Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ปฐมกาล 5

เชื้อสายของอาดัม

บันทึกต่อไปนี้เป็นการลำดับเชื้อสายของอาดัม ในวันที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้น พระองค์สร้างเขาขึ้นตามคุณลักษณะของพระเจ้า พระองค์สร้างทั้งชายและหญิง พระองค์ให้พรแก่พวกเขา และเรียกพวกเขาว่า มนุษย์ เมื่ออาดัมมีอายุได้ 130 ปี ก็มีบุตรชายคนหนึ่งตามคุณลักษณะและภาพลักษณ์ของเขาเอง และตั้งชื่อเขาว่า เสท หลังจากเสทเกิดแล้ว อาดัมมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 800 ปี และมีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน อาดัมมีอายุยืนถึง 930 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

เมื่อเสทมีอายุได้ 105 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือเอโนช หลังจากเอโนชเกิด เสทมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 807 ปี และมีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน เสทมีอายุยืนถึง 912 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

เมื่อเอโนชมีอายุได้ 90 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือเคนัน 10 หลังจากเคนันเกิด เอโนชมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 815 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 11 ก่อนสิ้นชีวิตเอโนชมีอายุยืนถึง 905 ปี

12 เมื่อเคนันมีอายุได้ 70 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือมาหะลาเลล 13 หลังจากมาหะลาเลลเกิด เคนันมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 840 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 14 เคนันมีอายุยืนถึง 910 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

15 เมื่อมาหะลาเลลมีอายุได้ 65 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือยาเรด 16 หลังจากยาเรดเกิด มาหะลาเลลมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 830 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 17 มาหะลาเลลมีอายุยืนถึง 895 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

18 เมื่อยาเรดมีอายุได้ 162 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือเอโนค 19 หลังจากเอโนคเกิด ยาเรดมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 800 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 20 ยาเรดมีอายุยืนถึง 962 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

21 เมื่อเอโนคมีอายุได้ 65 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือเมธูเสลาห์ 22 เอโนคดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า หลังจากเมธูเสลาห์เกิด เอโนคมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 300 ปี มีบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคน 23 เอโนคมีอายุยืนถึง 365 ปี 24 เอโนคดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า และไม่มีใครเห็นหน้าเขาอีกเลย เพราะว่าพระเจ้ารับตัวเขาไป

25 เมื่อเมธูเสลาห์มีอายุได้ 187 ปี ก็มีบุตรกำเนิดแก่เขาคือลาเมค 26 หลังจากลาเมคเกิด เมธูเสลาห์มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 782 ปี มีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 27 เมธูเสลาห์มีอายุยืนถึง 969 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

28 เมื่อลาเมคมีอายุได้ 182 ปี ก็มีบุตรชายกำเนิดแก่เขาคนหนึ่ง 29 และตั้งชื่อเขาว่า โนอาห์ พลางพูดว่า “พื้นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้สาปแช่งไว้เป็นเหตุให้เราต้องตรากตรำทำงาน และลูกคนนี้จะเป็นผู้แบ่งเบาภาระของเรา” 30 หลังจากโนอาห์เกิด ลาเมคมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 595 ปี และมีบุตรชายบุตรหญิงอีกหลายคน 31 ลาเมคมีอายุยืนถึง 777 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต

32 เมื่อโนอาห์มีอายุได้ 500 ปี ก็มีบุตรชายกำเนิดแก่เขาคือเชม ฮามและยาเฟท

มัทธิว 5

หนทางที่นำไปสู่ความสุข

เมื่อพระองค์เห็นฝูงชนแล้วก็ขึ้นไปบนภูเขา และเมื่อนั่งลงแล้วเหล่าสาวกจึงมาหาพระองค์ พระองค์เริ่มกล่าวสั่งสอนพวกเขาว่า

“ผู้ที่ยอมรับว่าตนบกพร่อง[a]ฝ่ายวิญญาณจะเป็นสุข
    เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา
ผู้ที่เศร้าโศกจะเป็นสุข
    เพราะว่าพระเจ้าจะปลอบประโลมเขา
ผู้มีใจอ่อนน้อมจะเป็นสุข
    เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดกจากพระเจ้า
ผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรมจะเป็นสุข
    เพราะเขาจะอิ่มหนำ
ผู้มีความเมตตาจะเป็นสุข
    เพราะเขาจะได้รับความเมตตา
ผู้มีใจบริสุทธิ์จะเป็นสุข
    เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า
ผู้สร้างสันติจะเป็นสุข
    เพราะพระเจ้าจะเรียกเขาว่า บรรดาบุตรของพระองค์
10 ผู้ที่ถูกข่มเหงเพราะเห็นแก่การกระทำที่เป็นไปตามความชอบธรรมจะเป็นสุข
    เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา

11 พวกท่านที่ถูกเหยียดหยาม ถูกข่มเหง และถูกกล่าวหาว่าร้ายเหตุเพราะเรา ท่านก็จะเป็นสุข 12 จงชื่นชมยินดีและดีใจเถิด เพราะรางวัลอันเลิศของท่านอยู่ในสวรรค์ เพราะว่าพวกเขาได้ข่มเหงผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าที่มาล่วงหน้าท่านด้วยวิธีเดียวกัน

เกลือและแสงสว่าง

13 พวกท่านเป็นเสมือนเกลือของแผ่นดินโลก แต่ถ้าเกลือสิ้นความเค็มแล้ว จะกลับมาเค็มอีกได้อย่างไร ในเมื่อหมดประโยชน์แล้ว รังแต่จะถูกทิ้งและถูกคนเหยียบย่ำ

14 ท่านเป็นเสมือนแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนเขาไม่อาจปกปิดซ่อนเร้นไว้ได้ 15 คนที่จุดตะเกียงก็เช่นกัน จะไม่วางไว้ใต้ภาชนะ แต่จะตั้งไว้บนขาตั้งตะเกียงให้แสงส่องถึงทุกคนที่อยู่ในบ้าน 16 จงให้แสงสว่างของท่านส่องให้คนทั้งปวงเห็น เพื่อเขาจะได้เห็นการกระทำที่ดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านในสวรรค์

สิ่งที่เกี่ยวกับกฎบัญญัติ

17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างกฎบัญญัติหรือคำสั่งสอนของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เรามิได้มาเพื่อล้มล้างสิ่งเหล่านั้น แต่เพื่อเป็นไปตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ 18 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ตราบที่สวรรค์และโลกคงอยู่ แม้แต่ตัวหนังสือเล็กสุดหรือจุดๆ หนึ่งจะไม่ถูกตัดออกไปจากกฎบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งที่บันทึกไว้จะสัมฤทธิผล 19 ฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ฝ่าฝืนพระบัญญัติข้อเล็กน้อย ข้อหนึ่งข้อใดและสอนผู้อื่นให้ทำตามด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามและสอนพระบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรแห่งสวรรค์ 20 เราขอบอกท่านว่า ถ้าการกระทำของท่านที่เป็นไปตามความชอบธรรมไม่เหนือไปกว่าของพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสีแล้ว ท่านจะไม่มีวันเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ได้

21 พวกท่านได้ยินคำที่กล่าวไว้กับคนในสมัยโบราณว่า ‘อย่าฆ่าคน[b] ผู้ใดที่ฆ่าคนก็จะถูกพิพากษาลงโทษ’ 22 แต่เราขอบอกท่านว่า ทุกคนที่โกรธพี่น้องของตนจะถูกพิพากษาลงโทษ และผู้ที่กล่าวกับพี่น้องของตนว่า ‘เจ้าคนไร้ค่า’ ก็จะถูกพิพากษาที่ศาสนสภา[c] และผู้ที่กล่าวว่า ‘เจ้าคนโง่’ ก็จะมีโทษพอที่จะตกลงสู่ไฟนรก 23 ฉะนั้นถ้าท่านถวายเครื่องบูชาที่แท่นบูชา และท่านระลึกขึ้นได้ ณ ที่นั้นว่า พี่น้องคนหนึ่งมีเรื่องขัดเคืองต่อท่าน 24 ก็จงวางเครื่องบูชาของท่านไว้ที่แท่นบูชา และกลับไปคืนดีกับพี่น้องของท่านก่อน แล้วจึงค่อยย้อนกลับมาถวายเครื่องบูชา 25 จงตกลงกับโจทก์ของท่านระหว่างทางโดยเร็ว เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ส่งตัวท่านให้กับผู้พิพากษา และผู้พิพากษาส่งต่อให้ผู้คุมและโยนท่านเข้าคุก 26 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าท่านจะจ่ายเงินเหรียญสุดท้ายเสียก่อน

27 ท่านได้ยินคำที่กล่าวไว้ว่า ‘อย่าผิดประเวณี’[d] 28 แต่เราขอบอกท่านว่า ทุกคนที่มองผู้หญิงด้วยกามกิเลสก็นับว่าผิดประเวณีทางใจกับเธอแล้ว 29 และถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป ก็จงควักทิ้งเสีย เพราะให้ส่วนหนึ่งของร่างกายของท่านเสียไป ก็ยังจะดีกว่าให้ทั้งกายของท่านถูกโยนลงนรก 30 และถ้ามือขวาเป็นเหตุให้ท่านทำบาปก็จงตัดมือทิ้งเสีย เพราะให้ส่วนหนึ่งของร่างกายของท่านเสียไป ก็ยังจะดีกว่าให้ทั้งกายของท่านถูกโยนลงนรก

31 มีคำที่กล่าวไว้ว่า ‘ผู้ใดที่หย่าร้างจากภรรยาของตน จำต้องให้เธอมีใบหย่าร้าง’[e] 32 แต่เราขอกล่าวกับท่านว่า ทุกคนที่หย่าร้างจากภรรยาของตน ย่อมเป็นเหตุให้เธอผิดประเวณี นอกจากว่าเธอเป็นผู้ประพฤติผิดทางเพศก่อน และผู้ที่สมรสกับหญิงที่หย่าร้างแล้วก็เป็นผู้ผิดประเวณี

33 พวกท่านได้ยินคำที่กล่าวไว้กับคนในสมัยโบราณอีกว่า ‘อย่าเสียคำมั่นสัญญา แต่จงทำตามที่ได้สัญญาไว้กับพระผู้เป็นเจ้า’ 34 แต่เราขอบอกท่านว่า อย่าสบถสาบานเลย แม้ว่าจะเป็นการสาบานต่อสวรรค์ เพราะว่าสวรรค์เป็นบัลลังก์ของพระเจ้า 35 หรือแม้แต่สาบานต่อแผ่นดินโลก เพราะว่าโลกเป็นที่วางเท้าของพระองค์ หรือการสาบานต่อเมืองเยรูซาเล็ม เพราะว่าเยรูซาเล็มเป็นเมืองของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ 36 หรือสาบานต่อศีรษะของท่าน เพราะว่าท่านไม่สามารถกำหนดผมเส้นหนึ่งให้ขาวหรือดำได้ 37 แต่จงให้สิ่งที่ท่านพูดเป็นเพียง ใช่ก็ว่าใช่ ไม่ก็ว่าไม่ และสิ่งใดที่เกินกว่านี้มาจากมารร้ายทั้งนั้น

38 ท่านได้ยินคำที่กล่าวไว้ว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’[f] 39 แต่เราขอบอกท่านว่า อย่าแก้แค้นคนประพฤติชั่ว ถ้าใครตบแก้มขวาของท่าน ท่านก็จงหันให้เขาตบอีกข้างด้วย 40 ถ้ามีคนต้องการเรียกร้องเอาเงินจากท่าน แล้วเอาเสื้อตัวในของท่านไป ท่านก็จงให้เขาเอาเสื้อตัวนอกไปด้วย 41 ใครก็ตามที่บังคับให้ท่านเดินไปไกล 1 กิโลเมตร ท่านก็จงไปกับเขา 2 กิโลเมตร 42 จงให้แก่คนที่ขอจากท่าน และอย่าหนีหน้าไปจากคนที่ต้องการขอยืมจากท่าน

43 ท่านได้ยินคำที่กล่าวไว้ว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านของเจ้า[g] และเกลียดชังศัตรูของเจ้า’ 44 แต่เราขอบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และอธิษฐานให้บรรดาคนที่กดขี่ข่มเหงท่าน 45 เพื่อว่าท่านจะได้เป็นบรรดาบุตรของพระบิดาในสวรรค์ของท่าน เพราะว่าพระองค์เป็นผู้ที่ให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องยังคนชั่วและคนดี และโปรดให้ฝนโปรยลงบนคนที่มีความชอบธรรมและคนที่ไม่มีความชอบธรรม 46 ถ้าหากว่าท่านรักบรรดาผู้ที่รักท่าน แล้วท่านจะได้รางวัลอะไรเล่า พวกคนเก็บภาษีมิได้ทำเช่นนั้นด้วยหรือ 47 ถ้าท่านพูดทักทายกับพี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำอะไรเกินกว่าคนอื่นๆ เล่า แม้แต่บรรดาคนนอกก็ยังทำอย่างนั้นมิใช่หรือ 48 ฉะนั้นท่านจงเป็นคนดีเพียบพร้อมทุกประการ เช่นเดียวกับพระบิดาในสวรรค์ของท่านที่ดีเพียบพร้อมทุกประการ

เอสรา 5

การสร้างเริ่มขึ้นใหม่

ฮักกัยและเศคาริยาห์บุตรอิดโดเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ได้กล่าวเผยความแก่บรรดาชาวยิวที่อยู่ในยูดาห์และเยรูซาเล็ม ในพระนามพระเจ้าของอิสราเอลผู้คุ้มครองพวกเขา เศรุบบาเบลบุตรเชอัลทิเอล และเยชูอาบุตรโยซาดัก ก็เริ่มสร้างพระตำหนักของพระเจ้าขึ้นใหม่ในเยรูซาเล็ม ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าอยู่กับพวกเขา และสนับสนุนพวกเขา

ในเวลาเดียวกัน ทัทเธนัยผู้ว่าราชการของแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และเชธาร์โบเซนัย และบรรดาผู้ร่วมงานของพวกเขาก็มาหาพวกเขา และพูดว่า “ใครเป็นผู้ออกคำสั่งให้สร้างพระตำหนักนี้ให้เสร็จ” พวกเขาถามอีกว่า “ระบุรายชื่อมาเถิดว่า ใครบ้างที่เป็นผู้สร้างตึกนี้” แต่พระเจ้าของพวกเขาคุ้มครองบรรดาผู้ใหญ่ของชาวยิว พวกเขาจึงห้ามการก่อสร้างไม่ได้ จนกระทั่งมีรายงานไปยังดาริอัส และมีคำตอบกลับมาเป็นจดหมายเรื่องการสร้างในครั้งนั้น

ทัทเธนัยมีจดหมายถึงกษัตริย์ดาริอัส

ทัทเธนัยผู้ว่าราชการแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส เชธาร์โบเซนัยและบรรดาผู้ร่วมงานของเขา บรรดาผู้ว่าราชการที่อยู่ในแคว้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส มีสำเนาจดหมายส่งไปยังกษัตริย์ดาริอัส ในจดหมายที่พวกเขาส่งไปมีใจความว่า “ถึงกษัตริย์ดาริอัส ขอสันติสุขจงมีแก่ท่าน ขอกษัตริย์โปรดทราบว่า พวกเราไปยังแคว้นยูดาห์ ยังพระตำหนักของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เห็นว่ากำลังใช้หินก้อนมหึมาในการก่อสร้าง และใช้ไม้สร้างกำแพง พวกเขาทำงานครั้งนี้ด้วยความขยันขันแข็งและบรรลุผลได้ดี

พวกเราจึงถามพวกผู้ใหญ่เหล่านั้นว่า ‘ใครออกคำสั่งให้สร้างพระตำหนักนี้ให้เสร็จ’ 10 พวกเราถามรายชื่อของพวกเขาเพื่อเป็นข้อมูลให้ท่านด้วย เพื่อจะได้บันทึกชื่อหัวหน้าของพวกเขา 11 และเขาตอบพวกเราว่า ‘พวกเราเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลก พวกเรากำลังสร้างพระตำหนักที่ถูกสร้างหลายปีมาแล้วขึ้นใหม่ ซึ่งกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิสราเอลท่านหนึ่งได้สร้างจนเสร็จ 12 แต่เป็นเพราะบรรพบุรุษของเราทำให้พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์กริ้ว พระองค์จึงมอบพวกเขาไว้ในมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ซึ่งเป็นชาวเคลเดีย และได้ทำลายพระตำหนักนี้ และเนรเทศประชาชนไปยังบาบิโลน

13 อย่างไรก็ตาม ในปีแรกของไซรัสกษัตริย์แห่งบาบิโลน กษัตริย์ไซรัสออกคำสั่งว่าควรจะสร้างพระตำหนักของพระเจ้าขึ้นใหม่ 14 ดังนั้น เครื่องใช้ทองคำและเงินของพระตำหนักของพระเจ้า ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ได้ขนไปจากพระวิหารในเยรูซาเล็ม ไปไว้ในวิหารของบาบิโลน กษัตริย์ไซรัสจึงได้ย้ายเครื่องใช้เหล่านี้ออกจากวิหารของบาบิโลน และส่งต่อให้บุคคลผู้หนึ่งชื่อเชชบัสซาร์ซึ่งท่านได้แต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการ 15 และกษัตริย์สั่งว่า “จงเอาเครื่องใช้เหล่านี้ไปไว้ในพระวิหารในเยรูซาเล็ม และจงสร้างพระตำหนักของพระเจ้าในที่เดิม” 16 เชชบัสซาร์ผู้นี้จึงมาและวางฐานรากพระตำหนักของพระเจ้าในเยรูซาเล็ม และตั้งแต่นั้นมาจนถึงบัดนี้ก็ได้ถูกสร้างขึ้น แต่ยังไม่เสร็จ’

17 ฉะนั้นถ้ากษัตริย์เห็นสมควร ขอท่านโปรดค้นดูในบันทึกเอกสารของราชวงศ์ในบาบิโลน เพื่อดูว่ามีคำสั่งจากกษัตริย์ไซรัสให้สร้างพระตำหนักของพระเจ้าขึ้นใหม่ในเยรูซาเล็มหรือไม่ และขอกษัตริย์รับสั่งพวกเราตามความประสงค์ในเรื่องนี้เถิด”

กิจการของอัครทูต 5

อานาเนียและสัปฟีรา

มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียซึ่งมีภรรยาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินผืนหนึ่ง โดยเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับตนเอง ซึ่งภรรยาก็ทราบดี และนำส่วนที่เหลือมาวางไว้ที่เท้าของเหล่าอัครทูต เปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย เป็นเพราะอะไร ซาตานจึงได้ครองใจของท่านจนกล้าพูดเท็จต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้เก็บเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายที่ดินไว้สำหรับตนเอง ก่อนที่จะขายได้ ที่ดินนี้เป็นของท่าน และหลังจากที่ขายได้แล้ว เงินก็ยังเป็นสิทธิ์ของท่านมิใช่หรือ ทำไมท่านจึงได้คิดกระทำเช่นนั้น ท่านไม่ได้โกหกต่อมนุษย์ แต่โกหกต่อพระเจ้า” เมื่อสิ้นคำกล่าวนั้น อานาเนียก็ล้มลงตาย และผู้คนที่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นก็เกิดความหวาดกลัว จากนั้นพวกชายหนุ่มก็ได้ลุกขึ้นมาห่อตัวเขา และหามออกไปฝัง

ประมาณ 3 ชั่วโมงต่อมาภรรยาของเขาก็เข้ามาโดยไม่ทราบว่าได้เกิดอะไรขึ้น เปโตรถามนางว่า “ช่วยบอกข้าพเจ้าว่าท่านและอานาเนียขายที่ดินได้ในราคานี้หรือ” นางตอบว่า “ใช่แล้ว ขายได้ในราคานี้” เปโตรจึงตอบว่า “พวกท่านเห็นพ้องต้องกันได้อย่างไรในการที่จะลองดีกับพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ดูนั่น เท้าของพวกที่ฝังสามีของท่านยังอยู่ที่ประตู และพร้อมที่จะหามตัวท่านออกไปเช่นกัน” 10 ทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายอยู่แทบเท้าของเปโตร เมื่อชายหนุ่มเหล่านั้นเข้ามาก็พบว่านางตายแล้ว จึงหามนางออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง 11 ทั่วทั้งคริสตจักรและทุกคนที่ได้ยินเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เกิดความหวาดกลัวยิ่งนัก

อัครทูตรักษาโรคให้คนจำนวนมาก

12 เหล่าอัครทูตได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ อีกทั้งสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่างในหมู่ฝูงชน และผู้ที่เชื่อทั้งหลายประชุมร่วมกันที่เฉลียงของซาโลมอน 13 แม้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้ามาร่วมด้วย แต่กระนั้นผู้คนก็ยังเคารพพวกเขามาก 14 และผู้ที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทั้งชายและหญิงมีเป็นจำนวนมาก 15 จนถึงขั้นที่พวกเขาได้หามคนป่วยไปที่ถนนหนทาง และให้นอนอยู่บนแคร่หรือไม่ก็เสื่อ เพื่ออย่างน้อยเงาของเปโตรจะได้ถูกตัวบ้างเวลาที่ท่านเดินผ่านไป 16 มีผู้คนชุมนุมกันที่มาจากเมืองต่างๆ ใกล้เมืองเยรูซาเล็มด้วยที่นำคนป่วยและพวกที่ถูกวิญญาณร้ายรังควานมา และทุกคนก็ได้รับการรักษาให้หาย

อัครทูตถูกกดขี่ข่มเหง

17 ส่วนหัวหน้ามหาปุโรหิตและผู้ร่วมงานทุกคนของเขาซึ่งเป็นสมาชิกของพรรคสะดูสีก็เกิดความอิจฉา 18 จึงจับตัวเหล่าอัครทูตขังไว้ในคุกหลวง 19 ตกกลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าได้เปิดประตูคุกและพาพวกเขาออกไป 20 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “จงไปยืนที่บริเวณพระวิหารเพื่อบอกผู้คนถึงเรื่องราวทั้งสิ้นในการดำเนินชีวิตใหม่นี้” 21 เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาจึงได้เข้าไปสั่งสอนผู้คนในบริเวณพระวิหารตอนฟ้าสาง

ครั้นหัวหน้ามหาปุโรหิตและพวกร่วมงานของเขามาถึง ก็เรียกประชุมศาสนสภา คือคณะพวกผู้ใหญ่ของชาวอิสราเอลทั้งหมด และให้คนไปพาตัวเหล่าอัครทูตออกมาจากคุก 22 แต่เมื่อถึงคุกแล้ว พวกเจ้าหน้าที่กลับไม่พบใครเลย จึงได้กลับไปรายงานว่า 23 “พวกเราเห็นคุกยังคงปิดอยู่อย่างแข็งแรง และมียามยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูด้วย แต่เมื่อพวกเราเปิดประตู กลับไม่พบใครอยู่ข้างในเลย” 24 เมื่อหัวหน้านายทหารประจำพระวิหารและพวกมหาปุโรหิตได้ยินรายงานนั้นก็งุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น 25 มีใครคนหนึ่งได้มายืนพลางพูดว่า “ดูสิ พวกที่ท่านจับเข้าคุกกำลังยืนสั่งสอนผู้คนอยู่ที่บริเวณพระวิหาร” 26 นายทหารพร้อมพวกเจ้าหน้าที่จึงพากันไปยังที่นั้น เพื่อนำเหล่าอัครทูตกลับมาโดยไม่ใช้กำลัง ด้วยเกรงจะถูกผู้คนเอาหินขว้างปา

27 คนที่ไปจับกุมอัครทูตได้นำพวกเขามายืนต่อหน้าศาสนสภา เพื่อให้หัวหน้ามหาปุโรหิตเป็นผู้ซักถาม 28 หัวหน้ามหาปุโรหิตจึงกล่าวว่า “พวกเราออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดไม่ให้ท่านสั่งสอนในนามนี้ แต่พวกท่านยังสั่งสอนผู้คนทั่วทั้งเมืองเยรูซาเล็ม และต้องการให้เรารับผิดชอบกับความตายของชายคนนี้” 29 เปโตรและอัครทูตอื่นๆ ตอบว่า “พวกเราย่อมเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์ 30 พระเจ้าของบรรพบุรุษของเราได้บันดาลให้พระเยซูฟื้นคืนชีวิตทั้งๆ ที่พวกท่านได้ประหารพระองค์ โดยตรึงบนไม้กางเขน 31 พระเจ้าได้เชิดชูพระเยซู ณ เบื้องขวาของพระองค์ในการเป็นผู้นำและองค์ผู้ช่วยให้รอดพ้น เพื่อจะให้ชนชาติอิสราเอลกลับใจ และโปรดที่จะยกโทษบาปให้ 32 พวกเราเป็นพยานในเรื่องเหล่านี้ได้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระเจ้าได้มอบให้แก่คนที่เชื่อฟังพระองค์ ก็เป็นพยานได้เช่นกัน”

33 เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินก็โกรธมากและต้องการจะฆ่าเหล่าอัครทูต 34 แต่ฟาริสี[a]ผู้หนึ่งชื่อกามาลิเอล เป็นอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติซึ่งผู้คนทั้งหลายนับถือ ได้ยืนขึ้นในศาสนสภา สั่งให้พวกอัครทูตออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง 35 จากนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ชาวอิสราเอล จงพิจารณาดูให้ดีว่าท่านเจตนาจะทำอะไรกับคนพวกนี้ 36 ครั้งหนึ่ง ธุดาสปรากฏตนโดยอ้างว่าเป็นคนสำคัญ และมีคนติดตามประมาณ 400 คน เมื่อธุดาสถูกฆ่า ผู้ติดตามทั้งหมดก็กระจัดกระจายหายไป สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนไม่ก่อประโยชน์ใดๆ 37 หลังจากธุดาสแล้ว ก็มียูดาสชาวกาลิลีซึ่งปรากฏตัว และนำคนก่อการปฏิวัติขึ้นในครั้งที่มีการจดทะเบียนสำมะโนครัว เมื่อเขาถูกฆ่า ผู้ติดตามทุกคนก็กระจัดกระจายไป 38 ฉะนั้นในกรณีนี้ ข้าพเจ้าขอแนะท่านว่า อย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้เลย ปล่อยเขาไปเถิด เพราะถ้าจุดประสงค์หรือการกระทำของเขาเริ่มมาจากมนุษย์แล้ว มันก็จะล้มเหลว 39 แต่ถ้าเป็นคำสั่งจากพระเจ้าแล้ว ท่านก็จะไม่สามารถห้ามชายเหล่านี้ได้ ท่านจะเห็นว่าท่านกำลังต่อสู้กับพระเจ้า” 40 คำพูดของเขาสามารถเกลี้ยกล่อมคนเหล่านั้นได้ หลังจากที่ได้เรียกตัวพวกอัครทูตมาและโบยแล้ว ก็สั่งไม่ให้เขากล่าวสิ่งใดในพระนามของพระเยซู แล้วก็ปล่อยพวกเขาไป 41 เหล่าอัครทูตก็จากศาสนสภาไปด้วยความชื่นชมยินดี ที่พวกเขาได้รับเกียรติให้มารับการดูหมิ่นเพื่อพระนามนั้น 42 พวกเขาสั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือนว่า พระเยซูคือพระคริสต์

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation