M’Cheyne Bible Reading Plan
กำเนิดอิชมาเอล
16 ฝ่ายนางซารายภรรยาของอับรามไม่มีบุตรให้ท่าน นางมีหญิงรับใช้ชาวอียิปต์คนหนึ่งชื่อฮาการ์ 2 นางพูดกับอับรามว่า “ได้โปรดเถิด พระผู้เป็นเจ้าได้กันไม่ให้ฉันมีลูก จงรับคนรับใช้ของฉันไว้เถิด ฉันอาจจะมีลูกโดยผ่านนางก็ได้” และอับรามเชื่อตามที่นางซารายพูด 3 ดังนั้น หลังจากอับรามตั้งรกรากอยู่ในแผ่นดินคานาอันได้ 10 ปี นางซารายภรรยาของอับรามยกฮาการ์หญิงรับใช้ชาวอียิปต์ของนางให้เป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของอับราม 4 ท่านจึงข้องเกี่ยวกับนางฮาการ์ในฐานะภรรยา แล้วนางก็ตั้งครรภ์ เมื่อนางฮาการ์รู้ว่าตนเองตั้งครรภ์แล้ว นางก็มองนายสาวของตนด้วยสายตาดูหมิ่น 5 นางซารายพูดกับอับรามว่า “เป็นความผิดของท่านที่ทำให้ฉันถูกกระทำอย่างร้ายกาจ ฉันยกคนรับใช้ของฉันให้ท่านโอบกอด เมื่อนางรู้ว่าตนตั้งครรภ์ นางก็มองฉันด้วยสายตาดูหมิ่น ขอให้พระผู้เป็นเจ้าตัดสินระหว่างท่านกับฉัน” 6 แต่อับรามพูดกับนางซารายว่า “ดูเถิด คนรับใช้ของเจ้าอยู่ในอำนาจเจ้าเอง เจ้าทำอย่างไรกับนางก็แล้วแต่จะเห็นชอบ” ดังนั้นนางซารายจึงร้ายกับนางฮาการ์จนนางต้องหนีไป
7 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าพบนางที่บ่อน้ำพุแห่งหนึ่งในถิ่นทุรกันดาร ใกล้น้ำพุทางไปเมืองชูร์ 8 จึงกล่าวกับฮาการ์ว่า “ฮาการ์คนรับใช้ของซาราย เจ้ามาจากไหน และเจ้ากำลังจะไปไหน” นางพูดว่า “ข้าพเจ้ากำลังหนีซารายนายหญิงของข้าพเจ้า” 9 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับนางว่า “จงกลับไปหานายหญิงของเจ้า และยินยอมอยู่ใต้คำสั่งของนางเถิด” 10 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับนางด้วยว่า “เราจะทำให้ผู้สืบเชื้อสายของเจ้ามีเพิ่มมากขึ้นจนนับไม่ถ้วน”
11 แล้วทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับนางว่า
“ดูเถิด เจ้าอุ้มท้องอยู่
เจ้าจะได้บุตรชาย
จงตั้งชื่อเขาว่า อิชมาเอล[a]
เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงร้องอันระทมทุกข์ของเจ้า
12 อิชมาเอลจะเป็นดั่งลาป่า
เขาจะต่อต้านทุกคน
ในขณะที่ทุกคนก็จะต่อต้านเขา
และเขาจะใช้ชีวิตในแนวทางตรงกันข้าม
กับญาติพี่น้องทั้งปวง”
13 ดังนั้นนางจึงร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้าผู้กล่าวกับนาง นางร้องขึ้นว่า “พระองค์เป็นพระเจ้าผู้มองเห็น” เพราะนางพูดว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าแล้วจริงๆ และยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ” 14 ด้วยเหตุนี้บ่อน้ำพุนั้นจึงมีชื่อว่า เบเออลาไฮรอย[b] ซึ่งอยู่ระหว่างคาเดชกับเมืองเบเรด
15 ฮาการ์ให้กำเนิดบุตรชายแก่อับราม และอับรามตั้งชื่อบุตรชายที่ฮาการ์ให้กำเนิดว่า อิชมาเอล 16 เมื่อฮาการ์ให้กำเนิดอิชมาเอลแก่อับราม ท่านมีอายุ 86 ปี
กฎบัญญัติและประเพณีนิยม
15 มีพวกฟาริสีและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนมาจากเมืองเยรูซาเล็มมาพูดกับพระองค์ว่า 2 “ทำไมบรรดาสาวกของท่านละเมิดประเพณีนิยมของบรรพบุรุษ พวกเขาไม่ล้างมือเวลารับประทานอาหาร” 3 พระองค์กล่าวตอบว่า “แล้วทำไมพวกท่านจึงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ประเพณีนิยมของท่านเอง 4 พระเจ้ากล่าวว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’[a] และ ‘คนที่พูดว่าร้ายบิดามารดา ก็ให้เขาได้รับโทษถึงตาย’[b] 5 แต่พวกท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดพูดกับบิดาหรือมารดาว่า “สิ่งของของเราที่จะช่วยเหลือท่านได้นั้น ได้มอบให้แด่พระเจ้าแล้ว” 6 ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องให้เกียรติบิดาหรือมารดาของเขา’ ซึ่งเป็นอันว่าพวกท่านยกเลิกคำกล่าวของพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ประเพณีนิยมของท่าน 7 พวกท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก อิสยาห์ได้เผยคำกล่าวของพระเจ้าถึงพวกท่านถูกต้องแล้วว่า
8 ‘คนเหล่านี้ให้เกียรติเราเพียงแค่ปาก
แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา
9 พวกเขากราบนมัสการเราโดยไร้ประโยชน์
เขาสอนกฎเกณฑ์ของมนุษย์ เสมือนว่าเป็นคำสั่งสอนของพระเจ้า’”[c]
10 หลังจากพระองค์ได้เรียกฝูงชนมาแล้ว พระองค์กล่าวว่า “จงฟังและเข้าใจว่า 11 ไม่ใช่สิ่งที่เข้าปากที่ทำให้คนเป็นมลทิน แต่สิ่งที่ออกจากปากนั่นแหละที่ทำให้คนเป็นมลทิน” 12 บรรดาสาวกมาพูดกับพระองค์ว่า “พระองค์ทราบไหมว่า พวกฟาริสีโกรธเคืองมากที่ได้ยินพระองค์กล่าวเช่นนั้น” 13 พระองค์กล่าวตอบว่า “ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาในสวรรค์ของเราไม่ได้ปลูกไว้จะถูกถอนรากเสีย 14 ช่างพวกเขาเถิด พวกคนตาบอดเป็นคนนำคนตาบอดเอง ถ้าชายตาบอดคนหนึ่งนำคนตาบอดอีกคนหนึ่ง ทั้งสองก็จะพากันตกบ่อ” 15 เปโตรพูดตอบพระองค์ว่า “โปรดอธิบายคำอุปมาแก่พวกเราด้วย” 16 พระเยซูกล่าวว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจเช่นกันหรือ 17 เจ้าไม่เข้าใจหรือว่า ทุกสิ่งที่เข้าปาก ผ่านเข้าไปในท้อง แล้วก็ออกนอกกายไป 18 แต่สิ่งที่ออกจากปากมาจากใจ สิ่งนี้แหละที่ทำให้คนเป็นมลทิน 19 เพราะว่าสิ่งที่ออกจากใจคือความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดประเวณี การประพฤติผิดทางเพศ การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย 20 สิ่งเหล่านี้ทำให้คนเป็นมลทิน แต่การรับประทานด้วยมือที่ไม่ล้างไม่ทำให้คนเป็นมลทิน”
ความเชื่อมั่นคงของหญิงคานาอัน
21 พระเยซูไปจากสถานที่นั้น และไปยังเขตเมืองไทระและไซดอน 22 มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งมาจากชายแดนนั้นส่งเสียงร้องว่า “พระองค์ท่าน บุตรของดาวิด โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วย ลูกสาวของข้าพเจ้าถูกมารสิงจนแย่แล้ว”
23 พระองค์ไม่ตอบนางสักคำเดียว บรรดาสาวกของพระองค์มาขอร้องพระองค์ว่า “โปรดขับไล่นางไปเถิด เพราะนางร้องตะโกนตามพวกเรามา” 24 พระองค์กล่าวตอบว่า “พระเจ้าส่งเรามายังชนชาติอิสราเอลเท่านั้น เพราะพวกเขาเป็นเสมือนฝูงแกะที่หลงหาย” 25 นางมาก้มกราบเบื้องหน้าพระองค์แล้วกล่าวว่า “พระองค์ท่าน โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วย” 26 พระองค์กล่าวตอบว่า “การที่จะเอาอาหารของเด็กๆ โยนให้พวกสุนัขนั้นไม่ถูกต้อง” 27 นางพูดว่า “ใช่แล้ว พระองค์ท่าน แต่ว่าแม้พวกสุนัขก็ยังกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนายมัน” 28 พระเยซูกล่าวตอบนางว่า “หญิงเอ๋ย เจ้ามีความเชื่อสูงส่ง จงเป็นไปตามที่เจ้าต้องการเถิด” ครั้นแล้วลูกสาวของนางก็หายดีเป็นปกติทันที
มหาชนกับขนมปัง 7 ก้อนและปลาเล็กเพียงสองสามตัว
29 พระเยซูจากที่นั่นไปตามริมทะเลสาบกาลิลี แล้วขึ้นไปนั่งอยู่บนภูเขา 30 มหาชนพาคนง่อย คนพิการ คนตาบอด คนใบ้และอื่นๆ อีกมากมาหาพระองค์ พวกเขานำคนเหล่านั้นมาอยู่ที่แทบเท้าของพระองค์ แล้วพระองค์ก็รักษาพวกเขาให้หายขาด 31 ฝูงชนพากันอัศจรรย์ใจเมื่อเห็นคนใบ้พูดได้ คนพิการหายเป็นปกติ คนง่อยเดินได้ คนตาบอดมองเห็น และเขาเหล่านั้นก็สรรเสริญพระเจ้าของอิสราเอล
32 พระเยซูเรียกบรรดาสาวกของพระองค์มาหาและกล่าวว่า “เราสงสารบรรดาฝูงชน เพราะพวกเขาอยู่กับเรามาได้ 3 วันแล้วโดยไม่มีอะไรรับประทาน เราไม่อยากให้เขาเดินหิวกลับบ้านไป เขาอาจจะเป็นลมระหว่างทางก็ได้” 33 บรรดาสาวกพูดกับพระองค์ว่า “ในที่กันดารเช่นนี้ พวกเราจะเอาขนมปังจากไหนมาเลี้ยงฝูงชนจำนวนมากได้” 34 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “พวกเจ้ามีขนมปังกี่ก้อน” เขาตอบว่า “7 ก้อนกับปลาเล็กๆ อีกสองสามตัว” 35 ครั้นแล้วพระองค์ก็สั่งฝูงชนให้นั่งลงบนพื้นดิน 36 พระองค์หยิบขนมปัง 7 ก้อนกับปลานั้นมา และกล่าวขอบคุณพระเจ้า บิส่งให้เหล่าสาวก แล้วพวกเขาก็แจกให้แก่ฝูงชน 37 ทุกคนรับประทานจนอิ่มหนำ พวกเขารวบรวมอาหารที่เหลือได้เต็ม 7 ตะกร้าใหญ่ 38 ผู้ที่รับประทานอาหารเป็นผู้ชาย 4,000 คน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก 39 พระองค์บอกให้ฝูงชนกลับไปบ้าน แล้วก็ลงเรือไปยังเขตเมืองมากาดาน
เนหะมีย์ไม่ให้บีบคั้นคนยากไร้
5 ขณะนั้น ผู้ชายบางคนกับภรรยาของเขาส่งเสียงร้องเอ็ดอึงต่อต้านพี่น้องชาวยิว 2 เพราะมีคนพูดว่า “พวกเรามีทั้งลูกชายและลูกสาวหลายคน ขอให้เราได้ข้าวมาเพื่อประทังชีวิตเถิด” 3 บางคนก็พูดว่า “เราจะจำนองไร่นา สวนองุ่น และบ้านของพวกเราเพื่อจะได้ข้าวเพราะเกิดความอดอยาก” 4 บางคนพูดว่า “พวกเราได้ขอยืมเงินมาเพื่อจ่ายค่าภาษีที่นาและสวนองุ่นของเราแก่กษัตริย์ 5 เนื้อหนังของพวกเราก็เหมือนกับเนื้อหนังของพวกเขา ลูกหลานของเราก็เหมือนกับลูกหลานของพวกเขา ถึงกระนั้นเราก็ยังต้องบังคับลูกชายลูกสาวของเราให้เป็นทาส และลูกสาวของพวกเราบางคนก็ถูกขายไปเป็นทาสแล้ว แต่เราไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้เลย เพราะคนอื่นได้ยึดที่นาและสวนองุ่นไปครอบครองเสียแล้ว”
6 ข้าพเจ้าโกรธมากเมื่อได้ยินเสียงร้องทุกข์ของพวกเขา 7 ข้าพเจ้าไตร่ตรองเรื่องนี้และกล่าวฟ้องร้องบรรดาขุนนางและเจ้าหน้าที่ ข้าพเจ้าพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านแต่ละคนเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราจากพวกพี่น้องของตนเอง” และข้าพเจ้าเรียกประชุมเพื่อกระทำต่อพวกเขา 8 และพูดกับพวกเขาว่า “เท่าที่พวกเราจะทำได้ เราได้ซื้อพี่น้องชาวยิวของเราคืนมาจากความเป็นทาส พวกเขาถูกขายให้แก่บรรดาประชาชาติ แต่ท่านกลับขายพี่น้องของท่าน เพื่อให้พวกเราซื้อพวกเขาคืนมา” พวกเขาจึงเงียบและไม่ทราบว่าจะโต้ตอบอย่างไร 9 ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “สิ่งที่ท่านทำนั้นไม่ดี ไม่ควรหรือที่พวกท่านจะดำเนินชีวิตด้วยความเกรงกลัวในพระเจ้าของเรา เพื่อไม่ให้บรรดาประชาชาติที่เป็นศัตรูของเราตำหนิได้ 10 ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าและบรรดาพี่น้องกับผู้รับใช้ของข้าพเจ้า กำลังให้พวกเขายืมเงินและธัญพืช ให้เราลืมเรื่องการเก็บดอกเบี้ยเสียเถิด 11 และในวันนี้ขอท่านคืนที่นา สวนองุ่น สวนมะกอก บ้านเรือน เงิน ธัญพืช เหล้าองุ่น และน้ำมันที่ท่านได้เก็บเป็นดอกเบี้ยเกินอัตราจากพวกเขา” 12 พวกเขาจึงตอบว่า “เราจะจ่ายคืนพวกเขาไป และจะไม่เก็บสิ่งใดจากพวกเขาอีก เราจะทำตามที่ท่านพูด” ข้าพเจ้าจึงเรียกบรรดาปุโรหิตมาสาบานตนตามที่ได้สัญญาไว้ 13 ข้าพเจ้าจึงสลัดเสื้อและพูดว่า “ขอพระเจ้าสลัดทุกคนที่ไม่รักษาสัญญาให้ออกจากบ้านของเขา และจากทุกสิ่งที่เขาลงแรงหามา ฉะนั้นขอให้เขาถูกสลัดทิ้งและสิ้นเนื้อประดาตัว” แล้วที่ประชุมก็พูดว่า “อาเมน” และสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า และประชาชนก็ทำตามที่เขาได้สัญญาไว้
ความใจกว้างของเนหะมีย์
14 ยิ่งกว่านั้น นับจากปีที่ยี่สิบของรัชสมัยกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีส เมื่อข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการของพวกเขาในยูดาห์ จนถึงปีที่สามสิบสองของท่าน คือเป็นเวลา 12 ปี ทั้งข้าพเจ้าและพี่น้องข้าพเจ้าไม่ได้รับประทานอาหารประจำตำแหน่งของผู้ว่าราชการ 15 แต่บรรดาผู้ว่าราชการก่อนหน้าข้าพเจ้าบีบบังคับประชาชนให้จ่ายเงินหนัก 40 เชเขล[a] รวมทั้งอาหารและเหล้าองุ่น แม้แต่บรรดาผู้รับใช้ของพวกเขาก็ได้เอาเปรียบประชาชน แต่ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำเช่นนั้น เพราะข้าพเจ้าเกรงกลัวพระเจ้า 16 ข้าพเจ้าถวายตัวสร้างกำแพงนี้ และไม่ได้เรียกร้องเอาที่ดินจากผู้ใด คนของข้าพเจ้าทุกคนไปร่วมกันทำงานที่นั่น 17 นอกจากบรรดาประชาชาติรอบข้างที่มาอยู่กับพวกเรา ก็ยังมีชาวยิวและเจ้าหน้าที่ 150 คนที่รับประทานร่วมโต๊ะกับข้าพเจ้า 18 แต่ละวันมีคนเตรียมโค 1 ตัว แกะอ้วนพี 6 ตัว และเป็ดไก่ นำมาให้ข้าพเจ้า และทุกๆ 10 วันก็มีเหล้าองุ่นมากมายหลายชนิด ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยเรียกร้องอาหารประจำตำแหน่งผู้ว่าราชการ เพราะการเรียกร้องสิ่งเหล่านี้เป็นภาระหนักต่อประชาชน 19 โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอพระองค์ระลึกถึงความดีทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้าได้ทำเพื่อประชาชนเหล่านี้
การประชุมที่เมืองเยรูซาเล็ม
15 มีชายบางคนที่ลงมาจากแคว้นยูเดียได้สั่งสอนพวกพี่น้องว่า “ถ้าพวกท่านไม่เข้าสุหนัตตามประเพณีนิยมที่โมเสสสอน ท่านก็จะไม่รอดพ้น” 2 เปาโลและบาร์นาบัสจึงโต้แย้งและถกเถียงอย่างรุนแรงกับพวกเขา ดังนั้นเปาโล บาร์นาบัส และผู้ที่เชื่อบางคนจึงได้รับเลือกให้ขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อปรึกษากับพวกอัครทูตและผู้ปกครองเกี่ยวกับเรื่องที่โต้เถียงกันอยู่ 3 และคริสตจักรได้ส่งไปก็เพื่อการนั้น ขณะที่พวกเขาเดินทางผ่านแคว้นฟีนิเซียกับแคว้นสะมาเรีย ก็ได้เล่าถึงการที่บรรดาคนนอกหันมาเชื่อในพระเจ้า ข่าวนั้นจึงสร้างความปิติแก่พี่น้องทุกคนยิ่งนัก 4 เมื่อท่านทั้งหลายมาถึงเมืองเยรูซาเล็มก็ได้รับการต้อนรับจากคริสตจักร พวกอัครทูต และจากผู้ปกครอง และได้รายงานถึงทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ใช้ให้พวกท่านทำ 5 มีผู้ที่เชื่อบางคนในพรรคฟาริสียืนขึ้นกล่าวว่า “บรรดาคนนอกต้องเข้าสุหนัตและต้องปฏิบัติตามหมวดกฎบัญญัติของโมเสส”
6 พวกอัครทูตและพวกผู้ปกครองจึงประชุมกันเพื่อพิจารณาเรื่องนั้น 7 หลังจากที่ได้ปรึกษากันเป็นอย่างดีแล้ว เปโตรลุกขึ้นกล่าวว่า “พี่น้องเอ๋ย ท่านคงทราบดีแล้วว่า เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่พระเจ้าได้เลือกข้าพเจ้าจากบรรดาท่าน เพื่อประกาศข่าวประเสริฐให้บรรดาคนนอกฟังและเชื่อ 8 พระเจ้าหยั่งถึงใจมนุษย์ จึงแสดงให้เห็นว่า พระองค์รับพวกเขาโดยมอบพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่เขา เช่นเดียวกับที่มอบแก่พวกเรา 9 พระเจ้าแสดงให้เห็นว่าพวกเราไม่ต่างไปจากพวกเขาเลย พระองค์ชำระใจของเขาให้บริสุทธิ์ก็เพราะเขาเชื่อ 10 อย่างนั้นแล้ว ทำไมท่านจึงพยายามลองดีกับพระเจ้า โดยการวางแอกบนคอของพวกสาวก ทั้งๆ ที่พวกเราหรือบรรพบุรุษของเราไม่สามารถแบกเองได้ 11 แต่พวกเราเชื่อว่า เป็นเพราะพระคุณของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ทำให้เราทั้งหลายและพวกเขารอดพ้น”
12 ที่ประชุมทั้งหมดก็นิ่งเงียบ ขณะที่ฟังบาร์นาบัสและเปาโลเล่าถึงปรากฏการณ์อัศจรรย์และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ที่พระเจ้าได้ใช้ท่านทั้งสองกระทำในหมู่คนนอก 13 จากนั้น ยากอบจึงกล่าวว่า “พี่น้องเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด 14 ซีโมนได้บรรยายให้พวกเราฟังว่า พระเจ้าแสดงความห่วงใยมาตั้งแต่แรก จึงได้เลือกบรรดาคนนอกให้มาเป็นคนของพระองค์ 15 คำพูดของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็เห็นพ้องด้วย ตามที่มีบันทึกไว้ว่า
16 ‘หลังจากนี้ เราจะกลับมาสร้าง
กระโจมของดาวิดที่ล้มลงขึ้นใหม่
สิ่งที่ปรักหักพัง เราจะสร้างขึ้นใหม่
และเราจะบูรณะให้กลับคืนมา
17 ให้มนุษย์ส่วนที่เหลืออยู่แสวงหาพระผู้เป็นเจ้า
และคนนอกทุกคนซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นคนของเรา
พระผู้เป็นเจ้ากล่าวเช่นนั้น เพื่อให้เป็นที่ทราบกัน
18 ตั้งแต่นานมาแล้ว’[a]
19 ด้วยเหตุฉะนั้น ตามความเห็นของข้าพเจ้าแล้ว เราไม่ควรทำให้คนนอกซึ่งกลับใจเข้าหาพระเจ้าต้องลำบาก 20 แต่ว่าเราควรเขียนถึงพวกเขา ให้ละเว้นอาหารที่มีมลทินจากรูปเคารพต่างๆ จากการประพฤติผิดทางเพศ ละเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย หรือรับประทานเลือด 21 เพราะเหตุว่าตั้งแต่สมัยโบราณมา ในทุกเมืองมีผู้ประกาศเรื่องที่โมเสสได้เขียนไว้ และมีการอ่านกันในศาลาที่ประชุมทุกๆ วันสะบาโต”
ที่ประชุมส่งจดหมายถึงพี่น้องที่เป็นคนนอก
22 ครั้นแล้วพวกอัครทูต ผู้ปกครอง และทุกคนในคริสตจักรก็ได้ตัดสินใจเลือกชายบางคนในพวกเขาเอง เพื่อส่งไปยังเมืองอันทิโอกด้วยกันกับเปาโลและบาร์นาบัส คนที่พวกเขาเลือกคือสิลาส และยูดาสที่มีอีกชื่อหนึ่งว่าบาร์ซับบาส ซึ่งทั้งสองก็เป็นผู้นำในหมู่พี่น้อง 23 โดยให้มีจดหมายถือไปด้วยว่า “เหล่าอัครทูตและเหล่าผู้ปกครองที่เป็นพี่น้องของท่าน ส่งความคิดถึงมายังพี่น้องทั้งหลายที่เป็นคนนอก ที่เมืองอันทิโอก แคว้นซีเรีย และแคว้นซีลีเซีย 24 เราทั้งหลายได้ยินว่ามีบางคนในหมู่เราที่ได้ออกไป โดยไม่ได้รับคำสั่งจากเรา และได้พูดรบกวนก่อความรำคาญใจให้ท่าน 25 ดังนั้นเราทุกคนจึงเห็นชอบที่จะเลือกชายบางคนเพื่อให้มาหาท่าน พร้อมกับเพื่อนที่รักของเราคือบาร์นาบัสและเปาโล 26 ที่ได้เสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อพระนามของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 27 เหตุฉะนั้น พวกเราจะให้ยูดาสและสิลาสมาเล่าให้ท่านฟังถึงสิ่งเดียวกันกับที่บันทึกไว้ 28 พระวิญญาณบริสุทธิ์และพวกเราเห็นชอบแล้วที่จะไม่ให้ท่านแบกภาระหนักเกินไปกว่ากฎเกณฑ์เหล่านี้ 29 คือพวกท่านต้องละเว้นจากอาหารที่ได้บูชาแก่รูปเคารพต่างๆ จากเลือด จากเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และละเว้นจากการประพฤติผิดทางเพศ ท่านหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้ก็จะดี ขอให้อยู่เป็นสุขเถิด”
30 เมื่อท่านเหล่านั้นเดินทางจากไปแล้ว ก็ได้ลงไปยังเมืองอันทิโอก ซึ่งเป็นเมืองที่เขาทั้งหลายเรียกประชุมคริสตจักร และยื่นจดหมายนั้นให้ 31 ครั้นอ่านแล้ว พวกเขาต่างก็ชื่นชมยินดีในเรื่องที่เป็นการให้กำลังใจ 32 ยูดาสและสิลาสซึ่งก็เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเอง ได้กล่าวถึงหลายเรื่องแก่พวกพี่น้อง เพื่อให้กำลังใจและให้มีความกล้าหาญ 33 หลังจากที่ได้พักอยู่ที่นั่นเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว พวกพี่น้องก็ส่งท่านเหล่านั้นกลับไปยังพวกที่ใช้ให้มา โดยกล่าวให้พรแก่พวกเขา [34 แต่สิลาสตัดสินใจที่จะอยู่ที่นั่นต่อ][b] 35 เปาโลและบาร์นาบัสยังคงอยู่ในเมืองอันทิโอก สั่งสอนและประกาศคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าร่วมกับท่านอื่นๆ อีกหลายท่านด้วย
เปาโลและบาร์นาบัสแยกทางกัน
36 ต่อมาเปาโลพูดกับบาร์นาบัสว่า “เรากลับไปเยี่ยมพวกพี่น้องตามเมืองต่างๆ ที่เราได้ประกาศคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ากันเถิด ไปดูว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง” 37 บาร์นาบัสคิดจะพายอห์นหรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโกไปด้วย 38 แต่เปาโลเห็นว่าไม่สมควร เพราะว่าเขาได้ละทิ้งเปาโลและบาร์นาบัสไว้ที่แคว้นปัมฟีเลีย และไม่ได้ทำงานกับท่านทั้งสองให้เสร็จ 39 เปาโลและบาร์นาบัสขัดแย้งกันอย่างรุนแรงจนถึงกับต้องแยกทางกัน บาร์นาบัสพามาระโกแล่นเรือกันไปยังเกาะไซปรัส 40 เปาโลได้เลือกสิลาสให้ไปด้วย โดยที่พวกพี่น้องได้ฝากท่านทั้งสองไว้ในพระคุณของพระผู้เป็นเจ้า 41 แล้วท่านเดินทางไปทั่วทั้งแคว้นซีเรียและซีลีเซียเพื่อให้กำลังใจคริสตจักร
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation