M’Cheyne Bible Reading Plan
การเร่ร่อนในถิ่นกันดาร
2 จากนั้นเราวกกลับไปยังถิ่นกันดาร ตามเส้นทางสู่ทะเลแดงตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้า เรารอนแรมอยู่แถบเทือกเขาเสอีร์เป็นเวลานาน
2 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า 3 “เจ้าทั้งหลายวนเวียนอยู่แถบเทือกเขานี้นานพอแล้ว บัดนี้จงขึ้นไปทางเหนือ 4 จงสั่งประชากรดังนี้ว่า ‘เจ้ากำลังจะผ่านดินแดนของพี่น้องของเจ้าผู้เป็นวงศ์วานของเอซาวซึ่งอาศัยอยู่ในเสอีร์ พวกเขาจะหวาดกลัวเจ้า แต่จงระมัดระวัง 5 อย่ายั่วยุพวกเขาให้ทำสงครามเพราะเราจะไม่ยกดินแดนของเขาให้เจ้าแม้แต่คืบเดียว เราได้ยกดินแดนเทือกเขาเสอีร์ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเอซาวแล้ว 6 เจ้าจะต้องจ่ายเงินค่าน้ำค่าอาหารให้แก่เขา’ ”
7 พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงอวยพรการงานทุกอย่างที่ท่านทำ ทรงดูแลท่านตลอดการเดินทางผ่านถิ่นกันดารอันกว้างใหญ่นี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านสถิตกับท่านตลอดสี่สิบปีมานี้ และท่านไม่ได้ขัดสนสิ่งใดเลย
8 ฉะนั้นเราจึงเดินทางผ่านพี่น้องของเรา คือวงศ์วานเอซาวซึ่งอาศัยในเสอีร์ หันจากเส้นทางอาราบาห์ซึ่งมาจากเอลัทและเอซีโอนเกเบอร์ และเลี้ยวไปตามทางถิ่นกันดารโมอับ
9 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อย่าไปรบกวนหรือยั่วยุชาวโมอับให้ทำสงคราม เพราะเราจะไม่ยกดินแดนส่วนใดของเขาให้เจ้า เราได้ยกดินแดนอาร์ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่วงศ์วานของโลทแล้ว”
10 (ชาวเอมิมเคยอาศัยอยู่ที่นั่น เป็นชนชาติใหญ่และเข้มแข็ง สูงใหญ่เหมือนมนุษย์ยักษ์อานาค 11 ทั้งชาวเอมิมและชาวอานาคมักจะถูกเรียกว่าเรฟาอิม แต่คนโมอับเรียกพวกเขาว่าเอมิม 12 ชาวโฮรีเคยอาศัยอยู่ในเสอีร์ แต่ถูกวงศ์วานของเอซาวขับไล่ออกไป พวก
เขาทำลายชาวโฮรีและยึดครองดินแดน เหมือนที่อิสราเอลจะยึดครองดินแดนซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้ายกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขา)
13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “บัดนี้จงลุกขึ้นข้ามหุบเขาเศเรด” เราก็ข้ามไป
14 เราใช้เวลา 38 ปีเดินทางจากคาเดชบารเนียจนเราข้ามหุบเขาเศเรด ถึงตอนนั้นนักรบทั้งหมดในรุ่นนั้นก็ตายหมดค่ายตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสาบานไว้ 15 พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ต่อสู้พวกเขาจนพวกเขาทั้งหมดถูกกำจัดไปจากค่าย
16 เมื่อนักรบคนสุดท้ายของรุ่นนั้นตายไป 17 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า 18 “วันนี้พวกเจ้าจงข้ามชายแดนโมอับที่อาร์ 19 เมื่อเจ้าเข้าใกล้ชาวอัมโมน อย่ารบกวนหรือยั่วยุพวกเขาให้ทำสงคราม เพราะเราจะไม่ยกดินแดนใดๆ ของเขาให้เจ้า เราได้ยกดินแดนนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่วงศ์วานของโลทแล้ว”
20 (ดินแดนนั้นก็เช่นกันเคยเป็นที่อาศัยของพวกมนุษย์ยักษ์เรฟาอิมซึ่งชาวอัมโมนเรียกว่า ศัมซุมมิม 21 คนเหล่านี้เป็นชาติใหญ่และเข้มแข็ง สูงใหญ่เหมือนมนุษย์ยักษ์อานาค องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำลายพวกเขา เมื่อคนอัมโมนขับไล่และยึดครองดินแดนของพวกเขา 22 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเคยช่วยเหลือวงศ์วานของเอซาวที่อาศัยในเสอีร์เช่นนี้มาก่อน โดยทรงทำลายล้างชาวโฮรีซึ่งพวกเขาขับไล่ออกไปและเข้ายึดครองดินแดนแทนพวกเขาตราบจนทุกวันนี้ 23 เช่นเดียวกับเมื่อครั้งชาวดินแดนคัฟโทร์[a]ได้ทำลายและยึดครองดินแดนแทนที่ชาวอัฟวิมผู้อาศัยในหมู่บ้านต่างๆ ไปจนถึงกาซา)
พิชิตกษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบน
24 “จงข้ามโกรกธารอารโนน ดูเถิด เรากำลังจะยกกษัตริย์สิโหนชาวอาโมไรต์แห่งเฮชโบนกับดินแดนของเขาไว้ในมือของเจ้า จงเข้ายึดดินแดนและทำศึกกับเขา 25 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะให้ชนชาติทั้งปวงทั่วใต้ฟ้าครั่นคร้ามหวาดกลัวเจ้า พวกเขาจะได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าและจะหวาดผวาและหวั่นวิตกเพราะเจ้า”
26 จากถิ่นกันดารเคเดโมท ข้าพเจ้าส่งทูตไปเจรจาโดยสันติวิธีกับกษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบนว่า 27 “ขอให้เราผ่านดินแดนของท่าน เราจะไปตามทางหลวงโดยไม่ออกไปทางขวาหรือทางซ้าย 28 เราจะจ่ายเงินซื้ออาหารและน้ำจากท่าน ขอเพียงแต่ยอมให้เราเดินผ่าน 29 เหมือนที่วงศ์วานของเอซาวที่เสอีร์ และชาวโมอับที่อาร์อนุญาตให้เราผ่านแดน จนเราข้ามแม่น้ำจอร์แดนเพื่อไปยังดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราประทานให้” 30 แต่กษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบนไม่ยินยอมให้เราผ่านแดน ทั้งนี้เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงกระทำให้จิตใจของเขาแข็งกระด้าง และทำให้ใจของเขาดื้อดึง เพื่อจะมอบเขาไว้ในมือของท่านดังที่เป็นอยู่ขณะนี้
31 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด เรากำลังจะมอบสิโหนกับดินแดนของเขาไว้ในมือของเจ้า บัดนี้จงเข้าพิชิตและครอบครองดินแดนของเขา”
32 เมื่อสิโหนยกไพร่พลทั้งหมดออกมาสู้กับเราที่ยาฮาส 33 พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงมอบเขาไว้ในมือของเรา เราประหารเขากับบรรดาลูกชาย และกองกำลังทั้งหมดของเขา 34 ครั้งนั้นเรายึดเมืองทั้งหมดของเขาและทำลายล้าง[b]พวกเขาหมดสิ้น ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก เราไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิตเลย 35 แต่เรายึดฝูงสัตว์พร้อมทั้งทรัพย์สินที่ได้จากเมืองต่างๆ มาเป็นของเรา 36 เรารบชนะตั้งแต่อาโรเออร์จากโกรกธารอารโนน รวมหัวเมืองต่างๆ แถบนั้นจนจดกิเลอาด ไม่มีสักเมืองเดียวที่แข็งแกร่งเกินกำลังของเรา พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราประทานเมืองทั้งหมดแก่เรา 37 อย่างไรก็ดีพวกท่านเลี่ยงจากดินแดนของชาวอัมโมน จากดินแดนแถบแม่น้ำยับบอก และดินแดนเทือกเขาตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงบัญชาไว้
(บทเพลง บทสดุดีของอาสาฟ)
83 ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงเมินเฉย
ขออย่าทรงเงียบ ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงนิ่งอยู่
2 ขอทรงดูว่าศัตรูของพระองค์โกลาหลวุ่นวายเพียงใด
บรรดาปฏิปักษ์ของพระองค์เชิดหน้าชูคอแค่ไหน
3 ด้วยเล่ห์เพทุบาย พวกเขาคบคิดกันเล่นงานคนของพระองค์
พวกเขาวางแผนจัดการกับผู้ที่พระองค์ทรงทะนุถนอม
4 เขาพูดกันว่า “มาเถอะ ให้เรากวาดล้างอิสราเอลให้สิ้นชาติ
จะได้สิ้นชื่อไม่มีใครนึกถึงอีกเลย”
5 พวกเขาพร้อมใจกันวางแผน
พวกเขารวมตัวเป็นพันธมิตรต่อต้านพระองค์
6 ได้แก่ชาวเอโดม อิชมาเอล
โมอับ และฮาการ์
7 ชาวเกบาล[a] อัมโมน อามาเลข
ฟีลิสเตีย และไทระ
8 แม้แต่อัสซีเรียก็ยังเข้ามาสมทบด้วย
เพื่อเสริมกำลังลูกหลานของโลท
เสลาห์
9 ขอทรงกระทำต่อพวกเขาเหมือนที่ทรงกระทำต่อชาวมีเดียน
เหมือนอย่างที่ทรงกระทำต่อสิเสราและยาบินที่แม่น้ำคีโชน
10 ผู้ซึ่งพินาศย่อยยับที่เอนโดร์
และกลายเป็นเหมือนขยะบนพื้น
11 ขอทรงทำให้ขุนนางทั้งหลายของพวกเขาเป็นเหมือนโอเรบและเศเอบ
ให้เหล่าเจ้านายของเขาเป็นเหมือนเศบาห์ และศัลมุนนา
12 ผู้ซึ่งกล่าวว่า “ให้เรายึดทุ่งหญ้าของพระเจ้า
เป็นกรรมสิทธิ์”
13 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงกระทำให้พวกเขาเป็นเหมือนวัชพืช
เป็นเหมือนแกลบที่ปลิวไปตามลม
14 เหมือนไฟเผาผลาญป่าไม้
หรือเปลวไฟที่ทำให้ภูเขาลุกโชน
15 ดังนั้นขอทรงไล่ต้อนพวกเขาด้วยพายุ
ทำให้พวกเขาครั่นคร้ามด้วยมรสุมของพระองค์
16 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ความอัปยศอดสูกลบหน้าพวกเขา
เพื่อพวกเขาจะได้แสวงหาพระนามของพระองค์
17 ขอให้พวกเขาท้อแท้และอับอายอยู่ร่ำไป
ขอให้พวกเขาย่อยยับในความอดสู
18 ให้พวกเขารู้ว่า พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าพระยาห์เวห์
พระองค์แต่ผู้เดียวที่ทรงเป็นองค์ผู้สูงสุดเหนือมวลพิภพ
(ถึงหัวหน้านักร้อง ทำนองกิททีธ[b] บทสดุดีของบุตรโคราห์)
84 ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
ที่ประทับของพระองค์งดงามยิ่งนัก!
2 จิตวิญญาณของข้าพระองค์โหยหา
ปรารถนาที่จะเข้ามายังพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า
กายใจของข้าพระองค์ร่ำร้องถวิลหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
3 แม้แต่นกกระจอกยังหาบ้านได้
และนกนางแอ่นยังพบที่ที่จะทำรังพักพิง
และกกลูกอ่อนของมัน
คือที่ใกล้ๆ แท่นบูชาของพระองค์
ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ จอมราชัน และพระเจ้าของข้าพระองค์
4 ความสุขมีแก่ผู้ที่พำนักในพระนิเวศของพระองค์
พวกเขาสรรเสริญพระองค์ตลอดเวลา
เสลาห์
5 ความสุขมีแก่ผู้ที่กำลังของเขาอยู่ในพระองค์
ผู้ซึ่งใฝ่ใจมุ่งหน้าไปยังเยรูซาเล็ม
6 เมื่อเขาเดินผ่านหุบเขาแห่งน้ำตา[c]
พวกเขาทำให้มันกลายเป็นแหล่งน้ำพุ
และฝนฤดูใบไม้ร่วงก็ทำให้ที่นั่นเต็มไปด้วยแอ่งน้ำ[d]
7 พวกเขามีกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนแต่ละคนได้มาเข้าเฝ้าพระเจ้าในศิโยน
8 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ โปรดสดับฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
ข้าแต่พระเจ้าของยาโคบ ขอทรงฟังเถิด
เสลาห์
9 ข้าแต่พระเจ้า โปรดทอดพระเนตรโล่[e]ของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ขอทรงมองดูผู้ที่ทรงเจิมตั้งไว้ด้วยความโปรดปราน
10 วันเดียวในพระนิเวศของพระองค์
ก็ดีกว่าพันวันในที่อื่น
ข้าพเจ้าขอเป็นคนเฝ้าประตูประจำพระนิเวศของพระเจ้าของข้าพเจ้า
ดีกว่าอยู่ในเต็นท์ของเหล่าคนชั่ว
11 เพราะพระเจ้าพระยาห์เวห์ทรงเป็นดวงตะวันและโล่กำบัง
องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพระคุณและเกียรติ
ไม่มีสิ่งดีอันใดที่ทรงหน่วงเหนี่ยวไว้
จากผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างไร้ที่ติ
12 ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
ความสุขมีแก่บรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์
วิบัติแก่ชนชาติที่ดื้อรั้น
30 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“วิบัติแก่ลูกหลานที่ดื้อรั้น
แก่ผู้ซึ่งทำตามแผนการที่ไม่ได้มาจากเรา
ทำสัญญาไมตรีโดยไม่ได้อาศัยวิญญาณของเรา
ทำบาปซ้อนบาป
2 ผู้ลงไปยังอียิปต์
โดยไม่ปรึกษาเรา
ผู้มุ่งขอการอารักขาจากฟาโรห์
ขอลี้ภัยใต้ร่มเงาของอียิปต์
3 แต่การอารักขาของฟาโรห์จะกลับเป็นความอัปยศอดสูแก่เจ้า
ร่มเงาของอียิปต์จะทำให้เจ้าอับอายขายหน้า
4 ถึงแม้พวกเขาจะมีกองทหารอยู่ในโศอัน
และบรรดาทูตของเขาได้ไปถึงฮาเนส
5 ทุกคนก็จะต้องอับอายขายหน้า
เพราะชนชาติซึ่งไม่มีประโยชน์แก่พวกเขา
ผู้ไม่ให้ความช่วยเหลือหรือประโยชน์อันใด
ให้แต่ความอับอายและความอัปยศอดสู”
6 พระดำรัสเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ แห่งเนเกบมีดังนี้
คณะทูตขนทรัพย์สมบัติมาบนหลังลาและบนโหนกอูฐ
เดินทางผ่านดินแดนอันยากลำบากและทุกข์ลำเค็ญ
แดนแห่งราชสีห์และนางสิงห์
แดนแห่งงูกะปะและงูแมวเซา
เพื่อไปยังชนชาติที่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้
7 ไปยังอียิปต์ ซึ่งความช่วยเหลือของเขาเปล่าประโยชน์อย่างแท้จริง
เราจึงเรียกอียิปต์ว่า
“ราหับผู้ไร้พิษสง”
8 บัดนี้จงไปเขียนไว้บนแผ่นจารึกสำหรับพวกเขา
เขียนลงบนหนังสือม้วน
เพื่อวันข้างหน้า
จะได้เป็นพยานหลักฐานที่ยืนยงตลอดไป
9 คนเหล่านี้เป็นประชากรผู้ทรยศ เป็นลูกหลานที่ชอบหลอกลวง
ลูกหลานซึ่งไม่เต็มใจรับฟังคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
10 พวกเขาบอกผู้ทำนายว่า
“อย่าเห็นนิมิตต่างๆ อีกต่อไป!”
และบอกผู้เผยพระวจนะว่า
“อย่าแจ้งนิมิตถึงสิ่งที่ถูกต้องอีกเลย!
ขอให้บอกแต่เรื่องที่น่าฟัง
เผยพระวจนะเป็นภาพฝันมายาต่างๆ เถิด
11 จงหลีกไปให้พ้น
จงออกไปให้พ้นจากทางนี้
และหยุดเผชิญหน้ากับพวกเรา
ด้วยองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลเสียที!”
12 ฉะนั้นองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลตรัสว่า
“เนื่องจากเจ้าละทิ้งถ้อยคำนี้
ไปวางใจการกดขี่ข่มเหง
และพึ่งพากลอุบาย
13 บาปนี้จะเป็นดั่งกำแพงสูงสำหรับเจ้า
ซึ่งแตกกะเทาะออก
แล้วก็ล้มครืนทันทีในชั่วพริบตา
14 มันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนเครื่องปั้นดินเผา
ที่ถูกทุบละเอียดอย่างไม่ปรานี
จนหาเศษสักชิ้นที่พอจะไปช้อนถ่านจากเตา
หรือรองน้ำนิดหนึ่งจากบ่อก็ไม่ได้เลย”
15 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลตรัสว่า
“โดยการกลับใจและการหยุดพัก เจ้าจะรอด
กำลังของเจ้าอยู่ที่การสงบนิ่งและการวางใจ
แต่เจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย
16 เจ้าพูดว่า ‘ไม่เอา พวกเราจะขึ้นหลังม้าหนีไป’
ดังนั้นเจ้าก็จะหนีไป!
เจ้าพูดว่า ‘พวกเราจะควบม้าเร็วหนีไป’
ฉะนั้นบรรดาผู้ไล่ตามเจ้าจะมาเร็วมาก!
17 คนพันคนจะเตลิดหนี
เพราะคำขู่เข็ญของคนคนเดียว
เพราะคำขู่เข็ญของคนห้าคน
เจ้าทั้งหมดจะเตลิดหนี
จนพวกเจ้าเหลืออยู่น้อยนิด
เหมือนเสาธงบนยอดเขา
เหมือนธงสัญญาณที่ปักไว้บนเนินเขา”
18 ถึงกระนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้ายังทรงปรารถนาจะเมตตาเจ้า
พระองค์ทรงลุกขึ้นเพื่อแสดงความเมตตาสงสารต่อเจ้า
เพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม
พระพรมีแก่ทุกคนที่รอคอยพระองค์!
19 ประชากรศิโยนเอ๋ย ผู้อาศัยในเยรูซาเล็ม ท่านจะไม่ร้องไห้อีก พระองค์จะทรงเปี่ยมด้วยพระคุณยิ่งนักเมื่อท่านร้องขอความช่วยเหลือ! ทันทีที่พระองค์ทรงได้ยิน พระองค์จะทรงตอบ 20 ถึงแม้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานอาหารแห่งความลำเค็ญและน้ำแห่งความทุกข์ระทมแก่ท่าน แต่ครูของท่านจะไม่ซ่อนตัวอีก ท่านจะเห็นครูด้วยตาของท่านเอง 21 ไม่ว่าท่านจะหันไปทางซ้ายหรือทางขวา หูของท่านจะได้ยินเสียงข้างหลังกล่าวว่า “นี่คือหนทาง จงเดินในทางนี้เถิด” 22 แล้วท่านจะทำลายรูปเคารพต่างๆ ที่หุ้มด้วยเงิน และเทวรูปซึ่งปิดทอง ท่านจะเหวี่ยงทิ้งเหมือนผ้าที่เปื้อนประจำเดือน และพูดกับสิ่งเหล่านั้นว่า “ไปให้พ้น!”
23 พระองค์จะประทานฝนแก่เมล็ดพืชที่ท่านหว่านลงในดิน อาหารที่ได้จากแผ่นดินจะอุดมสมบูรณ์ ในวันนั้นฝูงสัตว์ของท่านจะเล็มหญ้าอยู่ในทุ่งกว้าง 24 วัวและลาซึ่งใช้ไถนาจะกินหญ้าแห้งและอาหารคลุกซึ่งใช้คราดและพลั่วเกลี่ย 25 ในวันสังหารครั้งใหญ่นั้น เมื่อหอคอยต่างๆ ล้มครืนลง ธารน้ำหลายสายจะไหลบนภูเขาสูงทุกลูกและเนินเขาสูงทุกแห่ง 26 ดวงจันทร์จะฉายแสงดั่งดวงอาทิตย์ และแสงอาทิตย์จะแผดกล้ากว่าเดิมเจ็ดเท่าเหมือนความสว่างของเจ็ดวันรวมกัน เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสมานรอยแผลของประชากรของพระองค์และทรงรักษาบาดแผลที่ทรงลงโทษ
27 ดูเถิด พระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาจากที่ไกลลิบ
ด้วยพระพิโรธร้อนแรงและควันโขมงทึบ
ปากของพระองค์เต็มไปด้วยพระพิโรธ
ลิ้นของพระองค์คือไฟที่เผาผลาญ
28 ลมหายใจของพระองค์
เหมือนน้ำที่ทะลักท่วมถึงคอ
พระองค์ทรงฝัดร่อนนานาชาติในตะแกรงแห่งหายนะ
พระองค์ทรงใส่บังเหียนที่ชักนำให้เตลิดไปนั้น
ไว้ที่ปากของชนชาติต่างๆ
29 ส่วนท่านจะร้องเพลง
เหมือนในคืนฉลองเทศกาลศักดิ์สิทธิ์
จิตใจของท่านจะชื่นชมยินดี
เหมือนตอนที่ประชากรเป่าขลุ่ย
ขณะขึ้นไปยังภูเขาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เพื่อเข้าเฝ้าพระศิลาแห่งอิสราเอล
30 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้มนุษย์ได้ยินพระสุรเสียงอันทรงเดชานุภาพของพระองค์
ให้พวกเขาเห็นพระกรซึ่งฟาดลงมา
ด้วยพระพิโรธรุนแรงและด้วยไฟที่เผาผลาญ
ด้วยพายุฝน ฟ้าคำรน และลูกเห็บ
31 พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าทำให้อัสซีเรียแตกกระจาย
พระองค์จะทรงฟาดเขาลงด้วยคทาของพระองค์
32 ทุกจังหวะที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟาดเขา
ด้วยไม้เรียว
จะเข้ากับเสียงของรำมะนาและพิณ
ขณะที่พระองค์ทรงสู้รบกับพวกเขาด้วยการฟาดฟันโดยพระกรของพระองค์ในสงคราม
33 โทเฟทถูกเตรียมไว้นานแล้ว
เตรียมไว้สำหรับกษัตริย์องค์นั้น
หลุมที่ใช้เผาก็กว้างและลึก
มีไฟและฟืนมากมาย
ลมหายใจขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เหมือนธารกำมะถันลุกโชน
ซึ่งจะจุดโทเฟทให้ลุกไหม้
1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้ายูดาผู้เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์และเป็นน้องชายของยากอบ
ถึงบรรดาผู้ที่ทรงเรียกซึ่งเป็นที่รักของพระเจ้าพระบิดาและได้รับการปกป้องไว้โดย[a]พระเยซูคริสต์
2 ขอพระเมตตา สันติสุข และความรักมีแก่ท่านทั้งหลายอย่างล้นเหลือ
บาปและความพินาศของคนอธรรม
3 เพื่อนที่รักทั้งหลาย แม้ข้าพเจ้ากระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะเขียนถึงท่านเกี่ยวกับความรอดที่เรามีร่วมกัน ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าจำเป็นต้องเขียนมาให้กำลังใจท่านให้ต่อสู้เพื่อความเชื่อซึ่งได้ทรงมอบหมายแก่ประชากรของพระเจ้าเพียงครั้งเดียวเป็นพอ 4 เนื่องจากมีบางคนได้แอบแฝงเข้ามาในหมู่พวกท่าน คำพิพากษาของคนพวกนี้ได้ถูกบันทึก[b] ไว้นานแล้ว พวกเขาเป็นคนอธรรมไม่ยำเกรงพระเจ้า พลิกผันพระคุณของพระองค์มาเป็นใบเบิกทางให้ทำผิดศีลธรรม และปฏิเสธพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นองค์เจ้าชีวิตและเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ผู้เดียวของเรา
5 แม้ท่านทราบความทั้งสิ้นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ยังอยากเตือนให้ท่านระลึกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า[c] ทรงปลดปล่อยประชากรของพระองค์ออกจากอียิปต์ แต่ต่อมาก็ทรงทำลายบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ 6 และเหล่าทูตสวรรค์ที่ไม่พอใจในอำนาจหน้าที่ซึ่งพระเจ้าประทาน แต่ได้ละทิ้งถิ่นที่อยู่ของตนเอง พระองค์ได้ทรงกักขังทูตสวรรค์เหล่านี้ไว้ในที่มืด ล่ามด้วยโซ่อันเป็นนิรันดร์เพื่อรอการพิพากษาในวันอันยิ่งใหญ่นั้น 7 เช่นเดียวกัน เมืองโสโดม เมืองโกโมราห์ และเมืองต่างๆ โดยรอบได้ปล่อยตัวมัวเมาทำผิดศีลธรรมทางเพศและกามวิปริต พวกนี้เป็นตัวอย่างของบรรดาผู้ที่จะรับโทษในไฟนิรันดร์
8 พวกเพ้อฝันเหล่านี้ก็เป็นแบบเดียวกันไม่มีผิด เขาปล่อยตัวแปดเปื้อน ปฏิเสธสิทธิอำนาจ กล่าวสบประมาทเทพเบื้องบน 9 แม้แต่เทพบดีมีคาเอล เมื่อโต้แย้งกับมารเรื่องศพของโมเสสก็ยังไม่กล้าล่วงเกินกล่าวหามารเลย พูดเพียงว่า “ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดการกับเจ้า!” 10 กระนั้นคนเหล่านี้ก็กล่าวจาบจ้วงล่วงเกินสิ่งที่ตนไม่เข้าใจและสิ่งที่เขาเข้าใจโดยสัญชาตญาณเยี่ยงเดรัจฉานที่ไม่รู้จักใช้เหตุผล สิ่งเหล่านี้เองที่ทำลายล้างพวกเขา
11 วิบัติแก่พวกเขา! เขาได้ดำเนินตามแนวทางของคาอิน เขาได้ทุ่มตัวเข้าสู่ความผิดพลาดของบาลาอัมเพราะเห็นแก่ได้ เขาจะถูกทำลายล้างไปเหมือนอย่างการกบฏของโคราห์
12 คนเหล่านี้เป็นรอยด่างพร้อยในงานเลี้ยงแห่งความรักของท่าน พวกเขาร่วมกินดื่มกับท่านอย่างตะกละตะกลามโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย เป็นเหมือนคนเลี้ยงแกะที่เลี้ยงแต่ตัวเอง เขาเป็นเมฆไร้ฝนที่ลอยไปตามลม เป็นต้นไม้ที่ไม่ให้ผลตามฤดูกาลและถูกถอนรากถอนโคนตายซ้ำสอง 13 เขาเป็นคลื่นคะนองในทะเลที่ซัดความน่าอับอายของตนเป็นฟองฟู่ เขาเป็นดาวที่เตลิดจากวงโคจร ความมืดมิดได้ถูกสงวนไว้ให้เขาตลอดกาล
14 เอโนคซึ่งเป็นคนในชั่วอายุที่เจ็ดนับจากอาดัมได้พยากรณ์เกี่ยวกับคนเหล่านี้ไว้ว่า “ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมด้วยผู้บริสุทธิ์นับแสนนับล้านของพระองค์ 15 เพื่อพิพากษาทุกคนและเพื่อให้คนอธรรมทั้งปวงสำนึกในการอธรรมทั้งสิ้นที่ได้ทำไปตามแนวทางอธรรม และสำนึกในคำจาบจ้วงที่คนบาปคนอธรรมได้กล่าวร้ายพระองค์” 16 คนเหล่านี้มักพร่ำบ่นและชอบจับผิด เขาทำตามตัณหาชั่วของตน เขายกตนเองและประจบสอพลอคนอื่นเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว
เรียกร้องให้มานะอดทน
17 แต่เพื่อนที่รักทั้งหลาย จงระลึกถึงสิ่งที่เหล่าอัครทูตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราได้บอกไว้ล่วงหน้า 18 พวกเขากล่าวกับท่านว่า “ในยุคสุดท้ายจะมีคนชอบเยาะเย้ยซึ่งทำตามตัณหาชั่วของตนเอง” 19 คนเหล่านี้ทำให้พวกท่านแตกแยกกัน เขาทำตามสัญชาตญาณเท่านั้นและไม่มีพระวิญญาณ
20 ส่วนท่านเพื่อนที่รักทั้งหลาย จงเสริมสร้างกันขึ้นในความเชื่ออันบริสุทธิ์ที่ท่านมีอยู่ และจงอธิษฐานในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 จงรักษาตัวไว้ในความรักของพระเจ้าขณะที่ท่านรอคอยพระเมตตาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราให้นำท่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์
22 จงสำแดงความเมตตาแก่ผู้ที่สงสัย 23 จงฉุดผู้อื่นออกมาจากไฟและช่วยพวกเขาให้รอด จงสำแดงความเมตตาแก่ผู้อื่น แต่จงกลัวที่จะเป็นมลทิน คือจงรังเกียจแม้แต่เสื้อผ้าที่แปดเปื้อนด้วยโลกีย์
บทสดุดี
24 แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถคุ้มครองไม่ให้ท่านล้มลง และนำท่านเข้าสู่เบื้องพระพักตร์อันเปี่ยมด้วยพระเกียรติสิริอย่างปราศจากตำหนิและด้วยความชื่นชมยินดีอย่างใหญ่หลวง 25 คือแด่พระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ขอพระเกียรติสิริ พระบารมี เดชานุภาพ และอำนาจมีแด่พระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา แด่พระเจ้าผู้ทรงดำรงตลอดมาทุกยุค ในอดีต ในปัจจุบัน และสืบๆ ไปเป็นนิตย์! อาเมน
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.