M’Cheyne Bible Reading Plan
กฎระเบียบเกี่ยวกับโรคติดต่อทางผิวหนัง
13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า 2 “หากผู้ใดเกิดอาการบวมที่ผิวหนัง หรือเป็นผื่น หรือมีรอยด่าง ให้สงสัยว่าเป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง[a] จะต้องนำผู้นั้นมาพบปุโรหิตอาโรนหรือบุตรชาย[b]คนหนึ่งคนใดของอาโรนที่เป็นปุโรหิต 3 ปุโรหิตจะต้องตรวจดูรอยโรคของผู้นั้น หากขนบนผิวหนังบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและรอยโรคนี้ลามลึก[c]กว่าผิวหนังลงไป แสดงว่าเป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทินตามระเบียบพิธี 4 แต่หากผิวหนังบริเวณนี้เป็นด่างแต่ไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง และขนในบริเวณดังกล่าวก็ไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีขาว ปุโรหิตจะต้องกักตัวเขาไว้ดูอาการเป็นเวลาเจ็ดวัน 5 ในวันที่เจ็ดปุโรหิตจะตรวจผู้นั้นอีกครั้ง หากบริเวณที่บวมดังกล่าวยังอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง ปุโรหิตก็จะกักตัวเขาไว้อีกเจ็ดวัน 6 ในวันที่เจ็ดปุโรหิตจะตรวจผู้นั้นอีกครั้ง หากรอยโรคดีขึ้น ไม่ได้ลามลึกลงไป ปุโรหิตก็จะประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทิน เป็นเพียงผื่นธรรมดา ผู้นั้นต้องซักเสื้อผ้าของตน แล้วเขาก็จะสะอาด 7 แต่หากผื่นนั้นเห่อลามไปหลังจากที่เขาให้ปุโรหิตตรวจดูหนหนึ่งแล้ว เขาจะต้องกลับมาหาปุโรหิตอีก 8 ปุโรหิตจะตรวจเขาใหม่ หากเห็นว่าผื่นนั้นเห่อลามตามผิวหนังก็จะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคติดต่อ
9 “หากผู้ใดเป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง ต้องนำเขาไปพบปุโรหิต 10 แล้วปุโรหิตจะตรวจผู้นั้น หากเขามีอาการบวมซีดที่ผิวหนัง ขนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาว และรอยบวมนั้นปริแตกเป็นแผล 11 เขาก็เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทินโดยไม่ต้องกักตัวไว้ดูอาการอีก เพราะเขาเป็นมลทินแล้ว
12 “แต่หากปุโรหิตเห็นว่ารอยโรคนั้นกระจายไปทั่วตั้งแต่ศีรษะจดเท้า 13 ปุโรหิตต้องตรวจดูเขา หากรอยโรคนั้นปกคลุมไปทั้งตัว ให้ประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทิน เนื่องจากร่างกายของเขากลายเป็นด่างขาวไปทั้งตัว เขาจึงสะอาดไม่เป็นโรคติดต่อ 14 แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายของเขามีแผล ผู้นั้นก็เป็นมลทิน 15 เมื่อปุโรหิตพบเห็นรอยแผลนั้น ให้ประกาศว่าเขาเป็นมลทิน รอยแผลนั้นไม่สะอาด ทำให้เขาเป็นโรคติดต่อ 16 หากรอยแผลนั้นตกสะเก็ด ให้เขากลับไปหาปุโรหิต 17 ปุโรหิตจะตรวจดูอีกครั้ง หากแผลนั้นหายแห้งดีแล้ว ปุโรหิตก็จะประกาศว่าเขาหายจากโรคติดต่อ เขาสะอาดพ้นมลทิน
18 “หากผู้ใดเป็นฝีและหายแล้ว 19 แต่รอยฝีเกิดอาการบวมด่างหรือเปลี่ยนเป็นสีขาวอมชมพูเรื่อๆ ผู้นั้นต้องไปให้ปุโรหิตตรวจดู 20 หากอาการลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง และขนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาว ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน โรคติดต่อทางผิวหนังได้ลามออกมาจากฝีนั้น 21 แต่เมื่อปุโรหิตตรวจดูแล้ว ขนบริเวณนั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีขาว และรอยโรคนั้นไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง อีกทั้งสีก็กำลังจางลง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้ดูอาการเป็นเวลาเจ็ดวัน 22 หากโรคนั้นลามออกไปตามผิวหนัง ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคติดต่อ 23 แต่หากลักษณะของรอยโรคนั้นไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ลุกลามออกไป รอยนี้ก็เป็นเพียงแผลเป็นหลังจากเป็นฝี ปุโรหิตก็จะประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทิน
24 “หากผู้ใดมีแผลไฟไหม้และแผลนี้กลายเป็นสีขาวหรือสีขาวอมชมพูเรื่อๆ 25 ให้ปุโรหิตตรวจดูรอยนั้น ถ้าขนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและอาการลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง โรคติดต่อได้ลามจากรอยไหม้นั้นแล้ว ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง 26 หากปุโรหิตตรวจดูพบว่าขนบริเวณนั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีขาว และรอยแผลนั้นก็ไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง อีกทั้งสีก็กำลังจางลง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้ดูอาการเป็นเวลาเจ็ดวัน 27 ในวันที่เจ็ดปุโรหิตจะตรวจผู้นั้นอีกครั้ง หากแผลนั้นลุกลามออกไป ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง 28 หากลักษณะของแผลนั้นไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ได้ลุกลามออกไป แต่กำลังจางลง รอยนี้ก็เป็นเพียงรอยบวมหรือแผลเป็นจากไฟไหม้ ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทิน
29 “หากชายหรือหญิงคนใดมีแผลที่ศีรษะหรือคาง 30 ให้ปุโรหิตตรวจดูแผลนั้น หากแผลลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง และขนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและบางลง ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นแผลคัน เป็นโรคติดต่อที่ศีรษะหรือคาง 31 แต่หากปุโรหิตตรวจพบว่าแผลคันนั้นไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง และไม่มีขนสีดำในบริเวณนั้น ให้กักคนนั้นไว้ดูอาการเป็นเวลาเจ็ดวัน 32 ในวันที่เจ็ดให้ปุโรหิตตรวจดูผู้นั้น หากแผลคันไม่ได้ลามไปและไม่ได้มีขนสีเหลืองขึ้นมา อีกทั้งแผลนี้ก็ไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง 33 จะต้องโกนขนบริเวณรอบๆ แผลนั้นออก และปุโรหิตจะกักตัวเขาไว้อีกเจ็ดวัน 34 ในวันที่เจ็ดให้ปุโรหิตตรวจผู้นั้นอีก หากแผลคันนี้ไม่ได้ลามไปและไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาสะอาด เขาต้องซักเสื้อผ้าและถือว่าเขาปราศจากมลทิน 35 แต่ถ้าแผลคันนั้นลามออกไปหลังจากประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทินแล้ว 36 ปุโรหิตจะตรวจอีกครั้ง หากแผลคันนั้นลามออกไปก็ประกาศว่าเขาเป็นมลทินโดยไม่ต้องรอดูว่ามีขนสีเหลืองหรือไม่ 37 แต่หากปุโรหิตเห็นว่าแผลนั้นไม่ลามออกไปและมีขนสีดำขึ้นบริเวณนั้น แผลคันนั้นก็หายแล้ว เขาก็ไม่เป็นมลทิน และปุโรหิตจะประกาศว่าเขาสะอาด ไม่เป็นมลทิน
38 “หากชายหรือหญิงคนใดมีรอยด่างขาวขึ้นที่ผิวหนัง 39 ให้ปุโรหิตตรวจดู หากรอยเหล่านี้คล้ำลง รอยที่ขึ้นบนผิวหนังประเภทนี้ก็เป็นเพียงผื่นที่ไม่เป็นอันตราย เขาก็ไม่เป็นมลทิน
40 “หากชายคนใดผมร่วงจนหัวล้านเลี่ยน เขาก็ไม่เป็นมลทิน 41 หากผมบริเวณหน้าผากร่วงจนเถิก เขาก็ไม่เป็นมลทิน 42 แต่ถ้าบริเวณที่ล้านนั้นมีรอยแดงเรื่อๆ ก็เป็นโรคติดต่อที่ศีรษะหรือหน้าผาก 43 ปุโรหิตจะตรวจดู หากมีแผลบวมแดงเรื่อๆ ที่ศีรษะหรือหน้าผากคล้ายโรคติดต่อทางผิวหนัง 44 ชายผู้นี้ก็เป็นโรคติดต่อและเป็นมลทิน ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทินเพราะแผลบนศีรษะของเขา
45 “ผู้ใดถูกตรวจพบว่าเป็นโรคติดต่อ ผู้นั้นต้องสวมเสื้อผ้าฉีกขาด ปล่อยผมรุงรังปิดส่วนล่างของใบหน้าและร้องว่า ‘เป็นมลทิน! เป็นมลทิน!’ 46 ตราบใดที่เขายังเป็นโรคติดต่อ เขาก็เป็นมลทิน และเขาต้องอยู่ตามลำพังนอกค่าย
กฎระเบียบเกี่ยวกับเชื้อรา
47 “หากสงสัยว่ามีราขึ้นที่เสื้อผ้าขนสัตว์หรือผ้าลินิน 48 หรือที่สิ่งถักทอจากลินิน หรือจากขนสัตว์ หรือที่แผ่นหนัง หรือเครื่องใช้ที่ทำจากหนัง 49 และมีจุดเขียวหรือแดงที่ของนั้น เครื่องใช้เหล่านั้นก็ขึ้นรา จะต้องนำมาให้ปุโรหิตดู 50 ปุโรหิตจะตรวจดูเชื้อรา และแยกเครื่องใช้เหล่านี้ไว้เจ็ดวัน 51 ในวันที่เจ็ดปุโรหิตจะตรวจดูอีกครั้ง ถ้าเชื้อรานั้นลามออกไปก็แสดงว่ารานี้มีพิษ ของสิ่งนั้นก็เป็นมลทิน 52 ต้องเผาทิ้งเนื่องจากมีราที่เป็นพิษ
53 “แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูเครื่องใช้เหล่านั้นแล้วพบว่าราไม่ได้ลามออกไป 54 ต้องนำสิ่งเหล่านั้นไปซักล้าง แล้วแยกออกจากเครื่องใช้อื่นๆ ไว้เจ็ดวัน 55 หลังจากนั้นปุโรหิตต้องตรวจดูเครื่องใช้เหล่านี้อีก หากพบว่ายังมีราติดอยู่แม้จะไม่ได้ลามออกไปก็ให้ถือว่าเป็นมลทิน ต้องเผาทิ้ง ไม่ว่ารานั้นจะอยู่ด้านใดด้านหนึ่งบนของสิ่งนั้น 56 แต่หลังจากซักล้างแล้ว หากปุโรหิตตรวจพบว่าราในเครื่องใช้เหล่านี้จางลง ให้ตัดส่วนที่ขึ้นราทิ้ง 57 หากมีราปรากฏขึ้นอีกและลุกลามออกไป ให้เผาเครื่องใช้เหล่านี้ 58 แต่หากซักล้างแล้วไม่ปรากฏร่องรอย ก็ให้นำไปซักอีกครั้ง จึงจะถือว่าสิ่งนั้นสะอาด”
59 ทั้งหมดนี้คือกฎระเบียบเกี่ยวกับเชื้อราในเสื้อผ้า สิ่งถักทอ หรือสิ่งที่ทำจากหนัง บอกให้รู้ว่าเป็นมลทินหรือไม่
(บทสดุดีของดาวิด)
15 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ใดจะได้พักพิงในสถานนมัสการของพระองค์?
ผู้ใดจะได้อาศัยบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์?
2 คือผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างไม่มีที่ติ
ผู้ที่ทำสิ่งที่ชอบธรรม
ผู้ที่พูดความจริงจากใจของตน
3 ผู้ที่ไม่นินทาว่าร้าย
ผู้ที่ไม่ทำผิดต่อเพื่อนบ้าน
ผู้ที่ไม่ใส่ร้ายคนอื่น
4 ผู้ที่ชิงชังคนชั่วช้าเลวทราม
แต่ยกย่องผู้ที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ที่รักษาคำปฏิญาณ
แม้ว่าตัวเองต้องเสียผลประโยชน์
5 ผู้ที่ให้ยืมเงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย
และไม่ยอมรับสินบนเพื่อปรักปรำผู้บริสุทธิ์
ผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้
จะไม่มีวันหวั่นไหวเลย
(มิคทาม[a]บทหนึ่งของดาวิด)
16 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงปกป้องข้าพระองค์ให้ปลอดภัย
เพราะข้าพระองค์ลี้ภัยในพระองค์
2 ข้าพเจ้ากราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์
นอกจากพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่มีอะไรดีเลย”
3 ข้าพเจ้าชื่นชมเหล่าวิสุทธิชนในโลกนี้
พวกเขาเป็นผู้ทรงเกียรติ น่ายกย่อง
4 บรรดาผู้ที่ติดตามพระอื่นๆ จะทุกข์โศกมากยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าจะไม่เทเลือดถวายเป็นเครื่องสักการบูชาเหมือนที่พวกเขาทำ
หรือเอ่ยชื่อพระต่างๆ ของพวกเขา
5 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นส่วนมรดกและเป็นจอกแห่งพระพรของข้าพระองค์
พระองค์ทรงดูแลรักษากรรมสิทธิ์ของข้าพระองค์
6 ทรงให้ข้าพระองค์ได้รับส่วนในเขตแดนอันรื่นรมย์
แน่นอน ข้าพระองค์มีมรดกอันน่าชื่นชม
7 ข้าพเจ้าจะสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงให้คำปรึกษาแก่ข้าพเจ้า
แม้ในยามค่ำคืนจิตใจของข้าพเจ้าก็สอนตัวเอง
8 ข้าพเจ้าให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ
เพราะพระองค์ทรงประทับอยู่ที่ด้านขวามือของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว
9 ฉะนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดีและลิ้นของข้าพเจ้าก็ปรีดา
กายของข้าพเจ้าก็จะพักอยู่อย่างปลอดภัยเช่นกัน
10 เพราะพระองค์จะไม่ทรงทิ้งข้าพระองค์ไว้กับหลุมฝังศพ
ทั้งจะไม่ทรงปล่อยให้ผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์[b]เน่าเปื่อย
11 พระองค์ได้ทรงสำแดง[c]หนทางแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์
พระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีต่อหน้าพระองค์
มีความชื่นบานอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์เป็นนิตย์
27 อย่าโอ้อวดเรื่องของวันพรุ่งนี้
เพราะเจ้าไม่รู้ว่าในวันหนึ่งจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
2 อย่ายกย่องตัวเองด้วยปากของเจ้าเอง
ให้คนอื่นเป็นผู้ยกย่อง ไม่ใช่ด้วยริมฝีปากของเจ้าเอง
3 หินก็หนัก ทรายก็หนัก
แต่การยั่วโมโหของคนโง่หนักยิ่งกว่าทั้งสองอย่างนั้น
4 ความโกรธนั้นโหดร้าย และโทสะนั้นท่วมท้น
แต่ใครเล่าจะทนเผชิญความอิจฉาริษยาได้?
5 ตักเตือนอย่างเปิดเผย
ยังดีกว่าซ่อนคำเตือนไว้ด้วยความรัก
6 บาดแผลที่เพื่อนทำก็ยังน่าเชื่อถือ
แต่จูบของศัตรูก็พร่ำเพรื่อไม่จริงใจ
7 คนที่อิ่มแล้วเหยียบย่ำน้ำผึ้งจากรวง
ส่วนผู้ที่หิวโหย ทุกสิ่งที่ขมก็มีรสหวาน
8 คนที่เตลิดหนีออกจากบ้าน
ก็เหมือนนกเตลิดหนีออกจากรัง
9 น้ำอบน้ำหอมทำให้ชื่นใจ
คำแนะนำจากใจของเพื่อนทำให้ชื่นจิต
10 อย่าละทิ้งมิตรสหายของเจ้าหรือของครอบครัวเจ้า
และอย่าไปบ้านพี่น้องเมื่อเจ้าทุกข์ยากลำบาก
เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ก็ดีกว่าพี่น้องที่อยู่ไกล
11 ลูกเอ๋ย จงฉลาดและทำให้เราปลาบปลื้มใจ
เราจะได้ตอบคนที่สบประมาทเรา
12 คนมีวิจารณญาณเห็นภัยอันตรายและหลบเข้าที่กำบัง
ส่วนคนโง่เดินลุยต่อไปและต้องทุกข์ทนกับผลที่ตามมา
13 จงยึดเสื้อผ้าของผู้ที่ค้ำประกันให้แก่คนแปลกหน้า
ยึดไว้เป็นมัดจำ เมื่อเขาประกันให้หญิงเสเพล[a]
14 ผู้ที่มาแผดเสียงอวยพรเพื่อนบ้านแต่เช้ามืด
เขาจะถือว่าเป็นคำสาปแช่ง
15 ภรรยาที่ชอบหาเรื่อง
ก็เหมือนหลังคารั่วภายใต้พายุฝน
16 ห้ามนางก็เหมือนห้ามลม
หรือเอามือคว้าน้ำมัน
17 เหล็กลับเหล็กได้ฉันใด
คนเราก็ลับกันได้ฉันนั้น
18 ผู้ที่ดูแลต้นมะเดื่อจะได้กินผลของมัน
ผู้ที่ปกป้องดูแลเจ้านายจะได้รับเกียรติ
19 น้ำสะท้อนให้เห็นใบหน้าฉันใด
พฤติกรรมก็สะท้อนให้เห็นจิตใจของคนฉันนั้น
20 แดนมรณาและแดนพินาศไม่เคยเต็มอิ่ม
ตาของคนเราก็ไม่รู้จักอิ่มหนำ
21 เบ้าหลอมมีไว้สำหรับเงิน เตาถลุงมีไว้สำหรับทองคำ
ส่วนคนเราพิสูจน์ได้ด้วยคำยกย่องชมเชยของเขา
22 ถึงแม้จะเอาคนโง่ใส่ครกตำเหมือนใช้สากตำข้าว
ก็ยังไม่อาจขจัดความโง่ออกจากตัวเขา
23 จงดูแลความเป็นอยู่ของแพะแกะของเจ้าให้ดี
จงเอาใจใส่ฝูงสัตว์ของเจ้า
24 เพราะทรัพย์สมบัติไม่ยั่งยืนชั่วนิรันดร์
และมงกุฎก็ไม่ได้มั่นคงตลอดทุกชั่วอายุ
25 เมื่อฟางถูกเก็บไปและหญ้าใหม่งอกขึ้นมา และเมื่อพืชผักถูกเก็บเกี่ยวจากเนินเขา 26 เมื่อนั้นเจ้าจะได้เสื้อผ้าจากแกะ
และเจ้าจะได้ค่านาจากแพะ
27 เจ้าจะมีนมแพะพอเลี้ยงตนเองและครอบครัวของเจ้า
และบรรดาสาวใช้ของเจ้า
1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโล สิลาส[a]และทิโมธี
ถึงคริสตจักรของชาวเธสะโลนิกาในพระเจ้าพระบิดาของเราและองค์พระเยซูคริสต์เจ้า
2 ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่ท่านทั้งหลาย
ขอบพระคุณและทูลขอ
3 พี่น้องทั้งหลาย เราควรขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านเสมอและเป็นการถูกต้องแล้วที่ทำเช่นนั้น เนื่องด้วยความเชื่อของท่านจำเริญยิ่งๆ ขึ้นและความรักที่ท่านทุกคนมีต่อกันก็เพิ่มพูนขึ้น 4 ฉะนั้นในหมู่คริสตจักรต่างๆ ของพระเจ้า เราจึงอวดถึงความทรหดอดทนและความเชื่อของท่านท่ามกลางการข่มเหงและการทดลองนานัปการที่ท่านเผชิญอยู่
5 ทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานว่าการพิพากษาของพระเจ้านั้นถูกต้อง และผลก็คือท่านจะได้รับการนับว่าคู่ควรกับอาณาจักรของพระเจ้าซึ่งท่านยอมทนทุกข์เพื่ออาณาจักรนั้น 6 พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะทรงเอาความลำบากคืนสนองแก่บรรดาผู้ทำให้ท่านลำบากยากเข็ญ 7 และจะทรงบรรเทาทุกข์ให้แก่ท่านที่ได้รับความลำบากและแก่เราด้วย เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏจากสวรรค์ในเปลวไฟเจิดจ้าพร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์ผู้มีฤทธิ์ของพระองค์ 8 พระองค์จะทรงลงโทษบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าและไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้าของเรา 9 พวกเขาจะถูกลงโทษด้วยความพินาศนิรันดร์ จะถูกแยกจากเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า และแยกจากพระบารมีแห่งฤทธานุภาพของพระองค์ 10 ในวันนั้นพระองค์จะเสด็จมาเพื่อรับพระเกียรติสิริในหมู่ประชากรของพระองค์ และเพื่อเป็นที่อัศจรรย์ใจท่ามกลางผู้เชื่อทุกคนซึ่งรวมท่านทั้งหลายด้วย เพราะท่านได้เชื่อคำพยานของเราที่กล่าวแก่ท่าน
11 โดยคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เราจึงอธิษฐานเผื่อท่านเสมอไม่ได้ขาด ขอให้พระเจ้าของเรานับว่าท่านคู่ควรกับการทรงเรียกของพระองค์ และขอทรงให้ความมุ่งหมายอันดีทุกอย่างของท่านและการกระทำทุกอย่างที่เกิดจากความเชื่อของท่านสำเร็จลุล่วงโดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ 12 เราทูลขอเช่นนี้เพื่อพระนามขององค์พระเยซูเจ้าของเราจะได้รับการเทิดพระเกียรติสิริในท่านทั้งหลาย และท่านจะได้รับศักดิ์ศรีในพระองค์ตามพระคุณของพระเจ้าและองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.