M’Cheyne Bible Reading Plan
ซาอูลช่วยเมืองยาเบช
11 ครั้งนั้นนาหาชชาวอัมโมนยกทัพมาล้อมเมืองยาเบชกิเลอาด ชาวเมืองยาเบชทั้งปวงจึงเจรจาว่า “พวกเราขอทำสัญญาสงบศึกและยอมสวามิภักดิ์”
2 แต่นาหาชชาวอัมโมนตอบว่า “ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าเราจะทะลวงตาข้างขวาของพวกเจ้าทุกคน เป็นการสร้างความอัปยศแก่อิสราเอลทั้งหมด”
3 เหล่าผู้อาวุโสของยาเบชกล่าวว่า “โปรดให้เวลาเราเจ็ดวัน เราจะส่งผู้สื่อสารไปทั่วดินแดนอิสราเอล หากไม่มีผู้ใดมาช่วยเรา เราจะยินยอมตามข้อแม้ของท่าน”
4 เมื่อผู้สื่อสารมาถึงเมืองกิเบอาห์ถิ่นของซาอูล แล้วแจ้งเงื่อนไขนี้แก่ประชากร ทุกคนพากันร้องไห้เสียงดัง 5 ขณะนั้นเองซาอูลต้อนฝูงวัวกลับมาจากทุ่งนา จึงถามว่า “มีเรื่องอะไรหรือ? เหตุใดพวกเขาจึงร้องไห้?” พวกเขาก็แจ้งให้ซาอูลทราบข่าวจากยาเบช
6 เมื่อซาอูลได้ยินเช่นนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาสวมทับเขาด้วยฤทธานุภาพ และเขาโกรธมาก 7 เขาจับวัวผู้สองตัวมาฟันเป็นท่อนๆ และให้ผู้สื่อสารแบกไปทั่วอิสราเอล พร้อมทั้งประกาศว่า “ใครไม่ยอมติดตามซาอูลกับซามูเอล วัวของเขาจะมีสภาพอย่างนี้” เหล่าประชากรเกิดความเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้าเขาทั้งปวงจึงพร้อมใจกันมา 8 เมื่อซาอูลตรวจพลที่เบเซกพบว่ามีชาวอิสราเอลสามแสนคนและมีคนยูดาห์อีกสามหมื่นคน
9 พวกเขาบอกผู้สื่อสารทั้งหลายว่า “ให้กลับไปแจ้งชาวยาเบชกิเลอาดว่า ‘เราจะมาช่วยท่านก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้’ ” เมื่อชาวเมืองยาเบชได้ทราบข่าวแล้ว ก็ดีใจกันทั่วหน้า 10 พวกเขาจึงบอกชาวอัมโมนว่า “พรุ่งนี้เราจะยอมแพ้ท่าน ท่านจะทำอะไรกับเราก็ได้ตามที่เห็นดี”
11 วันรุ่งขึ้นซาอูลแบ่งกองทัพออกเป็นสามกอง บุกเข้าจู่โจมค่ายอัมโมนตั้งแต่เช้ามืด[a]และฆ่าฟันพวกเขาตลอดช่วงเช้า ชาวอัมโมนที่เหลือก็กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง
ซาอูลได้รับการยืนยันเป็นกษัตริย์
12 เหล่าประชากรกล่าวกับซามูเอลว่า “ใครนะที่พูดว่า ‘ซาอูลหรือจะมาปกครองเรา’ นำตัวพวกนั้นออกมาที่นี่ให้เราฆ่าเสีย”
13 แต่ซาอูลกล่าวว่า “อย่าประหารใครในวันนี้เลย เพราะวันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยกอบกู้อิสราเอล”
14 ซามูเอลจึงกล่าวแก่ประชากรว่า “มาเถิด ให้เราทั้งหมดไปที่กิลกาลและยืนยันเรื่องการเป็นกษัตริย์ของซาอูล” 15 ดังนั้นประชาชนทั้งปวงจึงไปที่กิลกาล และประกาศรับรองซาอูลเป็นกษัตริย์ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าพวกเขาถวายเครื่องสันติบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่น ซาอูลและอิสราเอลทั้งปวงจัดการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่
พระเจ้าทรงอำนาจสูงสุดในการเลือกสรร
9 ข้าพเจ้าพูดความจริงในพระคริสต์ ข้าพเจ้าไม่ได้กำลังมุสา จิตสำนึกของข้าพเจ้ายืนยันโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า 2 ข้าพเจ้าทุกข์โศกยิ่งนักและปวดร้าวใจไม่หยุดหย่อน 3 เพราะข้าพเจ้าปรารถนาว่าถ้าเป็นไปได้ให้ข้าพเจ้าเองถูกสาปแช่งและถูกตัดขาดจากพระคริสต์เพื่อพี่น้องของข้าพเจ้าผู้เป็นคนเชื้อชาติเดียวกับข้าพเจ้า 4 คือประชากรอิสราเอล พวกเขาได้เป็นบุตรของพระเจ้า ได้รับพระเกียรติสิริของพระเจ้า ได้รับพันธสัญญา บทบัญญัติ พิธีนมัสการในพระวิหาร และพระสัญญาต่างๆ 5 พวกเขามีบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ และเมื่อพระคริสต์ทรงเป็นมนุษย์ พระองค์ก็สืบเชื้อสายมาจากพวกเขา พระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งทรงได้รับการสรรเสริญเป็นนิตย์![a]
อาเมน
6 ไม่ใช่ว่าพระดำรัสของพระเจ้าได้ล้มเหลวไป เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สืบเชื้อสายจากอิสราเอลเป็นอิสราเอล 7 ทั้งไม่ใช่ทุกคนที่สืบเชื้อสายของอับราฮัมจะเป็นลูกหลานของอับราฮัม แต่ตรงกันข้าม “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะนับทางอิสอัค”[b] 8 กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าบุตรของพระเจ้าไม่ใช่บุตรตามสายเลือด แต่เป็นบุตรตามพระสัญญาจึงถือว่าเป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม 9 เพราะพระสัญญาระบุไว้ว่า “เมื่อถึงเวลาที่กำหนดเราจะกลับมาและซาราห์จะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง”[c]
10 ไม่เพียงเท่านั้น แต่บุตรทั้งหลายของเรเบคาห์ก็มีบิดาคนเดียวกันคืออิสอัคบรรพบุรุษของเรา 11 แต่ก่อนที่บุตรฝาแฝดนั้นจะเกิดมา หรือก่อนที่พวกเขาจะทำสิ่งดีหรือชั่วใดๆ ทั้งนี้เพื่อว่าพระประสงค์ของพระเจ้าในการทรงเลือกจะคงอยู่ 12 คือไม่ใช่โดยการประพฤติ แต่โดยพระองค์ผู้ทรงเรียก พระองค์จึงตรัสกับนางว่า “พี่จะรับใช้น้อง”[d] 13 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “ยาโคบนั้นเรารัก ส่วนเอซาวเราชัง”[e]
14 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? พระเจ้าไม่ยุติธรรมหรือ? ไม่ใช่เลย! 15 เพราะพระองค์ตรัสกับโมเสสว่า
“เราประสงค์จะเมตตาใคร ก็จะเมตตาคนนั้น
เราประสงค์จะกรุณาใคร ก็จะกรุณาคนนั้น”[f]
16 ฉะนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความปรารถนาหรือความพยายามของมนุษย์ แต่ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของพระเจ้า 17 เพราะในพระคัมภีร์ พระเจ้าตรัสแก่ฟาโรห์ว่า “เรายกเจ้าให้เป็นใหญ่ก็เพื่อจุดประสงค์ข้อนี้เอง คือเพื่อเราจะได้สำแดงฤทธิ์อำนาจของเราให้ปรากฏทางเจ้า และเพื่อนามของเราจะเลื่องลือไปทั่วโลก”[g] 18 ฉะนั้นพระเจ้าทรงเมตตาผู้ที่ทรงประสงค์จะเมตตา และผู้ที่ทรง
ประสงค์จะให้มีใจแข็งกระด้าง พระองค์ก็ทรงทำให้ใจของเขาแข็งกระด้าง
19 พวกท่านบางคนอาจจะกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “ถ้าเช่นนั้นทำไมพระเจ้ายังทรงตำหนิเรา? เพราะใครเล่าจะขัดขืนพระประสงค์ของพระองค์ได้?” 20 แต่มนุษย์เอ๋ย ท่านเป็นใครเล่าที่จะย้อนพระเจ้าได้? “ควรหรือที่สิ่งที่ถูกปั้นจะพูดกับช่างปั้นว่า ‘ทำไมถึงสร้างฉันอย่างนี้’?”[h] 21 ช่างปั้นไม่มีสิทธิ์เอาดินก้อนเดียวกันมาปั้นเป็นภาชนะสวยงามและปั้นเป็นภาชนะใช้สอยทั่วไปหรือ?
22 ในเรื่องการเลือกจะสำแดงพระพิโรธและให้ฤทธานุภาพของพระองค์เป็นที่ประจักษ์นั้น จะว่าอย่างไรถ้าพระเจ้าทรงอดกลั้นพระทัยอย่างยิ่งต่อผู้ที่เป็นเป้าของพระพิโรธ ผู้ซึ่งเตรียมไว้เพื่อความพินาศ? 23 จะว่าอย่างไรถ้าพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อสำแดงพระเกียรติสิริอันอุดมแก่ผู้ที่ได้รับพระเมตตาคุณของพระองค์ ผู้ซึ่งทรงเตรียมไว้ล่วงหน้าเพื่อพระเกียรติสิริ? 24 แม้กระทั่งเราทั้ง
หลายก็เป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกไว้ด้วย ไม่ใช่จากพวกยิวเท่านั้น แต่จากคนต่างชาติเช่นกัน 25 ตามที่พระองค์ตรัสในหนังสือโฮเชยาว่า
“เราจะเรียกผู้ที่ไม่ใช่ประชากรของเราว่า ‘ประชากรของเรา’
เรียกผู้ที่เราไม่รักว่า ‘ผู้ที่เรารัก’ ”[i]
26 และ
“สิ่งนี้จะเกิดขึ้นที่นั่นเอง ที่ซึ่งเราบอกพวกเขาว่า
‘เจ้าไม่ใช่ประชากรของเรา’
พวกเขาจะได้ชื่อว่า ‘บุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่’ ”[j]
27 อิสยาห์ประกาศเกี่ยวกับอิสราเอลว่า
“แม้ชนชาติอิสราเอลจะมากมายเหมือนทรายริมทะเล
ก็จะมีชนหยิบมือเดียวที่เหลืออยู่เท่านั้นที่จะได้รับการช่วยให้รอด
28 เพราะพระเจ้าจะทรงพิพากษา
ลงโทษโลกโดยฉับไวและเฉียบขาด”[k]
29 เหมือนที่อิสยาห์กล่าวไว้ก่อนนี้ว่า
“หากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์
ไม่เหลือวงศ์วานไว้ให้เราบ้าง
เราก็คงกลายเป็นเหมือนเมืองโสโดม
เราก็คงเป็นเหมือนเมืองโกโมราห์”[l]
อิสราเอลไม่เชื่อ
30 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? คนต่างชาติที่ไม่ได้ขวนขวายหาความชอบธรรมกลับได้ความชอบธรรม คือความชอบธรรมโดยความเชื่อ 31 แต่ชนอิสราเอลที่ขวนขวายหาบทบัญญัติแห่งความชอบธรรมกลับไม่ได้รับ 32 ทำไมจึงไม่ได้? ก็เพราะพวกเขาไม่ได้ขวนขวายหาด้วยความเชื่อ แต่ทำราวกับว่าจะได้มาโดยการประพฤติ พวกเขาสะดุด “ก้อนหินที่ทำให้สะดุด” 33 ตามที่มีเขียนไว้ว่า
“ดูเถิด เราวางหินก้อนหนึ่งไว้ในศิโยน ซึ่งทำให้ผู้คนสะดุด
และศิลาที่ทำให้เขาทั้งหลายล้มลง
และผู้ที่วางใจในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอายเลย”[m]
พระดำรัสเกี่ยวกับโมอับ(A)
48 พระดำรัสของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
พระเจ้าแห่งอิสราเอลเกี่ยวกับโมอับความว่า
“วิบัติแก่เนโบ เพราะมันจะถูกทำลาย
คีริยาธาอิมจะอัปยศอดสูและถูกยึด
ป้อมที่มั่น[a]จะอัปยศอดสูและพังทลาย
2 โมอับจะไม่เป็นที่ยกย่องอีกแล้ว
ในเฮชโบน[b]ผู้คนจะวางแผนโค่นล้มโมอับว่า
‘มาเถิด ให้เราทำให้ชนชาตินี้สิ้นไป’
มัดเมน[c]เอ๋ย เจ้าเองก็จะถูกทำให้เงียบงันเช่นกัน
ดาบจะตามล่าเจ้า
3 ฟังเสียงร้องจากโฮโรนาอิมสิ
เสียงห้ำหั่น และเสียงเข้าทำลายล้างขนานใหญ่
4 โมอับจะแหลกลาญ
บรรดาลูกน้อยของเธอร้องเสียงดัง[d]
5 พวกเขาขึ้นไปตามทางสู่ลูฮิท
ร้องไห้อย่างขมขื่นขณะเดินไป
ตามเส้นทางสู่โฮโรนาอิม
ได้ยินเสียงร้องโหยหวนเพราะถูกทำลาย
6 หนีเร็ว! จงหนีเอาชีวิตรอดเถิด
จงเป็นเหมือนพุ่มไม้[e]ในถิ่นกันดารเถิด
7 เพราะเจ้าวางใจในทรัพย์สมบัติและความสามารถของตนเอง
เจ้าจึงจะตกเป็นเชลยด้วย
และพระเคโมชจะถูกเนรเทศไปต่างแดน
พร้อมกับบรรดาปุโรหิตและเหล่าขุนนางของตน
8 ผู้ทำลายจะมาต่อสู้ทุกเมือง
และไม่มีสักเมืองเดียวรอดไปได้
หุบเขาและที่ราบสูงจะถูกทำลาย
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว
9 จงเอาเกลือใส่โมอับเถิด
เพราะมันจะร้างเปล่า[f]
หัวเมืองต่างๆ จะถูกทิ้งร้าง
ไม่มีคนอยู่อาศัย
10 “คำสาปแช่งตกอยู่แก่ผู้เฉื่อยช้าในการทำงานที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามอบหมายให้!
คำสาปแช่งมีแก่ผู้เก็บดาบไว้ ไม่ยอมทำให้เลือดชโลมดิน!
11 “โมอับอยู่สงบมาตั้งแต่เยาว์วัย
เหมือนเหล้าองุ่นที่ทิ้งไว้ทั้งตะกอน
ไม่มีการเปลี่ยนถ่ายใส่ไหใหม่
ไม่เคยตกเป็นเชลย
ฉะนั้นรสชาติจึงคงเดิม
และกลิ่นก็ไม่เปลี่ยน
12 แต่วันเวลาจะมาถึง”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เมื่อเราจะส่งคนมาเทโมอับ
ออกจากไห
พวกเขาจะเทโมอับออกจนเกลี้ยง
แล้วทุบไหแตกเป็นเสี่ยงๆ
13 เมื่อนั้นโมอับจะอับอายขายหน้าเพราะพระเคโมช
เหมือนที่วงศ์วานอิสราเอลอับอายขายหน้า
เมื่อวางใจในเบธเอล
14 “เจ้าพูดออกมาได้อย่างไรว่า ‘เราเป็นนักรบ
เป็นผู้แกล้วกล้าในสงคราม’?
15 โมอับจะถูกทำลาย และหัวเมืองต่างๆ จะถูกย่ำยี
ชายหนุ่มชั้นยอดของโมอับจะถูกประหาร”
องค์กษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น
16 “โมอับจวนจะล่มแล้ว
ความย่อยยับของมันจะมาถึงอย่างรวดเร็ว
17 บรรดาผู้อยู่รายรอบโมอับ จงไว้อาลัยให้มัน
บรรดาผู้รู้ถึงชื่อเสียงของโมอับ
กล่าวว่า ‘คทาเกรียงไกรแหลกลาญถึงเพียงนี้หนอ
ไม้เท้าอันทรงสง่าราศีแตกหักถึงเพียงนี้!’
18 “ชาวดีโบนเอ๋ย
จงลงจากที่สูงศักดิ์ของเจ้า
มานั่งบนพื้นดินแตกระแหงเถิด
เพราะผู้ที่ทำลายล้างโมอับ
จะมาเล่นงานเจ้า
และจะทำลายเมืองป้อมปราการต่างๆ ของเจ้า
19 ชาวเมืองอาโรเออร์
จงออกมายืนดูริมถนน
จงถามชายหญิงที่กำลังหนีจ้าละหวั่นว่า
‘เกิดอะไรขึ้น?’
20 โมอับขายหน้าเพราะมันถูกขยี้แหลกลาญ
จงร้องไห้คร่ำครวญเถิด!
จงป่าวร้องริมแม่น้ำอารโนนว่า
โมอับถูกทำลายแล้ว
21 การพิพากษาลงโทษมาถึงที่ราบสูงแล้ว
ถึงโฮโลน ยาซาห์ และเมฟาอาท
22 ถึงดีโบน เนโบ และเบธดิบลาธาอิม
23 ถึงคีริยาธาอิม เบธกามุล และเบธเมโอน
24 ถึงเคริโอท และโบสราห์
ถึงหัวเมืองทั้งปวงของโมอับทั้งใกล้และไกล
25 พลัง[g]ของโมอับถูกตัดขาดเสียแล้ว
และแขนของมันก็ถูกหัก”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
26 “จงทำให้โมอับมึนเมา
เพราะมันลบหลู่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้โมอับเกลือกกลิ้งอยู่ในอาเจียนของตน
ให้มันเป็นเป้าของการเย้ยหยัน
27 อิสราเอลก็เป็นเป้าให้เจ้าเยาะเย้ยแล้วไม่ใช่หรือ?
อิสราเอลตกอยู่ในหมู่โจร
ให้เจ้าส่ายหน้าเย้ยหยัน
ทุกครั้งที่เอ่ยถึงไม่ใช่หรือ?
28 ทิ้งเมืองไปอยู่ตามซอกหินเถิด
ชาวโมอับทั้งหลาย
จงเป็นดั่งนกพิราบ
ซึ่งทำรังไว้ที่ปากถ้ำ
29 “เราได้ยินถึงความหยิ่งทะนงของโมอับ
ความอวดดี ความจองหอง
ความลำพอง และความเย่อหยิ่ง
และความฮึกเหิมในใจของโมอับ
30 เรารู้ความกำเริบเสิบสานของมันซึ่งเปล่าประโยชน์”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“และคำคุยโวของโมอับก็ไร้สาระ
31 ฉะนั้นเราจึงร่ำไห้ให้กับโมอับ
เราร้องไห้เพื่อโมอับทั้งปวง
เราคร่ำครวญให้ผู้คนของคีร์หะเรเสท
32 เถาองุ่นแห่งสิบมาห์เอ๋ย
เราร่ำไห้ให้เจ้าดังที่ยาเซอร์ร่ำไห้
กิ่งก้านสาขาของเจ้าแผ่ขยายไปไกลถึงทะเล
ทอดไปไกลถึงทะเลแห่งยาเซอร์
ผู้ทำลายได้จู่โจม
เถาองุ่นและผลไม้สุกของเจ้าแล้ว
33 ความสุขยินดีสูญสิ้นไป
จากเรือกสวนและท้องทุ่งของโมอับ
เราทำให้น้ำองุ่นหยุดไหลจากบ่อย่ำองุ่นเสียแล้ว
ไม่มีคนย่ำองุ่นพร้อมเสียงโห่ร้องยินดีอีกต่อไป
เสียงโห่ร้องที่มี
ไม่ใช่เสียงร่าเริงยินดี
34 “เสียงร่ำไห้ของพวกเขาดังขึ้น
จากเฮชโบนถึงเอเลอาเลห์และยาฮาส
จากโศอาร์ไปไกลถึงโฮโรนาอิมและเอกลัทเชลิชิยาห์
เพราะแม้แต่ห้วงน้ำแห่งนิมริมก็เหือดแห้ง
35 เราจะนำจุดจบ
มาสู่ผู้ถวายเครื่องบูชาในสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย
และเผาเครื่องหอมบูชาเทพเจ้าต่างๆ ของตนในโมอับ”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
36 “ฉะนั้นจิตใจของเราคร่ำครวญถึงโมอับเหมือนเสียงขลุ่ย
เสียงอ้อยส้อยเหมือนเสียงขลุ่ยเพื่อผู้คนแห่งคีร์หะเรเสท
ทรัพย์สมบัติที่พวกเขาได้มาก็สูญสิ้นไป
37 ทุกศีรษะถูกโกนโล้นเตียน
ทุกหนวดเคราถูกโกนเกลี้ยง
ทุกมือถูกกรีด
ทุกเอวคาดผ้ากระสอบ
38 ทุกหลังคาเรือนในโมอับ
และตามทางแยกสาธารณะ
มีแต่การไว้ทุกข์
เพราะเราทุบโมอับทิ้ง
เหมือนตุ่มไหที่ไม่มีใครต้องการ”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
39 “มันแหลกป่นปี้เพียงไร ดูพวกเขาร่ำไห้สิ
ดูสิว่าโมอับหันกลับด้วยความอัปยศอดสูเพียงไร!
โมอับกลายเป็นเป้าให้เย้ยหยัน
เป็นที่สยดสยองของบรรดาผู้ที่อยู่รายรอบ”
40 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“ดูเถิด! อินทรีตัวหนึ่งกำลังโฉบลงมา
กางปีกเหนือโมอับ
41 นครต่างๆ[h]และที่มั่นทั้งหลาย
จะถูกยึด
ในวันนั้นจิตใจของนักรบแห่งโมอับ
จะเหมือนจิตใจของผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก
42 โมอับจะถูกทำลายสิ้นชาติ
เพราะลบหลู่องค์พระผู้เป็นเจ้า
43 ประชากรโมอับเอ๋ย
ความสยดสยอง หลุมพราง และกับดักรอคอยเจ้าอยู่”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
44 “ผู้ใดหนีเตลิดจากความสยดสยอง
จะตกในหลุมพราง
ผู้ใดปีนออกมาจากหลุมพราง
จะตกลงในกับดัก
เพราะเราจะนำปีแห่งการลงโทษ
มาเหนือโมอับ”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
45 “ผู้ลี้ภัยยืนอยู่ในร่มเงาของเฮชโบน
อย่างสิ้นเนื้อประดาตัว
เพราะมีไฟออกจากเฮชโบน
เปลวไฟแรงกล้าจากกลางสิโหน
เผาผลาญหน้าผากของโมอับ
เผากะโหลกศีรษะของนักคุยโวเสียงขรม
46 วิบัติแก่เจ้า โมอับเอ๋ย!
ไพร่พลของพระเคโมชถูกทำลายล้าง
บรรดาลูกชายลูกสาวของเจ้า
ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย
47 “ถึงกระนั้น ในภายภาคหน้า
เราจะให้โมอับกลับสู่สภาพดี”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
คำพิพากษาโทษโมอับจบลงเพียงเท่านี้
(บทประพันธ์ของดาวิด)
25 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ยกจิตวิญญาณของข้าพระองค์ขึ้นต่อพระองค์
2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์วางใจในพระองค์
ขออย่าให้ข้าพระองค์อับอาย
ทั้งอย่าให้ศัตรูของข้าพระองค์มีชัยชนะเหนือข้าพระองค์
3 ไม่มีผู้ใดที่หวังในพระองค์แล้วต้องละอาย
แต่ผู้ที่ทรยศโดยใช่เหตุนั้นจะต้องอับอาย
4 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสำแดงหนทางของพระองค์แก่ข้าพระองค์
ขอทรงสอนวิถีของพระองค์แก่ข้าพระองค์
5 ขอทรงนำข้าพระองค์ไปในความจริงของพระองค์และสอนข้าพระองค์
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์
และความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์วันยังค่ำ
6 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงระลึกถึงพระกรุณาธิคุณและความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
ซึ่งพระองค์ได้สำแดงต่อข้าพระองค์เสมอมาตั้งแต่อดีต
7 ขออย่าทรงระลึกถึงบาปทั้งหลาย
และการออกนอกลู่นอกทางในวัยหนุ่มของข้าพระองค์
ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ตามความรักมั่นคงของพระองค์
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะพระองค์ทรงแสนดี
8 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแสนดีและเที่ยงธรรม
ดังนั้นพระองค์จึงทรงสอนทางของพระองค์แก่คนบาป
9 พระองค์ทรงนำคนถ่อมใจให้ทำสิ่งที่ถูก
และทรงสอนทางของพระองค์แก่พวกเขา
10 ทางทั้งสิ้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปี่ยมด้วยความรักเมตตาและความซื่อสัตย์
แก่บรรดาผู้ที่รักษากฎเกณฑ์แห่งพันธสัญญาของพระองค์
11 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โดยเห็นแก่พระนามของพระองค์
ขอทรงอภัยความชั่วช้าของข้าพระองค์เถิด แม้มันจะใหญ่หลวง
12 แล้วใครเล่าที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า?
พระองค์จะทรงสอนพวกเขาถึงทางที่พวกเขาควรจะเลือก
13 เขาจะมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง
และลูกหลานของเขาจะได้รับแผ่นดินนั้นเป็นมรดก
14 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงวางใจในบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระองค์
พระองค์ทรงยืนยันพันธสัญญาของพระองค์แก่คนเหล่านั้น
15 ดวงตาของข้าพเจ้ามองที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ
เพราะพระองค์เท่านั้นที่จะทรงปลดบ่วงออกจากเท้าของข้าพเจ้า
16 ขอทรงหันมาหาข้าพระองค์และเมตตาข้าพระองค์เถิด
เพราะข้าพระองค์ว้าเหว่และทุกข์ลำเค็ญ
17 ขอทรงบรรเทาความทุกข์ร้อนในใจของข้าพระองค์
และขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน
18 ขอทรงทอดพระเนตรความลำเค็ญและความทุกข์ใจของข้าพระองค์
และขอทรงเอาบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์ออกไป
19 ขอทรงทอดพระเนตรเถิดว่าศัตรูของข้าพระองค์เพิ่มขึ้นเพียงใด
และพวกเขาจงเกลียดจงชังข้าพระองค์ขนาดไหน!
20 ขอทรงคุ้มครองและช่วยชีวิตข้าพระองค์
อย่าให้ข้าพระองค์ต้องอับอาย
เพราะข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ในพระองค์
21 ขอให้ความซื่อสัตย์สุจริตและความเที่ยงธรรมคุ้มครองข้าพระองค์ไว้
เพราะความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์
22 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงไถ่อิสราเอล
จากความทุกข์ร้อนทั้งปวงของพวกเขา!
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.