M’Cheyne Bible Reading Plan
พันธสัญญาที่พระเจ้าทำกับโนอาห์
9 แล้วพระเจ้าก็อวยพรโนอาห์กับบุตรของเขา และกล่าวว่า “จงเกิดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ทวีขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก 2 สัตว์ป่าในโลก นกในอากาศ สัตว์เลื้อยคลานบนดิน และปลาในทะเลทุกตัวจะกลัวและยำเกรงพวกเจ้า และจะอยู่ใต้อำนาจของเจ้าด้วย 3 ทุกสิ่งที่มีชีวิตและเคลื่อนไหวได้มีไว้ให้เจ้ากินเป็นอาหาร เช่นเดียวกับพืชผักที่เราให้ เราให้ทุกสิ่งแก่เจ้าแล้ว 4 มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าไม่ควรกิน คือเนื้อสัตว์ที่ยังมีเลือดคั่งค้างอยู่ เพราะเลือดคือชีวิต 5 เลือดของเจ้าคือชีวิตของเจ้า เป็นธุระของเราที่จะต้องจัดการคือ เราจะคิดบัญชีกับสัตว์ป่าทุกตัวที่ฆ่ามนุษย์ เราจะคิดบัญชีกับคนที่ฆ่าเอาชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
6 ใครก็ตามที่ทำให้มนุษย์ต้องหลั่งเลือด
เลือดของเขาก็ต้องหลั่งออกโดยมนุษย์เช่นกัน
เพราะว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์
ตามคุณลักษณะของพระองค์เอง
7 จงเกิดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ทวีขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก”
8 แล้วพระเจ้ากล่าวกับโนอาห์และบุตรของเขาว่า 9 “ดูเถิด เราทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้าและกับผู้สืบเชื้อสายของเจ้าต่อจากเจ้าไปอีก 10 และกับสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่อยู่กับเจ้า ได้แก่ นก สัตว์เลี้ยง และสัตว์ป่าทั้งปวงในโลกที่อยู่และออกมาจากเรือใหญ่พร้อมกับเจ้า 11 เราทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้าไว้ว่า เราจะไม่ทำให้สิ่งมีชีวิตถูกน้ำท่วมตายทั้งหมดอีก และจะไม่มีวันที่น้ำจะท่วมทำลายแผ่นดินโลกอีก” 12 และพระเจ้ากล่าวว่า “นี่คือสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาที่เราทำไว้ระหว่างเรากับเจ้าและกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่กับเจ้าตราบจนถึงทุกชาติพันธุ์ 13 เราวางรุ้งของเราไว้บนเมฆ ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับแผ่นดินโลก 14 ยามใดที่เมฆปกคลุมเหนือแผ่นดินโลก และรุ้งปรากฏบนเมฆ 15 เราก็จะระลึกถึงพันธสัญญาของเราซึ่งมีไว้ระหว่างเรากับเจ้าและสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และน้ำจะไม่ท่วมจนถึงขั้นทำลายทุกชีวิตอีกเลย 16 เวลารุ้งปรากฏบนเมฆ เรามองดูรุ้ง และจะระลึกถึงพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์ระหว่างพระเจ้ากับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่บนแผ่นดินโลก” 17 พระเจ้ากล่าวกับโนอาห์ว่า “นี่คือสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้ระหว่างเรากับสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่อยู่บนแผ่นดินโลก”
บุตรของโนอาห์
18 บรรดาบุตรของโนอาห์ที่ออกไปจากเรือใหญ่คือเชม ฮาม และยาเฟท ฮามเป็นบิดาของคานาอัน 19 บุตร 3 คนของโนอาห์นี้แหละที่เป็นบรรพบุรุษของปวงชนทั้งหลายในโลก
20 โนอาห์เป็นชาวไร่และได้ทำสวนองุ่น 21 เขาดื่มเหล้าองุ่นจนเมามาย นอนเปลือยกายอยู่ในกระโจมของเขา 22 ครั้นฮามบิดาของคานาอันเห็นว่าบิดาของตนเปลือยกายอยู่จึงบอกพี่น้องทั้งสองของเขาที่อยู่ข้างนอก 23 เชมกับยาเฟทจึงหยิบผ้าผืนหนึ่งคลุมเข้าที่ไหล่ของตน แล้วเดินหันหลังไปห่มร่างบิดาที่เปลือยอยู่ ทั้งสองไม่ได้หันกลับไปดูจึงไม่เห็นร่างเปลือยของบิดา
24 เมื่อโนอาห์สร่างเมา เขาทราบว่าบุตรชายคนเล็กทำอะไรต่อเขา 25 เขาพูดว่า
“ขอสาปแช่งคานาอัน
ให้เขาเป็นทาสที่ต่ำต้อยที่สุด
ในบรรดาทาสแก่พี่น้องของเขาเอง”
26 แล้วเขาก็พูดต่อไปอีกว่า
“สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเชม
และให้คานาอันเป็นทาสของเขา
27 ขอให้พระเจ้าขยายเขตแดนแก่ยาเฟท[a]
และให้เขาไปอาศัยในกระโจมของเชม
และคานาอันจงเป็นทาสของเขา”
28 หลังจากน้ำท่วมครั้งนั้น โนอาห์มีชีวิตอยู่ต่ออีก 350 ปี 29 เมื่อสิ้นชีวิตโนอาห์มีอายุยืนถึง 950 ปี
ต้นตระกูลของบรรดาประชาชาติ
10 ลำดับเชื้อสายของบรรดาบุตรของโนอาห์มีดังนี้คือ เชม ฮาม และยาเฟท หลังจากน้ำท่วมครั้งนั้นแล้ว ทั้งสามต่างมีบุตรชายหลายคน
2 ยาเฟทมีบุตรชื่อ โกเมอร์ มาโกก มาดัย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส 3 โกเมอร์มีบุตรชื่อ อัชเคนัส รีฟาท และโทการ์มาห์ 4 ยาวานมีบุตรชื่อ เอลีชาห์ ทาร์ชิช คิทธิม และโดดานิม 5 เชื้อสายจากคนเหล่านี้มีต้นกำเนิดจากแถบชายฝั่งทะเลของบรรดาประชาชาติ แล้วขยายถิ่นฐานออกไปในดินแดนของตน ต่างก็มีภาษาของตนเอง แยกออกเป็นครอบครัวต่างๆ และประชาชาติของพวกเขา
6 ฮามมีบุตรชื่อ คูช อียิปต์ พูต และคานาอัน 7 คูชมีบุตรชื่อ เส-บา ฮาวิลาห์ สับทาห์ ราอามาห์ และสับเท-คา ราอามาห์มีบุตรชื่อ เช-บา และเดดาน 8 คูชเป็นบิดาของนิมโรดซึ่งเป็นนักรบผู้เก่งกล้าคนแรกในแผ่นดินโลก 9 นิมโรดเป็นนายพรานผู้เก่งกล้าในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า ถึงกับมีคำกล่าวกันว่า “เหมือนกับนิมโรดนายพรานผู้เก่งกล้าในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า” 10 ในระยะแรกเริ่ม อาณาจักรของเขามีเพียงเมืองบาเบล เอเรก อัคคัด และคาลเนห์ ซึ่งอยู่ในดินแดนชินาร์[b] 11 จากนั้นก็ขยายไปในดินแดนอัชชูร์ และสร้างเมืองนีนะเวห์ เมืองเรโหโบทอีร์ เมืองคาลาห์ 12 และเมืองเรเสนซึ่งอยู่ระหว่างเมืองนีนะเวห์กับเมืองคาลาห์อันเป็นเมืองใหญ่ 13 อียิปต์เป็นบิดาของชาวลูด อานาม เลหาบ นัฟทูฮ์ 14 ปัทรุส คัสลูฮ์ (ต้นกำเนิดของชาวฟีลิสเตีย) และชาวคัฟโทร์
15 คานาอันเป็นบิดาของไซดอนผู้เป็นบุตรหัวปี คนต่อไปชื่อเฮท 16 ชาวเยบุส ชาวอาโมร์ ชาวเกอร์กาช 17 ชาวฮีว ชาวอาร์คี ชาวสินี 18 ชาวอาร์วัด ชาวเศมาร์ และชาวฮามัท หลังจากนั้นบรรดาครอบครัวของชาวคานาอันก็ขยายถิ่นฐานออกไป 19 เขตแดนของชาวคานาอันเริ่มจากเมืองไซดอนลงไปทิศทางเมืองเก-ราร์จนถึงเมืองกาซา และไปทิศทางเมืองโสโดม โกโมราห์ อัดมาห์ เศโบยิมจนถึงเมืองลาชา 20 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายของฮาม ตามครอบครัว ภาษา ดินแดน และประชาชาติของพวกเขา
21 เชมพี่ชายคนโตของยาเฟทมีบุตรชายด้วย ซึ่งเป็นต้นตระกูลของบุตรชายทั้งปวงของเอเบอร์ 22 เชมมีบุตรชื่อ เอลาม อัชชูร์ อาร์ปัคชาด ลูด และอารัม 23 อารัมมีบุตรชื่อ อูส ฮูล เกเธอร์ และมัช 24 อาร์ปัคชาดเป็นบิดาของเชลาห์ และเชลาห์มีบุตรชื่อเอเบอร์ 25 เอเบอร์มีบุตร 2 คน คนหนึ่งชื่อเปเลก[c] เป็นเพราะว่าในสมัยของเขามีการแบ่งแยกดินแดนกัน และน้องชายของเขาชื่อโยกทาน 26 โยกทานเป็นบิดาของอัลโมดัด เชเลฟ ฮาซาร์มาเวท เยราห์ 27 ฮาโดรัม อุซาล ดิคลาห์ 28 โอบาล อาบีมาเอล เช-บา 29 โอฟีร์ ฮาวิลาห์ โยบับ คนเหล่านี้เป็นบุตรของโยกทาน 30 อาณาเขตที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็เริ่มจากเมืองเม-ชาไปทางเสฟาร์ ที่ภูเขาด้านตะวันออก 31 คนเหล่านี้เป็นบุตรของเชม ตามครอบครัว ภาษา ดินแดน และประชาชาติของพวกเขา
32 นี่คือบรรดาครอบครัวของบุตรชายของโนอาห์ ตามลำดับเชื้อสาย และประชาชาติของพวกเขา บรรดาประชาชาติก็ได้ขยายถิ่นฐานออกไปทั่วแผ่นดินโลก หลังเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนั้น
พระเยซูรักษาชายง่อย
9 พระเยซูลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองของพระองค์ 2 มีผู้คนพาชายง่อยคนหนึ่งนอนบนเปลหามมา พอพระองค์เห็นความเชื่อของพวกเขาจึงกล่าวกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย จงทำใจให้ดีไว้ บาปทั้งหลายของเจ้าได้รับการยกโทษแล้ว” 3 พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนพูดต่อกันและกันว่า “ชายผู้นี้พูดจาหมิ่นประมาทพระเจ้า” 4 พระเยซูทราบความคิดของพวกเขาจึงกล่าวว่า “ทำไมพวกท่านจึงคิดชั่วอยู่ในใจเล่า 5 พูดอย่างไรจึงจะง่ายกว่ากันระหว่าง ‘บาปทั้งหลายของเจ้าได้รับการยกโทษแล้ว’ หรือจะพูดว่า ‘จงลุกขึ้นเดินเถิด’ 6 แต่เพื่อพวกท่านจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะยกโทษบาปทั้งหลาย” แล้วพระองค์กล่าวกับคนง่อยนั้นว่า “จงลุกขึ้น แล้วยกเปลหามกลับไปบ้านเถิด” 7 เขาจึงลุกขึ้นแล้วกลับบ้านไป 8 เมื่อฝูงชนเห็นเช่นนั้นก็กลัวยิ่งนัก แล้วต่างก็พากันสรรเสริญพระเจ้าที่มอบสิทธิอำนาจเช่นนั้นให้แก่มนุษย์
มัทธิวติดตามพระเยซูไป
9 ขณะที่พระเยซูไปจากที่นั่น พระองค์เห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว กำลังนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี จึงกล่าวกับเขาว่า “จงติดตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นและติดตามพระองค์ไป
10 ขณะที่พระองค์กำลังเอนกายอยู่ที่บ้าน มีคนเก็บภาษีและคนบาปจำนวนมากมา และกำลังรับประทานอาหารร่วมกับพระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์ 11 ครั้นพวกฟาริสีเห็นดังนั้นจึงพูดกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานร่วมกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” 12 เมื่อพระองค์ได้ยินจึงกล่าวว่า “คนที่มีสุขภาพดีไม่จำเป็นต้องหาแพทย์ ยกเว้นแต่ผู้ป่วย 13 จงไปเถิด และเรียนรู้ว่าคำพูดนี้มีความหมายว่าอย่างไร ‘เราต้องการความเมตตา ไม่ต้องการเครื่องสักการะ’[a] เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนที่คิดว่าตนมีความชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป”
ผู้คนถามเรื่องการอดอาหาร
14 ครั้นแล้วบรรดาสาวกของยอห์นมาพูดกับพระองค์ว่า “ทำไมพวกเราและบรรดาฟาริสีอดอาหาร แต่พวกสาวกของท่านไม่อดอาหาร”
15 พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “พวกแขกของเจ้าบ่าวจะเป็นทุกข์ได้อย่างไรขณะที่เจ้าบ่าวอยู่กับเขา แต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้าบ่าวถูกพาตัวไปจากพวกเขา เขาจึงจะอดอาหาร 16 ไม่มีใครปะเศษผ้าใหม่ที่ยังไม่หดตัวลงบนเสื้อเก่า เพราะเศษผ้านั้นจะดึงเนื้อผ้าบนเสื้อเก่าออก จะยิ่งทำให้ขาดมากกว่าเดิม 17 ในทำนองเดียวกันคือไม่มีใครเทเหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า ถ้าทำเช่นนั้นถุงหนังจะขาด เหล้าองุ่นจะรั่วออกและถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาจะเทเหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังใหม่ และทั้งสองอย่างจะไม่เสียไป”
พระเยซูผู้รักษาโรคนานาชนิด และผู้พลิกฟื้นความตาย
18 ขณะที่พระองค์กำลังกล่าวสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขาฟังอยู่ ก็มีผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมคนหนึ่งมาคุกเข่าลงที่เบื้องหน้าพระองค์และพูดว่า “บุตรสาวของข้าพเจ้าเพิ่งตาย ขอให้ท่านโปรดวางมือบนตัวเธอ แล้วเธอจะได้มีชีวิตอยู่” 19 พระเยซูลุกขึ้นตามเขาไป บรรดาสาวกก็เช่นกัน 20 ขณะนั้น มีหญิงคนหนึ่งซึ่งทนทรมานจากโลหิตตกนานถึง 12 ปี เข้ามาใกล้ทางเบื้องหลังของพระองค์แล้วแตะที่ชายเสื้อตัวนอกของพระองค์ 21 เธอคิดในใจว่า “ถ้าเราเพียงได้แตะต้องเสื้อตัวนอกของพระองค์ เราก็จะหายจากโรค” 22 พระเยซูหันไปเห็นเธอ และกล่าวว่า “ลูกสาวเอ๋ย จงทำใจให้ดีไว้ ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหายจากโรคแล้ว” และหญิงนั้นก็หายจากโรคทันที 23 เมื่อพระเยซูเข้าไปในบ้านของผู้อยู่ในระดับปกครอง พระองค์ก็เห็นพวกคนเป่าขลุ่ยและผู้คนเอะอะชุลมุนกันอยู่ 24 พระองค์กล่าวว่า “จงออกไปเถิด เธอยังไม่ตาย เพียงแค่หลับไปเท่านั้น” พวกเขาก็หัวเราะเยาะพระองค์ 25 เมื่อฝูงชนถูกไล่ออกไปแล้ว พระองค์จึงเข้าไปจับมือเธอ เด็กคนนั้นก็ลุกขึ้น 26 เรื่องราวนี้เลื่องลือไปทั่วแคว้นนั้น
27 ขณะที่พระเยซูไปจากที่นั่น ชายตาบอด 2 คนตามพระองค์ไปพลางร้องขึ้นว่า “บุตรของดาวิด โปรดเมตตาพวกเราด้วย” 28 หลังจากที่พระองค์ได้เข้าไปในบ้านแล้ว ชายตาบอดก็เข้ามาหาพระองค์ แล้วพระเยซูกล่าวกับเขาทั้งสองว่า “เจ้าเชื่อหรือว่าเรารักษาเจ้าได้” เขาทั้งสองพูดว่า “พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าเชื่อ” 29 ดังนั้น พระองค์จึงแตะที่ตาของเขาทั้งสองพลางกล่าวว่า “จงเป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด” 30 ตาของเขาก็มองเห็น แล้วพระเยซูก็กำชับเขาทั้งสองว่า “จงระวัง อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้” 31 แต่แล้วเขาก็ป่าวประกาศเรื่องของพระองค์ไปทั่วเขตแดน
32 ขณะที่ชาย 2 คนจากไป มีคนพาชายใบ้ที่มีมารสิงอยู่มาหาพระองค์ 33 หลังจากที่พระองค์ขับมารออกแล้ว ชายใบ้จึงพูดได้ และฝูงชนประหลาดใจพากันพูดว่า “ไม่เคยมีปรากฏเช่นนี้มาก่อนเลยในอิสราเอล” 34 ฝ่ายพวกฟาริสีก็พูดกันว่า “คนนี้ขับพวกมารออกได้โดยใช้หัวหน้าของพวกมาร”
35 พระเยซูเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ตามหมู่บ้านทั่วไป สั่งสอนตามศาลาที่ประชุม ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิด 36 เมื่อพระองค์เห็นฝูงชนก็รู้สึกสงสาร เพราะพวกเขาถูกรังควานและเหยียบย่ำดั่งเช่นฝูงแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยงดู 37 พระองค์กล่าวกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีอยู่มากมายแต่คนงานมีจำนวนน้อย 38 ฉะนั้นจงขอให้พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นเจ้าของนาส่งพวกคนงานออกไปเก็บเกี่ยวในนาเถิด”
เอสราอธิษฐานเรื่องการแต่งงานข้ามชาติ
9 หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องเหล่านั้นแล้ว บรรดาเจ้าหน้าที่จึงมาหาข้าพเจ้าและพูดว่า “ประชาชนของอิสราเอล บรรดาปุโรหิต และชาวเลวี ยังไม่ได้แยกตนออกจากประชาชนของแผ่นดินเหล่านั้นด้วยการกระทำอันน่ารังเกียจ ซึ่งเหมือนกับบรรดาชาวคานาอัน ชาวฮิต ชาวเปริส ชาวเยบุส ชาวอัมโมน ชาวโมอับ ชาวอียิปต์ และชาวอาโมร์ 2 เพราะชาวอิสราเอลได้รับบุตรหญิงของพวกเขามาเพื่อเป็นภรรยาของตน และยังรับมาเพื่อบุตรของพวกเขาด้วย ดังนั้นเชื้อสายบริสุทธิ์ก็ได้ปะปนกับประชาชนของแผ่นดินเหล่านั้น บรรดาผู้นำและหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ได้กระทำตนเป็นตัวอย่างในความไม่ภักดีต่อพระเจ้ามากที่สุด” 3 ทันทีที่ข้าพเจ้าทราบเรื่อง ข้าพเจ้าก็ฉีกเสื้อผ้าและเสื้อคลุมของข้าพเจ้า ทึ้งผมและเคราของข้าพเจ้า และนั่งตกตะลึง 4 เนื่องจากพวกเชลยที่กลับมาแสดงความไม่ภักดี ทุกคนที่เกรงกลัวคำกล่าวของพระเจ้าของอิสราเอลจึงมาหาข้าพเจ้าขณะที่ข้าพเจ้ายังนั่งนิ่งงันอยู่จนถึงเวลาถวายเครื่องสักการะตอนเย็น 5 และเมื่อถึงเวลาถวายเครื่องสักการะตอนเย็น ข้าพเจ้าหยุดการอดอาหาร แต่ยังสวมเสื้อผ้าและเสื้อคลุมที่ขาดอยู่ ข้าพเจ้าคุกเข่าลง และชูมือขึ้นต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า 6 และพูดว่า
“โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าละอายใจและอับอายที่จะเงยหน้าขึ้นสู่พระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะบาปของเราทวีขึ้นสูงเหนือศีรษะของเรา และความผิดของเรากองสูงถึงฟ้าสวรรค์ 7 นับจากสมัยของบรรพบุรุษของเราจนถึงวันนี้ เรามีความผิดที่ยิ่งใหญ่เรื่อยมา และเป็นเพราะการผิดบาปของเรา บรรดากษัตริย์และปุโรหิตของเราจึงถูกมอบไว้ในมือของบรรดากษัตริย์ของแผ่นดินเหล่านั้น ถูกฆ่าฟัน ถูกจับไปเป็นเชลย ถูกริบข้าวของ และถูกเหยียดหยามเป็นที่สุด อย่างทุกวันนี้ 8 แต่บัดนี้ เพียงช่วงเวลาอันสั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเราได้แสดงความกรุณา โดยให้พวกเรามีชีวิตเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง และให้ที่อยู่อันมั่นคงในสถานที่บริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อพระเจ้าของเราจะให้ความกระจ่างแก่ตาของเรา และบรรเทาการเป็นทาสของเรา 9 พวกเราเป็นทาส ถึงกระนั้นพระเจ้าของเราก็มิได้ทอดทิ้งเรายามที่เราเป็นทาส แต่ได้มอบความรักอันมั่นคงของพระองค์ ณ เบื้องหน้าบรรดากษัตริย์ของเปอร์เซีย พระองค์ได้โปรดให้เรามีชีวิตขึ้นใหม่ เพื่อสร้างพระตำหนักของพระเจ้าของเรา เพื่อซ่อมแซมสิ่งที่หักพัง และพระองค์ได้ให้มีกำแพงคุ้มกันเราในยูเดียและเยรูซาเล็ม
10 และบัดนี้ โอ พระเจ้าของเรา นอกจากนี้แล้วเราจะพูดอะไรได้อีก เพราะเราได้ทอดทิ้งพระบัญญัติของพระองค์ 11 ซึ่งพระองค์บัญชาผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘แผ่นดินที่เจ้ากำลังเข้าไปยึดครอง เป็นแผ่นดินที่ไม่บริสุทธิ์ด้วยมลทินของประชาชนในแผ่นดินเหล่านั้น ด้วยการกระทำอันน่ารังเกียจของพวกเขาทั่วทั้งแผ่นดินด้วยบาปของพวกเขา 12 ฉะนั้น อย่ายกบุตรหญิงของเจ้าให้แก่บุตรชายของพวกเขา และอย่ารับบุตรหญิงของพวกเขามาให้บุตรชายของเจ้า และอย่าแสวงหาสันติสุขหรือความรุ่งเรืองของพวกเขา เพื่อเจ้าจะเข้มแข็งและรับประทานได้จากความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน และมีมรดกเก็บไว้ให้ลูกหลานของเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์’ 13 พวกเราได้รับโทษก็เพราะความชั่วและความผิดอันใหญ่หลวงของพวกเรา แต่พระเจ้าของเรา พระองค์ได้ลงโทษเราน้อยกว่าบาปของเราที่สมควรจะได้รับ และได้ให้พวกเราบางคนมีชีวิตเหลืออยู่จำนวนหนึ่งเช่นนี้ 14 พวกเรายังจะขัดต่อกฎบัญญัติของพระองค์ และแต่งงานกับชนชาติที่กระทำสิ่งอันน่ารังเกียจอยู่อีกหรือ พระองค์จะไม่กริ้วพวกเราจนกว่าพระองค์จะทำให้พวกเราพินาศ จนไม่ให้มีผู้ใดมีชีวิตเหลืออยู่หรือหนีรอดไปได้อย่างนั้นหรือ 15 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล พระองค์ยุติธรรม พวกเราจึงมีคนจำนวนหนึ่งเหลืออยู่ได้อย่างทุกวันนี้ ดูเถิด เราอยู่ ณ เบื้องหน้าพระองค์ด้วยความผิดของเรา และไม่มีผู้ใดในพวกเราที่สมควรจะยืน ณ เบื้องหน้าพระองค์ได้”
เซาโลกลับใจ
9 ในเวลานั้นเซาโลยังคงขู่ฆ่าพวกสาวกของพระผู้เป็นเจ้าต่อไป ทั้งยังไปหาหัวหน้ามหาปุโรหิต 2 เพื่อทำหนังสือยื่นไปยังศาลาที่ประชุมต่างๆ ในเมืองดามัสกัสว่า หากมีผู้ใดไม่ว่าชายหรือหญิงที่ดำเนินตามใน “วิถีทางนั้น” ให้จับมัดพามายังเมืองเยรูซาเล็ม 3 ขณะที่เซาโลเดินทางจวนจะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้น ก็มีแสงจากสวรรค์ส่องล้อมรอบตัวท่าน 4 ท่านทรุดตัวลงบนพื้นและได้ยินเสียงพูดกับท่านว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงกดขี่ข่มเหงเรา” 5 เซาโลถามว่า “พระองค์ท่าน พระองค์เป็นผู้ใด” พระองค์ตอบว่า “เราคือเยซูผู้ที่เจ้ากำลังข่มเหง 6 จงลุกขึ้นเถิด เข้าไปในเมือง และจะมีคนบอกว่าเจ้าจะต้องทำสิ่งใดบ้าง” 7 ชายพวกที่เดินทางไปกับเซาโลได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง พูดไม่ออกเพราะได้ยินเสียงแต่ไม่เห็นตัวผู้พูด 8 เมื่อเซาโลลุกขึ้นมา แม้จะเปิดตา แต่กลับมองอะไรไม่เห็น เขาเหล่านั้นจึงต้องช่วยจูงมือไปยังเมืองดามัสกัส 9 เซาโลตาบอดอยู่ 3 วันและไม่ได้ดื่มกินสิ่งใดเลย
10 ในเมืองดามัสกัสมีสาวกคนหนึ่งชื่ออานาเนีย พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเขาในภาพนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” เขาตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” 11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเขาว่า “เจ้าจงลุกขึ้น ไปที่ถนนที่เรียกว่า ถนนตรง ไปยังบ้านของยูดาสและถามหาเซาโลที่มาจากเมืองทาร์ซัส เขากำลังอธิษฐานอยู่ 12 และเขาได้เห็นภาพนิมิตของชายผู้หนึ่งชื่ออานาเนีย ซึ่งมาและวางมือทั้งสองบนตัวเขาเพื่อจะได้มองเห็นอีก” 13 อานาเนียตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเคยได้ยินเรื่องของชายคนนี้จากคนจำนวนมาก เขาได้กระทำความชั่วมากมายต่อบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็ม 14 และที่นี่เขาก็ยืมสิทธิอำนาจของพวกมหาปุโรหิต เพื่อจับกุมทุกคนที่ร้องเรียกพระนามของพระองค์” 15 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอานาเนียว่า “จงไปเถิด ชายคนนี้เป็นเครื่องมือที่เราเลือกไว้ เพื่อจะนำชื่อของเราไปยังบรรดาคนนอก บรรดากษัตริย์ และไปยังชนชาติอิสราเอล 16 เราจะแสดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องรับความทุกข์ทรมานมากเพียงไรเพื่อนามของเรา” 17 แล้วอานาเนียก็ไปยังบ้านนั้น แล้ววางมือทั้งสองบนตัวเซาโลพลางพูดว่า “พี่เซาโลเอ๋ย พระเยซูเจ้าได้ส่งข้าพเจ้ามา พระองค์เป็นผู้ปรากฏแก่ท่านที่ถนนระหว่างทางที่จะมาที่นี่ พระองค์ส่งข้าพเจ้ามาเพื่อให้ท่านมองเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะได้เปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” 18 ในทันใดนั้น มีสิ่งหนึ่งคล้ายเกล็ดหลุดจากตาของเซาโล จึงทำให้ท่านสามารถมองเห็นได้อีก เซาโลจึงลุกขึ้นและรับบัพติศมา 19 และหลังจากที่ได้รับประทานอาหารแล้วท่านก็มีกำลังขึ้น
เซาโลที่เมืองดามัสกัสและเยรูซาเล็ม
เซาโลอยู่กับพวกสาวกในเมืองดามัสกัสเป็นเวลาหลายวัน 20 ท่านประกาศที่ศาลาที่ประชุมต่างๆ ทันทีว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า 21 ทุกคนที่ได้ยินพากันประหลาดใจและถามว่า “ชายคนนี้พยายามทำลายคนที่ร้องเรียกนามนี้ในเมืองเยรูซาเล็มมิใช่หรือ และมาที่นี่เพื่อจับกุมคนไปให้พวกมหาปุโรหิตมิใช่หรือ” 22 อย่างไรก็ดี การประกาศของเซาโลเป็นที่น่าเชื่อยิ่งขึ้น จนชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเมืองดามัสกัสฉงนใจ ด้วยการพิสูจน์ที่ว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์
23 หลายวันต่อมา ชาวยิวจึงคบคิดกันจะฆ่าเซาโล 24 แต่ว่าเซาโลกลับทราบถึงแผนการนั้น ตลอดทั้งวันทั้งคืนที่คนเหล่านั้นคอยเฝ้าดูตามประตูเมืองเพื่อหาโอกาสฆ่าเซาโล 25 แต่เหล่าสาวกพาท่านไปนั่งลงในเข่ง แล้วหย่อนลงออกทางช่องกำแพงเมืองในเวลากลางคืน
26 เมื่อท่านมาถึงเมืองเยรูซาเล็มก็พยายามที่จะสมาคมกับพวกสาวก แต่พวกเขาหวาดกลัวและไม่เชื่อว่าท่านเป็นสาวกที่แท้จริง 27 บาร์นาบัสจึงพาเซาโลไปหาพวกอัครทูต แล้วเล่าเรื่องของท่านว่า ระหว่างทางที่เซาโลไปยังเมืองดามัสกัส ก็เห็นพระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ได้กล่าวกับท่าน และท่านได้ประกาศในพระนามของพระเยซูด้วยใจกล้าหาญในเมืองดามัสกัส 28 ดังนั้นเซาโลจึงเข้านอกออกในอยู่กับพวกเขาในเมืองเยรูซาเล็ม ได้พูดด้วยใจกล้าหาญโดยอ้างพระนามของพระผู้เป็นเจ้า 29 ท่านสนทนาและโต้ตอบกับกลุ่มชาวยิวที่พูดภาษากรีก แม้กระนั้นพวกเขาก็พยายามจะฆ่าท่าน 30 เมื่อพวกพี่น้องทราบเรื่องนี้ก็ได้พาท่านลงไปยังเมืองซีซารียา เพื่อให้เดินทางต่อไปยังเมืองทาร์ซัส
31 จากนั้นคริสตจักรทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลีและสะมาเรียก็สงบสุขขึ้น เพราะได้รับกำลังใจและการปลอบประโลมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ที่เชื่อมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และคริสตจักรอยู่กันด้วยความเกรงกลัวในพระผู้เป็นเจ้า
ไอเนอัสและโดรคัส
32 ขณะที่เปโตรเดินทางไปทั่วแคว้นนั้น ก็ได้ไปเยี่ยมเยียนบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าในเมืองลิดดาด้วย 33 และที่นั่นเองท่านได้พบไอเนอัสชายอัมพาตที่นอนอยู่เป็นเวลา 8 ปี 34 เปโตรพูดกับเขาว่า “ไอเนอัสเอ๋ย พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่รักษาท่านให้หายขาด จงลุกขึ้นเก็บเสื่อของท่านเถิด” ทันใดนั้นไอเนอัสก็ลุกขึ้น 35 ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองลิดดาและที่ราบชาโรนเห็นเขาแล้ว ก็หันมาเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า
36 ในเมืองยัฟฟามีสาวกผู้หนึ่งชื่อทาบิธา ในภาษากรีกเรียกว่าโดรคัส เธอมักจะประกอบคุณงามความดีและช่วยเหลือคนจนเสมอ 37 ในเวลานั้นเธอล้มเจ็บและเสียชีวิตไป ร่างของเธอได้รับการชำระล้างและวางไว้ในห้องชั้นบน 38 เนื่องจากเมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา เมื่อพวกสาวกทราบว่าเปโตรอยู่ในเมืองลิดดาจึงส่งชาย 2 คนไปอ้อนวอนว่า “โปรดมาโดยเร็ว” 39 เปโตรจึงมากับชาย 2 คนนั้นซึ่งพาท่านขึ้นไปที่ห้องชั้นบน บรรดาหญิงม่ายได้มายืนร้องไห้อยู่ข้างๆ ท่าน ให้ท่านดูเสื้อคลุมและเสื้อผ้าที่โดรคัสได้ทำไว้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ 40 เปโตรให้ทุกคนออกไปจากห้องแล้ว ท่านก็คุกเข่าลงอธิษฐาน ครั้นแล้วก็หันไปทางหญิงผู้ตายและพูดว่า “ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” เธอลืมตาขึ้นเห็นเปโตรแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง 41 ท่านช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น เรียกผู้ที่เชื่อและพวกหญิงม่ายมา เพื่อมอบทาบิธาที่ฟื้นขึ้นมาให้กับพวกเขา 42 เรื่องนี้ได้เป็นที่เล่าลือกันไปทั่วเมืองยัฟฟา ผู้คนจำนวนมากได้เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า 43 เปโตรได้พักอยู่กับซีโมนช่างฟอกหนังในเมืองยัฟฟาชั่วระยะหนึ่ง
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation