Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ผู้วินิจฉัย 17

เทวรูปของมีคาห์

17 ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม มีชายคนหนึ่งชื่อมีคาห์ เขากล่าวกับมารดาว่า “เงินหนัก 1,100 เชเขล[a]ที่แม่คิดว่าถูกขโมยไปและข้าพเจ้าได้ยินแม่สาปแช่งขโมยอยู่ ที่แท้ข้าพเจ้าเอาไปเอง”

มารดาก็ตอบว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรลูกเถิด!”

เมื่อเขาคืนเงินหนัก 1,100 เชเขลแก่มารดาของเขา นางกล่าวว่า “แม่จะเอาเงินนี้ไปถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับลูก แม่จะทำรูปสลักและหล่อรูปเคารพให้ลูก”

ดังนั้นเขาจึงคืนเงินให้แก่มารดาและนางนำเงินหนัก 200 เชเขล ไปให้ช่างเงินทำรูปเคารพขึ้นมาตั้งไว้ที่บ้านของมีคาห์

มีคาห์คนนี้มีหิ้งบูชา เขาทำเอโฟดและรูปเคารพต่างๆ และตั้งบุตรชายคนหนึ่งของตนให้เป็นปุโรหิต ในสมัยนั้นอิสราเอลไม่มีกษัตริย์ปกครองทุกคนต่างทำตามที่ตนเองเห็นดีเห็นชอบ

มีหนุ่มเลวีคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในเขตของตระกูลยูดาห์ มาจากเบธเลเฮมในยูดาห์ เขาจากที่นั่นมาเพื่อหาที่พักอาศัยแห่งใหม่ ระหว่างทาง[b]เขามาถึงบ้านของมีคาห์ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม

มีคาห์ถามเขาว่า “ท่านมาจากไหน?”

เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนเลวีมาจากเบธเลเฮมในแผ่นดินยูดาห์ กำลังหาที่พักอาศัย”

10 มีคาห์จึงกล่าวว่า “มาอยู่กับข้าพเจ้าเถิด มาเป็นบิดาและเป็นปุโรหิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้เงินท่านปีละ 10 เชเขลพร้อมทั้งเสื้อผ้าและอาหาร” 11 ดังนั้นหนุ่มเลวีจึงตกลงอยู่กับเขา เขาเป็นเหมือนบุตรชายคนหนึ่งของมีคาห์ 12 จากนั้นมีคาห์แต่งตั้งชายหนุ่มเลวีผู้นั้นให้เป็นปุโรหิตอาศัยอยู่ในบ้านของเขา 13 และมีคาห์กล่าวว่า “บัดนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงดีต่อข้าพเจ้า เพราะว่าชาวเลวีคนนี้มาเป็นปุโรหิตของข้าพเจ้า”

กิจการของอัครทูต 21

ไปกรุงเยรูซาเล็ม

21 เมื่อเราแยกจากคนเหล่านั้นแล้วเราก็ออกทะเล แล่นตรงมาที่เกาะโขส ถึงเกาะโรดส์ในวันรุ่งขึ้น และจากที่นั่นมาถึงเมืองปาทารา เราพบเรือลำหนึ่งกำลังข้ามไปยังเมืองฟีนิเซียจึงลงเรือลำนั้นไป หลังจากเห็นเกาะไซปรัสและล่องผ่านทางใต้ของเกาะลงมาถึงแคว้นซีเรีย เรือก็เทียบท่าและขนสินค้าลงที่เมืองไทระ เราพบพวกสาวกที่นั่นและพักอยู่กับพวกเขาเจ็ดวัน พวกเขารบเร้าเปาโลโดยการทรงนำของพระวิญญาณไม่ให้เขาไปกรุงเยรูซาเล็ม แต่เมื่อถึงเวลาเราก็อำลาและออกเดินทางต่อ สาวกทั้งปวงตลอดจนภรรยากับลูกๆ ของพวกเขามาส่งเราออกจากเมืองและเราคุกเข่าลงอธิษฐานกันที่ชายหาด หลังจากร่ำลากันแล้วเราก็ลงเรือส่วนพวกเขาก็กลับบ้าน

จากเมืองไทระเราเดินทางต่อมาขึ้นฝั่งที่เมืองทอเลมาอิส ที่นั่นเราได้ทักทายพวกพี่น้องและพักอยู่กับพวกเขาหนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นเราออกจากที่นั่นและมาถึงเมืองซีซารียา เราพักอยู่ที่บ้านของฟีลิปผู้ประกาศข่าวประเสริฐซึ่งเป็นหนึ่งในคณะเจ็ดคน ฟีลิปมีบุตรสาวที่ยังไม่ได้สมรสสี่คนเป็นผู้พยากรณ์

10 หลังจากเราอยู่ที่นั่นหลายวันแล้วก็มีผู้พยากรณ์คนหนึ่งชื่ออากาบัส มาจากแคว้นยูเดีย 11 เขาเข้ามาหาเรา เอาสายคาดเอวของเปาโลมัดมือมัดเท้าของตนและกล่าวว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสว่า ‘ชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็มจะมัดเจ้าของสายคาดเอวนี้อย่างนี้แหละและจะมอบเขาให้คนต่างชาติ’ ”

12 เมื่อได้ฟังเช่นนี้เรากับคนที่นั่นจึงอ้อนวอนเปาโลไม่ให้ไปกรุงเยรูซาเล็ม 13 เปาโลตอบว่า “พวกท่านร้องไห้และทำให้ข้าพเจ้าชอกช้ำใจทำไมเล่า? อย่าว่าแต่ถูกมัดเลย ต่อให้ต้องตายในเยรูซาเล็มเพื่อพระนามขององค์พระเยซูเจ้า ข้าพเจ้าก็พร้อมแล้ว” 14 เมื่อเขาไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามเราจึงเลิกอ้อนวอนและกล่าวว่า “ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

15 หลังจากนั้นเราก็เตรียมตัวและขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 16 สาวกบางคนจากเมืองซีซารียามากับเราด้วยและนำเรามาพักที่บ้านของมนาสัน เขามาจากเกาะไซปรัสและเป็นสาวกรุ่นแรกๆ

เปาโลมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม

17 เมื่อเรามาถึงกรุงเยรูซาเล็มพวกพี่น้องต้อนรับเราอย่างอบอุ่น 18 วันรุ่งขึ้นเปาโลกับพวกเราไปพบยากอบและผู้ปกครองทั้งปวงก็อยู่พร้อมหน้ากันที่นั่น 19 เปาโลทักทายพวกเขาและรายงานสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในหมู่คนต่างชาติผ่านทางพันธกิจของเขาอย่างละเอียด

20 เมื่อพวกเขาได้ฟังแล้วก็สรรเสริญพระเจ้าและกล่าวกับเปาโลว่า “พี่เอ๋ย ท่านก็เห็นชาวยิวหลายพันคนได้เชื่อและพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เคร่งครัดร้อนรนในบทบัญญัติ 21 พวกเขาได้ข่าวว่าท่านสอนบรรดาชาวยิวที่อยู่ในหมู่คนต่างชาติให้หันหนีจากโมเสสโดยบอกพวกเขาว่าไม่ต้องให้ลูกหลานเข้าสุหนัตหรือยึดถือธรรมเนียมของเรา 22 จะให้พวกเราทำอย่างไร? พวกเขาย่อมรู้ว่าท่านมาแล้ว 23 ดังนั้นจงทำตามที่เราบอก เรามีสี่คนที่สาบานตัวไว้ 24 ท่านจงพาคนเหล่านี้ไปทำพิธีชำระตัวร่วมกับเขาและจ่ายค่าธรรมเนียมให้พวกเขาเพื่อเขาจะได้โกนผม แล้วทุกคนจะได้รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินมาเกี่ยวกับท่านนั้นไม่เป็นความจริง ที่แท้ท่านเองดำเนินชีวิตตามบทบัญญัติต่างหาก 25 สำหรับผู้เชื่อชาวต่างชาติเราได้เขียนจดหมายแจ้งมติของเราที่ให้พวกเขางดจากอาหารที่เซ่นสังเวยแก่รูปเคารพ จากเลือด จากเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และจากการผิดศีลธรรมทางเพศ”

26 วันรุ่งขึ้นเปาโลจึงพาสี่คนนั้นไปชำระตนร่วมกับเขา แล้วเขาเข้าไปในพระวิหารเพื่อประกาศวันครบกำหนดการชำระตนและจะถวายเครื่องบูชาสำหรับพวกเขาแต่ละคน

เปาโลถูกจับกุม

27 เมื่อใกล้ครบเจ็ดวันชาวยิวบางคนจากแคว้นเอเชียเห็นเปาโลที่พระวิหารก็ปลุกปั่นฝูงชนทั้งปวงแล้วจับเปาโล 28 พวกเขาร้องตะโกนว่า “ชนอิสราเอลเอ๋ย มาช่วยเราเถิด! นี่คือคนที่เสี้ยมสอนคนทั้งปวงทุกหนทุกแห่งให้ต่อต้านชนชาติของเรา ให้ต่อต้านธรรมบัญญัติของเราและสถานที่แห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้พาชาวกรีกเข้ามาในบริเวณพระวิหารทำให้สถานบริสุทธิ์นี้เป็นมลทิน” 29 (ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นโตรฟีมัสชาวเอเฟซัสอยู่กับเปาโลในเมืองจึงคิดว่าเปาโลได้พาเขาเข้าไปในบริเวณพระวิหาร)

30 คนทั้งเมืองจึงลุกฮือขึ้นและผู้คนจากทุกสารทิศวิ่งเข้ามาจับเปาโลลากตัวเขาออกจากพระวิหารแล้วประตูก็ปิดทันที 31 ขณะพวกเขากำลังหาทางจะฆ่าเปาโล ข่าวก็ไปถึงผู้บังคับกองพันทหารโรมันว่าทั่วทั้งกรุงเยรูซาเล็มอยู่ในความวุ่นวาย 32 เขาจึงนำเจ้าหน้าที่กับทหารวิ่งมาที่ฝูงชนทันที เมื่อพวกก่อความวุ่นวายเห็นนายพันกับทหารมาก็หยุดทุบตีเปาโล

33 นายพันตรงเข้ามาจับเปาโลสั่งให้เอาโซ่สองเส้นล่ามไว้ แล้วถามว่าเขาเป็นใครและทำอะไรลงไป 34 บางคนในหมู่ชนตะโกนว่าอย่างนี้ อีกคนว่าอย่างนั้น วุ่นวายจนนายพันจับความไม่ได้ว่าความจริงเป็นอย่างไรกันแน่จึงสั่งให้นำตัวเปาโลเข้าไปในกองทหาร 35 เมื่อมาถึงบันไดต้องให้ทหารหามตัวเปาโลไปเนื่องจากฝูงคนกำลังบ้าคลั่ง 36 ฝูงชนที่ตามมาเอาแต่ตะโกนว่า “ฆ่ามัน!”

เปาโลกล่าวกับประชาชน

37 ขณะที่พวกทหารจะนำเปาโลเข้าไปในกองทหารเขาถามนายพันว่า “ข้าพเจ้าขอพูดอะไรกับท่านสักหน่อยได้ไหม?”

นายพันถามว่า “เจ้าพูดภาษากรีกได้หรือ? 38 เจ้าไม่ใช่คนอียิปต์ที่ก่อนหน้านี้ได้ก่อกบฏและนำผู้ก่อการร้ายสี่พันคนเข้าไปในถิ่นกันดารหรอกหรือ?”

39 เปาโลตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนยิวจากเมืองทาร์ซัสในแคว้นซิลีเซีย เป็นพลเมืองจากเมืองสำคัญ โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้ากล่าวกับประชาชน”

40 เมื่อนายพันอนุญาตแล้ว เปาโลจึงยืนอยู่ที่บันไดและโบกมือให้ฝูงชน เมื่อคนทั้งปวงเงียบลงเปาโลจึงกล่าวเป็นภาษาอารเมค[a]ว่า

เยเรมีย์ 30-31

อิสราเอลคืนสู่สภาพดี

30 มีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ความว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘จงบันทึกทุกสิ่งที่เราได้พูดกับเจ้าไว้’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘เพราะใกล้จะถึงเวลาแล้วที่เราจะนำอิสราเอลและยูดาห์ ประชากรของเรากลับมาจากการเป็นเชลย[a] และนำพวกเขากลับสู่ดินแดนที่เรายกให้บรรพบุรุษของพวกเขาครอบครอง’ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น”

องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับอิสราเอลและยูดาห์ไว้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ ‘เราได้ยินเสียงร้องด้วยความกลัว
เป็นความอกสั่นขวัญแขวน ไม่ใช่สันติสุข
จงถามและดูเถิดว่า
ผู้ชายคลอดลูกได้หรือ?
ถ้าเช่นนั้นทำไมเราเห็นชายฉกรรจ์ทุกคน
เอามือกุมท้องไว้เหมือนผู้หญิงกำลังคลอด?
ทำไมทุกคนหน้าซีด?
วันนั้นจะน่ากลัวสักเพียงใด!
ไม่มีวันใดเหมือน
เป็นยามทุกข์ลำเค็ญสำหรับยาโคบ
แต่เขาจะได้รับการช่วยให้รอดพ้น’

“พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า
‘ในวันนั้นเราจะปลดแอกจากคอของเขา
และหักเครื่องพันธนาการของเขาทิ้ง
เขาจะไม่ตกเป็นทาสของคนต่างชาติอีกต่อไป
แต่พวกเขาจะรับใช้พระยาห์เวห์พระเจ้าของตน
และรับใช้ดาวิดกษัตริย์ของเขา
ผู้ซึ่งเราจะเชิดชูขึ้นเพื่อพวกเขา

10 “ ‘ฉะนั้นอย่ากลัวเลย ยาโคบผู้รับใช้ของเราเอ๋ย
อย่าท้อแท้หดหู่ไปเลย อิสราเอลเอ๋ย’
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
‘เราจะช่วยเจ้าจากแดนไกลอย่างแน่นอน
จะช่วยลูกหลานของเจ้าจากแดนเชลย
ยาโคบจะกลับมีความสงบสุขและมั่นคงปลอดภัยอีกครั้ง
และจะไม่มีใครทำให้เขาหวาดกลัว
11 เพราะเราอยู่กับเจ้าและเราจะช่วยเจ้า’
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
‘ถึงแม้ว่าเราจะทำลายล้างมวลประชาชาติ
ที่เราทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไปนั้นจนหมดสิ้น
แต่เราจะไม่ทำลายล้างเจ้าให้สิ้นไป
เราจะตีสั่งสอนเจ้า แต่ก็ด้วยความยุติธรรมเท่านั้น
เราจะไม่ปล่อยให้เจ้าลอยนวลพ้นโทษไป’

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ ‘บาดแผลของเจ้ารักษาไม่ได้
เจ้าบาดเจ็บเกินจะเยียวยา
13 ไม่มีใครช่วยว่าคดีให้เจ้า
ไม่มีการสมานแผลให้เจ้า
ไม่มีการบำบัดให้เจ้า
14 พันธมิตรทั้งปวงก็ลืมเจ้า
พวกเขาไม่ไยดีเจ้าเลย
เราฟาดฟันเจ้าเหมือนเป็นศัตรูกัน
เราลงโทษเจ้าเหมือนคนอำมหิตลงมือ
เพราะความผิดของเจ้าใหญ่หลวง
และบาปของเจ้าก็มากมายนัก
15 เหตุใดเจ้าจึงร้องโอดโอยเพราะบาดแผลของเจ้า
เพราะความเจ็บปวดซึ่งไม่มีการเยียวยา?
เราจึงทำสิ่งเหล่านี้แก่เจ้า
เพราะความผิดอันยิ่งใหญ่และบาปมากมายของเจ้า

16 “ ‘แต่บรรดาผู้ที่ล้างผลาญเจ้าจะถูกล้างผลาญ
ศัตรูทั้งปวงของเจ้าจะตกเป็นเชลย
บรรดาผู้ที่ปล้นเจ้าจะถูกปล้น
ผู้ที่โจมตีเจ้าจะถูกเราโจมตี
17 เพราะเราจะให้เจ้ามีสุขภาพดีดังเดิม
และรักษาบาดแผลของเจ้า’
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
‘เพราะเจ้าได้ชื่อว่า “พวกเศษเดน”
ศิโยนที่ไม่มีใครเหลียวแล’

18 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ ‘เราจะคืนความมั่งคั่งให้เต็นท์ของยาโคบ
และเอ็นดูสงสารที่อยู่ของเขา
นครจะถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพัง
และพระราชวังจะตั้งขึ้นในที่เดิมของมัน
19 จะมีบทเพลงขอบพระคุณพระเจ้า
และมีเสียงร่าเริงยินดีจากที่เหล่านั้น
เราจะทวีจำนวนของพวกเขา
และเขาจะไม่ลดน้อยลง
เราจะนำเกียรติมาสู่เขา
และพวกเขาจะไม่ถูกดูแคลน
20 ลูกหลานของพวกเขาจะเจริญเหมือนแต่ก่อน
และชุมนุมชนของเขาจะได้รับการสถาปนาไว้ต่อหน้าเรา
เราจะลงโทษคนทั้งปวงที่ข่มเหงรังแกเขา
21 เขาจะมีผู้นำของตนเอง
มีผู้ปกครองขึ้นมาจากหมู่พวกเขา
เราจะนำผู้นั้นเข้ามาใกล้ และเขาจะใกล้ชิดเรา
เพราะใครบ้างที่ยอมอุทิศตน
เพื่อใกล้ชิดเรา?’
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
22 ‘แล้วเจ้าจะเป็นประชากรของเรา
และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า’ ”

23 ดูเถิด พายุขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จะปะทุขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด
เป็นลมกล้าพัดวน
เหนือศีรษะของบรรดาคนชั่วร้าย
24 พระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่หันกลับ
จนกว่าจะสำเร็จ
ตามเป้าหมายในพระทัยของพระองค์ทุกประการ
ในภายภาคหน้า
ท่านทั้งหลายจะเข้าใจสิ่งนี้

31 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “ในครั้งนั้น เราจะเป็นพระเจ้าของอิสราเอลทุกตระกูล และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ชนชาติที่รอดชีวิตจากคมดาบ
จะได้รับพระคุณในถิ่นกันดาร
เราจะมาเพื่อให้อิสราเอลได้พักสงบ”

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่พวกเราในอดีต[b]และตรัสว่า

“เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์
เราได้โน้มนำเจ้าเข้ามาหาเราด้วยความรักความเอ็นดู
อิสราเอลพรหมจารีเอ๋ย เราจะสร้างเจ้าขึ้นมาอีก
และเจ้าจะได้รับการสร้างขึ้นใหม่
เจ้าจะหยิบรำมะนาขึ้นมาอีกครั้ง
และออกไปเต้นรำกับผู้ที่รื่นเริงยินดี
เจ้าจะทำไร่องุ่น
บนภูเขาของสะมาเรียอีกครั้ง
กสิกรจะเพาะปลูก
และชื่นชมกับพืชผลที่ได้
จะมีวันหนึ่งซึ่งยามรักษาการณ์ร้องบอก
บนภูเขาของเอฟราอิมว่า
‘มาเถิด ให้พวกเราขึ้นไปยังศิโยน
ไปเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา’ ”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“จงร้องเพลงรื่นเริงยินดีให้ยาโคบ
จงโห่ร้องให้กับผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่ประชาชาติ
จงร้องเพลงสรรเสริญให้ได้ยินทั่วกันว่า
‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงช่วยชนหยิบมือที่เหลือของอิสราเอล
ประชากรของพระองค์’
ดูเถิด เราจะนำพวกเขามาจากดินแดนทางเหนือ
และรวบรวมพวกเขามาจากสุดปลายแผ่นดินโลก
ในหมู่พวกเขามีคนตาบอดและคนง่อย
หญิงมีครรภ์และผู้หญิงที่กำลังจะคลอดลูก
ฝูงชนกลุ่มใหญ่จะกลับมา
พวกเขาจะร้องไห้มา
พวกเขาจะอธิษฐานขณะที่เรานำพวกเขากลับมา
เราจะนำพวกเขาเลียบธารน้ำ
มาตามทางราบเรียบซึ่งพวกเขาจะไม่สะดุดล้ม
เพราะเราเป็นบิดาของอิสราเอล
และเอฟราอิมเป็นลูกชายหัวปีของเรา

10 “ประชาชาติทั้งหลาย จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จงประกาศในดินแดนชายฝั่งทะเลอันไกลโพ้นว่า
‘พระองค์ผู้ทรงทำให้ชนอิสราเอลกระจัดกระจายจะทรงรวบรวมพวกเขากลับมา
และจะทรงดูแลพวกเขาเหมือนคนเลี้ยงแกะดูแลฝูงแกะของตน’
11 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงไถ่ยาโคบ
จะทรงไถ่พวกเขาออกจากมือของผู้ที่เข้มแข็งกว่าพวกเขา
12 พวกเขาจะมาและโห่ร้องยินดีบนภูเขาศิโยน
จะชื่นชมยินดีในสิ่งดีงามจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
ทั้งเมล็ดข้าว เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมัน
ลูกอ่อนในฝูงแพะแกะและฝูงสัตว์
ใจของพวกเขาจะเป็นเหมือนสวนที่ได้รับน้ำชุ่มฉ่ำ
และพวกเขาจะไม่ต้องทุกข์โศกอีกต่อไป
13 หญิงสาวจะร่ายรำและยินดี
ผู้ชายทั้งหนุ่มและแก่ก็เช่นกัน
เราจะเปลี่ยนความโศกเศร้าของเขาให้กลายเป็นความยินดี
เราจะให้การปลอบประโลมและความชื่นชมยินดีแก่เขาแทนความทุกข์โศก
14 เราจะให้ปุโรหิตอิ่มเอมด้วยความอุดมสมบูรณ์
ประชากรของเราจะอิ่มด้วยความอุดมสมบูรณ์จากเรา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

15 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ได้ยินเสียงหนึ่งในรามาห์
เป็นเสียงคร่ำครวญสะอึกสะอื้น
ราเชลร่ำไห้ถึงลูกๆ ของนาง
และไม่ยอมรับคำปลอบโยนใดๆ
เพราะลูกๆ ของนางจากไปเสียแล้ว”

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“หยุดร้องไห้
หยุดหลั่งน้ำตาเสียเถิด
เพราะผลงานของเจ้าจะได้รับรางวัล”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“พวกเขาจะกลับมาจากแดนศัตรู
17 ดังนั้นอนาคตของเจ้ายังมีความหวัง”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“ลูกๆ ของเจ้าจะกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนของตนอีก

18 “แน่ทีเดียว เราได้ยินเสียงเอฟราอิมโอดครวญว่า
‘พระองค์ทรงฝึกข้าพระองค์เหมือนฝึกลูกวัวที่ยังไม่เชื่อง
และข้าพระองค์ก็ถูกฝึกฝน
โปรดทรงช่วยให้ข้าพระองค์คืนสู่ปกติสุข แล้วข้าพระองค์จะหวนกลับมา
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์
19 เมื่อข้าพระองค์หลงทางไปแล้ว
ข้าพระองค์ก็สำนึกผิด
เมื่อข้าพระองค์เข้าใจแล้ว
ข้าพระองค์ก็ตีอกชกตัว
ข้าพระองค์อับอายและตกต่ำ
เพราะทนรับความอัปยศอดสูจากบาปที่ทำในวัยหนุ่ม’
20 เอฟราอิมเป็นลูกชายที่รัก
เป็นลูกคนโปรดของเราไม่ใช่หรือ?
แม้เราจะพูดตำหนิเขาเนืองๆ
แต่เราก็ยังคงคิดถึงเขา
ฉะนั้นจิตใจของเราอาลัยหาเขา
เราเอ็นดูสงสารเขายิ่งนัก”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

21 “จงตั้งป้ายริมทางขึ้น
ตั้งป้ายชี้ทางไว้
สังเกตทางหลวง
เส้นทางที่เจ้าดำเนินไป
อิสราเอลพรหมจารีเอ๋ย กลับมาเถิด
จงกลับมายังหัวเมืองต่างๆ ของเจ้า
22 ลูกสาวไม่ซื่อเอ๋ย
เจ้าจะเตร็ดเตร่ไปนานสักเท่าใด?
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสร้างสิ่งใหม่ในโลกคือ
ผู้หญิงคนหนึ่งจะโอบล้อม[c]ผู้ชายไว้”

23 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า “เมื่อเรานำพวกเขากลับมาจากการเป็นเชลย[d] ประชาชนในยูดาห์และหัวเมืองต่างๆ จะกลับมาพูดอย่างแต่ก่อนว่า ‘ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพรเจ้าเถิด ที่พำนักอันชอบธรรมเอ๋ย ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย’ 24 ผู้คนทั้งชาวนาและผู้ที่โยกย้ายไปกับฝูงสัตว์ของตนจะอาศัยอยู่ร่วมกันในยูดาห์และหัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์ 25 เราจะให้คนอ่อนระโหยชุ่มชื่นขึ้นใหม่ และให้คนหมดแรงได้อิ่มเอม”

26 ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็ตื่นขึ้นมองไปรอบๆ การนอนหลับครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าชื่นใจ

27 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึง เมื่อเราจะสร้างพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ โดยให้ทั้งมนุษย์และสัตว์มีลูกหลานมากมาย 28 เช่นเดียวกับที่เราจับตาดูพวกเขาเพื่อถอนรากถอนโคนและรื้อโค่น คว่ำทลาย ล้างผลาญและนำภัยพิบัติมา เราก็จะจับตาดูเขาเพื่อปลูกและสร้างขึ้น” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 29 “เมื่อถึงเวลานั้นผู้คนจะเลิกพูดว่า

“ ‘พ่อกินองุ่นเปรี้ยว
ลูกๆ ก็เข็ดฟัน’

30 เพราะแต่ละคนจะตายเพราะบาปของตนเอง ใครกินองุ่นเปรี้ยว คนนั้นก็เข็ดฟัน”

31 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึง
เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่
กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล
และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์
32 เป็นพันธสัญญาซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญา
ที่เราได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา
เมื่อเราจูงมือพวกเขา
นำออกมาจากดินแดนอียิปต์
เพราะพวกเขาละเมิดพันธสัญญาที่ทำไว้กับเรา
ทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้านายของ[e]พวกเขา[f]
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
33 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล
หลังจากสมัยนั้น
คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา
จารึกบนหัวใจของพวกเขา
เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา
และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา
34 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน
หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’
เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา
ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เพราะเราจะอภัยความชั่วร้ายของเขา
และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป”

35 องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงตั้งดวงอาทิตย์

ให้ส่องแสงยามกลางวัน
ผู้ทรงบัญชาดวงจันทร์และดวงดาว
ให้ส่องแสงยามกลางคืน
ผู้ทรงกวนทะเล
จนคลื่นคำรามกึกก้อง
ทรงพระนามว่า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
36 องค์พระผู้เป็นเจ้า ประกาศว่า
“ตราบใดที่กฎเกณฑ์ธรรมชาติเหล่านี้ยังไม่ลับหายไปต่อหน้าเรา
ตราบนั้นวงศ์วานอิสราเอล
จะยังคงเป็นประชาชาติหนึ่งต่อหน้าเราเสมอ”

37 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ต่อเมื่อฟ้าสวรรค์เบื้องบนหยั่งถึงได้
และฐานรากของโลกเบื้องล่างถูกค้นพบ
เราจึงจะละทิ้งวงศ์วานอิสราเอล
เพราะทุกสิ่งที่พวกเขาได้ทำ”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

38 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “วันเวลาจะมาถึง เมื่อกรุงนี้จะได้รับการสร้างขึ้นใหม่เพื่อเรา ตั้งแต่หอคอยฮานันเอลถึงประตูมุม 39 สายวัดจะขึงตรงจากที่นั่นจดเนินเขากาเรบ แล้วเลี้ยวไปยังโกอาห์ 40 ทั่วทั้งหุบเขาซึ่งเป็นที่ทิ้งซากศพและเถ้าถ่าน ตลอดจนลาดเขาต่างๆ สู่หุบเขาขิดโรนทางฟากตะวันออก ไปจนถึงมุมประตูม้าจะบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า กรุงนี้จะไม่ถูกถอนรากถอนโคนหรือล้มล้างอีกต่อไป”

มาระโก 16

การคืนพระชนม์(A)

16 เมื่อวันสะบาโตผ่านไปมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ และสะโลเมซื้อเครื่องหอมมาเพื่อชโลมพระศพพระเยซู เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์พอดวงอาทิตย์ขึ้นพวกเขามายังอุโมงค์ และถามกันว่า “ใครจะช่วยกลิ้งหินจากปากอุโมงค์?”

แต่เมื่อมองไปก็เห็นหินก้อนนั้นซึ่งใหญ่มากถูกกลิ้งออกไปแล้ว เมื่อเข้าไปในอุโมงค์ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดสีขาวนั่งอยู่ทางขวาพวกนางก็ตกใจกลัว

ผู้นั้นกล่าวว่า “อย่าตื่นตกใจไปเลย พวกเจ้ามาหาพระเยซูแห่งนาซาเร็ธผู้ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน พระองค์ทรงเป็นขึ้นแล้ว! พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ จงดูที่ที่เขาวางพระศพเถิด จงไปบอกพวกสาวกรวมทั้งเปโตรว่า ‘พระองค์กำลังเสด็จไปแคว้นกาลิลีก่อนหน้าพวกท่าน ท่านจะพบพระองค์ที่นั่นดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้’ ”

ผู้หญิงเหล่านั้นตกตะลึงกลัวจนตัวสั่น จึงพากันออกจากอุโมงค์อย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกับใครเพราะกลัว

(สำเนาต้นฉบับเก่าแก่ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดและหลักฐานโบราณบางฉบับไม่มีพระธรรมมาระโก 16:9-20)

เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์เมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้น พระองค์ทรงปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลาเป็นคนแรก คือมารีย์คนที่พระเยซูทรงขับผีออกเจ็ดตน 10 มารีย์จึงไปบอกบรรดาผู้ที่อยู่กับพระองค์ พวกเขากำลังร้องไห้ทุกข์โศกอยู่ 11 เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่และมารีย์ได้เห็นพระองค์ พวกเขาก็ไม่เชื่อ

12 ภายหลังพระเยซูทรงปรากฏในพระกายอีกรูปหนึ่งแก่สาวกสองคนขณะที่พวกเขาเดินอยู่นอกเมือง 13 ทั้งสองกลับมาเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง แต่พวกนั้นก็ไม่เชื่ออีกเหมือนกัน

14 ต่อมาพระเยซูทรงปรากฏแก่สาวกสิบเอ็ดคนนั้นขณะที่พวกเขากำลังรับประทานอาหาร พระองค์ทรงตำหนิพวกเขาที่ขาดความเชื่อและดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อผู้ที่เห็นพระองค์หลังจากพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว

15 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนทั้งปวง 16 ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาจะรอด ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินโทษ 17 ผู้ที่เชื่อจะมีหมายสำคัญดังนี้คือ เขาทั้งหลายจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาใหม่ๆ 18 เขาจะจับงูด้วยมือเปล่า และเมื่อดื่มพิษร้ายเขาจะไม่เป็นอันตรายเลย เขาจะวางมือให้คนเจ็บคนป่วยและคนเหล่านั้นจะหายโรค”

19 เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสจบแล้วพระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์และประทับนั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 20 ฝ่ายเหล่าสาวกออกไปเทศนาทุกหนทุกแห่ง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงร่วมงานกับเขาและรับรองพระดำรัสของพระองค์โดยหมายสำคัญที่เกิดขึ้น

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.