M’Cheyne Bible Reading Plan
ประชาชนกบฏ
14 ในคืนนั้นประชาชนทั้งปวงส่งเสียงร้องไห้กันดังระงม 2 ชุมนุมประชากรทั้งหมดบ่นกับโมเสสและอาโรนว่า “เราน่าจะตายตั้งแต่ยังอยู่ที่อียิปต์! หรือไม่ก็ตายในถิ่นกันดารนี้! 3 ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงพาเรามายังดินแดนนี้ เพียงเพื่อให้ตายด้วยคมดาบ? ลูกเมียของเราจะต้องตกเป็นเชลย เราออกจากที่นี่กลับไปอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ?” 4 แล้วเขาพูดต่อๆ กันว่า “พวกเราควรจะเลือกผู้นำสักคนและกลับไปอียิปต์กัน”
5 โมเสสและอาโรนจึงหมอบกราบซบหน้าลงกับพื้นต่อหน้าชุมชนอิสราเอลทั้งปวงที่นั่น 6 โยชูวาบุตรนูนและคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ซึ่งออกไปสำรวจดินแดนด้วยจึงฉีกเสื้อผ้าของตน 7 และกล่าวแก่ชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงว่า “ดินแดนที่เราเข้าไปสำรวจนั้นดีเยี่ยมจริงๆ 8 หากองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานพวกเรา พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปในดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง และจะยกดินแดนนั้นให้แก่เรา 9 ขอเพียงแต่เราอย่ากบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย ไม่ต้องกลัวผู้คนในดินแดนนั้น เพราะเราจะกลืนกินพวกเขา สิ่งที่พิทักษ์รักษาเขาก็สูญสิ้นไปแล้ว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย”
10 แต่ชุมนุมประชากรทั้งปวงคบคิดกันจะเอาก้อนหินขว้างเขาทั้งสอง ขณะนั้นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏที่เต็นท์นัดพบต่อหน้าชนอิสราเอลทั้งปวง 11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ประชากรเหล่านี้จะสบประมาทเราไปนานเท่าใด? พวกเขาจะไม่ยอมเชื่อถือเราอีกนานเท่าใด? ทั้งๆ ที่เราได้ทำการอัศจรรย์นานัปการในหมู่พวกเขา 12 เราจะใช้ภัยพิบัติมาทำลายพวกนั้น แต่เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าพวกเขา”
13 โมเสสกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ชาวอียิปต์จะได้ยินเรื่องนี้! เรื่องที่พระองค์ทรงนำประชากรเหล่านี้ออกมาจากหมู่พวกเขาโดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ 14 และเขาจะเล่าเรื่องนี้ให้ผู้คนแถบนี้ฟัง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพวกเขาได้ยินแล้วว่าพระองค์สถิตอยู่กับประชากรเหล่านี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพวกเขาได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ และทราบว่าเมฆของพระองค์อยู่เหนือพวกเขา พระองค์ทรงนำหน้าพวกเขาไปด้วยเสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืน 15 หากพระองค์ทรงประหารประชากรทั้งหมดในคราวเดียวกัน ประชาชาติทั้งหลายที่ได้ยินเรื่องนี้จะพูดกันว่า 16 ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่สามารถนำคนเหล่านี้ไปยังดินแดนที่ทรงสัญญา โดยคำปฏิญาณว่าจะมอบให้ จึงทรงประหารเขาในถิ่นกันดาร’
17 “บัดนี้ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงอานุภาพดังที่ได้ทรงประกาศไว้ว่า 18 ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกริ้วช้า บริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง ทรงอภัยบาปและการกบฏ แต่พระองค์จะไม่ทรงละเว้นโทษผู้ที่ทำผิด พระองค์จะทรงลงโทษลูกหลานของเขาเพราะบาปของบรรพบุรุษถึงสามสี่ชั่วอายุคน’ 19 โดยเห็นแก่ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ขอทรงอภัยโทษบาปของประชากรเหล่านี้ดังที่ได้ทรงอภัยให้เสมอมาตั้งแต่ข้าพระองค์ทั้งหลายออกจากอียิปต์มาจวบจนบัดนี้”
20 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “เราได้อภัยโทษให้พวกเขาตามที่เจ้าขอร้องแล้ว 21 แต่เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ทั่วพิภพโลกจะเต็มไปด้วยเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าฉันนั้น 22 ทุกคนที่ได้เห็นเกียรติสิริของเราและเห็นหมายสำคัญที่เราได้ทำทั้งในอียิปต์และในถิ่นกันดารแล้วยังไม่ยอมเชื่อฟังเรา แต่ลองดีกับเรานับสิบครั้ง 23 ในบรรดาคนเหล่านี้จะไม่มีสักคนเดียวที่จะได้เห็นดินแดนที่เราสัญญาโดยปฏิญาณว่าจะยกให้บรรพบุรุษของเขา จะไม่มีใครที่ดูหมิ่นเรา แล้วจะได้เห็นดินแดนนี้ 24 ส่วนคาเลบผู้รับใช้ของเรามีจิตใจแตกต่างออกไป และติดตามเราอย่างสุดใจ เราจะพาเขาเข้าไปยังดินแดนที่เขาได้สำรวจมา และวงศ์วานของเขาจะได้ครอบครองดินแดนนั้น 25 เนื่องจากชาวอามาเลข และชาวคานาอันอาศัยอยู่ในหุบเขา พรุ่งนี้เจ้าจะต้องออกเดินทางกลับไปยังถิ่นกันดาร ตามทางถึงทะเลแดง”
26 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า 27 “ชุมชนที่ชั่วร้ายเหล่านี้จะบ่นว่าเราอีกนานเท่าใด? เราได้ยินคำพร่ำบ่นของคนอิสราเอลเหล่านี้แล้ว 28 ดังนั้นจงบอกพวกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะทำกับเจ้าอย่างที่เจ้าได้พูดไว้ฉันนั้น 29 คือพวกเจ้าจะล้มตายในถิ่นกันดารนี้ คือพวกเจ้าทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีขึ้นไปตามที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ และได้บ่นว่าเรา 30 จะไม่มีสักคนได้เข้าดินแดนที่เราสัญญาว่าจะยกให้เป็นที่อยู่อาศัยของเจ้า ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์กับโยชูวาบุตรนูน 31 ส่วนลูกหลานที่เจ้าทั้งหลายพูดว่าจะตกเป็นเชลยนั้น เราจะพาเข้าไปชื่นชมดินแดนที่พวกเจ้ามองข้าม 32 ส่วนพวกเจ้าจะล้มตายในถิ่นกันดารนี้ 33 ลูกหลานของเจ้าจะเลี้ยงแกะอยู่ที่นี่เป็นเวลาสี่สิบปี รับความทุกข์ยากเพราะเหตุที่พวกเจ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา จวบจนคนสุดท้ายในพวกเจ้าล้มตายลงในถิ่นกันดาร 34 เจ้าจะรับโทษบาปของตนและรู้ว่าการที่เจ้าทำให้เราต่อสู้กับเจ้านั้นเป็นเช่นไรเป็นเวลาสี่สิบปี หนึ่งปีแทนหนึ่งวันของสี่สิบวันแห่งการสำรวจดินแดน’ 35 เราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาแล้ว และเราจะทำแก่ชุมชนชั่วร้ายทั้งหมด ซึ่งรวมหัวกันต่อต้านเราตามนี้อย่างแน่นอน พวกเขาจะพบจุดจบในถิ่นกันดารนี้ จะตายที่นี่”
36 ดังนั้นบรรดาผู้ที่โมเสสใช้ไปสำรวจดินแดนและกลับมารายงานในแง่ร้ายเกี่ยวกับดินแดนนั้น ซึ่งทำให้เหล่าประชากรบ่นว่าโมเสส 37 คนเหล่านั้นซึ่งกระจายข่าวในแง่ร้ายเกี่ยวกับดินแดนนั้นก็ล้มตายลงด้วยโรคภัยต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 38 ในบรรดาคนที่ไปสำรวจ มีเพียงโยชูวาบุตรนูนกับคาเลบบุตรเยฟุนเนห์เท่านั้นที่รอดชีวิตอยู่
39 เมื่อโมเสสแจ้งเรื่องนี้แก่ปวงชนอิสราเอล พวกเขาพากันร่ำไห้ด้วยความเศร้าเสียใจแสนสาหัส 40 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นพวกเขามุ่งหน้าขึ้นไปยังแถบเทือกเขาสูง และกล่าวว่า “เราทำบาปไปแล้ว เราจะขึ้นไปยังดินแดนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาไว้”
41 แต่โมเสสกล่าวว่า “ทำไมพวกท่านจึงฝ่าฝืนพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า? งานนี้จะไม่สำเร็จ! 42 อย่าขึ้นไปเลยเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สถิตกับท่าน ท่านจะพ่ายแพ้ศัตรู 43 เพราะชาวอามาเลขกับชาวคานาอันจะประจันหน้ากับพวกท่านที่นั่น เพราะพวกท่านได้หันหนีจากองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์จะไม่สถิตกับท่าน ท่านจะล้มตายด้วยคมดาบ”
44 อย่างไรก็ตามพวกเขาดันทุรังบุกขึ้นไปยังดินแดนเทือกเขา ทั้งๆ ที่โมเสสหรือหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เคลื่อนไปจากค่ายพัก 45 แล้วชาวอามาเลขกับชาวคานาอันซึ่งอาศัยอยู่ในแถบเทือกเขานั้น ก็ยกกำลังมาโจมตีพวกเขาและไล่ต้อนพวกเขาไปถึงโฮรมาห์
(บทสดุดีของอาสาฟ)
50 องค์ทรงฤทธิ์ พระเจ้า พระยาห์เวห์ตรัสเรียกคนทั้งโลก
จากที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตกให้มาชุมนุมกัน
2 พระเจ้าทรงเปล่งรัศมี
จากศิโยนอันงามพร้อม
3 พระเจ้าของเราเสด็จมาและจะไม่ทรงนิ่งเงียบ
เปลวไฟเผาผลาญอยู่ต่อหน้าพระองค์
พายุโหมกระหน่ำอยู่รอบพระองค์
4 พระองค์ตรัสเรียกชุมนุมฟ้าสวรรค์เบื้องบนและแผ่นดินโลก
เพื่อจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์
5 “บรรดาผู้ที่เราได้ชำระไว้แล้ว จงรวมกันมาหาเรา
ผู้ซึ่งเข้าร่วมพันธสัญญากับเราทางเครื่องบูชา”
6 ฟ้าสวรรค์ป่าวประกาศความชอบธรรมของพระองค์
เพราะพระเจ้าเองทรงเป็นองค์ตุลาการ
เสลาห์
7 “ประชากรของเราเอ๋ย จงฟังและเราจะพูด
อิสราเอลเอ๋ย เราจะแจ้งข้อหาของเจ้า
เราเป็นพระเจ้า พระเจ้าของเจ้า
8 เราไม่ได้ตำหนิเจ้าในเรื่องเครื่องบูชา
หรือเครื่องเผาบูชาที่เจ้านำมาถวายเราอย่างสม่ำเสมอ
9 เราไม่ได้ต้องการวัวหนุ่มจากโรงวัวของเจ้า
หรือแพะจากคอกของเจ้า
10 เพราะสัตว์ทุกชนิดในป่าเป็นของเรา
รวมทั้งสัตว์เลี้ยงบนเนินเขานับพัน
11 เรารู้จักนกทุกตัวบนภูเขาทั้งหลาย
บรรดาสัตว์ในท้องทุ่งเป็นของเรา
12 หากเราหิว เราจะไม่บอกเจ้า
เพราะโลกนี้และสิ่งสารพัดในโลกล้วนเป็นของเรา
13 เรากินเนื้อวัวผู้หรือ?
เราดื่มเลือดแพะหรือ?
14 จงถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณแด่พระเจ้า
ทำตามที่ได้ถวายปฏิญาณต่อองค์ผู้สูงสุด
15 และจงร้องทูลเราในยามทุกข์ร้อน
เราจะช่วยกู้เจ้าและเจ้าจะให้เกียรติเรา”
16 ส่วนคนชั่ว พระเจ้าตรัสกับเขาว่า
“เจ้าถือสิทธิ์อะไรท่องบทบัญญัติของเรา
หรืออ้างพันธสัญญาของเรา?
17 ในเมื่อเจ้าเกลียดคำสอนของเรา
และเหวี่ยงถ้อยคำของเราทิ้ง
18 เจ้าเห็นขโมยก็สมรู้ร่วมคิดกับเขา
เจ้าคบหากับคนล่วงประเวณี
19 เจ้าใช้ปากทำชั่ว
ตวัดลิ้นเพื่อล่อลวง
20 เจ้าพร่ำพูดให้ร้ายพี่น้อง
นินทาว่าร้ายกระทั่งพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน
21 เจ้าทำสิ่งเหล่านี้ เราก็นิ่งอยู่
เจ้าเลยพลอยคิดว่าเรา[a]ก็เป็นเหมือนเจ้า
แต่เราจะกำราบเจ้า
และกล่าวโทษเจ้าซึ่งๆ หน้า
22 “เจ้าผู้ลืมพระเจ้า จงพิจารณาเรื่องนี้
มิฉะนั้นเราจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ โดยไม่มีใครช่วยได้
23 ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณก็ให้เกียรติเรา
และผู้ที่เตรียมทางของตนไว้ดี
เราก็จะสำแดงความรอดของพระเจ้าแก่เขา[b]”
การพิพากษาเหนือเยรูซาเล็มและยูดาห์
3 ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
กำลังจะตัดแหล่งน้ำ แหล่งเสบียง
ตัดขุมกำลังของเยรูซาเล็มและยูดาห์
2 จะตัดวีรบุรุษและนักรบ
ตุลาการและผู้เผยพระวจนะ
ผู้ทำนายและผู้อาวุโส
3 นายทหารและขุนนาง
ที่ปรึกษา ช่างฝีมือ และผู้วิเศษ
4 เราจะตั้งเด็กๆ เป็นเจ้านาย
ให้เด็กอมมือเป็นผู้ปกครองพวกเขา
5 ประชาชนจะข่มเหงกันเอง
คนจะต่อสู้กัน เพื่อนบ้านต่อสู้เพื่อนบ้าน
เยาวชนจะลุกฮือขึ้นสู้ผู้อาวุโส
คนถ่อยจะต่อสู้ผู้ทรงเกียรติ
6 คนหนึ่งจะจับตัวพี่น้องของเขา
ที่บ้านบิดาของตนและกล่าวว่า
“ท่านมีเสื้อคลุม ขอท่านมาเป็นผู้นำของเรา
มาดูแลกองปรักหักพังนี้!”
7 แต่ในวันนั้นคนนั้นจะร้องว่า
“ข้าพเจ้าช่วยอะไรไม่ได้
ในบ้านของข้าพเจ้าไม่มีอาหารหรือเสื้อผ้า
อย่าให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำประชาชนเลย”
8 เยรูซาเล็มโซซัดโซเซ
ยูดาห์ล้มลง
วาจาและความประพฤติของเขาต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า
ลบหลู่ดูหมิ่นต่อพระพักตร์อันทรงเกียรติสิริของพระองค์
9 สีหน้าของเขาฟ้องตัวเอง
พวกเขาอวดบาปของตนเหมือนโสโดม
ไม่ยับยั้งปิดบัง
วิบัติแก่เขา!
เขานำภัยพิบัติมาสู่ตนเอง
10 จงบอกคนชอบธรรมว่าเขาจะอยู่เย็นเป็นสุข
เพราะเขาจะได้ชื่นชมกับผลจากการกระทำของตน
11 วิบัติแก่คนชั่วร้าย! หายนะตกแก่เขา!
เขาจะได้รับโทษสาสมกับสิ่งที่มือของเขาได้ทำ
12 เด็กๆ ข่มเหงรังแกประชากรของเรา
ผู้หญิงปกครองพวกเขา
ประชากรของเราเอ๋ย ผู้นำทางของเจ้าพาเจ้าหลงผิด
พวกเขาทำให้เจ้าออกนอกลู่นอกทาง
13 องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับเหนือบัลลังก์ในศาล
พระองค์ทรงลุกขึ้นพิพากษาประชากร
14 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาบรรดาผู้อาวุโสและผู้นำประชากร
ตรัสว่า “พวกเจ้านี่แหละทำลายสวนองุ่นของเรา
ทรัพย์สินที่ปล้นมาจากคนยากไร้อยู่ในบ้านของเจ้า
15 เจ้าถือดีอย่างไรจึงบังอาจกดขี่ประชากรของเรา
และบดขยี้ใบหน้าของผู้ยากไร้?”
องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนี้
16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“หญิงชาวศิโยน หยิ่งผยอง
เดินชูคอ
ทำตาชม้อยชม้าย
ท่าทางนวยนาด
กำไลข้อเท้าส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง
17 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้ศีรษะของหญิงชาวศิโยนเป็นชันนะตุ
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้พวกนางศีรษะล้าน”
18 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงฉวยเครื่องประดับอันวิจิตรงดงามของพวกนางไป คือกำไล เครื่องประดับศีรษะ สร้อยคอรูปวงเดือน 19 ตุ้มหู สร้อยข้อมือ และผ้าคลุมหน้า 20 ชุดประดับเรือนผม กำไลข้อเท้า ผ้าคาดเอว ขวดน้ำอบ และเครื่องราง 21 แหวนตรากับห่วงจมูก 22 ชุดออกงาน เสื้อกั๊ก เสื้อคลุม กระเป๋าถือ 23 กระจก เสื้อผ้าลินิน รัดเกล้า และผ้าคลุมไหล่
24 กลิ่นเหม็นคลุ้งจะมาแทนกลิ่นหอมกรุ่น
เชือกจะมาแทนผ้าคาดเอว
หัวล้านจะแทนทรงผมที่ตกแต่งอย่างดี
ชุดผ้ากระสอบจะมาแทนเสื้อผ้าอย่างดี
ความขายหน้าจะมาแทนความงดงาม
25 พวกผู้ชายจะล้มลงด้วยคมดาบ
พวกนักรบจะตายในสงคราม
26 ประตูต่างๆ ของศิโยนจะร่ำไห้คร่ำครวญ
นางจะสิ้นเนื้อประดาตัวนั่งอยู่ที่พื้น
4 ในวันนั้นหญิงเจ็ดคนจะยื้อยุดชายคนเดียว
และกล่าวว่า
“เราจะหาอาหารกินเอง
และจัดหาเสื้อผ้าสำหรับตัวเราเอง
ขอเพียงแต่ให้เราใช้นามสกุลของท่าน
ช่วยลบล้างความอัปยศให้เราด้วยเถิด!”
กิ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า
2 ในวันนั้นกิ่ง[a]ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะงดงามและเปี่ยมด้วยราศี ผลแห่งดินแดนนั้นจะเป็นเกียรติสิริและความภาคภูมิใจของชาวอิสราเอลที่เหลือ 3 เขาจะเรียกบรรดาคนที่เหลืออยู่ในศิโยน คืออยู่ในเยรูซาเล็มว่า วิสุทธิชน คือทุกคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนพลเมืองเยรูซาเล็ม 4 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงชำระล้างมลทินของพวกผู้หญิงศิโยน จะทรงชำระคราบโลหิตจากเยรูซาเล็มโดยวิญญาณ[b]แห่งไฟและการพิพากษา 5 จากนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสร้างกลุ่มเมฆควันในยามกลางวัน และเปลวไฟลุกโชติช่วงในยามกลางคืนเหนือภูเขาศิโยนและเหนือบรรดาผู้ที่ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น เหนือสิ่งทั้งหมดเหล่านั้นคือพระเกียรติสิริของพระเจ้าจะเป็นเพดานฟ้า 6 เป็นร่มเงากำบังความร้อนระอุในยามกลางวันและเป็นที่ปกป้องและที่พักพิงจากพายุและฝน
โดยความเชื่อ
11 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เพราะความเชื่อนี้เองที่คนในสมัยก่อนได้รับการทรงชมเชย
3 โดยความเชื่อเราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้นโดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นอยู่จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา
4 โดยความเชื่ออาแบลถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าซึ่งดีกว่าของคาอิน โดยความเชื่ออาแบลได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ชอบธรรมเมื่อพระเจ้าทรงชมเชยสิ่งที่เขาถวาย และโดยความเชื่อเขาจึงยังพูดอยู่ทั้งๆ ที่เขาตายแล้ว
5 โดยความเชื่อเอโนคจึงถูกรับขึ้นไปเพื่อจะไม่ต้องประสบความตาย ไม่มีผู้ใดพบเขาเพราะพระเจ้าทรงรับเขาไปแล้ว เพราะก่อนหน้านั้นเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่พระเจ้าพอพระทัย 6 ถ้าไม่มีความเชื่อก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่และประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง
7 โดยความเชื่อเมื่อโนอาห์ได้รับคำเตือนถึงเรื่องต่างๆ ที่ยังมองไม่เห็น ด้วยความเกรงกลัวพระเจ้าเขาจึงได้ต่อเรือใหญ่เพื่อช่วยครอบครัวให้รอด โดยความเชื่อของเขา เขาได้ตัดสินโทษโลกและได้กลายเป็นทายาทแห่งความชอบธรรมที่มีมาโดยความเชื่อ
8 โดยความเชื่อเมื่ออับราฮัมได้รับการทรงเรียกให้ไปยังสถานที่ซึ่งเขาจะได้รับเป็นมรดกในภายหลัง เขาก็เชื่อฟังและออกเดินทางถึงแม้เขาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน 9 โดยความเชื่อเขาอาศัยในดินแดนพระสัญญาเยี่ยงคนต่างด้าวในต่างแดน ใช้ชีวิตอยู่ในเต็นท์เช่นเดียวกับอิสอัคและยาโคบผู้เป็นทายาทร่วมในพระสัญญาเดียวกันกับเขา 10 เพราะเขาหมายมุ่งนครซึ่งตั้งอยู่บนฐานรากอันมีพระเจ้าทรงเป็นสถาปนิกและผู้สร้าง
11 โดยความเชื่อแม้อับราฮัมชรามากแล้วและซาราห์เองก็เป็นหมัน เขาก็ยังสามารถมีบุตรได้ เพราะเขา[a]ถือว่าพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นสัตย์ซื่อ 12 ดังนั้นจากชายคนเดียวนี้ซึ่งเป็นเหมือนคนที่ตายแล้วก็เกิดมีลูกหลานสืบเชื้อสายมากมายดั่งดวงดาวในท้องฟ้า และดั่งเม็ดทรายนับไม่ถ้วนที่ชายฝั่งทะเล
13 คนทั้งปวงเหล่านี้ตายไปขณะที่ดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ พวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ เพียงแต่ได้เห็นและเตรียมรับแต่ไกลและยอมรับว่าพวกเขาเป็นเพียงคนต่างถิ่นและคนแปลกหน้าในโลกนี้ 14 คนที่พูดอย่างนี้แสดงให้เห็นว่ากำลังมองหาบ้านเมืองที่จะเป็นของตน 15 หากพวกเขาคิดถึงบ้านเมืองที่จากมาก็ย่อมมีโอกาสที่จะกลับไปได้ 16 แต่นี่พวกเขาใฝ่หาบ้านเมืองซึ่งดีกว่าคือเมืองสวรรค์ เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงไม่ได้ทรงละอายเมื่อพวกเขาเรียกพระองค์ว่าพระเจ้าของพวกเขา เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้ให้พวกเขาแล้ว
17 โดยความเชื่อเมื่อพระเจ้าทรงทดสอบอับราฮัม เขาก็ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา เขาผู้ได้รับพระสัญญาพร้อมที่จะถวายบุตรชายเพียงคนเดียวของตน 18 แม้พระเจ้าได้ตรัสกับเขาว่า “วงศ์วาน[b] ของเจ้าจะนับทางสายอิสอัค”[c] 19 อับราฮัมเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถให้คนตายกลับเป็นขึ้นมาได้ กล่าวเปรียบเทียบได้ว่าเขาได้อิสอัคคืนมาจากความตาย
20 โดยความเชื่ออิสอัคอวยพรให้ยาโคบกับเอซาวสำหรับอนาคตของพวกเขา
21 โดยความเชื่อเมื่อยาโคบกำลังจะตายจึงอวยพรบุตรแต่ละคนของโยเซฟ และนมัสการขณะยันกายบนหัวไม้เท้าของเขา
22 โดยความเชื่อเมื่อใกล้ตายโยเซฟจึงกล่าวถึงการอพยพออกจากอียิปต์ของชนอิสราเอล และสั่งความเรื่องกระดูกของเขา
23 โดยความเชื่อบิดามารดาของโมเสสซ่อนเขาไว้ถึงสามเดือนหลังจากคลอด เนื่องจากเห็นว่าเขาแตกต่างจากเด็กอื่นทั่วไป และทั้งสองไม่กลัวคำสั่งของกษัตริย์เลย
24 โดยความเชื่อเมื่อโมเสสเติบโตขึ้นก็ปฏิเสธฐานะบุตรของธิดาฟาโรห์ 25 เขาเลือกที่จะถูกข่มเหงร่วมกับเหล่าประชากรของพระเจ้าแทนการเริงสำราญเพียงชั่วคราวในบาป 26 เขาถือว่าการยอมเสื่อมเสียเพื่อพระคริสต์ยังล้ำค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายของอียิปต์ เพราะเขามองไปข้างหน้าถึงบำเหน็จของเขา 27 โดยความเชื่อเขาออกจากอียิปต์โดยไม่กลัวพระพิโรธของกษัตริย์ เขาอดทนบากบั่นเพราะเขาได้เห็นพระเจ้าผู้ซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ 28 โดยความเชื่อเขาถือปัสกาและการประพรมเลือด เพื่อเพชฌฆาตผู้ประหารบุตรหัวปีจะไม่มาแตะต้องลูกหัวปีของอิสราเอล
29 โดยความเชื่อเหล่าประชากรข้ามทะเลแดง[d]ราวกับเดินบนพื้นแห้ง แต่เมื่อชาวอียิปต์พยายามจะข้ามบ้าง พวกเขาก็จมน้ำตาย
30 โดยความเชื่อกำแพงเมืองเยรีโคจึงพังลงหลังจากเหล่าประชากรเดินรอบกำแพงเป็นเวลาเจ็ดวัน
31 โดยความเชื่อราหับหญิงโสเภณีจึงไม่ถูกฆ่าไปพร้อมกับบรรดาผู้ไม่เชื่อฟัง[e] เพราะนางได้ต้อนรับlสายสืบ
32 และข้าพเจ้าจะว่าอะไรอีก ข้าพเจ้าไม่มีเวลาพอที่จะกล่าวถึงกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด ซามูเอล และบรรดาผู้เผยพระวจนะต่างๆ 33 ผู้ซึ่งโดยทางความเชื่อได้พิชิตอาณาจักรต่างๆ ได้ให้ความยุติธรรม และได้รับสิ่งซึ่งทรงสัญญาไว้ ผู้ได้ปิดปากสิงห์ 34 ได้ดับเปลวไฟร้อนแรง และได้แคล้วคลาดจากคมดาบ ผู้ซึ่งความอ่อนแอของเขากลับเป็นความเข้มแข็ง และผู้ได้กลายเป็นคนแข็งกล้าในการสงคราม และได้ไล่ล่ากองทัพจากต่างแดน 35 พวกผู้หญิงได้รับคนของพวกนางซึ่งเป็นขึ้นจากตาย คนอื่นๆ ถูกทรมานและไม่ยอมรับการปลดปล่อยเพื่อจะได้การเป็นขึ้นจากตายที่ดียิ่งกว่า 36 บางคนถูกเย้ยเยาะโบยตี ขณะที่บางคนถูกตีตรวนและจำคุก 37 บางคนถูกขว้างด้วยก้อนหินจนตาย[f] บางคนถูกเลื่อยเป็นสองท่อน บางคนตายด้วยคมดาบ บางคนนุ่งห่มหนังแพะหนังแกะ สิ้นเนื้อประดาตัว ถูกข่มเหงและถูกย่ำยี 38 แผ่นดินโลกไม่ควรค่ากับคนเช่นนี้เลย พวกเขาร่อนเร่ไปตามถิ่นกันดาร ตามภูเขาต่างๆ หรือในถ้ำในโพรง
39 คนเหล่านี้ล้วนได้รับการยกย่องในความเชื่อของพวกเขา แต่ก็ยังไม่มีคนใดได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ 40 พระเจ้าทรงวางแผนเตรียมสิ่งที่ดีกว่าไว้สำหรับเรา เพื่อพวกเขาจะได้รับความสมบูรณ์พร้อมร่วมกับเราทั้งหลายเท่านั้น
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.