Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เลวีนิติ 1

สัตว์ที่เผาเป็นของถวาย

พระผู้เป็นเจ้าเรียกโมเสสจากกระโจมที่นัดหมายและกล่าวกับท่านว่า “จงบอกชาวอิสราเอลตามนี้ ‘เมื่อผู้ใดนำของมาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า เจ้าจงนำสัตว์เลี้ยงอันเป็นของถวายมาจากฝูงโคหรือฝูงแพะแกะ

ถ้าสัตว์ที่เขาจะใช้เผาเป็นของถวาย เป็นสัตว์ที่มาจากฝูงโค เขาจะต้องถวายโคหนุ่มที่ปราศจากตำหนิ ณ ทางเข้ากระโจมที่นัดหมาย เพื่อพระผู้เป็นเจ้าจะได้ยอมรับเขา ให้เขาวางมือบนหัวสัตว์ที่จะใช้เผาเป็นของถวาย เพื่อให้มีการยอมรับในพิธีชดใช้บาปของเขา แล้วให้เขาฆ่าโคหนุ่มตัวนั้น ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า บรรดาปุโรหิตผู้เป็นบุตรของอาโรนถวายเลือดด้วยการสาดลงรอบๆ แท่นบูชาซึ่งตั้งอยู่หน้าทางเข้ากระโจมที่นัดหมาย และให้เขาถลกหนังสัตว์ที่จะเผาเป็นของถวาย แล้วหั่นเป็นท่อนๆ บรรดาบุตรของอาโรนปุโรหิตก็จุดไฟที่แท่นบูชาแล้วเรียงฟืนไว้ให้เป็นระเบียบ บรรดาปุโรหิตผู้เป็นบุตรของอาโรนจะวางสัตว์ที่หั่นเป็นท่อนแล้ว รวมทั้งหัวและไขมันบนกองฟืนที่แท่นบูชาให้เป็นระเบียบ เขาใช้น้ำล้างเครื่องในและขาสัตว์ แล้วปุโรหิตจะเผาทุกส่วนที่แท่นบูชา เป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวายซึ่งถวายด้วยไฟ ส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจของพระผู้เป็นเจ้า

10 ถ้าสัตว์ที่เขาจะใช้เผาเป็นของถวาย เป็นสัตว์ที่มาจากฝูงแพะหรือแกะ เขาจะต้องถวายสัตว์ตัวผู้ที่ปราศจากตำหนิ 11 เขาจะต้องฆ่าสัตว์ที่ด้านเหนือของแท่น ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า ให้บรรดาปุโรหิตผู้เป็นบุตรของอาโรนสาดเลือดรอบแท่น 12 ให้เขาหั่นเป็นท่อนๆ รวมทั้งหัวและไขมัน ปุโรหิตจะวางไว้บนกองฟืนบนไฟที่แท่นอย่างเป็นระเบียบ 13 เขาใช้น้ำล้างเครื่องในและขาสัตว์ และปุโรหิตจะถวายสัตว์ทุกส่วนด้วยการเผาบนแท่นบูชา เป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวายซึ่งถวายด้วยไฟ ส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจของพระผู้เป็นเจ้า

14 ถ้าสิ่งที่เขามอบแด่พระผู้เป็นเจ้าเป็นนกที่จะเผาเป็นของถวาย ก็จะต้องถวายนกเขาหรือนกพิราบหนุ่ม[a] 15 ปุโรหิตจะนำนกมาที่แท่นบูชา บิดคอและเผาบนแท่นให้เลือดไหลลงข้างแท่น 16 เขาต้องดึงกระเพาะนกและขน ทิ้งที่ข้างแท่นด้านตะวันออกซึ่งเป็นที่บรรจุขี้เถ้า 17 แล้วเขาต้องรวบปีกฉีกอก แต่อย่าให้ขาดเป็น 2 ท่อน และปุโรหิตจะเผานกทั้งตัวที่แท่นบูชา บนฟืนที่เรียงสุมไว้บนไฟ เป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวายซึ่งถวายด้วยไฟจะส่งกลิ่นหอมเป็นที่พอใจของพระผู้เป็นเจ้า

ยอห์น 20

พระเยซูฟื้นคืนชีวิต

20 วันแรกของสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาลามาถึงถ้ำเก็บศพแต่เช้าตรู่ ซึ่งเป็นเวลาที่ยังมืดอยู่ นางเห็นว่าหินถูกเลื่อนออกจากทางเข้า นางจึงวิ่งมาหาซีโมนเปโตรและสาวกอีกคนที่พระเยซูรัก แล้วพูดกับเขาทั้งสองว่า “พวกเขาได้เอาพระเยซูเจ้าออกไปจากถ้ำเก็บศพแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขาได้เอาร่างของพระองค์ไปไว้ที่ไหน” ดังนั้นเปโตรกับสาวกคนนั้นจึงพากันไปที่ถ้ำเก็บศพ โดยวิ่งไปด้วยกัน สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงถึงถ้ำเก็บศพก่อน ขณะที่ก้มมองดูข้างใน เขาเห็นริ้วผ้าป่านวางอยู่ที่นั่น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน ซีโมนเปโตรก็ตามมาจนถึง จึงเข้าไปข้างในถ้ำเก็บศพ และเห็นริ้วผ้าป่านวางอยู่ที่นั่น ผ้าที่ใช้พันศีรษะของพระองค์ไม่ได้วางไว้กับริ้วผ้าป่าน แต่ถูกพับวางไว้ต่างหาก สาวกคนที่ถึงถ้ำเก็บศพก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขาจึงเห็นและเชื่อ เขาทั้งสองยังไม่เข้าใจตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ว่า พระองค์ต้องฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 10 ดังนั้นสาวกทั้งสองจึงกลับไปบ้านของตน

พระเยซูปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลา

11 ส่วนมารีย์ก็ยืนร้องไห้อยู่นอกถ้ำเก็บศพ ขณะที่ร้องไห้อยู่นางก้มลงดูในถ้ำเก็บศพ 12 นางเห็นทูตสวรรค์ 2 องค์สวมเสื้อสีขาวนั่งอยู่ ณ ที่ซึ่งเขาวางร่างของพระเยซูไว้ องค์หนึ่งอยู่เบื้องศีรษะ อีกองค์หนึ่งอยู่ทางปลายเท้า 13 ทูตสวรรค์พูดกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” นางพูดว่า “เพราะว่าเขาเอาร่างของพระเยซูเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน” 14 เมื่อนางได้พูดเช่นนั้นแล้วก็หมุนตัวกลับไป และได้เห็นพระเยซูยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ทราบว่าเป็นพระเยซู 15 พระองค์กล่าวกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม เจ้าตามหาใคร” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวนจึงพูดกับพระองค์ว่า “นายท่าน หากว่าท่านเอาพระองค์ไป ก็โปรดบอกข้าพเจ้าว่า ท่านเอาไปไว้ที่ไหน ข้าพเจ้าจะได้ไปรับพระองค์” 16 พระเยซูกล่าวกับนางว่า “มารีย์” นางหันกลับมาและพูดกับพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” (ซึ่งหมายความว่า อาจารย์) 17 พระเยซูกล่าวกับนางว่า “อย่าจับต้องตัวเรา เพราะว่าเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดา เจ้าจงไปบอกพวกพี่น้องของเราว่า ‘เราขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของเจ้า พระเจ้าของเราและพระเจ้าของเจ้า’”

18 มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปบอกเหล่าสาวกว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นพระเยซูเจ้า” และนางได้บอกพวกเขาถึงสิ่งที่พระองค์กล่าวกับนาง

พระเยซูปรากฏแก่สาวก

19 ค่ำวันนั้นอันเป็นวันแรกของสัปดาห์ เหล่าสาวกลงกลอนประตูอยู่ด้วยกันเพราะกลัวชาวยิว พระเยซูมายืนอยู่ท่ามกลางเหล่าสาวกและกล่าวกับพวกเขาว่า “สันติสุขจงอยู่กับพวกเจ้า” 20 เมื่อพระองค์กล่าวเช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ให้เขาดูมือและสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นพระเยซูเจ้าก็ยินดี 21 พระเยซูจึงกล่าวกับพวกเขาอีกว่า “สันติสุขจงอยู่กับพวกเจ้า พระบิดาได้ส่งเรามาเช่นใด เราก็ส่งเจ้าไปเช่นนั้น” 22 เมื่อพระองค์กล่าวดังนั้นแล้วก็ระบายลมหายใจใส่พวกเขา และกล่าวว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด 23 ถ้าเจ้ายกโทษบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็จะได้รับการยกโทษ ถ้าเจ้าไม่ยกโทษบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็จะไม่ได้รับการยกโทษ”

พระเยซูปรากฏแก่โธมัส

24 โธมัสที่เรียกกันว่าแฝด ซึ่งเป็นคนหนึ่งในสาวกทั้งสิบสองไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยเมื่อพระเยซูมาหา 25 สาวกอื่นๆ จึงพูดกับเขาว่า “พวกเราได้เห็นพระเยซูเจ้า” แต่เขาพูดว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่เห็นรอยตะปูที่มือของพระองค์ และใช้นิ้วของข้าพเจ้าแยงที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือของข้าพเจ้าแยงที่สีข้างแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเลย”

26 แปดวันต่อมาเหล่าสาวกอยู่ในบ้านกันอีก และโธมัสก็อยู่ด้วย ประตูก็ปิดอยู่ พระเยซูมายืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา พระองค์กล่าวว่า “สันติสุขจงอยู่กับพวกเจ้า” 27 พระองค์กล่าวกับโธมัสว่า “จงยื่นนิ้วของเจ้าออกมาและดูมือของเรา จงยื่นมือของเจ้าออกมาจับที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด” 28 โธมัสพูดตอบพระองค์ว่า “พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า” 29 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เจ้าได้เห็นเรา เจ้าก็เชื่อแล้วใช่ไหม คนที่แม้ไม่ได้เห็นแต่เชื่อ ก็เป็นสุข”

30 มีปรากฏการณ์อัศจรรย์อื่นอีกมากที่พระเยซูได้สำแดงต่อหน้าเหล่าสาวก ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในฉบับนี้ 31 แต่สิ่งเหล่านี้มีบันทึกไว้เพื่อท่านจะได้เชื่อว่า พระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อท่านเชื่อในพระนามของพระองค์ ท่านจะได้มีชีวิต

สุภาษิต 17

17 เศษขนมปังแห้งกับความสงบเงียบ
    ก็ยังดีกว่าบ้านที่มีงานเลี้ยงมากมายซึ่งมีแต่การทะเลาะวิวาทกัน
ผู้รับใช้ที่ชาญฉลาดจะเป็นผู้ควบคุมลูกเจ้านายที่ประพฤติตัวอย่างน่าอับอาย
    และจะได้รับส่วนแบ่งจากมรดกร่วมกับลูกๆ
เบ้าหลอมมีไว้สำหรับเงิน และเตาหลอมสำหรับทองคำ
    แต่พระผู้เป็นเจ้าทดสอบที่จิตใจ
คนชั่วเอาใจใส่กับคำพูดเลวๆ
    คนพูดปดฟังลิ้นที่นำความพินาศ
คนที่ล้อเลียนผู้ยากไร้ก็ดูหมิ่นองค์ผู้สร้างของเขา
    คนที่ยินดีกับความวิบัติจะถูกลงโทษ
หลานๆ ที่เกิดจากบุตรเป็นดุจมงกุฎของผู้สูงอายุ
    และความภูมิใจของลูกๆ ก็คือบิดาของเขา
คำพูดที่ดีงามไม่เหมาะกับคนโง่
    ปากที่พูดโกหกยิ่งไม่เหมาะสำหรับคนมีเกียรติ
สินบนเป็นดั่งแก้ววิเศษในสายตาของผู้ให้
    ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็สำเร็จ
ผู้ที่ให้อภัยการกระทำผิดเป็นผู้แสวงหาความรัก
    แต่ผู้ที่ย้ำเรื่องเดิมซ้ำซากก็เป็นผู้แยกเพื่อนรักให้จากกัน
10 การตักเตือนว่ากล่าวครั้งเดียวฝังลึกในคนที่มีความหยั่งรู้
    มากกว่าการเฆี่ยนตีคนโง่เขลาหนึ่งร้อยครั้ง
11 คนชั่วร้ายจะแสวงหาแต่ความเลว
    ดังนั้นคนเหี้ยมโหดจะถูกส่งมาเพื่อต่อต้านเขา
12 ให้คนปะทะกับหมีแม่ลูกอ่อนที่ถูกขโมยลูก
    ก็ยังดีกว่าพบคนโง่พร้อมกับความโง่ของเขา
13 ความเลวร้ายจะไม่หายไปจากบ้าน
    ของคนที่ตอบสนองความดีด้วยความชั่ว
14 การเริ่มทะเลาะวิวาทเปรียบเสมือนการปล่อยให้น้ำในเขื่อนไหลทะลักออกมา
    ดังนั้น จงหยุดการโต้แย้งก่อนที่จะเกิดการทะเลาะวิวาท
15 การช่วยคนที่มีความผิดให้พ้นข้อหา และกล่าวโทษผู้มีความชอบธรรม
    สองสิ่งนี้เป็นที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า
16 คนโง่จะมีเงินไว้ซื้อสติปัญญาเพื่อจุดประสงค์อะไร
    ในเมื่อเขาขาดความคิด
17 เพื่อนมีความรักให้เสมอ
    และพี่น้องเกิดมาเพื่อช่วยกันในยามคับขัน
18 คนที่ขาดความยั้งคิดให้คำสาบาน
    และรับประกันเพื่อนบ้านของเขา
19 คนที่รักการกระทำผิดจะรักการทะเลาะวิวาท
    คนที่สร้างประตูของตนให้สูงขึ้นนับว่าแสวงหาความพินาศ
20 ผู้มีใจลวงหลอกจะไม่มีความสำเร็จในชีวิต
    และลิ้นบิดเบือนก็ตกอยู่ในความวิบัติ
21 บุตรที่โง่เขลาเป็นที่เศร้าใจของบิดา
    และบิดาของคนโง่หามีความยินดีไม่
22 ใจที่เปี่ยมด้วยความยินดีเป็นเสมือนยารักษาที่ดี
    แต่วิญญาณอันบอบช้ำทำให้รู้สึกเหี่ยวแห้งถึงกระดูก
23 คนชั่วร้ายแอบรับสินบน
    เพื่อบิดเบือนวิถีทางแห่งความเที่ยงธรรม
24 สติปัญญาอยู่ไม่ไกลจากสายตาของผู้หยั่งรู้
    แต่ตาของคนโง่อยู่ที่สุดขอบโลก
25 บุตรที่โง่เขลาเป็นความทุกข์โศกของบิดา
    และเป็นความขมขื่นของนางผู้ให้กำเนิดแก่เขา
26 การลงโทษผู้มีความชอบธรรม
    หรือเฆี่ยนตีผู้นำที่มีสัจจะเป็นการกระทำที่ไม่ดี
27 ผู้ที่ยับยั้งคำพูดของตนได้เป็นผู้มีความรู้
    และผู้รู้จักควบคุมตัวเองเป็นผู้หยั่งรู้
28 แม้แต่คนโง่เวลานิ่งเงียบ คนก็ยังคิดว่าเขามีสติปัญญา
    และเวลาเขาปิดปากก็จะดูเหมือนเป็นคนฉลาด

ฟีลิปปี 4

ฉะนั้น พี่น้องที่รักและคิดถึงยิ่ง ท่านจงยืนหยัดในพระผู้เป็นเจ้า พี่น้องที่รักทั้งหลายทำให้ข้าพเจ้ายินดี ท่านเป็นเสมือนมงกุฎแห่งความมีชัยของข้าพเจ้า

การตักเตือน

ข้าพเจ้าขอร้องนางยูโอเดียและนางสุนทิเคให้ปรองดองกันฉันพี่น้องในพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็เช่นกัน ข้าพเจ้าขอให้ท่านผู้เป็นเพื่อนร่วมงานที่แท้จริงได้ช่วยหญิงทั้งสองนี้ เพราะเขาต่างก็ทำงานหนักเคียงข้างข้าพเจ้าในกิจการของข่าวประเสริฐ รวมทั้งเคลเม้นท์และคนอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า ที่มีชื่อบันทึกไว้ในหนังสือแห่งชีวิต

จงชื่นชมยินดีในพระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอพูดอีกว่า จงชื่นชมยินดีเถิด จงให้ความอ่อนโยนของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน พระผู้เป็นเจ้าอยู่ใกล้แล้ว อย่ากังวลในสิ่งใดเลย แต่จงอธิษฐานเกี่ยวกับทุกสิ่ง และขอสิ่งที่ต้องการจากพระเจ้าด้วยใจขอบคุณ และสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจของมนุษย์จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านในพระเยซูคริสต์

สุดท้ายนี้ พี่น้องทั้งหลายเอ๋ย ขอให้ความคิดของท่านอยู่กับสิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่น่ายกย่อง สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่าชมเชย สิ่งที่ดีเลิศและสมควรแก่การสรรเสริญเถิด จงฝึกตนตามสิ่งต่างๆ ที่ท่านได้เรียนรู้และได้รับ ได้ยินและได้เห็นในตัวข้าพเจ้า และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะอยู่กับท่าน

เปาโลแจ้งชาวฟีลิปปีว่าได้รับของฝากแล้ว

10 ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีอย่างยิ่งในพระผู้เป็นเจ้า ที่ท่านมีความห่วงใยข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง จริงทีเดียวที่ท่านห่วงใยข้าพเจ้า แต่ท่านไม่มีโอกาสแสดงออก 11 ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้มิใช่ว่าขัดสนสิ่งใด ด้วยว่าข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ในทุกสถานการณ์ 12 ข้าพเจ้ารู้จักทั้งความเป็นอยู่อย่างขัดสน และความเป็นอยู่อย่างมั่งคั่ง ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ถึงเคล็ดลับที่จะพึงพอใจในทุกสภาพ ไม่ว่าจะอิ่มหรืออด ไม่ว่าจะมีเหลือล้นหรือขาดแคลน 13 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้เพราะมีพระองค์ผู้เสริมกำลังให้แก่ข้าพเจ้า

14 ถึงกระนั้นก็ตาม เป็นความกรุณาของท่านที่ได้มีส่วนร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า 15 พวกท่านชาวฟีลิปปีก็ทราบด้วยว่า หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐครั้งแรก และเดินทางต่อไปจากแคว้นมาซิโดเนีย ก็ไม่มีคริสตจักรใดนอกจากพวกท่านเท่านั้นที่มีส่วนร่วมกับข้าพเจ้า ทั้งในการให้และการรับ 16 แม้ที่เมืองเธสะโลนิกาท่านก็ได้ส่งความช่วยเหลือไปหลายครั้งในยามที่ข้าพเจ้าขัดสน 17 มิใช่ว่าข้าพเจ้าใจจดจ่อเพื่อคอยรับของฝาก แต่ข้าพเจ้าใจจดจ่อที่จะเห็นท่านได้รับผลเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นส่วนได้ของท่าน 18 ข้าพเจ้าได้รับทุกสิ่ง และได้อย่างเต็มเปี่ยม ข้าพเจ้าไม่ขาดสิ่งใดเลยในเมื่อข้าพเจ้าได้รับสิ่งที่ท่านส่งไปกับเอปาโฟรดิทัสซึ่งเป็นเสมือนของถวายที่หอมกรุ่น เป็นเครื่องสักการะที่พระเจ้าโปรดปรานและพึงใจมาก 19 และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะมอบสิ่งที่จำเป็นทุกสิ่งให้แก่ท่าน จากทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์โดยผ่านพระเยซูคริสต์ 20 ขอพระบารมีจงมีแด่พระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของเรานิรันดร์กาลเถิด อาเมน

คำลงท้าย

21 ฝากความคิดถึงมายังผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกคน ซึ่งเป็นคนของพระเยซูคริสต์ พี่น้องที่อยู่กับข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงมายังท่าน 22 บรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกคนฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ทำงานในวังของซีซาร์

23 ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจงอยู่กับวิญญาณของท่านทั้งหลายเถิด อาเมน[a]

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation