Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
กันดารวิถี 33

เส้นทางการเดินทางของอิสราเอล

33 ต่อไปนี้คือเส้นทางออกจากอียิปต์ของชาวอิสราเอล เป็นหมู่เหล่าภายใต้การนำของโมเสสกับอาโรน โมเสสบันทึกลำดับการเดินทางทุกระยะตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ชนอิสราเอลออกจากเมืองราเมเสสในวันที่สิบห้าเดือนที่หนึ่ง วันรุ่งขึ้นหลังจากพิธีปัสกา พวกเขายกพลออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ต่อหน้าต่อตาชาวอียิปต์ ซึ่งยุ่งอยู่กับการฝังศพบรรดาบุตรหัวปีที่ถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าประหาร เนื่องด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษพระต่างๆ ของอียิปต์

ชนอิสราเอลออกจากราเมเสสมาตั้งค่ายที่สุคคท

จากสุคคทมาตั้งค่ายที่เอธามใกล้ถิ่นกันดาร

จากเอธามวกกลับไปที่ปีหะหิโรท ไปยังแถบตะวันออกของบาอัลเซโฟน และตั้งค่ายใกล้ๆ มิกดล

ออกจากปีหะหิโรท แล้วข้ามทะเลเข้าไปในถิ่นกันดาร และหลังจากเดินทางเป็นเวลาสามวันในถิ่นกันดาร เอธามก็มาตั้งค่ายที่มาราห์

ออกจากมาราห์แล้วมาถึงเอลิม ที่ซึ่งมีธารน้ำพุสิบสองแห่ง และมีต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น พวกเขาตั้งค่ายอยู่ที่นั่น

10 จากเอลิม พวกเขามาตั้งค่ายพักริมทะเลแดง[a]

11 และจากทะเลแดงมาตั้งค่ายที่ถิ่นกันดารสิน

12 จากถิ่นกันดารสินมาตั้งค่ายที่โดฟคาห์

13 จากโดฟคาห์มาตั้งค่ายที่อาลูช

14 จากอาลูชมาตั้งค่ายที่เรฟีดิม ที่ซึ่งไม่มีน้ำให้ประชากรดื่ม

15 จากเรฟีดิม พวกเขามายังถิ่นกันดารซีนาย

16 จากถิ่นกันดารซีนายมาตั้งค่ายที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์

17 จากขิบโรทหัทธาอาวาห์มาตั้งค่ายที่ฮาเซโรท

18 จากฮาเซโรทมาตั้งค่ายที่ริทมาห์

19 จากริทมาห์มาตั้งค่ายที่ริมโมนเปเรศ

20 จากริมโมนเปเรศมาตั้งค่ายที่ลิบนาห์

21 จากลิบนาห์มาตั้งค่ายที่ริสสาห์

22 จากริสสาห์มาตั้งค่ายที่เคเฮลาธาห์

23 จากเคเฮลาธาห์มาตั้งค่ายที่ภูเขาเชเฟอร์

24 จากภูเขาเชเฟอร์มาตั้งค่ายที่ฮาราดาห์

25 จากฮาราดาห์มาตั้งค่ายที่มักเฮโลท

26 จากมักเฮโลทมาตั้งค่ายที่ทาหัท

27 จากทาหัทมาตั้งค่ายที่เทราห์

28 จากเทราห์มาตั้งค่ายที่มิทคาห์

29 จากมิทคาห์มาตั้งค่ายที่ฮัชโมนาห์

30 จากฮัชโมนาห์มาตั้งค่ายที่โมเสโรท

31 จากโมเสโรทมาตั้งค่ายที่เบเนยาอะคัน

32 จากเบเนยาอะคันมาตั้งค่ายที่โฮร์ฮักกีดกาด

33 จากโฮร์ฮักกีดกาดมาตั้งค่ายที่โยทบาธาห์

34 จากโยทบาธาห์มาตั้งค่ายที่อับโรนาห์

35 จากอับโรนาห์มาตั้งค่ายที่เอซีโอนเกเบอร์

36 จากเอซีโอนเกเบอร์มาตั้งค่ายที่คาเดชในถิ่นกันดารศิน

37 จากคาเดชมาตั้งค่ายที่ภูเขาโฮร์ ตรงชายแดนเอโดม 38 ปุโรหิตอาโรนขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและสิ้นชีวิตที่นั่น ในวันที่หนึ่งเดือนที่ห้าปีที่สี่สิบนับตั้งแต่ชนอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ 39 เมื่ออาโรนสิ้นชีวิตที่ภูเขาโฮร์นั้น เขามีอายุ 123 ปี

40 กษัตริย์ชาวคานาอันแห่งอาราดผู้อาศัยอยู่ในเนเกบที่คานาอันได้ข่าวว่าชนอิสราเอลยกมา

41 จากภูเขาโฮร์มาตั้งค่ายที่ศัลโมนาห์

42 จากศัลโมนาห์มาตั้งค่ายที่ปูโนน

43 จากปูโนนมาตั้งค่ายที่โอโบท

44 จากโอโบทมาตั้งค่ายที่อิเยอาบาริมที่ชายแดนโมอับ

45 จากไอยิม[b]มาตั้งค่ายที่ดีโบนกาด

46 จากดีโบนกาดมาตั้งค่ายที่อัลโมนดิบลาธาอิม

47 จากอัลโมนดิบลาธาอิมมาตั้งค่ายที่เทือกเขาอาบาริมใกล้เนโบ

48 จากเทือกเขาอาบาริมมาตั้งค่ายในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโค 49 ที่ซึ่งพวกเขาตั้งค่ายพักอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน จากเบธเยชิโมทจดอาแบลชิทธีม

50 ในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโคนี้เององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า 51 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยังดินแดนคานาอัน 52 จงขับไล่ชาวดินแดนนั้นออกไปให้หมด และทำลายล้างรูปเคารพทั้งปวงของพวกเขา ไม่ว่าหินสลัก รูปเคารพที่หล่อขึ้น และสถานบูชาบนที่สูงของพวกเขา 53 จงเข้ายึดและตั้งถิ่นฐานที่นั่นเพราะเรายกดินแดนนี้ให้เจ้า 54 จงทอดฉลากแบ่งสรรที่ดินกันตามตระกูล ที่ดินผืนใหญ่จะจับฉลากแบ่งกันในหมู่ตระกูลใหญ่ ส่วนที่เล็กลงมาจะจับฉลากแบ่งกันในหมู่ตระกูลเล็ก สิ่งที่เขาจับฉลากได้ก็จะเป็นของเขา จงแบ่งที่ดินไปตามเผ่าบรรพบุรุษของท่าน

55 “ ‘แต่หากเจ้าทั้งหลายไม่ยอมขับไล่ประชากรที่อาศัยอยู่ที่นั่นออกไป คนที่เหลืออยู่จะเป็นหอกข้างแคร่และจะเป็นหนามยอกอกของเจ้า พวกเขาจะก่อปัญหาให้กับเจ้าในดินแดนที่เจ้าอาศัยอยู่ 56 และเราจะทำกับเจ้าตามที่เราวางแผนไว้ว่าจะทำกับพวกเขา’ ”

สดุดี 78:1-37

(มัสคิล[a]ของอาสาฟ)

78 ประชากรของข้าพเจ้าเอ๋ย จงฟังคำสอนของข้าพเจ้าเถิด
จงรับฟังวาจาจากปากของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะเอื้อนเอ่ยคำอุปมา
ข้าพเจ้าจะเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ตั้งแต่โบราณกาล
สิ่งที่เราได้ยินและได้ทราบ
สิ่งที่บรรพบุรุษของเราบอกต่อๆ กันมา
เราจะไม่ปิดบังไว้จากลูกหลานของพวกเขา
จะบอกแก่คนรุ่นต่อมา
ถึงบรรดาพระราชกิจอันสมควรแก่การสรรเสริญขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ถึงฤทธานุภาพของพระองค์และการอัศจรรย์ต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำ
พระองค์ทรงวางกฎเกณฑ์สำหรับยาโคบ
และตั้งบทบัญญัติในอิสราเอล
ซึ่งทรงบัญชาบรรพบุรุษของเรา
ให้สอนลูกหลานของพวกเขา
เพื่อชนรุ่นหลังจะได้รู้
แม้แต่ลูกหลานที่จะเกิดมา
และถึงคราวที่พวกเขาจะต้องบอกลูกหลานของตนต่อไป
เพื่อพวกเขาจะได้วางใจในพระเจ้า
และไม่ลืมสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ
และจะปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์
พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นเหมือนบรรพบุรุษ
ซึ่งดื้อดึงและชอบกบฏ
จิตใจไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า
จิตวิญญาณไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์

แม้ชนเผ่าเอฟราอิมมีธนูเป็นอาวุธครบครัน
ก็ยังหันหลังวิ่งหนีไปในยามสงคราม
10 เพราะเขาไม่รักษาพันธสัญญาของพระเจ้า
ไม่ยอมดำเนินชีวิตตามบทบัญญัติของพระองค์
11 เขาลืมสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ
ลืมการอัศจรรย์ต่างๆ ที่ได้ทรงสำแดงแก่เขา
12 พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตาบรรพบุรุษของเขา
ในดินแดนอียิปต์ ในเขตแดนโศอัน
13 พระองค์ทรงแยกทะเลและนำพวกเขาเดินข้ามไป
พระองค์ทรงทำให้น้ำตั้งขึ้นเป็นกำแพง
14 พระองค์ทรงนำเขาด้วยเมฆในยามกลางวัน
และด้วยแสงจากไฟในยามกลางคืน
15 พระองค์ทรงแยกศิลาออกในถิ่นกันดาร
ประทานน้ำพุ่งขึ้นมามากมายเหมือนทะเลให้เขาดื่ม
16 พระองค์ทรงทำให้ธารน้ำไหลออกมาจากศิลา
และให้น้ำไหลรินดั่งแม่น้ำ

17 ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงทำบาปต่อพระองค์
กบฏต่อองค์ผู้สูงสุดในถิ่นกันดาร
18 พวกเขาจงใจลองดีกับพระเจ้า
โดยเรียกร้องอาหารที่อยากกิน
19 เขาต่อว่าพระเจ้าว่า
“พระเจ้าทรงจัดสำรับ
ในถิ่นกันดารได้หรือ?
20 เมื่อทรงตีหิน น้ำก็พุ่งออกมา
ลำธารไหลล้น
แต่พระองค์จะประทานอาหารให้พวกเราได้ด้วยหรือ?
พระองค์จะประทานเนื้อให้คนของพระองค์ได้ด้วยหรือ?”
21 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยิน พระองค์ก็กริ้วยิ่งนัก
เพลิงของพระองค์เผาผลาญยาโคบ
พระพิโรธพลุ่งขึ้นต่อสู้อิสราเอล
22 เพราะพวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้า
หรือไว้วางใจว่าพระองค์จะทรงช่วยกู้ได้
23 ถึงกระนั้นพระองค์ยังทรงบัญชาฟ้าเบื้องบน
และทรงเปิดประตูสวรรค์
24 พระองค์ทรงให้มานาโปรยปรายลงมาเป็นอาหารของพวกเขา
พระองค์ประทานธัญญาหารจากฟ้าสวรรค์แก่พวกเขา
25 มนุษย์ได้กินอาหารของทูตสวรรค์
พระองค์ประทานอาหารแก่พวกเขาจนอิ่มหนำ
26 พระองค์ทรงให้ลมตะวันออกมาจากฟ้าสวรรค์
และทรงนำลมใต้มาโดยพระเดชานุภาพ
27 พระองค์ทรงให้เนื้อตกลงมามากมายดั่งฝุ่น
คือฝูงนกคลาคล่ำดั่งเม็ดทรายที่ชายทะเล
28 พระองค์ทรงกระทำให้นกเหล่านั้นลงมาที่ค่ายพักแรม
รอบๆ เต็นท์ของพวกเขา
29 พวกเขาได้รับประทานจนอิ่มหนำ
เพราะพระองค์ประทานให้จนสมอยาก
30 แต่ก่อนที่พวกเขาจะอิ่ม
ขณะที่เนื้อยังคาปากอยู่
31 พระพิโรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อพวกเขา
พระองค์ทรงประหารคนกำยำล่ำสันที่สุดของพวกเขา
และทรงสังหารคนหนุ่มของอิสราเอล

32 ทั้งๆ ที่เห็นทั้งหมดนี้แล้ว พวกเขาก็ยังคงทำบาปต่อไป
ทั้งๆที่เห็นการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ พวกเขาก็ยังไม่เชื่อ
33 ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้วันคืนของเขาจบลงอย่างสูญเปล่า
และทำให้ปีเดือนของเขาจบลงด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
34 เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าประหารพวกเขา พวกเขาจะแสวงหาพระองค์
พวกเขาจะกระตือรือร้นหวนกลับมาหาพระองค์อีกครั้ง
35 พวกเขาระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระศิลา
ระลึกได้ว่าพระเจ้าผู้สูงสุดทรงเป็นพระผู้ไถ่ของพวกเขา
36 แต่แล้วพวกเขาจะยกยอพระองค์ด้วยลมปาก
มุสาต่อพระองค์ด้วยลิ้นของพวกเขา
37 จิตใจของพวกเขาไม่ได้จงรักภักดีต่อพระองค์
พวกเขาไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของพระองค์

อิสยาห์ 25

สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า

25 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะยกย่องเทิดทูนพระองค์และสรรเสริญพระนามของพระองค์
เพราะพระองค์ทรงทำการมหัศจรรย์
ตามที่ทรงดำริไว้นานมาแล้ว
ด้วยความซื่อสัตย์อันบริบูรณ์
พระองค์ทรงทำให้นครนั้นกลายเป็นซากปรักหักพัง
เมืองป้อมปราการพังพินาศ
ที่มั่นของชนต่างชาติล่มจมแล้ว
ไม่อาจสร้างขึ้นมาใหม่ได้เลย
ดังนั้นชนชาติที่เข้มแข็งจะเทิดพระเกียรติพระองค์
ประชาชาติที่อำมหิตจะยำเกรงพระองค์
พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของผู้ยากไร้
เป็นที่พักพิงสำหรับคนขัดสนซึ่งอยู่ในความทุกข์
เป็นป้อมกำบังจากพายุ
เป็นร่มเงาหลบความร้อน
เพราะลมหายใจเข้าออกของคนอำมหิต
เหมือนพายุที่พัดกระหน่ำกำแพง
และเหมือนความร้อนระอุของถิ่นกันดาร
พระองค์ทรงสยบการขู่คำรามของคนต่างชาติ
เหมือนเงาเมฆบรรเทาความร้อนระอุ
แล้วบทเพลงของคนอำมหิตก็เงียบลง

พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์จะจัดเตรียมงานเลี้ยงใหญ่บนภูเขาแห่งนี้
สำหรับชนชาติทั้งปวง
งานเลี้ยงซึ่งมีเหล้าองุ่น
และเนื้อชั้นเยี่ยม
บนภูเขาแห่งนี้พระองค์จะทรงขจัดผ้าคลุมหน้า
ซึ่งห่อหุ้มชนชาติทั้งปวง
และขจัดม่านซึ่งคลุมมวลประชาชาติ
พระองค์จะทรงกลืนความตายไปชั่วนิรันดร์
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงซับหยาดน้ำตาจากทุกใบหน้า
และจะทรงขจัดความอัปยศอดสูของประชากรของพระองค์
ออกไปจากแผ่นดินโลก
            องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

ในวันนั้นพวกเขาจะกล่าวว่า

“แน่นอน นี่คือพระเจ้าของเรา
เราวางใจพระองค์ และพระองค์ทรงช่วยเรา
นี่คือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราวางใจในพระองค์
ให้เรามาชื่นชมยินดีและเปรมปรีดิ์ในความรอดที่พระองค์ประทานเถิด”

10 พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะวางลงบนภูเขาแห่งนี้
ส่วนโมอับจะถูกเหยียบย่ำ
เหมือนฟางถูกเหยียบลงในหลุมมูลสัตว์
11 พวกเขาจะกางมือออกในหลุมนั้น
เหมือนคนว่ายน้ำที่เหยียดแขนออกว่าย
พระเจ้าจะทรงสยบความเย่อหยิ่งของเขา
ไม่ว่าเขาจะทำการอย่างชาญฉลาด[a]เพียงใดก็ตาม
12 พระองค์จะทรงทลายกำแพงสูงตระหง่านของเจ้าลงมา
ทรงทำให้มันตกต่ำ
พระองค์จะทรงทำให้มันราบลงกับพื้น
คลุกธุลีดิน

1 ยอห์น 3

ความรักที่พระบิดาทรงมีต่อเราทั้งหลายนั้นใหญ่หลวงปานใดในการที่เราได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า! และเราก็เป็นเช่นนั้น! เหตุที่โลกไม่รู้จักเราก็เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์ เพื่อนที่รัก บัดนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า ภายหน้าเราจะเป็นอย่างไรเรายังไม่อาจรู้ได้ แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ[a]เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น ทุกคนที่มีความหวังในพระองค์เช่นนี้ย่อมชำระตนเองให้บริสุทธิ์เหมือนที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์

ทุกคนที่ทำบาปย่อมละเมิดบทบัญญัติ อันที่จริงบาปก็คือการละเมิดบทบัญญัติ แต่ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มาเพื่อขจัดบาปของเราและในพระองค์ไม่มีบาป ไม่มีใครที่อยู่ในพระองค์แล้วยังทำบาปต่อไป คนที่ทำบาปต่อไปก็ยังไม่ได้เห็นและไม่ได้รู้จักพระองค์

ลูกที่รัก อย่าปล่อยให้ใครมาชักจูงท่านให้หลงผิด ผู้ที่ทำสิ่งที่ถูกต้องก็เป็นคนชอบธรรมเหมือนที่พระองค์ทรงชอบธรรม ผู้ที่ทำบาปก็มาจากมารเพราะมารทำบาปมาตั้งแต่ปฐมกาล เหตุที่พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาก็คือเพื่อทำลายกิจการของมาร ไม่มีใครที่เกิดจากพระเจ้าแล้วยังคงทำบาปต่อไป เพราะเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าดำรงอยู่ในเขา เขาไม่อาจทำบาปต่อไปเพราะเขาได้บังเกิดจากพระเจ้า 10 เช่นนี้แหละเราจึงรู้ว่าใครเป็นบุตรของพระเจ้าและใครเป็นบุตรของมาร กล่าวคือผู้ใดไม่ทำสิ่งที่ถูกต้อง ผู้ใดไม่รักพี่น้องของตน ผู้นั้นไม่ใช่บุตรของพระเจ้า

รักซึ่งกันและกัน

11 นี่เป็นข้อความที่ท่านทั้งหลายได้ยินมาตั้งแต่แรกคือ เราควรรักซึ่งกันและกัน 12 อย่าเป็นเหมือนคาอินผู้เป็นฝ่ายมารและฆ่าน้องชายของตน ทำไมเขาจึงฆ่าน้อง? ก็เพราะการกระทำของตนชั่วร้ายและการกระทำของน้องชอบธรรม 13 พี่น้องทั้งหลาย อย่าแปลกใจถ้าโลกนี้เกลียดชังท่าน 14 เรารู้ว่าเราผ่านพ้นความตายเข้าสู่ชีวิตเพราะเรารักพี่น้องของเรา ผู้ใดไม่รักผู้นั้นยังคงอยู่ในความตาย 15 ผู้ใดเกลียดชังพี่น้องของตนผู้นั้นเป็นฆาตกร ท่านทั้งหลายรู้ว่าไม่มีฆาตกรคนไหนมีชีวิตนิรันดร์ในพระองค์

16 เช่นนี้เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร คือที่พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อเราและเราควรสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง 17 ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สิ่งของ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแต่ยังไม่สงสารเขา ความรักของพระเจ้าจะอยู่ในผู้นั้นได้อย่างไร? 18 ลูกที่รัก อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปาก[b]เท่านั้น แต่ให้เรารักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง 19 ดังนี้แหละเราจึงรู้ว่าเราอยู่ฝ่ายความจริงและทำให้ใจเราสงบต่อหน้าพระเจ้า 20 แม้ในยามที่ใจของเรากล่าวโทษตนเอง เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเราและพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง

21 เพื่อนที่รัก ถ้าใจของเราไม่กล่าวโทษตัวเอง เราก็มั่นใจต่อหน้าพระเจ้า 22 และได้รับทุกสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์ เพราะเราเชื่อฟังพระบัญชาและทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัย 23 พระบัญชาของพระองค์คือ ให้เชื่อในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และรักซึ่งกันและกันตามที่ทรงบัญชาเราไว้ 24 ผู้ใดเชื่อฟังพระบัญชา ผู้นั้นก็อยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงอยู่ในผู้นั้น เช่นนี้เราจึงรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา คือเรารู้โดยพระวิญญาณที่พระองค์ได้ประทานแก่เรา

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.