M’Cheyne Bible Reading Plan
36 เบซาเลลและโอโฮลีอับและทุกคนที่พระผู้เป็นเจ้าได้โปรดให้มีความชำนาญและความฉลาด เพื่อรู้จักปฏิบัติงานในการสร้างสถานที่บริสุทธิ์จะทำตามทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้”
2 ดังนั้น โมเสสจึงเรียกเบซาเลลและโอโฮลีอับและทุกคนที่มีความชำนาญตามที่พระผู้เป็นเจ้าโปรดดลใจให้มี และให้ทุกคนที่มีใจปรารถนามาปฏิบัติงาน 3 พวกเขารับของถวายที่ชาวอิสราเอลได้นำมาด้วยความสมัครใจให้โมเสสสำหรับการสร้างสถานที่บริสุทธิ์ ทุกๆ เช้าฝูงชนได้นำของมาถวายด้วยความสมัครใจ 4 จนพวกผู้ชำนาญงานทุกแผนกที่สถานที่บริสุทธิ์ต้องวางมือจากงานของตน 5 และพูดกับโมเสสว่า “ประชาชนนำของมาให้สำหรับงานที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาพวกเราทำมากเกินความต้องการ” 6 ดังนั้น โมเสสจึงออกคำสั่ง และมีประกาศไปทั่วค่ายว่า “ชายหญิงทั้งหลายไม่ต้องนำของมาถวายสำหรับสถานที่บริสุทธิ์อีกแล้ว” ดังนั้น ผู้คนจึงหยุดนำของมาให้ 7 เพราะสิ่งที่พวกเขามีอยู่นั้นมากเกินพอสำหรับงานทั้งหมด
กระโจมที่พำนัก
8 คนที่มีความชำนาญทุกคนในหมู่คนงานก็สร้างกระโจมที่พำนักโดยให้มีผ้าม่าน 10 ผืนซึ่งเย็บด้วยผ้าป่านทอเนื้อดี ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด มีภาพเครูบปักงดงามด้วยช่างผู้ชำนาญ 9 ผ้าม่านมีขนาดเท่ากันทุกผืนคือ ยาว 28 ศอก และกว้าง 4 ศอก
10 นำม่าน 5 ผืนมาเย็บให้ติดกันตามความกว้าง อีก 5 ผืนก็ทำเช่นเดียวกัน 11 เขาเย็บหูม่านด้วยผ้าสีน้ำเงิน และติดไว้ที่ข้างหนึ่งของม่านชุดแรก ส่วนชุดที่สองเขาก็เย็บแบบเดียวกัน 12 เขาเย็บหูม่าน 50 อันติดไว้ตามแนวด้านกว้างของม่านแต่ละชุด เหมือนๆ กับชุดที่สอง ด้านที่มีหูม่านอยู่ตรงกันข้าม 13 แล้วเขาตีขอเกี่ยว 50 อันด้วยทองคำ เกี่ยวม่าน 2 ชุดให้ติดกันเป็นผ้าคลุมผืนเดียวของกระโจมที่พำนัก
14 เขาเย็บม่านขนแพะ 11 ผืนเป็นที่คลุมกระโจมที่พำนัก 15 ผ้าม่าน 11 ผืนขนาดเท่ากันทุกผืน มีความยาว 30 ศอก และกว้าง 4 ศอก 16 เขาเย็บม่าน 5 ผืนให้ติดกัน ส่วนอีก 6 ผืนก็เย็บให้ติดกันเป็นอีก 1 ชุด 17 เขาเย็บหูม่าน 50 อันติดไว้ที่ข้างหนึ่งของม่านชุดแรก และอีก 50 อันติดไว้ที่ข้างหนึ่งของม่านที่เชื่อมโยงไว้ 18 และเขาตีขอเกี่ยว 50 อันด้วยทองสัมฤทธิ์ เพื่อเกี่ยวขอไว้กับหูม่าน 2 ข้างให้ติดกันเป็นผืนเดียว 19 เขาเย็บที่คลุมกระโจมด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมแดง และใช้อีกผืนคลุมทับด้วยหนังปลาโลมา
20 เขาสร้างกรอบไม้สีเสียดให้เป็นโครงกระโจมที่พำนักสำหรับค้ำม่าน 21 ให้แต่ละกรอบสูง 10 ศอก กว้างศอกครึ่ง 22 แต่ละกรอบมีเดือย 2 อันอยู่ตอนล่างสำหรับติดเข้ากับฐาน เขาสร้างกรอบกระโจมที่พำนักให้เหมือนกันหมดทุกกรอบ 23 กรอบ 20 อันสำหรับด้านใต้ของกระโจมที่พำนัก 24 และเขาหล่อฐานเงิน 40 อันรองรับกรอบ 20 อัน ให้ฐาน 2 อันรองรับกรอบ 1 อัน สำหรับรองรับเดือยทั้งสอง 25 ด้านที่สองของกระโจมที่พำนักคือด้านเหนือ เขาสร้างกรอบ 20 อัน 26 และฐานเงินอีก 40 อัน ให้ฐาน 2 อันรองรับกรอบ 1 อัน 27 เขาสร้างกรอบ 6 อันสำหรับด้านท้ายกระโจมที่พำนักที่หันไปทางทิศตะวันตก 28 เขาสร้างกรอบอีก 2 อันสำหรับมุมที่ท้ายกระโจมที่พำนัก 29 กรอบทั้งสองนี้ตั้งขนานคู่กันตั้งแต่พื้นจรดยอด เป็นเสมือนกรอบเดียวกัน ทำทั้ง 2 มุมเหมือนกัน 30 ฉะนั้นมีกรอบ 8 อัน และฐานเงิน 16 อัน ฐาน 2 อันต่อกรอบ 1 อัน
31 เขาสร้างคานด้วยไม้สีเสียด 5 ตัวสำหรับกรอบทางด้านหนึ่งของกระโจมที่พำนัก 32 คานอีก 5 ตัวสำหรับกรอบอีกด้านหนึ่งของกระโจมที่พำนัก และคาน 5 ตัวสำหรับกรอบของกระโจมที่พำนักสำหรับด้านหลังทางทิศตะวันตก 33 เขาสร้างคานตัวกลางที่รับน้ำหนักตอนกลางของกรอบซึ่งยาวตลอดจากปลายด้านหนึ่งจรดอีกด้านหนึ่ง 34 แล้วเขาหุ้มกรอบไม้สีเสียดด้วยทองคำ และตีห่วงทองคำสำหรับสอดคานซึ่งหุ้มด้วยทองคำเช่นกัน
35 แล้วเขาเย็บม่านกั้นผืนหนึ่งด้วยด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด และผ้าป่านทอเนื้อดี ภาพเครูบเขาก็ปักอย่างงดงามด้วยช่างผู้ชำนาญ 36 เขาหล่อเสาหลัก 4 ต้นด้วยไม้สีเสียดสำหรับแขวนม่าน และหุ้มเสาด้วยทองคำ ขอเกี่ยวก็ตีด้วยทองคำ และหล่อฐานเงินไว้รองรับเสา 37 เขาเย็บม่านบังตาผืนหนึ่งสำหรับประตูทางเข้ากระโจมด้วยด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด และผ้าป่านทอเนื้อดีปักลวดลาย 38 เขาหล่อเสาหลัก 5 ต้นกับขอม่าน ที่ยอดเสาและหุ้มราวด้วยทองคำ ส่วนฐานทั้งห้าเป็นทองสัมฤทธิ์
เถาองุ่นแท้
15 เราคือเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราคือผู้ดูแลรักษาสวน 2 พระองค์ตัดทุกกิ่งก้านที่เป็นส่วนหนึ่งของเราซึ่งไม่ออกผลทิ้งเสีย กิ่งก้านใดที่ผลิดอกออกผล พระองค์จะตัดแต่งให้ออกผลมากขึ้น 3 บัดนี้พวกเจ้าสะอาดแล้วเพราะคำกล่าวที่เราได้ให้แก่เจ้า 4 จงดำรงอยู่ในเราและเราจะดำรงอยู่ในพวกเจ้า กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะติดอยู่กับเถาองุ่น พวกเจ้าจะเกิดผลเองไม่ได้ นอกจากเจ้าจะดำรงอยู่ในเรา 5 เราคือเถาองุ่น ส่วนพวกเจ้าคือกิ่งก้าน ผู้ที่ดำรงอยู่ในเราและเราดำรงอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะให้ผลมาก หากแยกห่างจากเราไปแล้ว พวกเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ 6 ถ้าผู้ใดไม่ดำรงอยู่ในเรา เขาก็เหมือนกิ่งก้านที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง 7 ถ้าเจ้าดำรงอยู่ในเรา และคำกล่าวของเราดำรงอยู่ในเจ้าแล้ว จงขอสิ่งที่เจ้าปรารถนา แล้วเจ้าก็จะได้รับสิ่งนั้น 8 เมื่อเจ้าให้ผลมาก พระบิดาของเราก็ได้รับพระบารมี และพวกเจ้าก็จะเป็นบรรดาสาวกของเรา 9 พระบิดารักเราเช่นไร เราก็รักเจ้าเช่นนั้น จงดำรงอยู่ในความรักของเรา 10 ถ้าพวกเจ้าปฏิบัติตามบัญญัติของเรา เจ้าก็ย่อมดำรงอยู่ในความรักของเราด้วย เช่นเดียวกับที่เราได้ปฏิบัติตามบัญญัติของพระบิดา และดำรงอยู่ในความรักของพระองค์ 11 เราพูดถึงสิ่งเหล่านี้กับเจ้า เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในตัวเจ้า และความยินดีของเจ้าจะได้เต็มเปี่ยม
12 บัญญัติของเราคือให้พวกเจ้ารักซึ่งกันและกัน เหมือนที่เรารักเจ้า 13 ไม่มีผู้ใดที่มีความรักมากไปกว่าผู้ที่สละชีวิตของตนให้แก่สหายของเขา 14 ถ้าเจ้าปฏิบัติตามที่เราสั่ง เจ้าก็เป็นสหายของเรา 15 เราจะไม่เรียกเจ้าว่าทาสรับใช้ เพราะทาสไม่รู้ว่านายของเขาทำอะไร แต่เราเรียกเจ้าว่าสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้บอกให้พวกเจ้ารู้แล้ว 16 พวกเจ้าไม่ได้เลือกเรา แต่เป็นเราที่เลือก และแต่งตั้งเจ้าให้ออกไปและก่อเกิดผล อันเป็นผลซึ่งจะยั่งยืน เพื่อว่าสิ่งใดก็ตามที่เจ้าขอพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ให้แก่เจ้า 17 สิ่งที่เราบัญญัติกับพวกเจ้าไว้ก็คือ เจ้าจงรักซึ่งกันและกัน
โลกเกลียดชังผู้ที่ติดตามพระเยซู
18 ถ้าโลกนี้เกลียดชังเจ้า ก็จงรู้เถิดว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อนที่จะเกลียดชังเจ้า 19 ถ้าเจ้าเป็นคนของโลกนี้ โลกจะรักเจ้าซึ่งเป็นคนของโลก แต่เจ้าไม่ใช่คนของโลกนี้เพราะเราได้เลือกให้เจ้าออกมาจากโลก ฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังเจ้า 20 จงจำคำที่เรากล่าวไว้กับเจ้าว่า ‘ทาสรับใช้ไม่ยิ่งใหญ่กว่านายของเขา’ ถ้าคนของโลกกดขี่ข่มเหงเราแล้ว เขาก็จะกดขี่ข่มเหงเจ้าด้วย ถ้าพวกเขาปฏิบัติตามคำของเราแล้ว เขาก็จะปฏิบัติตามคำของเจ้าด้วย 21 สิ่งที่พวกเขาจะกระทำต่อเจ้าเป็นเพราะชื่อของเรา เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ส่งเรามา 22 ถ้าเราไม่ได้พูดกับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่มีบาป แต่บัดนี้เขาเหล่านั้นไม่มีข้ออ้างในเรื่องบาปของเขา 23 ผู้ที่เกลียดชังเรา ก็เกลียดชังพระบิดาของเราด้วย 24 ถ้าเราไม่ได้กระทำสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่มีใครเคยทำในหมู่เขา พวกเขาก็จะไม่มีบาป แต่บัดนี้เขาเหล่านั้นได้เห็นและเกลียดชังทั้งเราและพระบิดาของเรา 25 เพื่อให้เป็นไปตามที่เขียนไว้ในกฎบัญญัติของพวกเขาว่า ‘พวกเขาเกลียดชังข้าพเจ้าอย่างไร้สาเหตุ’[a]
26 เราจะส่งองค์ผู้ช่วยจากพระบิดามายังพวกเจ้า องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณแห่งความจริงที่มาจากพระบิดา พระองค์มาเพื่อจะยืนยันในเรื่องที่เกี่ยวกับเรา 27 และเจ้าจะร่วมยืนยันด้วย เพราะเจ้าได้อยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว
12 คนรักวินัยรักความรู้
แต่คนเกลียดชังการตักเตือนสิโง่เง่า
2 คนดีได้รับความเห็นชอบจากพระผู้เป็นเจ้า
ส่วนคนที่วางแผนชั่วจะถูกกล่าวโทษโดยพระองค์
3 ไม่มีใครได้รับความมั่นคงจากความชั่ว
แต่รากฐานของคนมีความชอบธรรมจะไม่ถูกถอดถอน
4 ภรรยาผู้ประเสริฐเป็นเสมือนมงกุฎของสามีตน
แต่ภรรยาคนใดนำความอับอายมาสู่สามีเป็นเสมือนความผุกร่อนในกระดูกของเขา
5 ความคิดของผู้มีความชอบธรรมยุติธรรม
แต่คำแนะนำจากปากของคนชั่วร้ายนั้นหลอกลวง
6 คำพูดของผู้ชั่วร้ายเป็นเสมือนการดักซุ่มรอทำร้ายให้เลือดตก
แต่ปากของผู้มีความชอบธรรมจะช่วยให้รอดได้
7 พวกคนชั่วร้ายถูกกำจัดและจะหมดสิ้นไป
แต่ครัวเรือนของบรรดาผู้มีความชอบธรรมจะยืนหยัดอยู่ได้
8 ผู้ที่จะได้รับการสรรเสริญย่อมขึ้นอยู่กับความฉลาดรอบรู้ของเขา
แต่คนใจคดจะถูกดูหมิ่น
9 ผู้ที่ได้รับการยกย่องเพียงเล็กน้อยแต่มีบ่าวรับใช้ ก็ยังดีกว่าคนที่
ทำทีว่าตนสำคัญนัก แต่ไม่มีอะไรจะพอยาไส้
10 ผู้มีความชอบธรรมรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสัตว์เลี้ยงของตน
แต่ความเมตตาของคนชั่วก็ยังโหดร้ายอยู่ดี
11 ผู้ที่ออกแรงรดน้ำพรวนดินของตนจะมีอาหารอุดมสมบูรณ์
แต่ผู้ที่มุ่งหาสิ่งที่ไร้ประโยชน์ หามีความคิดอ่านไม่
12 คนชั่วร้ายอยากได้สิ่งที่บรรดาคนเลวปล้นมา
แต่รากของบรรดาผู้มีความชอบธรรมให้ผลงดงาม
13 คนชั่วร้ายตกในกับดักเพราะปากเสีย
แต่ผู้มีความชอบธรรมรอดจากความลำบากได้
14 คนจะอิ่มหนำด้วยสิ่งดีๆ ได้ก็จากผลที่มาจากวาจาของเขา
และงานจากน้ำพักน้ำแรงของเขาจะให้ดอกออกผล
15 หนทางของคนไร้ปัญญาดูเหมือนว่าถูกต้องในสายตาของเขา
แต่ผู้มีสติปัญญาย่อมฟังคำปรึกษา
16 คนโง่แสดงความไม่พอใจทันทีทันใด
ขณะคนที่ฉลาดรอบคอบจะไม่แสดงท่าทีอย่างใดเมื่อถูกสบประมาท
17 คนมีสัจจะพูดตามความถูกต้อง
แต่พยานเท็จกล่าวคำหลอกลวง
18 มีคนปากกล้าลั่นวาจาดั่งดาบทิ่มแทง
แต่ลิ้นของบรรดาผู้มีสติปัญญานำมาซึ่งการบำบัดรักษา
19 ปากที่พูดความจริงจะยืนหยัดตลอดกาล
แต่ลิ้นที่พูดโกหกจะทนอยู่ได้เพียงชั่วขณะ
20 ความหลอกลวงอยู่ในจิตใจของบรรดาผู้วางแผนการเลวร้าย
แต่บรรดาผู้สนับสนุนสันติย่อมมีความร่าเริงใจ
21 ไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับผู้มีความชอบธรรม
แต่บรรดาคนชั่วร้ายมีความทุกข์มากมาย
22 ปากมุสาเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า
แต่บรรดาผู้ที่ลงมือปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์เป็นที่ชื่นชมของพระองค์
23 คนฉลาดรอบคอบไม่อวดความรู้ของตน
แต่ใจของคนโง่ป่าวประกาศความโง่
24 มือของคนขยันจะเป็นฝ่ายปกครอง
แต่ความเกียจคร้านจะทำให้เป็นข้ารับใช้
25 ความกังวลในใจของคนทำให้เขารู้สึกหดหู่
แต่คำพูดที่ดีทำให้เขาสบายใจขึ้นได้
26 ผู้ที่มีความชอบธรรมชี้ทางให้แก่เพื่อนของเขา
แต่ทางของบรรดาคนชั่วร้ายทำให้คนหลงหาย
27 คนเกียจคร้านจะไม่ล่าสัตว์มาเป็นอาหารของตน
แต่คนขยันจะได้มาซึ่งสิ่งอันมีค่า
28 ทางแห่งความชอบธรรมคือชีวิต
และวิถีทางที่ดำเนินไปนั้นไม่พบกับความตาย
5 ฉะนั้น จงทำตามอย่างพระเจ้า ให้สมกับที่เป็นบุตรที่รักของพระองค์ 2 และทำทุกสิ่งในชีวิตด้วยความรัก เหมือนกับที่พระคริสต์ได้รักเราและสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา ดั่งเครื่องถวายและเครื่องสักการะที่หอมกรุ่นซึ่งเป็นที่พอใจของพระเจ้า
3 แต่อย่าให้มีการประพฤติผิดทางเพศ หรือเกี่ยวข้องกับมลทินทุกชนิด หรือมีความโลภในหมู่ท่านแม้แต่น้อย เพราะไม่เหมาะแก่ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า 4 ไม่ควรพูดหยาบโลนและไร้สาระ หรือไม่ควรกล่าวคำล้อเล่นหยาบโลน แต่ควรกล่าวคำขอบคุณพระเจ้ามากกว่า 5 ท่านมั่นใจอย่างแน่นอนได้ว่า คนที่ประพฤติผิดทางเพศหรือยุ่งกับความสกปรกโสมมหรือความโลภ (คนโลภนับว่าเป็นคนประเภทบูชารูปเคารพ) ไม่มีส่วนร่วมในอาณาจักรของพระคริสต์และพระเจ้า 6 อย่าให้ใครหลอกลวงท่านด้วยคำพูดเหลวไหล เพราะด้วยเหตุเหล่านี้ การลงโทษของพระเจ้าจึงตกอยู่กับคนที่ไม่เชื่อฟัง 7 ฉะนั้นอย่าข้องเกี่ยวกับคนเหล่านั้น 8 ด้วยว่าแต่ก่อนท่านเคยอยู่ในความมืด แต่เดี๋ยวนี้ท่านอยู่ในความสว่างในพระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตเหมือนบรรดาบุตรแห่งความสว่างเถิด 9 ด้วยว่าผลแห่งความสว่างคือความดีทุกประการ ความชอบธรรม และความจริง 10 จงพยายามเรียนให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นที่พอใจของพระผู้เป็นเจ้า 11 อย่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำของความมืดอันไร้ประโยชน์ แต่จงเปิดโปงให้คนรู้ 12 ด้วยว่า เป็นที่น่าละอายแม้จะมีผู้ใดกล่าวถึงพวกที่ไม่เชื่อฟังว่าเขากระทำอะไรบ้างในที่ลับ 13 แต่เมื่อสิ่งใดถูกเปิดโปงออกโดยความสว่าง สิ่งนั้นก็จะเป็นที่รู้แจ้งเห็นจริง 14 ด้วยว่าความสว่างทำให้เห็นทุกสิ่ง จึงมีคำกล่าวว่า
“ผู้หลับใหลเอ๋ย จงตื่นเถิด
จงฟื้นขึ้นจากความตาย
และพระคริสต์จะส่องความสว่างให้แก่ท่าน”
15 ฉะนั้น จงระวังให้ดีว่าท่านใช้ชีวิตอย่างไร อย่าเป็นเหมือนคนไร้ปัญญาแต่เป็นเช่นคนมีปัญญา 16 จงทำดีที่สุดในทุกโอกาสเพราะยามนี้เป็นเวลาแห่งความชั่ว 17 ดังนั้น อย่าโง่เขลา แต่จงเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้ามีความประสงค์อย่างไร 18 อย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งนำไปสู่ราคะตัณหา แต่จงเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณ 19 จงสนทนากันด้วยการใช้คำจากสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายวิญญาณ จงร้องเพลงและร้องสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าจากใจท่าน 20 จงขอบคุณพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาสำหรับทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 21 จงยอมเชื่อฟังกันและกันเพราะความยำเกรงในพระคริสต์
สามีและภรรยา
22 ภรรยาจงยอมเชื่อฟังสามีของตนเหมือนเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า 23 ด้วยว่าสามีเป็นเสมือนศีรษะของภรรยา เช่นเดียวกับพระคริสต์ผู้เป็นเสมือนศีรษะของคริสตจักรซึ่งเปรียบเสมือนกายของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ช่วยให้รอดพ้นของคริสตจักร 24 คริสตจักรยอมเชื่อฟังพระคริสต์เช่นไร ภรรยาควรยอมเชื่อฟังสามีในทุกสิ่งก็เช่นนั้น
25 สามีจงรักภรรยาเช่นเดียวกับที่พระคริสต์รักคริสตจักร และสละชีวิตของพระองค์เองให้แก่คริสตจักร 26 เพื่อให้คริสตจักรบริสุทธิ์ด้วยน้ำที่ชำระด้วยคำกล่าวของพระเจ้า 27 เพื่อว่าพระองค์จะได้รับคริสตจักรที่งดงามตระการมาเป็นของพระองค์ ไม่มีด่างพร้อยรอยตำหนิ หรือสิ่งมลทินทำนองนั้น แต่จะเป็นคริสตจักรที่บริสุทธิ์ปราศจากข้อตำหนิ 28 ดังนั้น สามีควรรักภรรยาของตนเหมือนรักร่างกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาของตนย่อมรักตนเอง 29 ด้วยว่าไม่มีใครที่เกลียดชังตนเอง แต่เลี้ยงดูและทะนุถนอมไว้ เหมือนกับที่พระคริสต์กระทำต่อคริสตจักร 30 เพราะเราเป็นเสมือนส่วนต่างๆ ของกายของพระองค์ 31 “ด้วยเหตุนี้ ชายจึงจากบิดามารดาไปผูกพันอยู่กับภรรยาของตน และทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกัน”[a] 32 นี่เป็นข้อลึกลับซับซ้อน แต่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงพระคริสต์และคริสตจักร 33 อย่างไรก็ตาม ท่านทุกคนจงรักภรรยาของตนให้เหมือนกับรักตนเอง และภรรยาจงเคารพสามีของตน
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation