Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
กันดารวิถี 3

คนเลวี

ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของครอบครัวอาโรนและโมเสส เมื่อครั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสบนภูเขาซีนาย

บุตรชายของอาโรนได้แก่ นาดับซึ่งเป็นบุตรหัวปี อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ คนเหล่านี้ซึ่งเป็นบุตรของอาโรนได้รับการเจิมตั้งและสถาปนาให้ปรนนิบัติในฐานะปุโรหิต แต่นาดับและอาบีฮูเสียชีวิตต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าในถิ่นกันดารซีนายเมื่อได้จุดไฟต้องห้ามขึ้น คนทั้งสองไม่มีบุตร จึงเหลือแต่เอเลอาซาร์และอิธามาร์ทำหน้าที่ปุโรหิตในช่วงชีวิตของอาโรนผู้เป็นบิดา

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงนำคนเผ่าเลวีมารายงานตัวต่อปุโรหิตอาโรนเพื่อช่วยงานเขา คนเหล่านี้จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบแทนอาโรนและชาวอิสราเอลทั้งหมด โดยรับผิดชอบงานเกี่ยวกับพลับพลาทั้งหมด พวกเขาจะต้องคอยดูแลส่วนประกอบทั้งหมดของเต็นท์นัดพบ และปฏิบัติหน้าที่ที่พลับพลาเพื่อชนอิสราเอล จงมอบคนเลวีให้แก่อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขา คนเลวีเป็นชาวอิสราเอลที่คอยช่วยงานเขา[a] อย่างเต็มที่ 10 จงแต่งตั้งอาโรนกับบุตรชายของเขาให้ปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิต ใครอื่นล่วงล้ำเข้ามาใกล้สถานนมัสการจะมีโทษถึงตาย”

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสอีกว่า 12 “เราได้เลือกชนเผ่าเลวีจากชนอิสราเอลให้เป็นตัวแทนบุตรชายหัวปีของหญิงชาวอิสราเอลทุกคน คนเลวีเป็นของเรา 13 เพราะบุตรหัวปีเป็นของเรา ตั้งแต่วันที่เราประหารบุตรชายหัวปีทั้งปวงของชาวอียิปต์ เราได้แยกลูกหัวปีของอิสราเอลทั้งหมด ไม่ว่าคนหรือสัตว์มาเป็นของเรา เราคือพระยาห์เวห์”

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสในถิ่นกันดารซีนายว่า 15 “จงนับจำนวนคนเลวีตามครอบครัวและตระกูลของเขา นับผู้ชายทุกคนอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป” 16 ดังนั้นโมเสสก็นับพวกเขาตามคำสั่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า

17 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อบุตรของเลวี ได้แก่

เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี

18 คนในตระกูลเกอร์โชน ได้แก่

ลิบนีและชิเมอี

19 คนในตระกูลโคฮาท ได้แก่

อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล

20 คนในตระกูลเมรารี ได้แก่

มาห์ลีและมูชี

ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของคนเลวีตามครอบครัวของเขา

21 ลูกหลานของลิบนีและชิเมอีเป็นของตระกูลเกอร์โชน 22 รวมผู้ชายทั้งหมดที่อายุหนึ่งเดือนขึ้นไปมี 7,500 คน 23 ตระกูลเกอร์โชนจะตั้งค่ายด้านทิศตะวันตกหลังพลับพลา 24 ผู้นำครอบครัวต่างๆ ในตระกูลเกอร์โชนคือเอลียาสาฟบุตรลาเอล 25 ตระกูลเกอร์โชนรับผิดชอบดูแลพลับพลาและเต็นท์ พร้อมเครื่องคลุมเต็นท์และม่านตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ 26 ม่านกั้นรอบลานพลับพลา ม่านกั้นทางเข้าลานพลับพลาและแท่นบูชา และเชือกทั้งหมดที่ใช้โยงพลับพลาเข้าด้วยกัน และทุกอย่างที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในงานนี้

27 ลูกหลานของอัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอลเป็นของตระกูลโคฮาท 28 รวมผู้ชายทั้งหมดที่อายุหนึ่งเดือนขึ้นไปมี 8,600 คน[b]ตระกูลโคฮาทรับผิดชอบดูแลสถานนมัสการ 29 ตระกูลโคฮาทจะตั้งค่ายด้านทิศใต้ของพลับพลา 30 ผู้นำครอบครัวต่างๆ ในตระกูลโคฮาทคือ เอลีซาฟานบุตรอุสซีเอล 31 พวกเขารับผิดชอบดูแลหีบพันธสัญญา โต๊ะ คันประทีป แท่นทั้งสองและเครื่องใช้ต่างๆ ของสถานนมัสการ ม่าน และทุกอย่างที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในงานนี้ 32 หัวหน้าใหญ่ของคนเลวีคือ ปุโรหิตเอเลอาซาร์บุตรของอาโรน เขาได้รับแต่งตั้งให้กำกับดูแลสถานนมัสการ

33 ลูกหลานของมาห์ลีและมูชีเป็นของตระกูลเมรารี 34 รวมชายทั้งหมดที่อายุหนึ่งเดือนขึ้นไปมี 6,200 คน 35 ผู้นำครอบครัวต่างๆ ในตระกูลเมรารีคือศุรีเอลบุตรอาบีฮายิล พวกเขาจะตั้งค่ายด้านทิศเหนือของพลับพลา 36 ตระกูลเมรารีได้รับมอบหมายให้ดูแลไม้ฝาของพลับพลา คานขวาง เสา ฐานรองรับ อุปกรณ์ต่างๆ และทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในงานนี้ 37 ตลอดจนเสารอบลานพลับพลา ฐานรองรับ หลักหมุด และเชือก

38 โมเสสและอาโรนกับบรรดาบุตรชายของเขาจะตั้งเต็นท์ที่ด้านทิศตะวันออกของพลับพลา ด้านหน้าเต็นท์นัดพบ พวกเขารับผิดชอบดูแลสถานนมัสการแทนชนอิสราเอล ใครอื่นล่วงล้ำเข้าใกล้สถานนมัสการจะมีโทษถึงตาย

39 รวมชายเลวีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไปทั้งหมด ซึ่งโมเสสและอาโรนได้นับไว้ตามตระกูลของพวกเขา ตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามี 22,000 คน

40 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงทำทะเบียนรายชื่อบุตรชายหัวปีทุกคนของอิสราเอลที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป 41 คนเลวีจะเป็นของเรา เป็นตัวแทนบุตรชายหัวปีของอิสราเอล และฝูงสัตว์ของคนเลวีจะเป็นตัวแทนลูกหัวปีทั้งหมดของฝูงสัตว์ของคนอิสราเอล เราคือพระยาห์เวห์”

42 ดังนั้นโมเสสจึงนับจำนวนบุตรหัวปีทั้งหมดของชนอิสราเอลตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา 43 บุตรชายหัวปีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไปตามรายชื่อมีทั้งสิ้น 22,273 คน

44 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 45 “จงมอบคนเลวีให้เราแทนบุตรชายหัวปีทั้งหมดของอิสราเอล และมอบฝูงสัตว์ของคนเลวีให้เราแทนฝูงสัตว์ของพวกเขา คนเลวีจะเป็นของเรา เราคือพระยาห์เวห์ 46 สำหรับบุตรชายหัวปีของอิสราเอล 273 คนซึ่งเกินจำนวนคนเลวีนั้น 47 จงเก็บเงินหนักคนละห้าเชเขล[c]ตามเชเขลของสถานนมัสการ ซึ่งเท่ากับยี่สิบเกราห์ 48 จงมอบเงินค่าไถ่ตัวของชนอิสราเอลที่เกินมานี้ให้แก่อาโรนและบุตรชายของเขา”

49 โมเสสจึงเก็บเงินค่าไถ่จากบุตรหัวปีชาวอิสราเอล ซึ่งเกินจำนวนคนที่ไถ่แล้วโดยทางคนเลวี 50 รวมจำนวนเงินที่เก็บได้หนัก 1,365 เชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ 51 โมเสสมอบเงินค่าไถ่นี้ให้แก่อาโรนและบรรดาบุตรชายตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

สดุดี 37

(บทประพันธ์ของดาวิด)

37 อย่าเดือดเนื้อร้อนใจเพราะคนชั่ว
หรืออย่าอิจฉาคนที่ทำผิด
เพราะว่าในไม่ช้าเขาก็จะเหี่ยวแห้งไปเหมือนต้นหญ้า
และเขาจะเฉาตายไปเหมือนพืชผัก

จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าและทำความดี
จงอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นและรื่นรมย์อยู่ในทุ่งหญ้าอันปลอดภัย
จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
และพระองค์จะประทานสิ่งที่ใจของท่านปรารถนา

จงมอบทางของท่านไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงวางใจในพระองค์ และพระองค์จะทรงทำสิ่งเหล่านี้ คือ
พระองค์จะทำให้ความชอบธรรมของท่านฉายแสงดั่งรุ่งอรุณ
ให้ความยุติธรรมในคดีของท่านเจิดจ้าดั่งแสงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน

จงสงบนิ่งต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและเพียรรอคอยพระองค์
อย่าเดือดเนื้อร้อนใจเพราะเหตุที่พวกเขาประสบความสำเร็จในทางของเขา
เมื่อแผนชั่วของเขาลุล่วงไปด้วยดี

จงระงับโทสะ เลิกโมโหโกรธาเสีย
อย่าเดือดเนื้อร้อนใจ ซึ่งมีแต่จะนำไปสู่ความเลวร้าย
เพราะคนชั่วร้ายจะถูกกำจัด
แต่บรรดาผู้ที่หวังในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้แผ่นดินนั้นเป็นมรดก

10 เพียงชั่วประเดี๋ยว คนชั่วก็จะสูญสิ้นไป
แม้ท่านจะมองหาเขาแต่จะไม่พบ
11 ส่วนคนที่ถ่อมสุภาพจะได้รับแผ่นดินนั้นเป็นมรดก
และชื่นชมกับสันติสุขอันยิ่งใหญ่

12 คนชั่ววางแผนปองร้ายผู้ชอบธรรม
และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่พวกเขา
13 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหัวเราะเยาะคนชั่ว
เพราะพระองค์ทรงทราบว่าวันเวลาของเขาใกล้จะมาถึงแล้ว

14 คนชั่วชักดาบและโก่งคันธนู
เพื่อโค่นล้มคนยากไร้และขัดสน
เพื่อเข่นฆ่าคนที่ดำเนินในทางเที่ยงธรรม
15 แต่ดาบของเขาเองจะเสียบทะลุหัวใจของเขาเอง
และธนูของเขาจะถูกหักทำลาย

16 สิ่งเล็กน้อยที่คนชอบธรรมมีอยู่
ก็ดีกว่าความมั่งคั่งของคนชั่วร้าย
17 เพราะอำนาจของคนชั่วจะถูกขจัดไป
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเชิดชูผู้ชอบธรรม

18 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบวันเวลาของคนไร้ตำหนิ
มรดกของพวกเขาจะยั่งยืนนิรันดร์
19 ในยามเกิดภัยพิบัติ พวกเขาจะไม่อับเฉา
ในยามกันดารอาหาร พวกเขาก็จะเริงร่าในความอุดมสมบูรณ์

20 ส่วนคนชั่วจะพินาศ
แม้ว่าศัตรูขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นเหมือนดอกไม้ในทุ่งหญ้า
พวกเขาก็จะสูญสิ้นไปเหมือนควัน

21 คนชั่วขอยืมแล้วไม่ใช้คืน
ส่วนคนชอบธรรมให้ด้วยใจกว้างขวาง
22 บรรดาผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพรจะได้แผ่นดินนั้นเป็นมรดก
แต่บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสาปแช่งจะต้องถูกตัดออก

23 ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยทางของคนใด
ก็ทรงให้ย่างก้าวของคนนั้นมั่นคง
24 แม้เขาสะดุด เขาจะไม่ล้มลง
เพราะพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าค้ำชูเขาไว้

25 ข้าพเจ้าเคยเป็นหนุ่มฉกรรจ์ และเดี๋ยวนี้ชราแล้ว
แต่ยังไม่เคยเห็นคนชอบธรรมถูกทอดทิ้ง
หรือลูกหลานของพวกเขาต้องขอทานเลี้ยงชีพ
26 พวกเขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เสมอและให้ยืมอย่างไม่ตระหนี่
ลูกหลานของพวกเขาก็ได้รับพร

27 จงละทิ้งความชั่วและทำความดี
แล้วท่านจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นสืบไปเป็นนิตย์
28 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักคนเที่ยงธรรม
และจะไม่ทอดทิ้งคนซื่อสัตย์ของพระองค์

พระองค์จะทรงปกป้องเขาตลอดไป
แต่พงศ์พันธุ์ของคนชั่วจะถูกตัดออก
29 คนชอบธรรมจะได้แผ่นดินนั้นเป็นมรดก
และจะอาศัยอยู่ที่นั่นตลอดไป

30 ปากของผู้ชอบธรรมเปี่ยมด้วยสติปัญญา
และลิ้นของเขาพูดสิ่งที่ยุติธรรม
31 บทบัญญัติของพระเจ้าอยู่ในใจของเขา
ย่างเท้าของเขาจะไม่พลาดพลั้ง

32 คนชั่วหมอบคอยคนชอบธรรม
ซุ่มดักเอาชีวิตของเขา
33 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงปล่อยพวกเขาให้อยู่ในกำมือของคนชั่ว
หรือให้คนชอบธรรมถูกตัดสินลงโทษเมื่อขึ้นศาล

34 จงรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า และดำเนินตามทางของพระองค์
พระองค์จะทรงเชิดชูท่านให้ได้แผ่นดินนั้นเป็นมรดก
ท่านจะเห็นคนชั่วร้ายถูกทำลาย

35 ข้าพเจ้าเห็นคนชั่วร้ายอำมหิตเจริญรุ่งเรือง
ดั่งต้นไม้เขียวขจีในถิ่นฐานของมัน
36 แต่ไม่ช้าก็จากไปและดับสูญ
แม้ข้าพเจ้ามองหา ก็ไม่พบเขาอีกเลย

37 จงพิจารณาคนที่ไร้ที่ติ สังเกตดูคนเที่ยงธรรม
ผู้ใฝ่สันติจะมีอนาคต[a]
38 แต่บรรดาคนบาปทุกคนจะถูกทำลายไป
คนชั่วจะไม่มีอนาคต

39 ความรอดของคนชอบธรรมมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของพวกเขาในยามทุกข์ยาก
40 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเขาและทรงกอบกู้เขา
พระองค์จะทรงกอบกู้เขาจากคนชั่วและช่วยให้เขาปลอดภัย
เพราะพวกเขาลี้ภัยในพระองค์

เพลงโซโลมอน 1

ยอดบทเพลงของโซโลมอน

หญิงสาว[a]

ขอพรมจูบดิฉันด้วยปากของคุณ
เพราะความรักของคุณฉ่ำชื่นใจยิ่งกว่าเหล้าองุ่น
น้ำหอมของคุณช่างหอมรัญจวน
ชื่อเสียงของคุณก็หอมฟุ้ง
ไม่แปลกเลยที่สาวๆ รุมรักคุณ!
พาดิฉันไปด้วยเถิด เรารีบไปกันเถิด!
ขอพระราชาทรงนำดิฉันเข้าไปในพระตำหนัก

เพื่อน

เราชื่นชมและยินดีในตัวคุณ
เราเทิดทูนความรักของคุณยิ่งกว่าเหล้าองุ่น

หญิงสาว

ถูกแล้วที่พวกเขาเทิดทูนคุณ!

บรรดาสตรีชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย
ดิฉันผิวคล้ำ
ดั่งเต็นท์แห่งเคดาร์ก็จริง
แต่ก็งามน่ารักเหมือนม่านเต็นท์ของโซโลมอน[b]
อย่ามาจ้องผิวที่คล้ำของดิฉันมากนัก
ดวงตะวันทำให้ผิวของดิฉันเกรียมแดด
พวกพี่ชายโกรธเคืองดิฉัน
จึงส่งดิฉันออกไปดูแลสวนองุ่นต่างๆ
แต่สวนองุ่นของดิฉันเองถูกปล่อยปละละเลย
บอกดิฉันเถิด ที่รัก วันนี้คุณจะพาฝูงแกะไปกินหญ้าที่ไหน?
และตอนเที่ยงคุณจะพาฝูงแกะไปพักที่ใด?
เหตุใดจะให้ดิฉันเป็นเหมือนหญิงโสเภณี[c]
เตร็ดเตร่ไปกับฝูงสัตว์ของเพื่อนๆ ของคุณ?

เพื่อน

โอ แม่หญิงงามที่สุด ถ้าเธอไม่รู้
ก็ให้ติดตามรอยฝูงแกะ
ไปที่เต็นท์ของพวกคนเลี้ยงแกะ
ไปเลี้ยงฝูงแพะหนุ่มของเธอที่นั่น

ชายหนุ่ม

ที่รัก ผมขอเปรียบเธอดั่งม้าตัวเมีย
ที่ใช้เทียมราชรถของฟาโรห์
10 แก้มของเธองดงามด้วยต่างหู
คอของเธอสวยด้วยสร้อยอัญมณี
11 พวกเราจะทำต่างหูทองคำ
ประดับเงินให้เธอ

หญิงสาว

12 เมื่อพระราชาทรงประทับอยู่ที่พระแท่น
น้ำหอมของดิฉันก็ส่งกลิ่นอบอวล
13 ที่รักของดิฉันเหมือนถุงมดยอบ
วางอยู่ที่หว่างอกของดิฉัน
14 สำหรับดิฉัน ที่รักเป็นเหมือนช่อดอกเทียนขาว
จากสวนองุ่นแห่งเอนเกดี

ชายหนุ่ม

15 เธอช่างงามจริงๆ นะ ยอดรัก!
งามเหลือเกิน!
ดวงตาของเธอดั่งนกพิราบ

หญิงสาว

16 ที่รักจ๋า คุณหล่อเสียจริง!
มีเสน่ห์ยิ่งนัก!
ที่นอนของเราเขียวขจี

ชายหนุ่ม

17 ขื่อเรือนของเราเป็นไม้สนซีดาร์
จันทันเป็นไม้เฟอร์

ฮีบรู 1

พระบุตรทรงยิ่งใหญ่เหนือเหล่าทูตสวรรค์

ในอดีตพระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราผ่านทางผู้เผยพระวจนะหลายครั้งหลายคราด้วยวิธีการต่างๆ แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสกับเราทั้งหลายโดยพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ได้แต่งตั้งให้เป็นทายาทครอบครองทุกสิ่งและได้ทรงสร้างจักรวาลโดยพระบุตรนี้ พระบุตรคือรัศมีเจิดจ้าแห่งพระเกียรติสิริของพระเจ้า ทรงเป็นเหมือนพระเจ้าทุกประการ และทรงผดุงสรรพสิ่งไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ได้ทรงชำระบาปแล้ว พระองค์จึงได้ประทับลงที่เบื้องขวาขององค์ผู้ทรงบารมีในสวรรค์ ฉะนั้นพระองค์จึงทรงยิ่งใหญ่เหนือเหล่าทูตสวรรค์ เพราะพระนามที่พระองค์ได้รับสูงส่งกว่านามของเหล่าทูตสวรรค์

เพราะพระเจ้าเคยตรัสกับทูตสวรรค์องค์ไหนอย่างนี้บ้าง? ที่ว่า

“เจ้าเป็นบุตรของเรา
วันนี้เราได้เป็นบิดาของเจ้า[a][b]

และตรัสว่า

“เราจะเป็นบิดาของเขา
และเขาจะเป็นบุตรของเรา”[c]

และอีกครั้งเมื่อพระเจ้าทรงนำบุตรหัวปีของพระองค์เข้ามาในโลก พระองค์ตรัสว่า

“ให้ทูตสวรรค์ทั้งสิ้นของพระเจ้านมัสการเขา”[d]

พระองค์ตรัสถึงเหล่าทูตสวรรค์ว่า

“พระองค์ทรงทำให้ทูตสวรรค์ของพระองค์เป็นสายลม
ให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นเปลวไฟ”[e]

แต่ส่วนพระบุตรนั้น พระองค์ตรัสว่า

“ข้าแต่พระเจ้า ราชบัลลังก์ของพระองค์จะดำรงนิจนิรันดร์
พระองค์จะทรงปกครองราชอาณาจักรของพระองค์ด้วยคทาแห่งความชอบธรรม
พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและทรงเกลียดชังความชั่ว
ฉะนั้นพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าของพระองค์จึงทรงตั้งพระองค์ไว้เหนือพระสหายทั้งปวง
โดยทรงเจิมพระองค์ด้วยน้ำมันแห่งความชื่นชมยินดี”[f]

10 และพระองค์ตรัสด้วยว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ทรงวางฐานรากของแผ่นดินโลก
และฟ้าสวรรค์เป็นพระหัตถกิจของพระองค์
11 สิ่งเหล่านั้นจะพินาศไป แต่พระองค์ทรงดำรงอยู่
สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดจะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม
12 พระองค์จะทรงม้วนสิ่งเหล่านั้นขึ้นเหมือนเสื้อคลุม
สิ่งเหล่านั้นจะถูกเปลี่ยนไปเหมือนเสื้อผ้า
แต่พระองค์เองยังคงเดิม
และปีเดือนของพระองค์จะไม่สิ้นสุด”[g]

13 มีทูตสวรรค์องค์ไหนบ้างที่พระเจ้าตรัสว่า

“จงนั่งที่ขวามือของเรา
จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้า
เป็นแท่นวางเท้าของเจ้า”[h]?

14 ทูตสวรรค์ทั้งปวงคือวิญญาณผู้ปรนนิบัติซึ่งพระเจ้าทรงส่งไปรับใช้บรรดาผู้ที่จะได้รับความรอดเป็นมรดกไม่ใช่หรือ?

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.