M’Cheyne Bible Reading Plan
เครื่องบูชาเพิ่มเติม
15 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 2 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าเข้าสู่ดินแดนซึ่งเรายกให้เป็นที่อาศัยนั้น 3 และเจ้านำเครื่องบูชาจากฝูงแพะแกะหรือฝูงวัวมาเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย ไม่ว่าเครื่องเผาบูชาหรือของถวายต่างๆ ตามที่ปฏิญาณพิเศษจะถวายหรือถวายตามความสมัครใจ หรือของถวายประจำเทศกาล 4 ให้ผู้ถวายนำเครื่องธัญบูชามาด้วยคือ แป้งละเอียดประมาณ 2 ลิตร[a]เคล้ากับน้ำมันประมาณ 1 ลิตร[b] 5 จงเตรียมเหล้าองุ่นประมาณ 1 ลิตรเป็นเครื่องดื่มบูชาควบคู่กับลูกแกะที่ถวายหรือเผาบูชาหนึ่งตัว
6 “ ‘หากถวายแกะผู้ จงใช้ธัญบูชาคือแป้งละเอียดประมาณ 4.5 ลิตร[c]เคล้ากับน้ำมันประมาณ 1.2 ลิตร[d] 7 พร้อมด้วยเหล้าองุ่นประมาณ 1.2 ลิตรเป็นเครื่องดื่มบูชา จงถวายเป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย
8 “ ‘เมื่อเจ้าเตรียมวัวหนุ่มเป็นเครื่องเผาบูชาหรือของถวายตามที่ปฏิญาณไว้เป็นพิเศษหรือเป็นเครื่องสันติบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 9 จงนำธัญบูชาควบคู่กับวัวนั้นมาด้วย คือแป้งละเอียดประมาณ 6.5 ลิตร[e]เคล้าน้ำมันประมาณ 2 ลิตร[f] 10 พร้อมทั้งเหล้าองุ่นประมาณ 2 ลิตรเป็นเครื่องดื่มบูชา จะเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย 11 จงจัดเตรียมวัวหนุ่ม แกะผู้ ลูกแกะ หรือลูกแพะแต่ละตัวในลักษณะนี้ 12 จงทำอย่างนี้สำหรับเครื่องบูชาแต่ละอย่างตามจำนวนที่เจ้าได้เตรียมไว้
13 “ ‘คนอิสราเอลโดยกำเนิดทุกคนต้องปฏิบัติตามนี้ เมื่อนำเครื่องบูชามาเพื่อเผาถวายเป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย 14 เมื่อใดก็ตามที่คนต่างด้าวหรือใครอื่นที่มาอาศัยในหมู่พวกเจ้า นำเครื่องบูชาด้วยไฟมาถวายเป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย เขาจะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับพวกเจ้าทุกประการสืบไปทุกชั่วอายุ 15 ชุมชนนี้จะต้องมีกฎเกณฑ์เดียวกันทั้งสำหรับเจ้าและสำหรับคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่พวกเจ้า นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปทุกชั่วอายุ เจ้าและคนต่างด้าวเป็นเหมือนกันต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 16 ทั้งเจ้าและคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่พวกเจ้าจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติและระเบียบเดียวกัน’ ”
17 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 18 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าเข้าไปดินแดนที่เรากำลังนำเจ้าไป 19 และเจ้ารับประทานอาหารจากดินแดนนั้น จงถวายส่วนหนึ่งเป็นเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 20 จงนำขนมชิ้นหนึ่งซึ่งทำจากธัญญาหารรุ่นแรกของเจ้ามาถวายเป็นของถวายจากลานนวดข้าว 21 จงถวายเครื่องบูชาจากธัญญาหารรุ่นแรกสุดของเจ้านี้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดทุกชั่วอายุสืบไป
เครื่องบูชาสำหรับบาปโดยไม่เจตนา
22 “ ‘หากเจ้าทั้งหลายพลาดพลั้งโดยไม่เจตนา ไม่ได้ปฏิบัติตามพระบัญชาเหล่านี้ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานผ่านทางโมเสส 23 หากลูกหลานของเจ้าในรุ่นต่อๆ ไปไม่ได้ปฏิบัติตามพระบัญชาใดๆ เหล่านี้ 24 และหากเป็นความผิดโดยไม่เจตนาและชุมชนไม่รู้ตัว ชุมชนทั้งหมดจะต้องถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย พร้อมด้วยเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาควบคู่ตามที่ระบุไว้ และถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป 25 ปุโรหิตจะทำการลบบาปสำหรับชุมชนอิสราเอลทั้งหมด และพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษเพราะทำผิดไปโดยไม่เจตนา และเขาได้นำเครื่องบูชาด้วยไฟและเครื่องบูชาไถ่บาปถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อไถ่ความผิดของเขาแล้ว 26 ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดตลอดจนคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษ เพราะประชากรทั้งหมดมีส่วนในความผิดโดยไม่เจตนานั้น
27 “ ‘แต่หากคนเพียงคนเดียวทำบาปโดยไม่เจตนา เขาต้องถวายแพะตัวเมียอายุหนึ่งขวบเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป 28 ปุโรหิตจะลบบาปให้ผู้นั้นต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและเขาจะได้รับการอภัย 29 บทบัญญัติเดียวกันนี้ใช้กับทุกคนที่ทำบาปโดยไม่เจตนา ไม่ว่าเขาจะเป็นคนอิสราเอลโดยกำเนิดหรือคนต่างด้าว
30 “ ‘แต่หากผู้ใดจงใจทำบาป ไม่ว่าจะเป็นคนอิสราเอลโดยกำเนิดหรือคนต่างด้าว เป็นการหมิ่นประมาทองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้นั้นจะต้องถูกตัดออกจากหมู่ประชากรของเขา 31 เพราะเขาได้ลบหลู่พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาและฝ่าฝืนพระบัญชา ผู้นั้นจะต้องถูกตัดออก ความผิดนั้นยังคงอยู่กับเขาต่อไป’ ”
ผู้ที่ละเมิดกฎวันสะบาโตต้องโทษถึงตาย
32 ขณะที่ชนอิสราเอลอยู่ในถิ่นกันดาร ชายคนหนึ่งถูกจับได้ในขณะเก็บฟืนในวันสะบาโต 33 คนที่พบเขากำลังเก็บฟืนจึงได้นำตัวเขามาพบโมเสส อาโรน และชุมนุมประชากรทั้งหมด 34 เขาถูกคุมตัวไว้เพราะยังไม่รู้ชัดเจนว่าควรจัดการกับเขาอย่างไร 35 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ชายคนนั้นมีโทษถึงตาย ชุมนุมประชากรทั้งปวงต้องเอาหินขว้างเขานอกค่ายพัก” 36 เขาทั้งปวงจึงพาคนนั้นออกไปนอกค่าย และเอาหินขว้างจนตายตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส
พู่ห้อยชายเสื้อ
37 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 38 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘ตลอดทุกชั่วอายุ เจ้าจะต้องทำพู่ และร้อยพู่แต่ละอันด้วยด้ายสีน้ำเงินห้อยที่มุมชายเสื้อ 39 พู่เหล่านั้นจะเตือนให้เจ้าระลึกถึงพระบัญชาทั้งสิ้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเจ้าจะได้เชื่อฟัง และไม่ทำตัวแพศยาโดยทำตามตัณหาของใจและตาของเจ้า 40 แล้วเจ้าจะจำได้ว่าต้องทำตามคำบัญชาทั้งหมดของเรา และจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ต่อพระเจ้าของเจ้า 41 เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้นำเจ้าออกมาจากอียิปต์เพื่อเป็นพระเจ้าของเจ้า เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า’ ”
(ถึงหัวหน้านักร้อง บทสดุดีของดาวิด เมื่อผู้เผยพระวจนะนาธันมาเข้าเฝ้า หลังจากดาวิดเป็นชู้กับนางบัทเชบา)
51 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์
ตามความรักมั่นคงของพระองค์
ขอทรงลบล้างการล่วงละเมิดทั้งสิ้นของข้าพระองค์
ตามพระกรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
2 ขอทรงล้างมลทินทั้งสิ้นของข้าพระองค์
และชำระข้าพระองค์จากบาปของข้าพระองค์
3 เพราะข้าพระองค์รู้ถึงการล่วงละเมิดของตนแล้ว
และบาปของข้าพระองค์อยู่ตรงหน้าข้าพระองค์เสมอ
4 ข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ ต่อพระองค์ผู้เดียว
และได้ทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์
ดังนั้นพระองค์จึงทรงเป็นฝ่ายถูกเมื่อทรงตัดสิน
และทรงชอบธรรมเมื่อทรงพิพากษา
5 แน่ทีเดียว ข้าพระองค์ก็บาปมาตั้งแต่เกิด
บาปตั้งแต่วินาทีที่มารดาได้ตั้งครรภ์ข้าพระองค์
6 แน่ทีเดียว พระองค์ทรงประสงค์ความจริงภายใน[a]
พระองค์ทรงสอน[b]ข้าพระองค์ถึงปัญญาในส่วนลึกที่สุด
7 ขอทรงชำระข้าพระองค์ด้วยกิ่งหุสบเพื่อข้าพระองค์จะสะอาด
ขอทรงล้างข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะขาวยิ่งกว่าหิมะ
8 ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้ยินเสียงแห่งความชื่นชมยินดีและความเปรมปรีดิ์
ขอโปรดให้กระดูกที่พระองค์หักทำลายแล้วนั้นปีติยินดี
9 ขอทรงซ่อนพระพักตร์จากบาปทั้งหลายของข้าพระองค์
ขอทรงลบล้างความผิดทั้งสิ้นของข้าพระองค์
10 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างจิตใจที่บริสุทธิ์ในข้าพระองค์
และทรงฟื้นจิตวิญญาณอันมั่นคงขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์
11 ขออย่าทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ไปจากเบื้องพระพักตร์
หรืออย่าทรงนำพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ไปจากข้าพระองค์
12 ขอทรงคืนความปีติยินดีในความรอดแก่ข้าพระองค์
และขอประทานจิตใจที่เชื่อฟังเพื่อค้ำชูข้าพระองค์
13 แล้วข้าพระองค์จะสอนทางของพระองค์แก่ผู้ล่วงละเมิดอื่นๆ
และคนบาปจะหันกลับมาหาพระองค์
14 ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด
ขอโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากความผิดที่ทำให้เขาโลหิตตก
แล้วลิ้นของข้าพระองค์จะร้องสรรเสริญความชอบธรรมของพระองค์
15 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์
และปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญเทิดทูนพระองค์
16 พระองค์ไม่ได้ทรงปีติยินดีในเครื่องบูชา มิฉะนั้นข้าพระองค์คงจะได้นำมาถวาย
พระองค์ไม่ได้พอพระทัยในเครื่องเผาบูชา
17 เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงรับ คือจิตวิญญาณที่ชอกช้ำ
ข้าแต่พระเจ้า ใจที่ชอกช้ำและสำนึกผิดนั้น
พระองค์จะไม่ทรงดูหมิ่น
18 ขอทรงกระทำให้ศิโยนรุ่งเรืองตามชอบพระทัย
ขอทรงสร้างกำแพงของเยรูซาเล็ม
19 แล้วพระองค์จะปีติยินดีในเครื่องบูชาที่ชอบธรรม
ในเครื่องเผาบูชาอันครบถ้วน
แล้วจะมีการถวายวัวผู้บนแท่นบูชาของพระองค์
บทเพลงสวนองุ่น
5 ข้าพเจ้าจะขับร้องบทเพลงแด่ผู้ที่เป็นที่รักของ
ข้าพเจ้า เกี่ยวกับสวนองุ่นของเขา
ที่รักของข้าพเจ้ามีสวนองุ่นแปลงหนึ่งบนไหล่
เขาอันอุดมสมบูรณ์
2 เขาไถที่และกำจัดกรวดหิน
และปลูกองุ่นพันธุ์เยี่ยม
เขาสร้างหอยาม
และสกัดบ่อย่ำองุ่นไว้ด้วย
จากนั้นเขารอเก็บผลองุ่นชั้นดี
แต่กลับได้องุ่นเปรี้ยว
3 “โอ ชาวเยรูซาเล็มและชาวยูดาห์
จงตัดสินความระหว่างเรากับสวนองุ่นของเรา
4 เราจะทำอะไรได้อีก
เพื่อสวนองุ่นของเรา?
เราหวังผลองุ่นที่ดี
แต่ทำไมกลับได้แต่องุ่นเปรี้ยว?
5 เราจะบอกให้ว่าเราจะทำอะไรกับสวนองุ่นนั้น
เราจะรื้อรั้วลงและปล่อยให้สวนนั้นถูกทำลาย
เราจะทลายกำแพงลง
และมันจะถูกเหยียบย่ำ
6 เราจะทิ้งให้เริศร้าง
ไม่ลิดกิ่งหรือพรวนดินให้
ปล่อยให้หนามขึ้นรกไปหมด
เราจะสั่งเมฆไม่ให้ส่งฝน
มารดมันอีกต่อไป”
7 สวนองุ่นของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์คือวงศ์วานอิสราเอล
ชนยูดาห์คือสวนที่ทรงปีติยินดี
พระองค์ทรงหวังให้พวกเขาออกผลเป็นความยุติธรรม แต่กลับเห็นการนองเลือด
ทรงคาดหวังความชอบธรรม แต่กลับได้ยินเสียงโหยไห้ร้องทุกข์
วิบัติและโทษทัณฑ์
8 วิบัติแก่เจ้าผู้ซื้อที่ดิน
จนผู้อื่นไม่มีที่อาศัย
บ้านของเจ้าสร้างบนที่ดินผืนใหญ่
จนเจ้าสามารถอยู่ตามลำพังในดินแดนนั้น
9 ข้าพเจ้าได้ยินพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า
“บ้านใหญ่ๆ จะเริศร้างอย่างแน่นอน
คฤหาสน์งดงามก็จะไร้ผู้อยู่อาศัย
10 สวนองุ่นสิบๆ แอก[a]จะผลิตเหล้าองุ่นได้เพียงบัทเดียว
เมล็ดพืชหนึ่งโฮเมอร์จะให้ผลเพียงเอฟาห์เดียว[b]”
11 วิบัติแก่บรรดาผู้ที่ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่
เพื่อไปดื่มสุราเฉื่อยแฉะและเมาหยำเปจนดึกดื่น
12 ในงานเลี้ยง เขาจัดให้มีพิณใหญ่และพิณเขาคู่
รำมะนา ขลุ่ย และเหล้าองุ่น
แต่ไม่ไยดีสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ
ไม่เคารพนับถือพระราชกิจของพระองค์
13 ฉะนั้นประชากรของเราจะตกเป็นเชลย
เพราะขาดความเข้าใจ
พวกเจ้าใหญ่นายโตจะตายเพราะความหิวโหย
ส่วนมวลชนก็แห้งระโหยเพราะความกระหาย
14 หลุมฝังศพจึงเพิ่มความอยากของมัน
และอ้าปากกว้าง
กลืนกินทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย
พร้อมทั้งคนที่ทะเลาะวิวาทและที่สนุกสนานเฮฮา
15 มนุษย์จึงถูกทำให้ตกต่ำลง
และมนุษยชาติถูกทำให้ต่ำต้อย
ผู้หยิ่งผยองถูกปราบให้ตกต่ำ
16 แต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์จะเป็นที่ยกย่องเทิดทูนเนื่องด้วยความยุติธรรมของพระองค์
และพระเจ้าผู้บริสุทธิ์จะสำแดงพระองค์ว่าบริสุทธิ์โดยความชอบธรรมของพระองค์
17 แล้วแกะจะกินหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าของมันเอง
ลูกแกะจะกิน[c]อาหารท่ามกลางซากปรักหักพังของคนร่ำรวย
18 วิบัติแก่ผู้ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมลากดึงบาปและความชั่วร้ายไป
เหมือนใช้เชือกลากดึงเกวียน
19 วิบัติแก่ผู้ที่กล่าวว่า “พระเจ้า เร็วๆ หน่อย
รีบทำการไวๆ เราจะได้เห็น มาเร็วๆ เถิด
ขอให้แผนการขององค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลมาถึง
เราจะได้รู้”
20 วิบัติแก่ผู้ที่เรียกชั่วว่าดี
เรียกดีว่าชั่ว
เรียกมืดว่าสว่าง ที่สว่างกลับว่ามืด
เรียกขมว่าหวาน ที่หวานกลับว่าขม
21 วิบัติแก่ผู้ที่ทึกทักว่าตนเองฉลาด
และหลักแหลมในสายตาของตนเอง
22 วิบัติแก่ผู้ที่อวดเก่งในเรื่องดื่มสุรา
และเป็นผู้ชนะเลิศในการผสมเหล้า
23 ผู้ปล่อยตัวคนทำผิดเพื่อสินบน
และไม่ยอมให้ความยุติธรรมแก่ผู้บริสุทธิ์
24 ดังนั้นรากของพวกเขาจะเน่าเปื่อย
และดอกของเขาจะปลิวไปเหมือนธุลี
เหมือนเปลวไฟเผาฟาง
เหมือนหญ้าแห้งลุกมอดไปในไฟ
เพราะเขาละทิ้งบทบัญญัติของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
และลบหลู่พระวจนะขององค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
25 ฉะนั้นพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงเผาผลาญประชากรของพระองค์
พระหัตถ์ของพระองค์เงื้อขึ้นและฟาดพวกเขา
ภูเขาทั้งหลายสะเทือนสะท้าน
ซากศพเหมือนกองขยะกลางถนน
ถึงขนาดนี้แล้วพระพิโรธของพระเจ้าก็ยังไม่หันเห
พระองค์ยังคงเงื้อพระหัตถ์ค้างอยู่
26 พระองค์ทรงชูธงให้สัญญาณแก่ประชาชาติไกลโพ้นทั้งหลาย
ทรงผิวพระโอษฐ์เรียกบรรดาผู้ที่อยู่สุดปลายแผ่นดินโลก
พวกเขาโลดแล่นมาอย่างรวดเร็ว!
27 ไม่มีสักคนที่อ่อนล้าหรือสะดุดล้ม
ไม่มีที่ซึมเซาหรือหลับใหล
เขาคาดเข็มขัดทะมัดทะแมง
สายรัดรองเท้าไม่ขาดสักเส้นเดียว
28 ลูกศรของเขาคมกริบ
คันธนูของเขาโก่งไว้
กีบม้าของเขาเหมือนหินเหล็กไฟ
ล้อรถรบของเขาเหมือนพายุหมุน
29 เสียงคำรามของเขาเหมือนราชสีห์
พวกเขาคำรามเหมือนสิงห์หนุ่ม
เขาส่งเสียงร้องขณะตะครุบเหยื่อ
และลากทึ้งไปโดยไม่มีใครช่วย
30 ในวันนั้นพวกเขาจะคำรามเข้าใส่เหยื่อ
เหมือนเสียงทะเลคำรน
และเมื่อใครมองดูดินแดนนั้น
จะเห็นความมืดและความทุกข์โศก
แม้แต่แสงสว่างก็ถูกเมฆบดบังจนมืดมิด
12 เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามีพยานหมู่ใหญ่พรั่งพร้อมรอบด้านเช่นนี้แล้ว ก็ให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น ให้เราวิ่งด้วยความอดทนบากบั่นไปตามลู่ที่ทรงกำหนดไว้สำหรับเรา 2 ให้เราเพ่งมองที่พระเยซูผู้ทรงลิขิตความเชื่อและทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ทรงทนรับกางเขนและไม่ใส่พระทัยในความอัปยศของไม้กางเขนเพราะเห็นแก่ความชื่นชมยินดีที่อยู่เบื้องหน้า และพระองค์ได้ประทับที่เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า 3 ท่านทั้งหลายจงใคร่ครวญถึงพระองค์ผู้ทรงทนการต่อต้านเช่นนั้นจากคนบาป เพื่อว่าท่านจะได้ไม่อ่อนล้าและท้อแท้ใจ
พระเจ้าทรงตีสอนบุตรของพระองค์
4 ในการขับเคี่ยวกับบาป ท่านยังไม่ได้ต่อสู้จนถึงกับหลั่งเลือด 5 และท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจซึ่งมีมาถึงท่านในฐานะบุตรว่า
“ลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
อย่าท้อใจเมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน
6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก
และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร”[a]
7 จงทนความทุกข์ยากโดยถือเสมือนว่าเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะบุตร เพราะบุตรคนไหนบ้างที่บิดาไม่เคยตีสอน? 8 หากท่านไม่ถูกตีสอน (และทุกคนได้รับการตีสอน) ท่านก็เป็นบุตรนอกกฎหมายและไม่ใช่บุตรแท้ 9 ยิ่งไปกว่านั้นเราทั้งปวงล้วนมีบิดาซึ่งเป็นมนุษย์ผู้ตีสอนเราและเราเคารพนับถือท่านที่ทำเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใดที่เราควรอยู่ในโอวาทของพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเราและมีชีวิตอยู่! 10 บิดาของเราตีสอนเราชั่วระยะหนึ่งตามที่คิดเห็นว่าดีที่สุด แต่พระเจ้าทรงตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อเราจะได้มีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์ 11 ไม่มีการตีสอนใดดูน่าชื่นใจในเวลานั้น มีแต่จะเจ็บปวด แต่ภายหลังจะเกิดผลเป็นความชอบธรรมและสันติสุขแก่บรรดาผู้รับการฝึกฝนโดยการตีสอนนั้น
12 เพราะฉะนั้นจงทำให้แขนที่อ่อนแรงและเข่าที่อ่อนล้าเข้มแข็งขึ้น 13 “จงทำทางที่ราบเรียบสำหรับเท้าของท่าน”[b] เพื่อคนง่อยจะไม่พิการแต่กลับเป็นปกติดี
เตือนไม่ให้ปฏิเสธพระเจ้า
14 จงเพียรพยายามที่จะอยู่อย่างสงบสุขร่วมกับคนทั้งปวงและเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้วก็ไม่มีใครจะได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย 15 จงระวังอย่าให้ใครพลาดไปจากพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมาสร้างความเดือดร้อน และทำให้คนเป็นอันมากแปดเปื้อนมลทิน 16 จงระวัง อย่าให้ใครผิดศีลธรรมทางเพศ หรือไม่อยู่ในทางพระเจ้าแบบเอซาวผู้ขายสิทธิบุตรหัวปีแลกกับอาหารมื้อเดียว 17 ท่านทั้งหลายทราบอยู่ว่าในภายหลังเมื่อเอซาวต้องการรับพรนี้เป็นมรดกก็ถูกปฏิเสธ เขาไม่อาจแก้ไขอะไรได้แม้เขาจะแสวงหาพรนั้นด้วยน้ำตา
18 ท่านทั้งหลายไม่ได้มายังภูเขาที่จับต้องได้และที่ลุกเป็นไฟ ไม่ได้มายังความมืด ความมืดมนและพายุ 19 ไม่ได้มายังเสียงแตรกระหึ่มหรือพระสุรเสียงตรัสซึ่งบรรดาผู้ที่ได้ยินแล้ววอนขออย่าได้ตรัสคำใดๆ กับเขาอีก 20 เพราะพวกเขาไม่อาจทนกับคำบัญชาที่ว่า “แม้แต่สัตว์ที่แตะต้องภูเขานั้นก็จะต้องถูกหินขว้างตาย”[c] 21 สิ่งที่เห็นนั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนักจนโมเสสกล่าวว่า “ข้าพเจ้ากลัวจนตัวสั่น”[d]
22 แต่ท่านทั้งหลายได้มาถึงภูเขาศิโยน คือถึงนครของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ คือเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ ท่านได้มาถึงที่ซึ่งทูตสวรรค์มากมายได้ชุมนุมกันอย่างร่าเริงยินดี 23 มาสู่คริสตจักรแห่งบุตรหัวปีผู้มีชื่อจารึกไว้ในสวรรค์ ท่านได้มาถึงพระเจ้าผู้ทรงพิพากษามวลมนุษย์ มายังวิญญาณจิตของคนชอบธรรมซึ่งทรงทำให้สมบูรณ์แล้ว 24 มาสู่พระเยซูผู้ทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ และมาถึงโลหิตประพรมซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่ดียิ่งกว่าโลหิตของอาแบล
25 จงระวังอย่าปฏิเสธพระองค์ผู้ตรัสอยู่ ถ้าพวกเขายังหนีไม่พ้นเมื่อปฏิเสธพระองค์ผู้ตรัสเตือนในโลก เราย่อมจะหนีไม่พ้นยิ่งขึ้นเพียงใดหากเราหันหนีพระองค์ผู้ทรงเตือนเราจากสวรรค์? 26 ครั้งนั้นพระสุรเสียงของพระองค์ทำให้โลกสะเทือนสะท้าน แต่บัดนี้พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่า “เราจะไม่เพียงเขย่าโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง แต่จะเขย่าฟ้าสวรรค์ด้วย”[e] 27 คำว่า “อีกครั้งหนึ่ง” บ่งบอกว่าสิ่งที่สั่นคลอนได้คือสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นนั้นจะถูกขจัดทิ้ง เพื่อให้เหลืออยู่แต่สิ่งที่ไม่สั่นคลอน
28 เพราะฉะนั้นในเมื่อเรากำลังได้รับอาณาจักรอันไม่อาจสั่นคลอนได้ ก็ให้เราขอบพระคุณและนมัสการพระเจ้าอย่างที่ทรงพอพระทัย ด้วยความยำเกรงและด้วยความครั่นคร้าม 29 เพราะว่า “พระเจ้าทรงเป็นไฟอันเผาผลาญ”[f]
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.