราก็ถือได้ว่า รับเราด้วย 6 แต่หากเขาเป็นต้นเหตุให้คนหนึ่งในบรรดาเด็กเล็กๆ เหล่านี้ที่มีความเชื่อในเราพลั้งพลาดไป[a] ให้ถ่วงคอเขาด้วยหินโม่แป้งก้อนใหญ่ เพื่อจะได้จมลงไปใต้ทะเลลึกจะดีกว่า
7 วิบัติจงเกิดแก่โลก เพราะการล่อลวงให้คนทำบาป การล่อลวงเหล่านั้นมักจะมาถึงตัว แต่วิบัติจะเกิดแก่คนที่นำสิ่งล่อลวงมา 8 ถ้ามือหรือเท้าเป็นเหตุให้เจ้ากระทำบาป ก็จงตัดทิ้งเสีย เจ้าจะมีชีวิตตลอดไปเยี่ยงคนพิการและง่อยเปลี้ยก็ยังดีกว่ามีมือหรือเท้าทั้งสองข้างแล้วต้องถูกโยนลงในไฟที่ลุกโชนชั่วนิรันดร์ 9 ถ้าตาของเจ้าเป็นเหตุให้เจ้าทำบาป ก็จงควักทิ้งเสีย เจ้าจะมีชีวิตตลอดไปด้วยตาข้างเดียวก็ยังดีกว่ามีตาสองข้างและต้องถูกโยนลงในไฟนรกด้วย
อุปมาเรื่องแกะที่หลงหาย
10 เจ้าจงระมัดระวัง อย่าดูหมิ่นคนหนึ่งคนใดในพวกเด็กๆ เหล่านี้ เราขอบอกเจ้าว่า เหล่าทูตสวรรค์ประจำตัวของเขาในสวรรค์เข้าเฝ้าพระบิดาของเราในสวรรค์เสมอ [11 ด้วยว่าบุตรมนุษย์มาเพื่อช่วยผู้หลงหายให้รอดพ้น][b]
12 เจ้าคิดเห็นอย่างไร ถ้าคนหนึ่งมีแกะ 100 ตัว ตัวหนึ่งหลงหายไป เขาจะไม่ปล่อย 99 ตัวไว้บนภูเขา แล้วตามหาตัวที่หายหรือ 13 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ถ้าเขาพบแกะตัวนั้นแล้ว เขาจะชื่นชมยินดียิ่งกว่า 99 ตัวที่ไม่หลงหาย 14 ฉะนั้นพระบิดาในสวรรค์ไม่ประสงค์ให้เด็กน้อยอย่างเด็กเหล่านี้หลงหายไปแม้แต่คนเดียว
ตราบาปของพี่น้อง
15 ถ้าพี่หรือน้องของเจ้าทำผิดบาปต่อเจ้า ก็จงไปแจ้งความผิดแก่เขาสองต่อสอง ถ้าเขาฟังเจ้า เจ้าจะได้พี่น้องคืนมา 16 แต่ถ้าเขาจะไม่ฟังเจ้า จงพาอีกคนหรือสองคนไปด้วยกันกับเจ้า เพื่อว่า ‘ข้อกล่าวหาทุกข้อจะต้องมีพยานปาก 2 หรือ 3 คนจึงจะถือเป็นหลักฐานยืนยันได้’[c] 17 ถ้าเขาไม่ยอมฟังคนเหล่านั้น ก็จงไปแจ้งแก่คริสตจักร และถ้าเขาไม่ยอมฟังแม้แต่คริสตจักร จงคิดเสมือนว่าเขาเป็นคนนอกและคนเก็บภาษี 18 เราขอบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า อะไรก็ตามที่เจ้าห้ามในโลก ก็จะถูกห้ามในสวรรค์ และอะไรก็ตามที่เจ้าอนุญาตในโลก ก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์ 19 เราขอบอกเจ้าอีกว่า ถ้า 2 คนในพวกเจ้าเห็นพ้องต้องกันในเรื่องอะไรก็ตามที่เจ้าขอในโลก พระบิดาของเราในสวรรค์ก็จะกระทำสิ่งนั้นให้ 20 เพราะว่า 2 หรือ 3 คนประชุมกันอยู่ที่ไหนในนามของเรา เราก็อยู่ที่นั่นร่วมกับเขา”
อุปมาเรื่องทาสรับใช้ที่ชั่วร้าย
21 ครั้นแล้วเปโตรมาพูดกับพระเยซูว่า “พระองค์ท่าน เมื่อพี่น้องกระทำผิดบาปต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกโทษให้แก่เขากี่ครั้ง ถึง 7 ครั้งหรือ”
22 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เราขอบอกเจ้าว่า ไม่ใช่ถึง 7 ครั้ง แต่ถึง 77 ครั้ง[d]
23 ด้วยเหตุนี้ อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนกษัตริย์ผู้หนึ่งที่ใคร่จะคิดบัญชีกับบรรดาทาสรับใช้ 24 เมื่อเริ่มคิดบัญชี คนที่เป็นหนี้ 10,000 ตะลันต์[e]ถูกนำตัวมา 25 ในเมื่อเขาไม่มีเงินพอที่จะจ่าย กษัตริย์จึงสั่งให้เขาขายตนเอง รวมทั้งภรรยา ลูกๆ และทุกสิ่งที่เขามีเพื่อจ่ายคืนให้ 26 ทาสรับใช้จึงก้มกราบตรงหน้ากษัตริย์พลางพูดว่า ‘ขอโปรดผลัดไว้ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะจ่ายทุกสิ่งคืนให้’ 27 ครั้นแล้วกษัตริย์ของทาสรับใช้รู้สึกสงสาร จึงปล่อยเขาไปและยกหนี้ให้ 28 แต่แล้วทาสรับใช้คนนั้นไปเจอเพื่อนผู้รับใช้คนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้เขา 100 เดนาริอัน[f] เขาจับตัวมากระชากคอแล้วตะคอกใส่ว่า ‘จ่ายหนี้คืนมาให้หมด’ 29 ดังนั้นเพื่อนผู้รับใช้ก้มตัวลงอ้อนวอนเขาว่า ‘ขอโปรดผลัดไว้ก่อน แล้วเราจะจ่ายคืนให้’ 30 เขาไม่ยินยอม แต่โยนเขาเข้าคุกจนกว่าจะจ่ายคืนหมด 31 เมื่อบรรดาเพื่อนผู้รับใช้ของเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เศร้าใจมาก จึงไปรายงานเรื่องแก่กษัตริย์ของเขาตามสิ่งที่เกิดขึ้น 32 กษัตริย์จึงเรียกตัวเขามาพูดว่า ‘เจ้าเป็นทาสรับใช้ที่ชั่วร้าย เรายกหนี้ทั้งหมดให้เจ้า เพราะเจ้าได้อ้อนวอนเรา 33 เจ้าไม่ควรมีเมตตาต่อเพื่อนผู้รับใช้ของเจ้า ตามที่เราได้มีเมตตาต่อเจ้าหรือ’ 34 กษัตริย์ผู้นั้นโกรธจึงมอบตัวเขาให้กับเจ้าหน้าที่ให้ทรมานจนกว่าเขาจะจ่ายหนี้คืนหมด 35 พระบิดาของเราในสวรรค์จะกระทำเช่นนั้นต่อเจ้าด้วย หากว่าทุกคนในพวกเจ้าไม่ยกโทษให้แก่พี่น้องของเจ้าด้วยใจจริง”
เอสราอ่านกฎบัญญัติ
8 ประชาชนทั้งปวงมาประชุมพร้อมเพรียงกันที่ลานเมืองหน้าประตูน้ำ และเขาทั้งหลายบอกเอสราผู้สอนกฎบัญญัติ ให้นำหนังสือกฎบัญญัติของโมเสส ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาอิสราเอลนั้นมา 2 ดังนั้น ในวันแรกของเดือนที่เจ็ด เอสราปุโรหิตจึงนำกฎบัญญัติมายังหน้าที่ประชุม ซึ่งมีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และคนทั้งปวงที่สามารถเข้าใจเมื่อได้ยินบัญญัตินั้น 3 ท่านหันหน้าไปทางลานเมืองหน้าประตูน้ำ และอ่านตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเที่ยงวัน ต่อหน้าบรรดาผู้ชาย ผู้หญิง และคนเหล่านั้นที่สามารถเข้าใจ และประชาชนทั้งปวงตั้งใจฟังหนังสือกฎบัญญัติ 4 เอสราผู้สอนกฎบัญญัติยืนบนแท่นไม้ที่พวกเขาสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์นี้ ผู้ที่ยืนทางขวามือของท่านคือ มัททีธิยาห์ เช-มา อานายาห์ อุรียาห์ ฮิลคียาห์ และมาอาเสยาห์ ส่วนผู้ที่ยืนทางซ้ายมือของท่านคือ เปดายาห์ มิชาเอล มัลคิยาห์ ฮาชูม ฮัชบัดดานาห์ เศคาริยาห์ และเมชุลลาม 5 เอสราเปิดหนังสือต่อหน้าประชาชนทั้งปวง ท่านยืนอยู่บนที่สูงกว่าประชาชน เมื่อท่านเปิดหนังสือ ประชาชนก็ยืนขึ้น 6 เอสราสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และประชาชนทั้งปวงยกมือขึ้นพร้อมกับตอบรับว่า “อาเมน อาเมน” และเขาทั้งหลายก้มศีรษะ หน้าซบลงกับพื้น และนมัสการพระผู้เป็นเจ้า 7 และบรรดาชาวเลวีคือ เยชูอา บานี เชเรบิยาห์ ยามีน อักขูบ ชับเบธัย โฮดียาห์ มาอาเสยาห์ เคลิทา อาซาริยาห์ โยซาบาด ฮานาน และเปลายาห์ ก็ช่วยอธิบายให้ประชาชนเข้าใจกฎบัญญัติ ขณะที่ประชาชนยังยืนอยู่ที่นั่น 8 เขาทั้งหลายอ่านจากหนังสือกฎบัญญัติของพระเจ้าอย่างชัดเจน ทำให้ประชาชนเข้าใจความหมายของข้อความที่อ่านนั้น
วันบริสุทธิ์
9 เนหะมีย์ผู้ว่าราชการ เอสราปุโรหิตผู้สอนกฎบัญญัติ และบรรดาชาวเลวี ซึ่งเป็นผู้ที่สอนประชาชนจึงพูดกับประชาชนทั้งปวงว่า “วันนี้เป็นวันบริสุทธิ์แด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทั้งหลาย อย่าร้องไห้ หรือคร่ำครวญเลย” เพราะประชาชนทั้งปวงพากันร้องไห้ขณะที่ฟังข้อความในกฎบัญญัติ 10 เนหะมีย์จึงพูดกับพวกเขาว่า “ไปเถิด เชิญรับประทานไขมัน และดื่มเหล้าองุ่นหวาน และแบ่งปันให้แก่คนที่ไม่ได้เตรียมอะไรมา เพราะวันนี้บริสุทธิ์แด่พระผู้เป็นเจ้าของเรา และอย่าเศร้าโศก เพราะการชื่นชมยินดีในพระผู้เป็นเจ้าเป็นกำลังของท่าน” 11 ดังนั้น ชาวเลวีจึงช่วยให้ประชาชนทั้งปวงสงบลง และพูดว่า “จงนิ่งเถิด เพราะวันนี้บริสุทธิ์ อย่าเศร้าโศกเลย” 12 ประชาชนทั้งปวงจึงไปรับประทานและดื่ม และแบ่งปันอาหาร และรื่นเริงมาก เพราะพวกเขาได้เข้าใจข้อความที่ประกาศแก่พวกเขา
ฉลองเทศกาลอยู่เพิง
13 ในวันที่สอง บรรดาหัวหน้าพงศ์พันธุ์ของประชาชนทั้งปวง พร้อมด้วยบรรดาปุโรหิตและชาวเลวี ก็ได้มาหาเอสราผู้สอนกฎบัญญัติ เพื่อศึกษาข้อความในกฎบัญญัติ 14 และพบว่ามีบันทึกในกฎบัญญัติว่า พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาผ่านทางโมเสส ให้ประชาชนของอิสราเอลพักอาศัยอยู่ในเพิง ในระหว่างเทศกาลของเดือนเจ็ด 15 และพวกเขาควรประกาศให้ทั่วหน้ากันในทุกเมืองที่เขาอยู่อาศัยและในเยรูซาเล็ม “จงออกไปยังแถบภูเขา และตัดกิ่งไม้จากต้นมะกอก มะกอกป่า เมอร์เทิล อินทผลัม และจากต้นไม้ใบดก เพื่อนำมาสร้างเป็นเพิงดังที่บันทึกไว้” 16 ประชาชนจึงออกไปหากิ่งไม้ และนำมาสร้างเพิงของตนบนดาดฟ้า ที่ลานบ้าน และที่ลานพระตำหนักพระเจ้า ลานเมืองที่ประตูน้ำ และลานเมืองที่ประตูเอฟราอิม 17 ที่ประชุมทั้งหมดของบรรดาผู้ที่ได้กลับมาหลังจากที่ถูกเนรเทศ ก็สร้างเพิงและอาศัยอยู่ในเพิง ผู้คนร่าเริงใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะประชาชนของอิสราเอลไม่ได้ฉลองเช่นนั้น นับตั้งแต่สมัยของโยชูวาบุตรของนูนมาจนถึงวันนั้น 18 ทุกๆ วัน ตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้าย เอสราอ่านจากหนังสือกฎบัญญัติของพระเจ้า และฉลองเทศกาลนาน 7 วัน และในวันที่แปดก็มีประชุมตามกฎ[a]
ที่เมืองโครินธ์
18 หลังจากนั้นเปาโลก็ออกจากเมืองเอเธนส์ แล้วไปยังเมืองโครินธ์ 2 ท่านพบชาวยิวชื่ออาควิลลาซึ่งมีพื้นเพดั้งเดิมมาจากแคว้นปอนทัส เขาเพิ่งมาจากประเทศอิตาลีกับภรรยาชื่อปริสสิลลา เพราะจักรพรรดิคลาวดิอัสได้ออกคำสั่งให้ชาวยิวทุกคนออกจากเมืองโรม เปาโลจึงไปหาเขาทั้งสอง 3 และด้วยเหตุที่ท่านมีอาชีพสร้างกระโจมเหมือนกัน ท่านจึงพักและทำงานอยู่ด้วยกับเขา 4 ทุกวันสะบาโตท่านจะอภิปรายในศาลาที่ประชุมเพื่อชักชวนกลุ่มชาวยิวและกรีก
5 เมื่อสิลาสและทิโมธีมาจากแคว้นมาซิโดเนีย เปาโลอุทิศตนอย่างเต็มที่ในการประกาศคำกล่าว และยืนยันแก่ชาวยิวว่าพระเยซูคือพระคริสต์ 6 แต่เมื่อชาวยิวต่อต้านเปาโลจนกลายเป็นการว่าร้าย ท่านก็สลัดเสื้อออกเพื่อแสดงความผิดของพวกเขา และกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ถ้าพวกท่านตัดสินใจรับผิดชอบกับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ก็เป็นการเลือกของท่านเอง ข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบด้วย ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไปประกาศแก่บรรดาคนนอก” 7 ครั้นแล้วเปาโลก็ออกจากศาลาที่ประชุมไปยังบ้านที่อยู่ถัดไป ซึ่งเป็นของทิทิอัสยุสทัสผู้นมัสการพระเจ้า 8 และคริสปัสผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมกับทุกคนในบ้านก็เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า อีกทั้งชาวโครินธ์จำนวนมากที่ได้ยินท่านพูดก็เชื่อและได้รับบัพติศมา 9 คืนหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าปรากฏในภาพนิมิตและกล่าวกับเปาโลว่า “อย่ากลัวเลย จงพูดต่อไปเถิด และอย่านิ่งเงียบเสีย 10 เราอยู่กับเจ้า จะไม่มีผู้ใดโจมตีและทำร้ายเจ้าได้ เพราะว่าเรามีคนของเราจำนวนมากที่อยู่ในเมืองนี้” 11 ดังนั้นเปาโลจึงพักอยู่เป็นเวลาปีครึ่ง เพื่อสั่งสอนคำกล่าวของพระเจ้าแก่คนเหล่านั้น
12 ขณะที่กัลลิโอเป็นผู้ว่าราชการแคว้นอาคายา ชาวยิวร่วมกันระดมจับเปาโลและนำท่านไปขึ้นศาล 13 โดยกล่าวหาว่า “ชายผู้นี้ชักจูงให้ผู้คนนมัสการพระเจ้าในทางที่ขัดแย้งกับกฎบัญญัติ” 14 เมื่อเปาโลจะเปิดปากขึ้นโต้แย้ง กัลลิโอก็พูดกับชาวยิวว่า “ถ้าพวกท่านที่เป็นชาวยิวกล่าวว่าเป็นการทำผิดหรือเป็นอาชญากรรมแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่ามีเหตุผลดีพอที่จะฟังท่าน 15 แต่ในเมื่อเป็นเรื่องที่โต้แย้งเกี่ยวกับคำพูด เกี่ยวกับชื่อและกฎของพวกท่านเอง ก็จงตกลงกันเองเถิด เราจะไม่เป็นผู้ตัดสินความในเรื่องเหล่านั้น” 16 แล้วก็ไล่พวกเขาออกไปจากศาล 17 เขาทั้งหลายจึงจับตัวโสสเธเนสผู้ปกครองศาลาที่ประชุมไป แล้วทุบตีเขาที่หน้าศาล แต่กัลลิโอกลับไม่เอาธุระ
ปริสสิลลา อาควิลลา และอปอลโล
18 เปาโลอยู่ต่อที่เมืองโครินธ์สักพักนึ่ง แล้วจึงจากพวกพี่น้องไป โดยแล่นเรือไปยังแคว้นซีเรีย ปริสสิลลาและอาควิลลาก็ไปด้วย ก่อนที่ท่านจะไป ก็ได้ตัดผมที่เมืองเคนเครียตามที่ท่านได้สาบานไว้ 19 เมื่อไปถึงเมืองเอเฟซัส เปาโลได้เข้าไปในศาลาที่ประชุมเพื่ออภิปรายกับชาวยิว และที่เมืองนั้นเองเปาโลได้แยกทางกับปริสสิลลาและอาควิลลา 20 และปฏิเสธที่จะอยู่ต่อเมื่อชาวยิวพากันขอร้อง 21 แต่ก่อนจะจากไปก็ได้สัญญาว่า “ข้าพเจ้าจะกลับมาอีกหากเป็นความประสงค์ของพระเจ้า” แล้วท่านก็แล่นเรือออกไปจากเมืองเอเฟซัส
22 เมื่อท่านมาถึงเมืองซีซารียา ก็ได้ขึ้นไป[a]ทักทายบรรดาพี่น้องในคริสตจักร แล้วจึงลงไปยังเมืองอันทิโอก 23 หลังจากที่ได้อยู่ที่เมืองอันทิโอกชั่วระยะหนึ่ง เปาโลก็เดินทางต่อไปเรื่อยๆ จนทั่วแว่นแคว้นกาลาเทียและฟรีเจียเพื่อให้กำลังใจสาวกทุกคน
24 ในเวลานั้นมีชาวยิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล บ้านเกิดอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ท่านได้มาที่เมืองเอเฟซัส นอกจากจะมีโวหารดีแล้วก็ยังรอบรู้ในพระคัมภีร์ด้วย 25 ท่านได้เรียนรู้วิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า ท่านได้กล่าวด้วยจิตวิญญาณที่กระตือรือร้น และสั่งสอนในเรื่องของพระเยซูอย่างถูกต้อง แม้ว่าท่านทราบแต่เพียงบัพติศมาของยอห์นก็ตาม 26 ท่านเริ่มพูดในศาลาที่ประชุมด้วยใจกล้าหาญ เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาได้ยินท่านพูดแล้วก็ได้เชิญท่านไปที่บ้าน เพื่ออธิบายวิถีทางของพระเจ้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
27 เมื่ออปอลโลต้องการที่จะไปยังแคว้นอาคายา พวกพี่น้องก็สนับสนุนและเขียนถึงพวกสาวกที่นั่นให้ต้อนรับท่าน เมื่อไปถึงก็ได้ช่วยพวกที่เชื่อโดยพระคุณของพระเจ้าอย่างมากมาย 28 ท่านโต้แย้งอย่างรุนแรงกับชาวยิวต่อหน้าคนทั้งปวง เพื่อชี้แจงให้เห็นจริงจากพระคัมภีร์ว่า พระเยซูคือพระคริสต์
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation