Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
อพยพ 35

กฎเกณฑ์วันสะบาโต

35 โมเสสให้ชาวอิสราเอลทั้งมวลมาชุมนุมกันและบอกพวกเขาว่า “สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งให้พวกท่านทำก็คือ ท่านมีวันทำงาน 6 วัน แต่ในวันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโตเพื่อพักผ่อนอย่างแท้จริง เป็นวันบริสุทธิ์สำหรับพระผู้เป็นเจ้า ผู้ใดก็ตามที่ทำงานในวันนั้นจะถูกโทษถึงตาย อย่าจุดไฟในบริเวณที่อยู่อาศัยของท่านในวันสะบาโต”

เครื่องใช้ในกระโจมที่พำนัก

โมเสสบอกชาวอิสราเอลทั้งมวลว่า “สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสั่งให้พวกท่านทำก็คือ จงนำของถวายที่พวกท่านมีให้แด่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ใดใจกว้างก็ให้เขามอบของถวายที่เป็นของพระผู้เป็นเจ้าอันได้แก่ทองคำ เงิน และทองสัมฤทธิ์ ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด ผ้าป่านทอเนื้อดี และขนแพะ หนังแกะตัวผู้ย้อมแดง หนังปลาโลมา ไม้สีเสียด น้ำมันสำหรับจุดดวงประทีป เครื่องเทศสำหรับปรุงน้ำมันเจิมและปรุงเครื่องหอม พลอยหลากสี และพลอยสำหรับประดับชุดคลุมและทับทรวง

10 ให้ทุกคนในพวกท่านที่มีความชำนาญมาทำทุกสิ่งตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งไว้ 11 กระโจมที่พำนักและที่คลุมกระโจม ขอเกี่ยวม่าน กรอบ คาน เสาหลัก และฐาน 12 หีบกับคานหาม ฝาหีบแห่งการชดใช้บาป และม่านกั้นสำหรับบังหีบ 13 โต๊ะพร้อมด้วยคานหาม เครื่องตั้งโต๊ะทุกชิ้นและขนมปังอันบริสุทธิ์ 14 คันประทีปสำหรับแสงสว่าง พร้อมด้วยเครื่องใช้ประกอบกับดวงประทีป และน้ำมันสำหรับจุดดวงประทีป 15 แท่นเผาเครื่องหอมพร้อมด้วยคานหาม น้ำมันเจิม เครื่องหอม และม่านบังตาสำหรับประตูที่ทางเข้ากระโจมที่พำนัก 16 แท่นบูชาที่ใช้เผาสัตว์เพื่อเป็นของถวาย พร้อมด้วยตะแกรงทองสัมฤทธิ์ คานหามและเครื่องใช้ประกอบทุกชิ้น อ่างน้ำพร้อมฐาน 17 ผ้าแขวนที่ลาน เสาหลักและฐานรองรับ ม่านบังตาสำหรับประตูทางเข้าลาน 18 หมุดยึดกระโจมที่พำนักและหมุดยึดลานพร้อมกับเชือก 19 เครื่องแต่งกายตัดเย็บด้วยฝีมือประณีต เพื่อปฏิบัติงานในสถานที่บริสุทธิ์ เครื่องแต่งกายอันบริสุทธิ์สำหรับอาโรนปุโรหิต และเครื่องแต่งกายของบรรดาบุตรของเขาเพื่อปฏิบัติงานของปุโรหิต”

20 แล้วชาวอิสราเอลทั้งมวลก็จากโมเสสไป 21 ทุกคนที่มีใจปรารถนาและได้รับการดลใจก็นำของมาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้ใช้สำหรับกระโจมที่นัดหมาย สำหรับการปฏิบัติงาน และสำหรับเครื่องแต่งกายอันบริสุทธิ์ 22 พวกเขาทั้งชายและหญิงต่างก็มา ทุกคนที่มีความตั้งใจก็นำเข็มกลัด ต่างหู แหวนและกำไล เครื่องประดับทองสารพัดชนิด นับว่าทุกคนมอบเครื่องโบกถวายทองคำแด่พระผู้เป็นเจ้า 23 และทุกคนที่มีด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด ผ้าป่านทอเนื้อดี ขนแพะ หนังแกะตัวผู้ย้อมแดง และหนังปลาโลมา ต่างก็นำมาให้ 24 ทุกคนที่สามารถให้ของถวายที่เป็นเงินหรือทองสัมฤทธิ์ก็นำมาให้เป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า และทุกคนที่หาไม้สีเสียดมาใช้ทำประโยชน์ใดได้ก็นำมา 25 และหญิงทุกคนที่มีความชำนาญในการปั่นด้ายด้วยมือก็นำด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด อีกทั้งผ้าป่านทอเนื้อดีมาด้วย 26 หญิงทุกคนที่มีใจปรารถนาและมีความสามารถก็ปั่นขนแพะ 27 บรรดาหัวหน้าของมวลชนนำพลอยหลากสีและเพชรพลอยมาสำหรับติดที่ชุดคลุมและทับทรวง 28 เครื่องเทศและน้ำมันสำหรับแสงสว่างและทำน้ำมันเจิมกับเครื่องหอม 29 ชาวอิสราเอลชายและหญิงทุกคนที่มีใจปรารถนาให้นำสิ่งใดมาเพื่องานที่พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งโมเสสให้ทำ ก็นำมามอบให้ด้วยความสมัครใจเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า

เบซาเลลและโอโฮลีอับ

30 โมเสสกล่าวแก่ชาวอิสราเอลว่า “ดูสิ พระผู้เป็นเจ้าได้เลือกเบซาเลลบุตรอุรีซึ่งเป็นบุตรของฮูร์จากเผ่ายูดาห์ 31 และพระองค์ได้ให้เขาเปี่ยมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า ให้มีความสามารถและความฉลาด มีความรู้และงานฝีมือช่างทุกชนิด 32 เพื่อทำงานออกแบบอย่างมีศิลปะ ซึ่งทำด้วยทองคำ เงิน และทองสัมฤทธิ์ 33 งานเจียระไนเพชรนิลจินดาสำหรับฝังในตัวเรือน งานแกะสลักไม้ และงานฝีมือเชี่ยวชาญทุกชนิด 34 พระองค์โปรดให้เขาและโอโฮลีอับบุตรอาหิสะมัคจากเผ่าดานมีความสามารถสอนผู้อื่นได้ 35 พระองค์ได้ให้เขาทั้งสองมีความสามารถสร้างงานฝีมือทุกประเภทได้ แม้แต่งานออกแบบ และช่างปั่นด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด ผ้าป่านทอเนื้อดี และงานทอผ้า คือเขาทั้งสองมีความสามารถในงานฝีมือทุกชนิดที่เป็นงานหัตถกรรมและเป็นผู้ชำนาญการออกแบบ

ยอห์น 14

พระเยซูคือหนทางที่นำไปสู่พระบิดา

14 อย่าทุกข์ใจเลย จงเชื่อในพระเจ้าและเรา ในบ้านของพระบิดาของเรามีที่อยู่มากมาย ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นแล้วเราก็จะไม่บอกเจ้าหรอก เราไปเพื่อจัดเตรียมที่ให้พวกเจ้า หลังจากเราไปจัดเตรียมที่ให้พวกเจ้าแล้ว เราจะกลับมาอีกเพื่อรับเจ้าไปอยู่กับเรา เราไปอยู่ที่ไหน เจ้าจะได้อยู่ที่นั่นด้วย และเจ้ารู้จักทางที่เราจะไป” โธมัสพูดว่า “พระองค์ท่าน ในเมื่อพวกเราไม่ทราบว่าพระองค์จะไปไหน แล้วเราจะทราบทางได้อย่างไร” พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เราคือหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะผ่านเรา ถ้าพวกเจ้าได้รู้จักเราแล้ว เจ้าก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปพวกเจ้าก็รู้จักพระองค์ และได้เห็นพระองค์แล้ว”

ฟีลิปพูดว่า “พระองค์ท่าน โปรดช่วยให้เราได้เห็นพระบิดาเท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว” พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ฟีลิปเอ๋ย เราอยู่กับเจ้านานแล้ว ยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่เคยเห็นเราแล้วก็เคยเห็นพระบิดา เจ้าพูดได้อย่างไรว่า ‘ช่วยให้เราได้เห็นพระบิดาเถิด’ 10 เจ้าไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดา และพระบิดาอยู่ในเรา คำกล่าวที่เราบอกเจ้าไม่ได้มาจากเราเอง แต่พระบิดาผู้ดำรงอยู่ในเราเป็นผู้ปฏิบัติงานของพระองค์ 11 จงเชื่อว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาอยู่ในเรา ถ้าไม่อย่างนั้นก็จงเชื่อเพราะสิ่งที่เรากระทำเถิด 12 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ผู้ที่เชื่อในเราจะกระทำสิ่งซึ่งเรากระทำ และเขาก็จะกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดา 13 และอะไรก็ตามที่เจ้าขอในนามของเรา เราก็จะกระทำให้ เพื่อว่าพระบิดาจะได้รับพระบารมีโดยผ่านพระบุตร 14 ถ้าเจ้าขอสิ่งใดจากเราในนามของเรา เราก็จะกระทำสิ่งนั้นให้

พระองค์มอบพระวิญญาณบริสุทธิ์

15 ถ้าเจ้ารักเรา ก็จงปฏิบัติตามบัญญัติของเราเถิด 16 แล้วเราจะขอจากพระบิดา พระองค์จะมอบองค์ผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้ เพื่ออยู่กับเจ้าไปตลอดกาล 17 พระองค์เป็นพระวิญญาณแห่งความจริงที่โลกนี้ไม่สามารถรับได้ เพราะพวกเขามองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ แต่พวกเจ้ารู้จักพระองค์เพราะพระองค์ดำรงอยู่กับเจ้าและจะอยู่ในตัวเจ้าด้วย

18 เราจะไม่จากเจ้าไป และปล่อยให้พวกเจ้าเป็นเช่นเด็กกำพร้า เราจะมาหาเจ้าอีก 19 เพียงประเดี๋ยวหนึ่ง โลกนี้ก็จะมองไม่เห็นเราอีก แต่พวกเจ้าจะมองเห็นเราเพราะเราดำรงอยู่ และพวกเจ้าจะดำรงอยู่ด้วยเช่นกัน 20 ในวันนั้นพวกเจ้าจะรู้ว่าเราอยู่ในพระบิดาของเรา และเจ้าอยู่ในเรา ดังที่เราอยู่ในพวกเจ้า 21 ผู้ที่มีบัญญัติของเราและปฏิบัติตามเป็นผู้ที่รักเรา ผู้ที่รักเราจะได้รับความรักจากพระบิดาและเรา เราจะมาสำแดงตัวเราให้ปรากฏแก่เขา” 22 ยูดาส (มิใช่อิสคาริโอท) พูดว่า “พระองค์ท่าน เพราะเหตุใดพระองค์จึงจะสำแดงแก่พวกข้าพเจ้าเท่านั้น แต่ไม่สำแดงแก่โลก” 23 พระเยซูกล่าวตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของเรา และพระบิดาของเราจะรักเขา พระบิดาและเราจะมาหาเขาและอยู่ร่วมกันกับเขา 24 ผู้ที่ไม่รักเราก็ไม่ปฏิบัติตามคำของเรา คำกล่าวที่เจ้าได้ยินนี้ไม่ใช่คำกล่าวของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ส่งเรามา

25 เราพูดถึงสิ่งเหล่านี้กับพวกเจ้าขณะที่อยู่กับเจ้า 26 แต่องค์ผู้ช่วยผู้นั้นคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระบิดาจะส่งมาในนามของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนทุกสิ่งแก่เจ้า และจะช่วยให้พวกเจ้าระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้กับเจ้าแล้ว 27 เรามอบสันติสุขไว้กับพวกเจ้า สันติสุขที่เราให้แก่เจ้านี้ไม่เหมือนกับที่โลกให้ ดังนั้นอย่าทุกข์ใจหรือหวาดกลัวเลย 28 พวกเจ้าได้ยินสิ่งที่เราพูดกับเจ้าแล้วว่า ‘เรากำลังจะจากไปและจะมาหาเจ้าอีก’ ถ้าเจ้ารักเรา เจ้าก็จะยินดีที่เราจะไปหาพระบิดา เพราะพระบิดายิ่งใหญ่กว่าเรา 29 และบัดนี้เราได้บอกแก่พวกเจ้าก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว พวกเจ้าจะได้เชื่อ 30 เราจะไม่พูดกับเจ้ามากไปกว่านี้ เพราะผู้ครองโลกนี้กำลังจะมา และไม่มีอำนาจอะไรเหนือเราเลย 31 แต่เพื่อให้โลกรู้ว่าเรารักพระบิดา เราจึงกระทำตามคำสั่งของพระบิดา ลุกขึ้นเถิด เราไปกันได้แล้ว

สุภาษิต 11

11 ตาชั่งไม่เที่ยงเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า
    แต่การชั่งน้ำหนักที่เที่ยงตรงเป็นที่น่าพอใจต่อพระองค์
เมื่อเกิดการเย่อหยิ่งจองหอง การลบหลู่ก็ตามมา
    แต่สติปัญญาอยู่กับบรรดาผู้ถ่อมตน
สัจจะของผู้มีความชอบธรรมจะนำทางพวกเขา
    แต่การบิดเบือนของผู้ไม่ซื่อตรงจะทำลายเขา
ความมั่งมีไร้ประโยชน์ในวันแห่งการลงโทษ
    แต่ความชอบธรรมช่วยให้พ้นจากความตาย
ความชอบธรรมของผู้ถือสัจจะทำให้หนทางของเขาราบเรียบ
    แต่คนชั่วร้ายจะล้มลง เพราะความชั่วร้ายของเขา
ความชอบธรรมของผู้มีความชอบธรรมช่วยเขาให้รอดพ้น
    แต่ความโลภของผู้ไม่ซื่อตรงทำให้เขาถูกจับได้
เมื่อคนชั่วร้ายตาย ความหวังของเขาก็สิ้นไป
    และความหวังในพละกำลังก็สิ้นไป
ผู้มีความชอบธรรมรอดพ้นจากความทุกข์ยาก
    โดยคนชั่วร้ายจะได้รับทุกข์นั้นแทน
คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าทำลายคนรอบข้างด้วยปาก
    และบรรดาผู้มีความชอบธรรมย่อมอยู่รอดได้ด้วยความรู้
10 เมื่อเรื่องเป็นไปด้วยดีกับบรรดาผู้มีความชอบธรรม ชาวเมืองก็เปรมปรีดิ์
    และเมื่อพวกคนชั่วร้ายสิ้นไป ก็ย่อมมีการแซ่ซ้องยินดี
11 ชาวเมืองได้รับการยกย่องโดยพรของผู้มีความชอบธรรม
    แต่ก็พังทลายลงด้วยปากของผู้ชั่วร้าย
12 คนที่ดูหมิ่นเพื่อนบ้านของตนเป็นผู้ไร้ความคิดอ่าน
    แต่คนที่มีความหยั่งรู้จะเงียบไว้
13 คนที่เที่ยวนินทาว่าร้าย เป็นผู้เปิดโปงความลับ
    แต่คนที่ไว้ใจได้จะเป็นผู้เก็บความลับ
14 ที่ใดที่ไม่มีการชี้แนะ ประเทศชาติก็ล้มลง
    แต่ในที่ซึ่งมีผู้ปรึกษามาก ก็จะปลอดภัย
15 คนที่ให้หลักประกันแก่คนแปลกหน้าจะได้รับความทุกข์ร้อนอย่างแน่นอน
    แต่คนที่เกลียดการให้หลักประกันก็ปลอดภัย
16 หญิงจิตใจงามย่อมได้รับการยกย่อง
    และคนเหี้ยมโหดได้รับความมั่งมี
17 คนที่มีเมตตาได้ผลประโยชน์จากสิ่งที่ตนทำ
    ส่วนคนโหดร้ายจะได้รับโทษจากสิ่งที่ตนทำ
18 คนชั่วร้ายได้รับค่าจ้างที่ผิดไปจากความจริง
    แต่คนที่หว่านความชอบธรรมได้รับรางวัลอันแท้จริง
19 คนที่มั่นคงในความชอบธรรมจะได้รับชีวิต
    แต่คนที่มุ่งมั่นในความเลวร้ายจะได้รับความตาย
20 คนใจคดเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า
    แต่บรรดาผู้ไร้ข้อตำหนิเป็นที่ชื่นชมของพระองค์
21 คนชั่วร้ายจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน
    แต่บรรดาผู้สืบเชื้อสายของผู้มีความชอบธรรมจะรอดพ้น
22 ห่วงทองคล้องจมูกหมูเป็นเช่นไร
    หญิงงามที่ไร้ปฏิภาณก็เป็นเช่นนั้น
23 ความปรารถนาของบรรดาผู้มีความชอบธรรมก่อให้เกิดแต่สิ่งดีงาม
    ความคาดหมายที่คนชั่วร้ายได้รับคือการลงโทษ
24 คนแจกจ่ายมากเก็บเกี่ยวได้มากยิ่งขึ้น
    ส่วนคนยับยั้งสิ่งที่ควร จะมีแต่ความขาดแคลน
25 คนใจกว้างมีอย่างอุดมสมบูรณ์
    และคนที่รดน้ำก็จะได้รับน้ำสำหรับตนเอง
26 ผู้คนจะสาปแช่งคนที่กักตุนเมล็ดข้าว
    แต่พระพรจะอยู่กับคนที่จำหน่ายออกไป
27 คนที่ตั้งใจทำความดีย่อมแสวงหาความโปรดปราน
    แต่ความเลวร้ายจะมาถึงคนที่แสวงหาความเลวทราม
28 คนที่วางใจในความมั่งมีจะล้มลง
    แต่คนที่มีความชอบธรรมจะเจริญดั่งใบไม้ที่เขียวชอุ่ม
29 คนที่นำความลำบากสู่ครัวเรือนของตนจะครอบครองได้ก็เพียงลม
    และคนโง่ย่อมตกเป็นทาสของคนมีสติปัญญา
30 ผลที่ผู้มีความชอบธรรมได้รับคือต้นไม้แห่งชีวิต
    แต่การกระทำนอกกฎทำลายชีวิต
31 ถ้าผู้มีความชอบธรรมได้รับผลตอบแทนบนแผ่นดินโลก
    แล้วคนชั่วร้ายกับคนบาปก็จะได้รับอย่างแน่นอนเช่นกัน[a]

เอเฟซัส 4

ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษเนื่องจากการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า ขอร้องให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับที่พระองค์เรียกท่าน จงถ่อมตัว มีความอ่อนโยน และอดทนเสมอ อดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก เพียรพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันซึ่งพระวิญญาณมอบให้ โดยสันติสุขที่เชื่อมโยงพวกท่านไว้ มีเพียงกายเดียวและพระวิญญาณเดียว เหมือนเวลาที่พระองค์เรียกท่านให้มีความหวังเดียว พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของเราทุกคน เป็นเจ้านายเหนือเราทุกคน ดำเนินงานผ่านเราทุกคนและดำรงอยู่ในเราทุกคน

ทว่าพระคุณที่เราแต่ละคนได้รับนั้นมากน้อยตามแต่ของประทานที่พระคริสต์มอบให้ จึงมีบันทึกไว้ว่า

“เมื่อพระองค์ได้ขึ้นไปสู่ที่สูง
    พระองค์นำพวกเชลยไป
    และมนุษย์ได้รับสิ่งที่พระองค์มอบให้”[a]

(ที่กล่าวว่า “พระองค์ขึ้นไป” หมายความว่าอย่างไรบ้าง นอกจากจะหมายถึงว่าพระองค์ได้ลงไปสู่เบื้องต่ำกว่าในแผ่นดินโลกด้วย 10 องค์ที่ลงไปสู่เบื้องล่าง คือองค์ที่ได้ขึ้นไปสู่ที่สูงเหนือฟ้าสวรรค์ เพื่อพระองค์จะได้โปรดให้ทุกสิ่งเต็มเปี่ยม) 11 และพระองค์โปรดให้บางคนเป็นอัครทูต บ้างก็เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาล[b] หรือครูอาจารย์ 12 เพื่อเตรียมบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าให้พรักพร้อมในการรับใช้ เพื่อเสริมสร้างกายของพระคริสต์ 13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อและความรู้ในเรื่องพระบุตรของพระเจ้า คือเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ เจริญเต็มที่ด้วยความบริบูรณ์ของพระคริสต์

14 แล้วเราจะได้ไม่เป็นเด็กทารกที่ถูกซัดไปมาเหมือนคลื่น และถูกพัดให้ไหวปลิวไปมาด้วยลมแห่งลัทธิทั้งปวง ด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ ด้วยอุบายหลอกลวงของพวกเขาอีกต่อไป 15 แต่พูดความจริงด้วยความรัก เราควรอย่างยิ่งที่จะมีความผูกพันในพระคริสต์ให้มากขึ้นในทุกสิ่ง เนื่องจากพระองค์เป็นเสมือนศีรษะแห่งกายของคริสตจักร 16 ทุกๆ ส่วนของกายเชื่อมต่อประสานกันได้ด้วยข้อต่อทุกข้อที่พระองค์มอบให้ เมื่อแต่ละส่วนได้ปฏิบัติงานตามความเหมาะสม จึงเติบโตและสร้างกายขึ้นได้ในความรัก

ดำเนินชีวิตในฐานะบุตรแห่งความสว่าง

17 ฉะนั้น ข้าพเจ้าบอกท่านถึงเรื่องนี้ และยืนกรานในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าว่า ท่านไม่ควรใช้ชีวิตตามอย่างบรรดาคนนอกอีกต่อไป เพราะความคิดของเขาไร้ค่า 18 ความนึกคิดของเขามืดมนและแยกออกจากชีวิตที่มาจากพระเจ้า เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกเขา เนื่องจากใจของเขาแข็งกระด้าง 19 พวกเขาไม่มีความละอายหลงเหลืออยู่ เขาได้ปล่อยตัวไปตามแรงกามราคะ และเร่าร้อนอยากทำสิ่งสกปรกโสมมทุกอย่าง 20 แต่พวกท่านไม่ได้เรียนรู้ถึงพระคริสต์แบบนั้น 21 ถ้าท่านได้ยินเรื่องของพระองค์อย่างแท้จริง และได้รับการสอนตามความจริงซึ่งมีในพระเยซู 22 ท่านก็จงเลิกจากการดำเนินชีวิตเก่า ซึ่งท่านเคยประพฤติตามแรงดึงดูดของกิเลสซึ่งกำลังทำลายตัวท่านอยู่ 23 และจงปรับเปลี่ยนความคิดของท่านเสียใหม่ 24 จงรับชีวิตใหม่ซึ่งถูกสร้างให้เป็นเหมือนของพระเจ้าในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง

25 ฉะนั้น ทุกท่านควรละจากความเท็จ และจงพูดความจริงกับเพื่อนบ้านของตน เพราะเราเป็นส่วนของกายเดียวกัน 26 “จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่ากระทำบาป”[c] พอสิ้นแสงตะวันแล้วก็อย่าได้เก็บความโกรธไว้เลย 27 อย่าปล่อยโอกาสให้แก่พญามาร 28 ใครที่เป็นขโมยก็อย่าขโมยอีกต่อไป ต้องทำงาน ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วยมือของเขาเอง เพื่อจะได้มีพอที่จะแบ่งปันให้แก่คนที่ขัดสนได้ 29 อย่าให้วาจาหยาบคายหลุดออกจากปากท่าน แต่จงกล่าวคำที่ดีเท่านั้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างอย่างที่ควรจะเป็น เพื่อเป็นคุณประโยชน์แก่ผู้ได้ยิน 30 อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเศร้าใจ ท่านได้รับตราประทับแล้วโดยพระวิญญาณเพื่อวันแห่งการไถ่ 31 จงเลิกให้ได้จากความขมขื่น ความเกรี้ยวกราด ความโกรธ การเอ็ดตะโรตะโกนใส่กัน การใส่ร้าย และการปองร้ายในทุกประการ 32 และจงมีใจกรุณาต่อกัน มีใจสงสาร ยกโทษให้กันและกัน เหมือนกับที่พระเจ้าได้ยกโทษให้แก่ท่านโดยผ่านพระคริสต์

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation